ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เช้านี้ ณ เวลา 9.39 น.ค่าเงินบาทอ่อนค่าลงต่อเนื่องมาอยู่ที่ระดับ 31.14 บาทต่อเหรียญสหรัฐ โดยข่าวเจพี มอร์แกนของสหรัฐฯ มีผลขาดทุนจากการซื้อขายหลักทรัพย์ในไตรมาส 2/55 สูงถึง 2 พันล้านเหรียญฯ ได้กดดันดัชนีดาวโจนส์ล่วงหน้าและหุ้นเอเชียเช้านี้ นักวิเคราะห์คาดดัชนีหุ้นไทยยังซบเซาต่อ และหากดัชนีฟื้นตัวให้เน้นขายทำกำไร ในเดือน พ.ค. มีโอกาสสูงที่ SET จะกลับลงไปทดสอบระดับ 1,150 จุด ทั้งนี้ นักวิเคราะห์ในตลาดจะมีการปรับเพิ่มประมาณการอีกได้แก่ค้าปลีกและอสังหาริมทรัพย์ แนะนำเก็งกำไร 10 หุ้นเด่น ได้แก่ TCAP, TICON, ROBINS, HEMRAJ, INTUCH ,SAT, CPF, BGH, CFRESH,TMB

บล.ฟินันเซีย ไซรัสระบุในบทวิเคราะห์ ดังนี้ ช่วงนี้เน้นแค่เทรดดิ้งสั้นๆ ตามรอบ ดังนั้นตลาดดีดขึ้นจึงควรขายทำกำไร...

กลยุทธ์: แนะนำให้เน้นขายทำกำไรโดยเฉพาะเมื่อตลาดบวก เพราะ  FSS คาดว่า SET ช่วงครึ่งหลังของเดือน พ.ค. จะปรับพักฐาน ซึ่งกลุ่มที่ควรระวังแรงขายจากต่างชาติคือกลุ่มที่ Outperform มากและ NVDR ซื้อมากในช่วงที่ผ่านมา คือกลุ่มแบงก์ (KBANK, BAY, BBL) ค้าปลีก (BIGC, CPALL) ไอซีที (DTAC, ADVANC) และรายตัวอื่นๆ เช่น CPF, LH, SPALI

หุ้นเด่นทางเทคนิค   TCAP, TICON, ROBINS (SBL)

แนวโน้ม เนื่องจากตัวเลขจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานครั้งแรกรายสัปดาห์ของสหรัฐที่ปรับลดลง ผิดจากที่นักเศรษฐศาสตร์คาดไว้ว่าจะเพิ่มขึ้น ช่วยหนุนให้มีแรงซื้อกลับเข้ามาในตลาดหุ้นต่างประเทศพอควร ขณะที่ในบ้านเราเองยังมีลุ้นการขยับคาดการณ์ GDP ปีนี้ขึ้นจากแบงก์ชาติ ทำให้คาดว่าวันนี้ SET มีโอกาสรีบาวด์กลับขึ้นไปให้หาจังหวะขายทำกำไรตามรอบกันได้ใหม่อีกครั้ง ซึ่ง FSS แนะนำให้หาจังหวะขายทำกำไรก่อน เพื่อลดความเสี่ยงจากการแกว่งตัวลงของ SET อีกครั้ง เนื่องจากความวิตกต่อปัญหาการเมืองและเศรษฐกิจในยุโรปยังคงกดดันความมั่นใจของนักลงทุนอยู่ รวมทั้งฝ่ายกลยุทธ์ของเราคาดว่าหลังจากแรงซื้อเก็งกำไรผลประกอบการของ บจ.ต่างๆ ผ่านพ้นไปแล้วในช่วงกลางเดือนนี้ ช่วงครึ่งเดือนหลัง SET มีแนวโน้มที่จะเข้าสู่ช่วงของการพักฐานได้ นอกจากนี้แรงขายของนักลงทุนต่างประเทศที่เริ่มมีหนาตาขึ้นในช่วงนี้ก็น่าจะเป็นแรงกดดันให้นักลงทุนในตลาดหุ้นไทยใช้ความระมัดระวังมากขึ้นในการเข้าซื้อด้วย ซึ่งจะมีผลให้แรงซื้อในตลาดหุ้นไทยหดตัวลงไปได้

แนวรับ  1188 , 1185-1180  จุด    แนวต้าน  1195-1200 , 1205-1215  จุด

บล.ฟิลลิป ระบุในบทวิเคราะห์ ดังนี้ แนวโน้มตลาดวันนี้ : ยังอยู่ในภาวะซบเซาต่อ กลยุทธ์การลงทุน : ทยอยขาย

ภาพรวมตลาดยังดูซบเซาต่อเนื่อง แม้การดิ่งลงหนักกว่า 40 จุด ในช่วง 2 วันทำการที่ผ่านมา อาจทำให้มีลุ้นการดีดตัวสลับเข้ามาในระหว่างวันได้บ้าง แต่เชื่อว่าจะยังไปได้ไม่ไกล และแม้จะเห็นการฟื้นตัวของตลาดหุ้นสหรัฐและราคาน้ำมัน แต่ก็ยังเป็นการดีดตัวที่ดูอ่อนแอ อีกทั้งข่าวหลังการปิดตลาดที่ JP Morgan เผยการบันทึกการขาดทุนอย่างมีนัยจากการลงทุน ได้กดดันราคาหุ้นกลุ่มการเงินดิ่งหนัก ส่งผลต่อดัชนีดาวโจนส์ฟิวเจอร์สดิ่งหนักตามด้วยเช่นกันในเช้าวันนี้

ขณะที่ปัจจัยหนี้ยุโรปยังมีความไม่ชัดเจนต่อไป แม้ผ่อนคลายความตึงเครียดในเรื่องกรีซที่จะได้รับเงินช่วยเหลือต่อไปจนกว่าจะจัดตั้งรัฐบาลได้ และอัตราผลตอบแทนพันธบัตรของสเปนที่ปรับตัวดีขึ้นบ้างก็ตาม ด้านแรงขายหนักอย่างต่อเนื่องของต่างชาติเป็นสัญญาณที่ไม่ดีนัก โดยวานนี้ขายสุทธิหนักกว่า 4,889 ล้านบาททีเดียว คาดจะเป็นแรงกดดันต่อตลาดต่อไป โดย Downside จะอยู่แถว 1160-1150 ก่อน กลยุทธ์การลงทุน : ภาพรวมที่ยังดูอ่อนแอ ทำให้มองน่าอยู่ข้างขายต่อ

การจัดพอร์ตระยะสั้น* - หุ้น 50% : เงินสด 50%

ถือต่อในพอร์ต : SAT, CPF, BGH, CFRESH

หุ้นที่ปรับออก : ADVANC

หุ้นที่แนะนำ :1. TMB เก็งกำไรข่าวเทมาเส็กเจรจาซื้อหุ้นจาก ING กรอบเทรดระยะสั้น

มองต้าน 1.78 รับ 1.64-1.62 Cut loss 1.60 บาท

KGI ประเมินตลาดหุ้นไทยวันศุกร์จะผันผวนด้วยทิศทางหลักเป็นขาลง ข่าวที่ว่า ธ. เจพี มอร์แกนของสหรัฐฯ มีผลขาดทุนจากการซื้อขายหลักทรัพย์ในไตรมาส 2/55 สูงถึง 2 พันล้านเหรียญฯ ได้กดดันดัชนีดาวโจนส์ล่วงหน้าและหุ้นเอเชียเช้านี้ ในขณะที่ปัจจัยในกรีซยังเต็มไปด้วยความไม่แน่นอน เนื่องจากพรรค PASOK ซึ่งได้สิทธิในการฟอร์มรัฐบาลยังไม่ประสบความสำเร็จ และยังมีความเป็นไปได้สูงที่กรีซจะต้องเลือกตั้งใหม่อีกครั้ง อย่างไรก็ดีในระยะสั้นๆ กรีซยังซื้อเวลาได้บ้างหลังจากเจ้าหน้าที่ยูโรโซนกล่าวว่าจะยังคงให้เงินช่วยเหลือกรีซไปก่อนจนกว่าจะได้ข้อสรุปเรื่องการเลือกตั้งและการจัดตั้งรัฐบาล (น่าจะเป็นเดือน มิ.ย.) ส่วนปัจจัยเศรษฐกิจสหรัฐฯ มีผลต่อตลาดค่อนข้างน้อย ยอดขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์ลดลง แต่ใกล้เคียงกับที่ตลาดคาดการณ์ ภาพรวมเชื่อว่าต่างชาติจะขายหุ้นไทยเพื่อรับรู้กำไรในช่วงที่ผ่านมาและลดความเสี่ยงจากปัจจัยภายนอกในสัปดาห์หน้า การรายงานกำไรไตรมาส 1/55 ของ บจ.ไทยจะสิ้นสุดลง

ทาง KGI คาดว่ากลุ่มที่นักวิเคราะห์ในตลาดจะมีการปรับเพิ่มประมาณการอีกได้แก่ค้าปลีกและอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งหุ้นเกือบทุกบริษัทในกลุ่มดังกล่าวแจ้งกำไรสูงกว่าที่คาด ขณะที่กลุ่มสินค้าโภคภัณฑ์นั้นแม้หลายตัวจะมีกำไรสูงกว่าคาด แต่เกิดจากรายการพิเศษเช่นอัตราแลกเปลี่ยนและกำไรสต็อก จึงเชื่อได้ว่าความสนใจยังอยู่ในหุ้นdomestic plays ต่อไป แม้ว่าราคาหุ้นจะขึ้นมาสูงแล้วก็ตาม

กลยุทธ์: คงแนะนำให้เลี่ยงหุ้นใหญ่ ถือเงินสดเป็นหลัก พอร์ตหุ้นให้เน้นรายตัวที่กำไรออกมาสูงกว่าตลาดคาดหรือแนวโน้มจะสูงกว่าคาด เช่น ROBINS*, HEMRAJ และ INTUCH* เราเชื่อว่าในเดือน พ.ค. มีโอกาสสูงที่ SET จะกลับลงไปทดสอบระดับ 1,150 จุด ที่ทำไว้ช่วงก่อนสงกรานต์ (11 เม.ย.)

Create Date : 11 พฤษภาคม 2555
Last Update : 11 พฤษภาคม 2555 12:03:43 น.		0 comments
Counter : 497 Pageviews.
Share Tweet