Group Blog
 
<<
พฤษภาคม 2550
 12345
6789101112
13141516171819
20212223242526
2728293031 
 
4 พฤษภาคม 2550
 
All Blogs
 
อยากตาย....แต่มัจจุราชไม่เป็นใจ----ตอนที่ 5

จากที่นั่งมองยาแก้แพ้อยู่นานพอเริ่มรุ่งเช้าก็เริ่มทานยาไปเรื่อยๆ จำได้มีว่าทานไปจนหมดกระปุก แล้วก็เริ่มง่วงๆซึม ค่อยๆอยากหลับ ตอนนั้นสามีและลูกตื่นแล้ว แต่เรายังมีสติบอกว่าไม่สบาย ขอนอนหน่อย จากนั้นมันมีอาการหลอนๆ ก็โทรไปหาเพื่อนสนิท แล้วโทรบอกว่าฝากมาดูลูกด้วยนะ(ตอนนั้นไม่รู้เรื่องเพื่อนเล่าให้ฟัง) แล้วมันซึมๆแล้วก็เหมือนหลอน ตอนนั้นเพื่อนสนิทอยู่ไม่ไกลเลยพุ่งมาหาที่บ้าน ซึ่งเพื่อนเข้ามาบ้านแล้วบอกแม่พ่อ ที่บ้านแล้วก็สามีให้ขึ้นไปดูเราที่ห้องนอน มาถึงเพื่อนก็เขย่าตัวเราพอรู้เรื่องนะบอกให้อาเจียนออกมา ทานยาอะไร แต่เราไม่ค่อยรู้เรื่องแล้วหล่ะ สามีกะเพื่อนเลยหามเราไปส่งโรงพยาบาลแล้วพยายามตบหน้าเรียกไม่ให้หลับ ตอนนั้นได้เสียงแม่ร้องไห้ โมโหเพราะเริ่มรู้เรื่องว่าเราทำธุรกิจเจ๊งและมากินยาหนีตาย แม่ทั้งร้องไห้แล้วก็ต่อว่าตามไปเลยหล่ะ ไปถึงโรงพยาบาล ก็ถูกล้างท้อง วิธีคือพยาบาลเอาสายสอดเข้าไปในรูจมูกแสบคอมาก แล้วเอาน้ำเกลือใส่ไปล้างท้องเราเห็นยาสีเหลืองไหลออกมาอีกข้างหนึ่ง นานมากเหมือนกันจนหมดจนไม่มีแล้ว จากนั้นเมื่อพ้นขีดอันตรายก็ไปนอนพักที่ห้องรวม สามีก็มาเฝ้าหน้าเศร้ามากแล้วถามว่า"ไม่อยากอยู่กะพี่และลูกแล้วเหรอ ทำไมคิดจะทิ้งพี่กะลูกหล่ะ"
เราไม่ได้พูดอะไรได้แต่น้ำตาไหล ระหว่างนั้นเจ้าหนี้ทั้งหลายเริ่มโทรมาที่เครื่องของสามีแล้วถามว่าทำไมเราปิดเครื่อง สามีตอบว่าเราไม่สบายเดี๋ยวออกจากโรงพยาบาลแล้วจะโทรกลับ เราก็ยังเบลอๆ ต่อมาพยาบาลบอกว่าต้องกลืนถ่านดูดพิษนะต้องกลืนให้หมด เราก็กลืนไปแบบมันเฝื่อนมาก แต่ต้องกลืนให้หมดเพราะพยาบาลดุมาก สักพักหมอมาตรวจอาการดูแล้วบอกว่า “ยังไงอยากตายทำไมลูกยังเล็กไม่ใช่เหรอ ตัดช่องน้อยแต่พอตัวตายไปลูกจะลำบากนะ มีแม่แต่จนหน่อยดีกว่าไม่มีแม่ไว้ซุกอกอุ่นๆยามลูกต้องการนะ พอเค้าโตไปเค้าคงเสียใจที่แม่ทิ้งเค้าไปแบบนี้” เราร้องไห้โฮเลย แต่พูดอะไรไม่ออก สามีไม่ว่าอะไรเราสักคำได้แต่ลูบหัวเรา หมอบอกว่าโชคยังดีที่เราทานยาแก้แพ้ ถ้าเรากินพาราไปขนาดที่เรากินไป รับรองไม่รอดแล้ว ขอให้โชคดีที่ยังรอดมาได้ขอให้ต่อไปเป็นช่วงที่เราทำในสิ่งดีๆเพื่อลูกและสามีแล้วกันอย่าคิดหนีอย่างนี้อีก จากนั้นสักพักจนเย็นหมอถามว่าอยากนอนพักต่อไหมแต่เราไม่นอนขอกลับบ้าน สามีพาเรากลับบ้าน มีลูกๆมายืนเกาะรั้วหน้าบ้าน หน้าตาเค้าห่วงเรามากแล้วถามว่าแม่ไม่สบายเหรอ แล้วเอามือมาแตะหน้าผากเราเหมือนที่เราดูแลเค้าเวลาไม่สบาย ตอนนั้นบอกได้เลยเราอายลูกมากไม่อยากมองหน้าเค้าเลย ส่วนพ่อแม่มองหน้าเราอย่างเจ็บช้ำน้ำใจมาก ไม่มองได้ไงเราทำให้เค้าแย่ไปด้วย เค้าต้องมาลำบากกับเราตอนแก่ ตอนนั้นเราฝังตัวอยู่แต่ในห้องอีกอย่างการที่ทานยาไปมากถึงแม้จะปลอดภัยแล้วแต่อาการง่วงซึมเพราะยาบางส่วนมาซึมเข้าร่างกายแล้วอีกฤทธิ์ เราง่วงซึมง่วงๆๆอย่างนั้นไป2-3 วันเลย
อยากบอกว่าการฆ่าตัวตายไม่ใช่ทางอีกของการหนีปัญหา แต่เราเข้าใจนะว่าทำไมคนเราถึงคิดสั้น เพราะความที่ไม่กล้าบอกปัญหากะใคร มันเครียดการที่อยู่กับตัวเองจนเกินไปมันคิดอะไรไม่ออกหรอกค่ะ ดังนั้นเวลาเกิดเรื่องอะไรต่างๆอย่าอยู่คนเดียวพยายามโทรหาใครที่เราไว้ใจเล่าไปเลยค่ะ หาเพื่อนไปเลยค่ะแล้วเล่าให้หมดการคิดแก้ปัญหาคนเดียวมันไม่ได้ทำให้มีทางมากขึ้น แต่การที่ได้เล่าให้ใครฟังมันช่วยให้เราไม่คิดอะไรมากจนเกินตัวหรอก ค่ะ อีกอย่างการฆ่าตัวตายเป็นการทิ้งปัญหาให้คนข้างหลัง คนที่เรารักและคนที่รักเราเจอปัญหาที่เราก่อไว้ ปัญหาไม่ได้ไปกะเรา แต่เราสิทิ้งปัญหาไว้ให้ลูกให้สามีให้พ่อแม่เรา เราต้องอยู่แก้ปัญหาด้วยกัน มีสุขร่วมสุข มีทุกข์ต้องร่วมแก้ไขด้วยกันค่ะ

อีกอย่างลูกๆไม่ได้อยากมีแม่รวยหรือแม่จน แต่ลูกอยากมีแม่ไว้กอดให้ความอบอุ่น ให้หอมแก้ม ให้หนุนตัก แม้จะอยู่อย่างอดๆอยากๆแต่ถ้ามีแม่อยู่ข้างๆความสุขมันก็ล้นเหลือ ต่อมาดิฉันยังอยู่แล้วสู้ต่อ ลูกต้องเปลี่ยนโรงเรียนจากโรงเรียนดีมาอยู่โรงเรียนระดับปานกลาง ไม่ค่อยได้เที่ยวห้างไม่ค่อยได้ของเล่นราคาแพงๆอย่างที่เคย แต่ลูกมีแม่ที่มานั่งเล่นหม้อข้าวหม้อแกง(ชุดละ 50 บาท) ขายข้าวแกงเล่นกัน ลูกมีเสียงหัวเราะสุขเหมือนเดิมหรืออาจจะมากกว่าเดิมเพราะแม่ไม่ได้นั่งอมทุกข์เพราะนั่งคิดบัญชีหัวฟูแต่ไม่ค่อยสนใจเค้าสักเท่าไหร่เหมือนเมื่อก่อน มีแม่ที่พาเข้านอนพร้อมเล่านิทานกันจนหลับ มีคุณตา คุณยาย คุณพ่อ คุณแม่ และเด็กๆ ที่นั่งทานข้าวพร้อมหน้าตอนเย็น แต่โต๊ะกับข้าวมีอาหารไม่หรูหราเหมือนแต่ก่อน แต่ทานอร่อยสนุกและอิ่มเหมือนเดิม แถมอิ่มใจมากกว่าเดิมด้วยค่ะ



Create Date : 04 พฤษภาคม 2550
Last Update : 4 พฤษภาคม 2550 10:08:09 น. 7 comments
Counter : 722 Pageviews.

 
มาติดตามอ่านเช่นเคยค่ะ โชคดีนะคะที่ผ่านมาได้ บางคนกินยาพารา ถึงรอดมาได้ ก็คิดว่าอาจมีปัญหาเรื่องตับค่ะ

บ้านเราก็เคยเป็นหนี้หลายสิบล้านบาท แต่ก็หมดหนี้แล้ว ตอนนี้พ่อเสียแล้ว แต่บางทีก็นึกถึง คิดว่ายอมจน แต่มีพ่อแม่อยู่ครบ ดีกว่าค่ะ


โดย: d IP: 125.24.144.194 วันที่: 4 พฤษภาคม 2550 เวลา:11:26:48 น.  

 
ขอบคุณค่ะที่เข้ามาติดตามค่ะ


โดย: atchy วันที่: 4 พฤษภาคม 2550 เวลา:12:32:24 น.  

 
Thank you for a touching story ka.
Boy! it made me cry.

Be strong na ka.


โดย: Yai IP: 75.55.3.250 วันที่: 5 พฤษภาคม 2550 เวลา:3:16:50 น.  

 
อ่านเรื่องของคุณแล้วร้องไห้เลย ตอนนี้เราก็มีเรื่องกลุ้มใจอยู่เหมือนกันค่ะ แต่ไม่รู้จะไปบอกใคร ไม่กล้าปรึกษาใครเลยเพราะกลัวเค้าจะเสียใจไปกับเราด้วย คือ เราได้ทิ้งของมีค่าที่เรากับสามีช่วยกันเก็บมาตลอดชีวิต มูลค่าประมาณสี่แสน อ่านถูกแล้วค่ะ สี่แสนบาท ยังไม่รู้จะทำยังไงดีเลย เศร้ามาก ๆ


โดย: หน่อย IP: 124.121.56.46 วันที่: 8 พฤษภาคม 2550 เวลา:7:47:23 น.  

 
เป็นกำลังใจ ให้นะ สู้ๆ เืพื่อลูกน้อยคะ


โดย: ทิพย์ IP: 210.213.20.90 วันที่: 21 พฤศจิกายน 2550 เวลา:11:35:18 น.  

 
เคยเป็นเหมือนกันเลยค่ะ เมื่อสองสามปีก่อนนั้น มันก็จริงนะ เวลาเราเครียดๆ เราคิดอะไรไม่ออกหรอก


โดย: violetsand วันที่: 8 ธันวาคม 2550 เวลา:14:43:51 น.  

 
ยินดีที่ได้รู้จักค่ะ และขอบคุณสำหรับเรื่องราวที่แบ่งปัน คิดว่าบังเอิญพยายาม search เรื่องการขายผ้าอ้อม นมผง จนได้ตามอ่าน..ถึงตอนนี้ ยอมรับว่าตกใจมาก เพราะปัญหาครอบครัวกำลังเจอพิษเศรษฐกิจและค่าครองชีพ ของ 3 พ่อ แม่ ลูก อยู่เหมือนกัน ..วันนี้อารมณ์เรา blue มาก .. จนเพ้อบอกลาลูกสาว 2ปี 6เดือน ที่เราเป็นแม่ full time เลี้ยงลูกอยู่บ้านกันสองคน (ที่บ้านสามีเรามีรายได้คนเดียว) อาจเป็นเพราะผยองที่สามี มีรายได้+คอม มากพอทำให้โอกาสที่มีคนเสนองานประจำ งานพิเศษให้กับดิฉันหลายต่อหลายหน สามีและดิฉันจะลงความเห็นผองกันว่า อยู่้านเป็นแม่บ้านเลี้ยงลูกให้ดีดีกว่า ทำงานนอกบ้าน .. หลายปีผ่านไป ลูกน้อยต้องใช้งานมาก ปัญหาเรื่องค่าใช้จ่ายที่สูงขึ้นทุกปี ค่าบ้านต้องส่งธนาคาร ภาษีสังคม ค่าใช้จ่ายของลูกหลายครั้งที่ไม่คาดฝัน มันทำให้ บ้านเราตอนนี้ไม่มีเงินแม้จะส่งลูกไปเข้าโรงเรียน ทั้งที่ลูกสาวอยากไปเรียนมาก อาจเพราะบ้านที่เราอยู่นั้นเป็นหมู่บ้านที่ลูกหลานเค้าไปแต่เอกชน รร.เด่นดังทั้งนั้น ทุกอย่างต้องหยุดและรอเรื่องเรียนของลูกก็ต้องเลื่อนไปปีหน้า หรือปีไหนๆที่สภาพการเงินบ้านเราดีกว่านี้..แต่เราก็ตัดสินใจให้ลูกได้รับการศึกษาจากโรงเรียนเอกชนระดับล่างเท่านั้นไม่คิดจะเอาลูกเข้า รร. แพงเกินรายได้ครอบครัว .......ปัญหายาวนี้มันเกิดจากรายได้ต่อเดือนสามีอย่างเดียวไม่พอค่าใช้จ่าย และไม่มีค่าคอมมิชชันมาร่วม 2 ปีแล้ว แต่เดิมค่าคอมปีละ 3 หน ประมาน 2 แสน//แต่เมื่อไปนั่งคุยกับสามีที่ไม่เคยรับฟังความคิดเห็นจากเราเลย ที่เราตัดพ้อสามีด้วยน้ำตา ลูกสาวมองเราอย่างไม่เข้าใจ คืนนี้เราจึงพยายามหาช่องทางทำกิน ด้วยตัวเราเอง แล้วยินดีมากที่ได้มาอ่านเรื่องราวของคุณ ขอบคุณที่สุดค่ะ


โดย: นลินนา IP: 58.9.123.32 วันที่: 17 กุมภาพันธ์ 2557 เวลา:22:53:29 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

atchy
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




Friends' blogs
[Add atchy's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.