จักรวาลอันเวิ้งว้างกว้างใหญ่ ยังมีดาวเคราะห์สีฟ้าสวยที่สุด ภายใต้ผืนแผ่นฟ้า ยังมีน้ำใสสีครามและพื้นแผ่นดิน ชีวิตได้ถือกำเนิดขึ้น ณ ที่แห่งนี้..."โลกใบสุดท้าย"
Group Blog
 
<<
มิถุนายน 2552
 
 123456
78910111213
14151617181920
21222324252627
282930 
 
29 มิถุนายน 2552
 
All Blogs
 
ใช้หนี้เก่า ให้เขากู้ยืม ใส่ปากงูเห่า นำไปฝากธนาคาร (เชิญมาตามอ่านความหมายอันลึกซึ้ง)

พระพุทธเจ้าทรงตรัสกล่าวในอดีตกาลถึงในชาติที่พระพุทธเจ้าทรงสร้างบารมีใน ๕๐๐ ชาติในอดีตชาตินั้น พระพุทธเจ้าทรงเคยเกิดเป็นพญานกแขกเต้า เกิดมาก็มีร่างกายแข็งแรงมีสติปัญญาเหนือกว่านกทั้งปวง พระพุทธเจ้าทรงเสวยพระชาติเป็นหัวหน้าพญานกแขกเต้าก็ได้ปฏิบัติตนหาอาหารนำมาเลี้ยงบิดามารดา บุตร ภริยา และนกแขกเต้าตัวที่แก่ ๆ ออกหาอาหารไม่ได้ถูกลูกหลานทอดทิ้งไว้ในรัง พญานกแขกเต้าก็นำข้าวสาลีมาเลี้ยงนกแขกเต้าทั้งหลาย

อยู่มาวันหนึ่งเจ้าของนาข้าวสาลีมีความเคืองแค้นพญานกแขกเต้าจึงเฝ้าคอยดูอยู่ที่ทุ่งนาว่านกตัวอื่น ๆ ก็มาบินเอาไปครั้งเดียวหรือสองครั้ง จึงทำตาข่ายดักพญานกแขกเต้า พญานกแขกเต้าไม่ได้ระวังตัวก็บินไปติดตาข่าย เจ้าของนาเมื่อจับพญานกแขกเต้าได้ ก็จะทำการฆ่าทิ้งเสีย แต่ก็นึกสงสัยว่านกตัวนี้ไม่มีพฤติกรรมเหมือนนกตัวอื่นหน้าตาผิวพรรณก็สวยงามเป็นพิเศษกว่านกตัวอื่น จึงบอกว่า “เรานี้แค้นนักทำไมท่านจึงไม่เหมือนนกตัวอื่น ๆ มาคาบข้าวสาลีเพียงครั้งเดียวก็หายไป แต่ท่านมาคาบข้าวสาลีตั้งแต่เช้ายันเย็น ไม่เห็นพอเพียงสักที ทำยังกับเก็บเอาไปใส่ยุ้งใส่ฉางเอาไว้กินปีหน้า”

“เปล่า ! เราไม่ได้เอาไปเก็บใส่ยุ้งฉางไว้กินปีหน้าหรอก เราก็กินเพียงมื้อเดียว อิ่มเดียว บางวันเราก็กินไม่อิ่ม ไม่เหมือนนกตัวอื่นเขากินอิ่มแล้วเขาก็ไป เรากินอิ่มแล้วเราก็ไปไม่ได้ เราก็ต้องเอาไปเผื่อนกตัวอื่นอีก”

“แล้วท่านเอาไปให้ใครถ้าไม่ได้เอาไปเก็บ”

“ส่วนหนึ่งเราเอาไปใช้หนี้เก่า”

“ส่วนที่สองเราเอาไปให้เขากู้ยืม ส่วนที่สามเราเอาไปใส่ปากงูเห่า ส่วนที่สี่เราเอาไปฝากธนาคาร”

“เราไม่เข้าใจในคำพูดของท่าน ท่านเป็นนกทำไมมีศัพท์แสงมากเหลือเกิน เราเป็นมนุษย์เรายังฟังคำพูดท่านไม่ออก เราอยากฟังธรรมจากท่าน”
“พญานกแขกเต้าตอบว่าผู้จะแสดงธรรมต้องมีอิสรภาพ นี้เรายังติดในตาข่ายบ่วงของท่าน เราจะแสดงธรรมได้อย่างไร”

เจ้าของนาก็เกิดศรัทธาในพญานกแขกเต้า ก็นำนกแขกเต้าออกจากตาข่ายแล้วนำน้ำมาประพรมให้ทานข้าวทานน้ำ แล้วก็ตั้งค้อนเป็นธรรมมาสน์ให้พญานกแขกเต้าแสดงธรรม นกแขกเต้าอธิบายว่า


“ส่วนที่เรานำเอาไปใช้หนี้เก่า คือ เรานำอาหารส่วนหนึ่งไปให้บิดามารดาผู้แก่ชราของเรา เรียกว่าใช้หนี้เก่า เพราะเมื่อก่อนท่านได้เลี้ยงดูเรามา ยามท่านแก่ชราเราต้องเลี้ยงท่านตอบแทนบุญคุณท่าน”


“ส่วนที่สอง เอาไปให้เขากู้ยืม คือ เอาไปเลี้ยงดูลูกเล็ก ๆ ของเราที่ยังไม่มีปีก หากินเองไม่ได้เพราะเมื่อโตเขาก็จะมาคืนทุนให้เราเหมือนกับเราเลี้ยงดูบิดามารดา”

“ส่วนที่สาม เอาไปใส่ปากงูเห่า คือให้ศรีภรรยาสุดที่รักของเรา”

ชาวนาก็ถามว่า “แล้วภรรยาจะเป็นงูเห่าได้อย่างไร ”

พญานกแขกเต้าตอบว่า “ผู้หญิงก็เปรียบเหมือนงูเห่า เวลารักก็ไม่ทำอันตราย ถ้าเกลียดเราและนอกใจเราก็จะนำชู้มาฆ่าเราได้ หรือ เธอเองก็มาฆ่าเราเอง จึงเปรียบภรรยาเหมือนงูเห่า” เจ้าของนาก็เห็นจริง เพราะตนเองก็เจอภรรยาด่าอยู่ทุก ๆ วัน


“ส่วนที่สี่ เราเอาไปฝากธนาคาร ส่วนนี้เรานำข้าวสาลีไปให้นกแขกเต้าที่แก่เฒ่าหากินเองไม่ได้ ขนปีกขนหางขาดหลุด ตามองไม่เห็นและไม่สามารถจะไปหากินเองได้ถูกลูกหลานทอดทิ้ง เราจึงต้องเอาข้าวสาลีเหล่านี้ไปเผื่อนกแก่ ๆ ที่ถูกทอดทิ้งอยู่มากมาย จึงเรียกว่านำไปเพาะบุญทานเหล่านี้ทำแล้วนำติดตัวไปได้ในชาติหน้า ก็มาเป็นสมบัติของเราจึงเรียกว่าฝากธนาคาร โลกหน้าของเราจะไม่จน จะเป็นธนาคารโลกของเรา”

ชาวนาเมื่อได้ยินพญานกแขกเต้าแสดงธรรมจบก็เกิดความเลื่อมใสศรัทธาในคำสอนของพญานกแขกเต้าเป็นอย่างมาก กล่าวว่า “ข้าพเจ้าขอร่วมสร้างบารมีกับท่าน ข้าพเจ้าเป็นมนุษย์ยังปฏิบัติตนเยี่ยงท่านไม่ได้ เราเลื่อมใสท่านเป็นอย่างมาก สัตว์อย่างท่านประเสริฐกว่ามนุษย์หลายร้อยเท่าต่างกับมนุษย์ ที่เรียกว่าเป็นสัตว์ประเสริฐ แต่คุณธรรมของท่านประเสริฐกว่าสัตว์มนุษย์ ต่อไปนี้นาของข้าพเจ้าแปลงนี้ ขอให้ท่านมานำข้าวสาลีไปได้อย่าได้เกรงใจ มาเก็บเกี่ยวได้ตามต้องการทุกเวลา เพื่อนำไปสงเคราะห์บริวารญาติของท่าน อย่าได้ไปหากินในทุ่งนาของคนอื่นอีกเลย เพราะนาของเราปลอดภัยจากอันตราย เราขอยกนาผืนนี้ให้ท่าน ขอให้ท่านพาบริวารของท่านมากินโปรดอย่าได้เกรงใจ”

ตั้งแต่วันนั้นมาพญานกแขกเต้ายอดกตัญญูก็ไม่ลำบากในการแสวงหาอาหารอีกเลยและบริวารนกแขกเต้าตัวอื่นก็พลอยได้รับความสะดวกสบายในการหากินไม่เดือดร้อนอีกต่อไป

เมื่อพญานกแขกเต้าหมดอายุขัยก็ไปเกิดในภพภูมิที่ดี และเมื่อมาเกิดในชาตินี้ก็คือเราตถาคต บิดามารดาของเราก็เกิดเป็นพุทธบิดา พุทธมารดา ภรรยา บุตรของเราและบริวารนกแขกเต้าทั้งหลายก็มาเป็นสาวกของเรา ชาวนาก็คือ พระอานนท์ นี้เอง

___________________________________________________

คัดมาเล่าจาก “สังฆทานนิวส์” ฉบับที่ ๕๒ ประจำวันที่ ๑ – ๑๕ มิ.ย. ๒๕๕๒


Create Date : 29 มิถุนายน 2552
Last Update : 29 มิถุนายน 2552 15:42:53 น. 3 comments
Counter : 667 Pageviews.

 
ได้รู้ความหมายดีดีจัง


โดย: รัชชี่ (รัชชี่ ) วันที่: 29 มิถุนายน 2552 เวลา:16:47:21 น.  

 
กินใจมากๆ ธรรมทานที่ดีมากเลยค่ะ


โดย: auau_pi วันที่: 29 มิถุนายน 2552 เวลา:17:25:43 น.  

 
Thank you ka..


โดย: CrackyDong วันที่: 29 มิถุนายน 2552 เวลา:18:51:11 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

boonblue
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 22 คน [?]




สวัสดีชาวโลก.....
ยินดีอย่างยิ่งที่ท่านได้เข้ามาทักทาย
เราคือผู้ที่จะร่วมเดินทางไปกับทุกท่าน
บนโลกที่กำลังหมุนอยู่ใบนี้
เราเฝ้าดูและรายงาน...สรรค์สร้าง..
..เพื่อโลก..เพื่อเรา....
ก้าวเดินไปด้วยกันสิ เราจะเล่าให้ฟัง...

ขอบคุณท่านผู้เจริญ....
bluesky_planet@hotmail.com
Friends' blogs
[Add boonblue's blog to your web]
Links
 
MY VIP Friend


 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.