Group Blog
 
<<
พฤศจิกายน 2555
 
 123
45678910
11121314151617
18192021222324
252627282930 
 
3 พฤศจิกายน 2555
 
All Blogs
 
แม่มือใหม่ในต่างแดน สิ่งที่คงจะไม่มีวันรู้ ถ้าไม่มี "ลูก"

ตั้งชื่อซะดราม่าเลย  จริง ๆ มันก็ไม่ได้ดราม่าขนาดนั้นนะคะ  เพียงแต่ชีวิตคนมีลูกมันเป็นชีวิตอีกแบบหนึ่งที่แม่มือใหม่อย่างปุ่นเคยกลัวมันอย่างมาก กลัวว่าจะทำได้ไม่ดี กลัวว่าจะฐานะไม่มั่นคงพอ กลัวว่าลูกจะไม่มีความสุข กลัวโน่นนี่ นี่นั่น เลยผลัดวันประกันพรุ่งไม่อยากมีลูกซะที  ไอ้ความกลัวนี้มันเริ่มมาจากก่อนจะมีลูกเลยนะนี่ คงเป็นเพราะเราได้ยินคำบอกเล่าจากคนที่มีลูกแล้ว โดยที่เรายังไม่ได้สัมผัสกับมันเอง เริ่มจาก

ควรมีลูกเมื่อพร้อม
          ความพร้อมของคนเรานี่มันก็ไม่เท่ากันนะ ใครจะรู้ได้ยังไงว่า อ่า ชั้นพร้อมแล้วนะวันนี้ จะมีกันวันนี้แหละ ส่วนตัวเองก็ยังไม่เคยคิดว่าตัวเองพร้อมซักทีเล้ย จนสามีบอกว่า นี่เธอ อายุเธอก็ไม่ใช่น้อยแล้วนะ มีได้แล้วล่ะเลยไม่คุมกำเนิด ไม่คุมกำเนิดได้ห้าเดือนถึงได้ตั้งท้อง จนตอนนี้ก็ได้ข้อสรุปว่า ความพร้อมนี่ คือ พ่อแม่มีความมั่นคงในชีวิตคู่ พร้อมที่จะเหนื่อยเลี้ยงลูกด้วยกัน มีงานมีการทำ ไม่ต้องรอให้รวยก่อนถึงจะมีลูก พ่อแม่ควรมีวุฒิภาวะพอควร แบบว่ารู้เรื่องอะไรถูกผิด กล้าสอนลูก ซึ่งตรงนี้ไม่ได้อยู่ที่อายุเสมอไป พ่อแม่บางคนอายุน้อย แต่เลี้ยงลูกได้ดีมาก ๆ

การดูแลตัวเองตอนท้อง: ร่างกายที่เปลี่ยนไป
          คนท้องไม่ได้อ่อนแอ เปราะบางอย่างที่หลาย ๆ คนคิด เพียงแต่มีเรื่องต้องให้ระวังมากกว่าคนปกติหน่อย คนที่แท้งลูก หลาย ๆ สาเหตุไม่ได้แปลว่าคุณแม่เคลื่อนไหวมากเกินไป คุณหมอที่ดูแลครรภ์บอกว่า คนที่ครรภ์อ่อนแอ มีภาวะเสี่ยงแท้ง ต่อได้คุณแม่ไม่เดินเหินเลย แล้วเอาสำลีมาห่อไว้ ก็สามารถแท้งได้  เพราะฉะนั้น ควรทำใจให้สบาย ดูแลร่างกายให้ดี อย่าเครียด ออกกำลังกายบ้าง หลาย ๆ อย่างที่ไม่รู้คือ สามสี่เดือนแรก จะเหนื่อยมาก ใครที่แพ้ก็จะหนักช่วงนี้ เดือนที่สี่ถึงเจ็ดเดือนสำหรับท้องแรกจะเป็นช่วงเวลาที่ดีมาก คือท้องจะไม่ใหญ่เกินไป อาการแพ้หายไปแล้ว เจริญอาหาร  ลูกเริ่มดิ้น รู้สึกถึงสายสัมพันธ์ก็ช่วงนี้ ส่วนช่วงสามเดือนสุดท้าย ท้องจะโตจนเห็นชัดแล้วจะมีอาการปวดหลัง นอนลำบาก ตื่นนอนตอนดึก ๆ ส่วนปุ่นตื่นมากินค่ะ ไม่รู้ทำไมแต่ชอบมากินตอนดึก ๆ

          ขี้ลืม อาการเหมือนสมองเสื่อม เดินไปจะหยิบของในครัว ไปถึงในครัวงง  ไปสอนทำอาหาร ลืมเอากะทิไป กลับมาเอา มันตั้งอยู่ตรงหน้านี่เอง  หมอบอกว่าเป็นเพราะร่างกายมันไปโฟกัสที่ลูกในท้อง แม้ตอนเป็นแม่ลูกอ่อน อาการขี้ลืมก็ยังไม่ดีขึ้น จนลูกโต ช่วยตัวเองได้พักนึง แม่มีเวลาพักเต็มที่ถึงจะดีขึ้น

ความสามารถในการทำงานลดลง ในที่นี่หมายถึงงานโดยทั่วไป อย่าง อ่านหนังสือ มันก็ไม่จำเหมือนตอนไม่ท้อง คงเพราะทรัพยากรในร่างกายต้องถูกจัดสรรให้ตัวเล็กด้วย เลือดที่ไปเลี้ยงสมองเลยมีจำกัด (อันนี้คิดเอาเองนะคะ)
เคยยืนได้ทั้งวันก็ เอาแล้ว สองชั่วโมงปวดหลังแล้ว เพราะแบกลูกน้อยไปด้วยในท้องอีกคน

บางอย่างมันก็เสียไป ไม่มีวันกลับคืนมา อย่างเช่น ของปุ่น มีปัญหาเรื่องเท้า กระดูกเท้าโปนออกด้านข้าง หลังคลอดลูกแล้ว องศากระดูกเท้าด้านข้างมันเอียงออกมากขึ้นมาก ขนาดไปหาหมอเอาที่ดัดมาใส่แล้วนะ ก็ยังเลี่ยงไม่ได้ งานนี้เท้ากว้างขึ้นอีกหนึ่งเซ็นต์

น้ำหนักที่เกินมา ฮ่า ฮ่า อันนี้ต้องตั้งใจจริงถึงจะกำจัดมันไปแล้ว กลับมาผอมเหมือนก่อนท้อง  แต่กะว่าจะรอให้มีคนที่สองก่อนค่อยลด ข้ออ้าง!!!

จิตใจหวั่นไหวเพราะฮอร์โมน
          ตอนที่เตรียมของให้ลูก เห็นแม่หลายคน ซื้อของใช้สวย ๆ ให้ลูก ซื้อโน่นนี่แบบอลังการณ์ดาวล้านดวงให้ลูก  ตอนนั้นตัวเองย้ายบ้านด้วย รับงานน้อยลงด้วยเพราะย้ายบ้านและท้อง เลยต้องประหยัดกันหน่อย ก็ไม่กล้าซื้ออะไรมาก อีกอย่างเพื่อนกับญาติหลายคนก็ให้ของมาเยอะแล้ว  เลยซื้อแต่อะไรที่จำเป็น  ตอนนั้นก็น้อยเนื้อต่ำใจในวาสนาตัวเองนะ  ไม่ได้อิจฉานะ  ไม่ได้อยากได้ของคนอื่นแต่ไม่รู้เป็นเพราะฮอร์โมนหรืออะไร อยู่ ๆ มันก็วูบขึ้นมาว่า สงสารลูกอ่ะ ลูกเราคงไม่มีปัญญาใช้ของดี ๆ  เรามันเป็นแม่ที่ไม่ได้เรื่อง ทั้ง ๆ ที่จริง ๆ แล้ว มันไม่ได้เลวร้ายขนาดนั้นซักหน่อย  อีกอย่างหนึ่ง ลูกเราจะเติบโตอย่างมีความสุข ไม่ได้ขึ้นอยู่กับของนอกกายพวกนี้เลย มีของใช้ที่จำเป็นที่เหมาะสม อย่างเสื้อผ้าอุ่น ๆ มีบ้านอยู่ มีที่นอน มีพ่อแม่ที่คอยให้ความรัก เด็กเล็ก ๆ ยังไม่รู้จักหรอก ว่าอะไรแบรนด์เนม  มีแต่แม่นี่แหละเป็นคนบอกลูก  เห็นเด็กคนนึงที่ไปเข้ากลุ่มกับลูก น้องคนนี้ เวลาชี้อะไร เรียนคำอะไร จะพูดว่า Meine meine ของฉัน ของฉัน ซึ่งเด็กคนอื่นไม่เห็นเป็น  เวลาไปกินกาแฟกับแม่น้องคนนี้ แม่น้องคนนี้จะพาลูกดูของตามร้าน แล้วบอกว่า วันนี้แม่อยากได้อันนี้ ๆ ๆ เรียกว่าช็อปทุกวัน อยากได้โน่นนี่ตลอดเวลา ลูกก็ซึมซับตรงนี้ไปด้วย

เรื่องฮอร์โมน อันนี้ก็สำคัญ ตอนท้อง หลังคลอด จนลูกขวบครึ่ง จำได้ว่าน้อยใจใครต่อใครต่อใคร ไปไม่รู้กี่คน กี่เรื่อง  ไม่น่าเชี่อว่าเรื่องง่าย ๆ จะทำให้จิตตกได้ขนาดนี้  ลบเพื่อนออกจากเฟซไปแล้วก็หลายคน เพราะว่านางไม่มีเวลาโทรหาเรา แต่มีเวลาไปตอบกระทู้ไก่กา ที่ทำงานก็อยู่ไม่ไกลจากบ้านเรา แต่ไม่เคยแวะมา (อันนี้ให้นังกิ๊ก ขำ ๆ ปนซีเรียส แต่หล่อนก็ไม่มีเวลาให้ชั้นจริง ๆ ตอนนี้ก็ต่างคนต่างอยู่แล้วกัน บ้านชั้นไม่ใช่ร้านส้มตำนะยะ เชอะ) แต่มาคิดดู เรื่องนี้มันก็มีข้อดีตรงที่ว่า เราจะได้ตัด ๆ อะไรที่ไม่สำคัญกับเราออกไป บางทีมันอาจจะถึงเวลาแล้วที่เราจะได้แยกแยะว่าอะไรสำคัญกับชีวิต  เพราะว่าพอมีลูกแล้ว เวลาที่จะไปจกส้มตำกับเพื่อนสนิทก็คงน้อยลง แล้วเพื่อนที่มันไม่สนิทมันจะเหลืออะไร  คนที่คลิกกันเขาก็เข้ามาเอง บางทีไปฝืนปรับตัวเข้ากับคนที่ไม่ได้ชอบเราจริง ๆ มันก็เหนื่อยน่ะ แบกลูกในท้องก็เหนื่อยแล้ว อย่าไปเหนื่อยเรื่องอื่นเลย

เลี้ยงลูกหกเดือนแรก เหนื่อยมากกกก
อยู่ต่างประเทศ การเลี้ยงลูกและการใช้ชีวิตมันต่างกับการอยู่เมืองไทยอย่างมาก ข้อดีมันก็คือมีอิสระ มีทางเลือกในการใช้สิ่งอำนวยความสะดวก สวัสดิการของรัฐค่อนข้างจะดีสำหรับพ่อแม่ แต่ว่าทุกอย่างต้องดูเองหมด การจะหวังให้พ่อแม่สามี หรือญาติมาช่วยเหมือนตอนอยู่เมืองไทย มันคงจะยาก  ไม่ใช่ว่าเขาไม่มีน้ำใจนะคะ เพียงแต่ที่นี่ การดูแลลูกเล็ก ๆ เป็นหน้าที่ของแม่ ถ้าแม่ต้องไปทำงานก็ต้องไปฝากคนเลี้ยงมืออาชีพ เดือนหนึ่งแพงเท่าค่าเช่าบ้านเลย   ย่าจะดูหลานให้ก็แป๊บ ๆ อาทิตย์ละครั้ง ครั้งละครึ่งวันอะไรแบบนี้ อันนี้ดูจากเพื่อน ๆ ส่วนใหญ่ที่นี่นะคะ เวลาปุ่นเห็นใครที่เมืองไทยบ่นว่า ให้ย่ายายเลี้ยง ไม่ดีโน่นนี่ ไม่ชอบที่ย่าเลี้ยงลูกเราแบบนี้ นี่นั่น ขอให้นึกไว้เถอะค่ะ ว่าคนที่เราไว้ใจให้ดูลูกเราโดยไม่ได้อะไรตอบแทน บางทีมันก็ไม่มีนะคะ
การเลี้ยงเด็กเล็ก ๆ เป็นงานหนัก  ช่วงคลอดใหม่ ๆ แม่ต้องเตรียมนอนน้อยไว้เลย กลางวันกินแล้วนอนตามลูก เพราะกลางคืนตื่นมาให้นม  บางทีปั๊มนมอีก นมเยอะก็ดีไป นมน้อยก็มาปั๊มกันเป็นวัวเลยทีเดียว อาหารก็ต้องทำกินเอง กินข้าวไข่เจียว ไข่พะโล้ต้มไว้หม้อยักษ์ หุงข้าวไว้ หิวมาก็เอามาอุ่น กิน ที่ไหนจะมีข้าวมันไก่ ก๋วยเตี๋ยวให้ซื้อกินเหมือนเมืองไทย 

ตอนนั้นรู้สึกว่าตัวเองชีวิตรันทดมาก เพราะย้ายบ้านมาใหม่ บ้านก็เล็ก รกด้วย ของยังจัดไม่เข้าที่ สามีก็จัดไม่ถูกใจ เฟอร์นิเจอร์ก็ยังไม่ลงตัว อยากทำเองก็ไม่มีแรง เจ็บแผลคลอดด้วย เหนื่อยด้วย คิดว่าครอบครัวที่บ้านพร้อม คือไม่ต้องย้าย ขยับขยายใด ๆ ระหว่างมีลูกอ่อน ๆ นั้น คงจะลดความเครียดตรงนี้ได้ในระดับหนึ่ง  อีกอย่างนึง คือ ห้ามเปรียบเทียบกับแม่ลูกคู่ใด ๆ ทั้งสิ้นในโลก

ตอนนี้กลับมาย้อนดู  ความเป็นพ่อแม่มือใหม่ มันทำให้หลาย ๆ เรื่อง ยากขึ้นอย่างไม่น่าเชื่อ อย่างกำลังใจที่จะเลี้ยงลูก เหมือนกว่าลูกจะโตคงนาน  มันเหมือนกับว่า ความเหน็ดเหนื่อย ปัญหาทั้งหลายเหมือนจะเข้ามาอย่างไม่หยุดหย่อน ที่จริงมันไม่เชิงปัญหา เด็กเล็ก ๆ เค้าก็โตขึ้นเรื่อย ๆ ตามธรรมดาของเค้า เราเองที่ไม่รู้ ไม่เข้าใจ กลัวว่าจะทำผิด อย่างตอนแรก เครียดเรื่องนม กลัวลูกกินนมไม่พอ ถึงกับไปเช่าตาชั่งมาจากร้านขายยา กินแล้วชั่ง กินแล้วชั่ง เพราะกลัวลูกไม่โต คุณแม่ที่มีลูกสองคนแล้วคงไม่ไม่ทำแบบนี้ หรือเรื่องฝึกนอน ตามใจลูกกันหลายเดือน เพื่อนส่งหนังสือมาให้ว่าให้ฝึกลูกนอน ในตำราก็บอกว่า ให้ปล่อยให้ร้องไห้แล้วลูกจะหลับไปเอง ไม่กล้า ไม่กล้า ลูกร้องขึ้นมาต้องโผไปอุ้ม  ไม่เคยปล่อยลูกร้องไห้นานเลย รู้สึกผิด รู้สึกแย่ จนย่าแก้มกลมบอกว่า เด็กก็ต้องร้องบ้างนะ เป็นธรรมดา เป็นวิธีที่เขาบอกว่าไม่ชอบ ไอ้เราก็กลัวว่าเขาจะหนาวไหม หิวไหม เหงาหรือเปล่า กลัวลูกมีปมด้อย (คิดไปได้) หรือ เวลามีงานเข้ามา จะเครียดละ ใครจะมาดูลูกเราได้ไหม จะดูดีไหม ลูกจะร้องไห้หาแม่ตลอดไหม แต่ก็ผ่านไปด้วยดี

พอลูกเริ่มโตขึ้น ก็มีเรื่องท้าทายใหม่ ๆ เข้ามา อย่างเรื่องกิน กินดีไหม กินอาหารมีประโยชน์ไหม ถ่ายดีไหม จะเดินได้เมื่อไหร่ จะพูดได้ไหม อยู่นี่ก็กังวลว่า จะได้ภาษาไทยไหม ตอนนี้ลูกพูดได้แล้ว ทั้งสองภาษา มีแถมภาษาอังกฤษด้วย เพราะมีลุงชาวอเมริกันอยู่บ้านหลังเดียวกัน คอยพูดภาษาอังกฤษใส่  จะเยอะไปไหม ตอนนี้ก็รู้แล้วว่า เด็กเล็ก ๆ นั้นเรียนภาษาด้วยการฟังและเลียนแบบ ในขณะที่ผู้ใหญ่เริ่มเรียนกฎเกณฑ์ ไวยากรณ์ ซึ่งเด็กจะเรียนเร็วและเยอะกว่าผู้ใหญ่มาก

พอถึงวัยเรียนรู้ เด็กก็ต้องเรียนวิธีการอยู่กับคนอื่น เรียนรู้การจัดการกับความต้องการของตัวเอง อย่างลูกไปผลักรังแกเด็กอื่น ๆ แม่เครียดเลย กลัวลูกจะเป็นอันธพาล  จริง ๆ แล้วไม่ใช่ มันเป็นช่วงนึงที่เด็กกำลังเรียนการเข้าสังคม เป็นการวัดกำลัง บางทีก็เป็นการแสดงความรักที่ออกจะดูรุนแรงซักหน่อย เพราะอย่างลูกชอบฟัดกับตุ๊กตาหมีที่บ้าน จุ๊บแก้มซ้ายขวา ปากด้วย พอลูกออกไปข้างนอกเห็นเด็กเล็ก ๆ ก็ชอบดึง ผลัก ฟัด แม่ต้องคอยดึงแล้วชมว่า ทำดีแล้วนะลูก รักน้อง ค่อย ๆ อีกนิดนะจ๊ะ 

ช่วงที่เริ่มโต ก็แอบกังวล คือ กังวลน้อยลงแล้ว แต่ก็ยังมีอยู่ ว่าเราซื้อของเล่นให้ลูกพอเล่นไหม บ้านเราแคบไปไหม ตอนนี้ก็ได้คำตอบแล้ว ว่า
ของเล่น ไม่จำเป็นต้องเต็มบ้าน  สิ่งที่สำคัญคือ เรามีเวลาให้กับลูกไหม คอยเล่นกับเขา เด็ก ๆ จะพัฒนาตัวเองได้ ไม่ใช่แต่เด็กเล่นของเล่นอย่างเดียว เด็ก ๆ ต้องการปฏิสัมพันธ์จากพ่อแม่  หรือ พี่น้อง คอยเล่น คอยพัฒนาทักษะการสื่อสาร ทักษะการต่อยอดความคิด อ่านหนังสือให้ลูกฟัง พานั่งตัก อุ้ม กอด ทำกิจกรรมอื่นร่วมกัน อย่างกินข้าวด้วยกันพร้อมหน้าก็เป็นการสร้างความรักความอบอุ่นให้ลูก
เด็กฉลาดย่อมอยากรู้ อยากลอง
ยิ่งห้ามเหมือนยิ่งยุ  ห้ามมากไปซะทุก ๆ อย่าง เด็กก็จะเสียความมั่นใจ  ไม่ห้ามเลย เด็กก็จะไม่รู้จักขอบเขต  มีอีกวิธีหนึ่งคือเบี่ยงเบนความสนใจแล้วคอยสอน ซึ่งต้องการการใส่ใจจากคนเป็นแม่ ถ้าแม่ยอมเหนื่อยตอนนี้หน่อย คอยดูแล สอนลูก โตขึ้นลูกจะรู้เรื่อง เข้าใจง่าย ไม่ดื้อ  คนเป็นแม่บางทีก็เสียความมั่นใจ ว่าสิ่งที่ทำนี้ถูกไหม ผิดหรือเปล่า ตีลูกได้ไหม  

กฎกติกา ในสนามเด็กเล่น
ช่วงหน้าร้อน แถว ๆ บ้านจะมีสนามเด็กเล่นหลายแห่ง  มีของเล่นต่าง ๆ กันไป อย่างบ้านไม้ มีไว้ให้เด็ก ๆ ปีน ชิงช้า กระดานลื่น ลานทรายให้เด็กเล่น  แม่ ๆ ก็จะเตรียมของเล่นทราย พิมพ์พลาสติค น้ำดื่ม นม ของกินเล่น ผ้าอ้อม พร้อมไว้ เด็กเล็ก ๆ ก็จะชอบเอาของเล่นเข้าปาก แม่ก็ต้องระวังไม่ให้กินทรายเข้าไป เด็กโตขึ้นมาอีกนิด ซักขวบนึง ก็เริ่มเดินแล้ว เด็กจะชอบของเล่น ของเด็กอื่น ส่วนเด็กสองขวบขึ้นไปก็จะรู้จักหวงของแล้ว บางทีเด็กเล็ก ๆ มาหยิบ ก็แสดงความไม่พอใจ คนที่พ่อแม่ใส่ใจหน่อยก็จะคอยสอนลูก ให้รู้จักการยืม  ส่วนเราก็ต้องดูแลลูกเพราะนิสัยขี้เกรงใจของคนไทย เวลาลูกไปหยิบของใคร จะตามไปขอพ่อแม่เด็ก หรือ ขออนุญาตเด็กเจ้าของของเล่นก่อน ส่วนใหญ่ถ้าเราถาม เด็ก แม้ว่าจะหวงของแค่ไหนก็ให้ บางคนมีข้อแม้ว่าถ้าเขาจะเล่น ต้องได้คืนนะ
ที่เคยเจอแล้วเซ็งคือ ลูกของใครบางคนมาหยิบของเล่นเราไปแล้วพ่อแม่เก็บกลับบ้านไปเลย บางทีก็เอาไปทิ้งที่อื่น  ไม่ได้งกนะ แต่ของเล่นทรายที่ดี ๆ มันก็หลายตังค์อยู่ และมันหายไปกับสนามเด็กเล่นหลายชิ้นแล้ว ฮ่า ฮ่า 
กฎกติกา คิดว่า ไม่มีกฎตายตัว คิดว่ามันก็เหมือนกับการอยู่ในสังคม สังคมนึง สังคมเล็ก ๆ ที่ให้เด็ก ๆ ได้เรียนรู้ การรู้จักเคารพสิทธิ์คนอื่น การรู้จักรักษาของเล่นของตัวเอง ในขณะเดียวกันก็รู้จักแบ่งปัน
ตอนนี้ลูกเกือบสองขวบ ปุ่นเองได้เรียนรู้อะไรมากมายจากการมีลูก ถึงแม้ช่วงที่คิดว่ายากจะผ่านไปแล้ว แต่ชีวิตมันก็ต้องมีเรื่องท้าทายใหม่ ๆ ขึ้นมา มันยาก มันเหนื่อย แต่บอกได้เลย ว่ามันเป็นช่วงเวลาที่ทำให้ปุ่นรู้จักความรักแบบไม่มีเงื่อนไข จริง ๆ

สวัสดีค่ะ



Create Date : 03 พฤศจิกายน 2555
Last Update : 6 ธันวาคม 2556 15:37:56 น. 5 comments
Counter : 603 Pageviews.

 
ถูกทุกข้อ ใครไม่มีไม่รู้ ตำราบางทีก็เปิดไม่ทันนะคะ ขนาดอยู่ไทยยังลำบากเลยมีลก


โดย: supersupy วันที่: 4 พฤศจิกายน 2555 เวลา:6:44:45 น.  

 
คำว่า "แม่" ยิ่งใหญ่มากค่ะ...
นับถือค่ะ สามารถบรรยายได้เห็นภาพมากๆ เลย..เหนื่อยแค่ไหนก็สู้ได้เพื่อลูก


โดย: นุ้ยหนุ่ย (cleaver ) วันที่: 4 พฤศจิกายน 2555 เวลา:18:22:54 น.  

 
ชอบทุกข้อที่บอกมา
อ่านแล้วรู้สึกว่าใช่เลย เป็นเรื่องเล่าที่ดีมากๆเลยคะ


โดย: Clannad วันที่: 4 พฤศจิกายน 2555 เวลา:19:03:06 น.  

 
ยังไม่กล้ามีลูกเลยค่ะ คิดว่าตัวเองยังไม่พร้อม แต่อีกใจหนึ่งก็อยากมี คิดไม่ตกค่ะ


โดย: มารน้อยไร้สังกัด วันที่: 5 พฤศจิกายน 2555 เวลา:1:32:30 น.  

 
ตอนนี้ตัวเล็กคงโตมากแล้วนะคะ


ป้าลีตามอ่านค่ะ


โดย: Lee Jay วันที่: 3 ธันวาคม 2556 เวลา:4:15:48 น.  

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

Bananarumba
Location :
โคโลญจ์ Germany

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 9 คน [?]




จากเชียงราย ผ่านเชียงใหม่ ไปกรุงเทพ ปัจจุบันลงตัวอยู่ที่โคโลญจ์ มีความสุขดีเหมือนเป็นบ้านที่สอง
ผ่านชีวิตมาเกือบครึ่งคนแล้ว เขียนบล้อกมาหลายปี จากตอนแรกที่อยากเขียนเพราะต้องการแบ่งปันและอยากมีเพื่อน ตอนนี้จุดหมายในการเขียนเปลี่ยนไปเป็น เขียนเพราะใจอยากเขียน รู้สึกรักภาษาไทยเหมือนเป็นนางงามมิตรภาพ
กิจการปิ่นโตดำเนินไปด้วยดีค่ะ ขอขอบคุณที่สนใจคลิกเข้าไปดูเว็บไซด์นะคะ
Friends' blogs
[Add Bananarumba's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.