Group Blog
 
<<
พฤศจิกายน 2554
 12345
6789101112
13141516171819
20212223242526
27282930 
 
5 พฤศจิกายน 2554
 
All Blogs
 

"อุตฯ ยานยนต์" ฝันสลาย ลดเป้าผลิตต่ำกว่าปี 53 โตโยต้า นิสสัน แจ้งหยุดผลิตต่อเนื่องยาว

ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา การผลิตรถยนต์ของไทยมีทิศทางการเติบโตมาโดยตลอด
แม้ว่าในปี 2552 หลังจากได้รับผลกระทบจากวิกฤติเศรษฐกิจโลกช่วงปีก่อนหน้า ทำให้ยอดสะดุดลงไปเล็กน้อย จาก 1.39 ล้านคัน ในปี 2551 ลงมาอยู่ที่ 9.9 แสนคัน แต่จากนั้น ปี 2553 ตัวเลขการผลิตก็สามารถเติบโตแบบชดเชยส่วนที่หายไปด้วยยอด 1.65 ล้านคัน
ปี 2554 เป็นปีที่อุตสาหกรรมรถยนต์มีความคึกคักอย่างมาก ทั้งยอดขายที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง การส่งออกที่ขยายตัวอย่างชัดเจน การมีสินค้าใหม่ๆ เปิดตัวเข้าสู่ตลาดจำนวนมาก ทั้งหมดนี้ ส่งให้ภาคการผลิตเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว หลายๆ ค่ายรถยนต์ประกาศปรับแผนการผลิตกันทั่วหน้า ขณะที่หลายค่ายก็ลงทุนสร้างโรงงานใหม่ หรือขยายโรงงานเดิมรองรับ
เป้าหมายที่ตั้งกันไว้ในปีนี้ คือ 1.8 แสนคัน นั่นเป็นตัวเลขทางการ แต่ว่าจริงๆ แล้ว หลายคนมีเป้าหมายในใจว่า จะทำได้สูงกว่านั้น บางคนมองไปที่ 1.85 แสนคัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเดือน ก.ย.ที่ผ่านมา สามารถทำลายสถิติการผลิตสูงสุด และยังพ่วงเอาการส่งออกทำลายสถิติไปด้วยเช่นกัน
การผลิตและส่งออกที่เป็นสถิติใหม่ในเดือน ก.ย. มีความหมายมากกว่าการเติบโต แต่เป็นสัญลักษณ์ของการฟื้นตัว เนื่องจากเดือนดังกล่าว เป็นเดือนแรกนับตั้งแต่เดือน มี.ค.ที่ทุกค่ายรถยนต์สามารถกลับมาเดินสายการผลิตได้เต็มที่ 100% เป็นครั้งแรก หลังจากได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์แผ่นดินไหว และสึนามิที่ญี่ปุ่น ซึ่งทำให้การผลิตชะลอตัวลงไปอย่างมาก สูงสุด คือ 50% โดยเฉพาะค่ายฮอนด้าที่ถือได้ว่าได้รับผลกระทบมากที่สุด
สุรพงษ์ ไพสิฐพัฒนพงษ์ โฆษกกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยตัวเลขการผลิตเดือน ก.ย.ทำได้ 1.74 แสนคัน สูงที่สุดนับตั้งแต่ปี 2504 และมากกว่าเดือนเดียวกันของปีก่อนหน้าถึง 23% สูงกว่าเดือน ส.ค. ปีเดียวกัน 13% ขณะที่การส่งออกทำได้ 9.06 หมื่นคัน ทำลายสถิตินับตั้งแต่มีการส่งออกรถยนต์ของประเทศไทยเป็นครั้งแรกในปี 2531
และหากนับรวม 9 เดือน ระหว่าง ม.ค.-ก.ย. 2554 มีการผลิตทั้งสิ้น 1.285 ล้านคัน เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันปีที่แล้ว 7% และทางกลุ่มผู้ประกอบการเห็นว่าหากช่วงเวลา 3 เดือนที่เหลือสามารถทำได้ในอัตรา 1.74 แสนคัน ก็ทำให้ยอดผลิตปีนี้ทะลุเป้าได้ไม่ยากนัก จนกระทั่งไทยเกิดปัญหาน้ำท่วมครั้งใหญ่ช่วงเดือน ต.ค.และส่งผลกระทบรุนแรงในวงกว้างโดยเฉพาะโรงงานผลิตฮอนด้าที่นิคมอุตสาหกรรมโรจนะ ซึ่งถูกน้ำท่วมทั้ง 2 โรง และโรงงานผลิตชิ้นส่วนอีกจำนวนมาก ในพื้นที่อยุธยา ส่งผลให้ฮอนด้าต้องหยุดการผลิตโดยอัตโนมัติ ขณะที่ค่ายอื่นๆ มีการปรับลดการผลิตลง และบางค่ายก็ประกาศหยุดการผลิต เช่น โตโยต้า ที่แถลงการณ์หยุดการผลิตโรงงานทั้ง 3 แห่ง คือ พระประแดง สมุทรปราการ บ้านโพธิ์ และเกตเวย์ ฉะเชิงเทรา ล่าสุดเป็นแถลงการณ์ฉบับที่ 3 คือการหยุดผลิตถึงวันที่ 5 พ.ย.เนื่องจากยังไม่สามารถจัดการกับชิ้นส่วนที่ขาดแคลนได้
ศุภรัตน์ ศิริสุวรรณางกูร รองประธาน บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ เอเชียแปซิฟิก เอ็นจิเนียริ่ง แอนด์ แมนูแฟกเจอริ่ง จำกัด กล่าวกับ "กรุงเทพธุรกิจ" ว่า ขณะนี้ ยังไม่สามารถทำการผลิตได้ แต่จะพยายามหาชิ้นส่วนจากแหล่งผลิตอื่นๆ เข้ามาทดแทน โดยบริษัทได้ติดตามข่าวสารอย่างใกล้ชิดและทำการประเมินสถานการณ์แบบรายสัปดาห์ ควบคู่กับการรอฟังคำประกาศจากบริษัทแม่ที่ญี่ปุ่นทุกวันศุกร์ ว่า สามารถเปิดดำเนินการได้หรือไม่ ทั้งนี้ หากว่าครบกำหนดปิดโรงงานในวันที่ 5 พ.ย. ระดับน้ำยังไม่ลด บริษัทจะให้พนักงานของโตโยต้าเข้าไปช่วยทุกวิถีทางเพื่อฟื้นฟูตัวโรงงานและนิคมอุตสาหกรรมทั้ง 3 แห่ง เช่น การวิดน้ำเพื่อให้นิคมฯ กลับสู่สภาวะปกติ ซึ่งขณะนี้ อยู่ระหว่างการพิจารณา อย่างไรก็ดี หากว่าระดับน้ำลดลงตามที่คาดการณ์ก็จะเปิดไลน์การผลิตได้ทันที
ส่วนพนักงานในปัจจุบันที่มีอยู่ 9,000 คน บริษัทได้จัดพนักงานออกเป็นส่วนๆ เพื่อทำงานสาธารณประโยชน์ ฝึกอบรมทักษะด้านต่างๆ ช่วยมูลนิธิราชประชานุเคราะห์ และบางส่วนให้อยู่กับบ้าน โดยพนักงานทุกคนยังได้รับค่าจ้างในอัตราปกติของเงินเดือน
ขณะที่บริษัท มิตซูบิชิ มอเตอร์ส คอร์ปอเรชั่น ประเทศญี่ปุ่น คาดว่ายอดการผลิตรถยนต์ของบริษัท มิตซูบิชิ มอเตอร์ส (ประเทศไทย) จำกัด จะลดลง 3- 3.5 หมื่นคัน หากโรงงานยังคงต้องหยุดดำเนินการต่อเนื่องตลอดเดือน พ.ย. อันเนื่องมาจากเหตุน้ำท่วมครั้งใหญ่ที่ขยายวงกว้าง แม้โรงงานของมิตซูบิชิ มอเตอร์ส ไม่ได้รับผลกระทบจากน้ำท่วมโดยตรง แต่บริษัทต้องระงับการผลิตยานยนต์ตั้งแต่ 20 ต.ค. เนื่องจากขาดแคลนชิ้นส่วน
ส่วนความเคลื่อนไหวบริษัทอื่น นิสสัน ประกาศลดการทำงานล่วงเวลาลง หรือฟอร์ด ที่หยุดการทำงานเป็นช่วงๆ เพื่อให้สอดคล้องกับสถานการณ์ของชิ้นส่วนที่จัดหามาได้
สุรพงษ์ กล่าวว่า ผลกระทบที่เกิดขึ้น โดยเฉพาะกับค่ายยักษ์ใหญ่ จะมีผลต่อภาพรวมอุตสาหกรรมอย่างมาก เช่น ฮอนด้า ซึ่งยังไม่รู้ว่าจะสามารถกลับมาเริ่มต้นผลิตได้เมื่อไร เช่นเดียวกับโรงงานชิ้นส่วนที่จมน้ำ โดยภาครัฐบอกว่าปัญหาน้ำจะหมดสิ้นภายใน 45 วัน แต่ไม่ได้ระบุว่าเริ่มต้นนับตั้งแต่เมื่อไร นอกจากนี้เมื่อแห้งแล้ว ก็จะต้องใช้เวลาฟื้นฟูเฉลี่ยประมาณ 45 วัน เท่ากับการผลิตหายไปอย่างน้อย 3 เดือน
ขณะที่โตโยต้านั้นซึ่งปัจจุบันมีการผลิตมากที่สุด มากกว่า 6 หมื่นคัน/เดือน และจากประกาศล่าสุด เท่ากับต้องหยุดอย่างน้อยเกือบ 1 เดือน เพราะโตโยต้าเริ่มต้นระงับสายการผลิตตั้งแต่ 10 ต.ค.ที่ผ่านมา และหากว่าถึงกำหนดแล้วยังไม่สามารถกลับมาได้ จะส่งผลกับภาพรวมอุตสาหกรรมอย่างมาก
ทั้งนี้ คาดว่าหากโรงงานรถยนต์ต่างๆ กลับมาได้อย่างรวดเร็ว การผลิตรถยนต์ของไทยในปีนี้จะต่ำกว่าเป้าหมาย 1.8 ล้านคัน มาอยู่ในระดับ 1.65 ล้านคัน แต่หากภายในต้นเดือนหน้า ยังไม่สามารถกลับมาได้ จะทำให้ตัวเลขลงมาอยู่ที่ 1.6 ล้านคัน หรือต่ำกว่า
และที่แน่นอน ก็คือ เป็นการผลิตที่น้อยกว่าปีที่ผ่านมา โดยไม่มีใครคาดคิดมาก่อน และอาจจะส่งผลกระทบต่อเนื่องไปยังเป้าหมาย 2 ล้านคันในปีหน้าอีกด้วย
เป็นการสำลักน้ำ ในโค้งสุดท้ายจริงๆ


โตโยต้าและนิสสันขยายเวลาการระงับการผลิตในไทย

โตโยต้า-นิสสัน ขยายเวลาการระงับการผลิตในไทย เนื่องจากน้ำท่วมหนักกระทบชิ้นส่วนรถยนต์

บริษัท โตโยต้า และบริษัท นิสสัน ผู้ผลิตรถยนต์รายใหญ่ของญี่ปุ่น ออกแถลงการณ์ ประกาศขยายระยะเวลาระงับการผลิตของโรงงานในไทยออกไปอีก หลังเผชิญกับน้ำท่วมเลวร้ายครั้งประวัติศาสตร์

แถลงการณ์ของโตโยต้าระบุว่า โรงงาน 3 แห่งในไทยได้ระงับการผลิตตั้งแต่วันที่ 10 ตุลาคมที่ผ่านมา และจะยังคงปิดต่อไปจนกระทั่งวันที่ 12 พฤศจิกายนเป็นอย่างน้อย

ขณะที่นิสสันแถลงว่า จะระงับการผลิตไปจนกระทั่งอย่างน้อยวันที่ 14 พฤศจิกายนนี้




 

Create Date : 05 พฤศจิกายน 2554
0 comments
Last Update : 5 พฤศจิกายน 2554 0:12:40 น.
Counter : 558 Pageviews.

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 


bunbaramee
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 6 คน [?]




Friends' blogs
[Add bunbaramee's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.