เ ข า ห า ว่ า ฉั น เ ป็ น ค น ใ ช้
เมื่อตอนที่ย้ายมาอยู่ฮ่องกงใหม่ ๆ หลายครั้งที่พบว่าคนฮ่องกงพูดจากระโชกโฮกฮากใส่ฉันโดยไร้เหตุผล ไปซื้อของกินของใช้ในซูเปอร์มาร์เก็ต พนักงานแคชเชียร์ก็ไม่ค่อยอยากจะเจรจาปราศัย แถมไม่ค่อยให้ความช่วยเหลือ จะขึ้นรถลงเรือก็ได้รับการปฎิบัติซึ่งแตกต่างไปจากที่เขาปฎิบัติต่อคนชาติเดียวกัน
นานวันเข้าฉันก็เริ่มสังเกตเห็นว่ามีคนรับใช้ชาวต่างชาติมาทำงานที่นี่กันเยอะเหลือเกิน การมีคนรับใช้ของคนฮ่องกงถือเป็นเครื่องบ่งชี้สถานะทางเศรษฐกิจของแต่ละครอบครัวได้เป็นอย่างดีเลยทีเดียว จะรวยจะจนเขาวัดกันตรงนี้ค่ะ
ถ้ามีอันต้องไปทำธุระในย่านจ๊งหว่าน (Central) หว่านจ๋าย (Wanchai) หรือถงหลอว๊าน (Causeway Bay) ในวันอาทิตย์แล้วละก็ ฉันจะดูกลมกลืนเป็นหนึ่งเดียวกับสาวใช้ชาวต่างชาติที่มีหน้าตาตลอดจนรูปพรรณสัณฐานคล้ายคลึงกับฉัน ที่มานั่ง ๆ นอน ๆ อยู่ในสถานที่ดังกล่าวเป็นเรือนหมื่น เรือนพัน
ตามกฎหมายแรงงานฮ่องกง คนรับใช้ต่างชาติจะได้หยุดงานกันเฉพาะวันอาทิตย์และวันหยุดราชการ เมื่อถึงวันหยุด เจ้านายก็จะให้ออกไปพักผ่อนนอกบ้าน คนทำงานเงินเดือนน้อยแบบนี้จะไปอยู่ที่ไหนได้โดยไม่ต้องเสียเงิน นอกจากตามสะพานลอย สวนสาธารณะ หน้าบริษัทห้างร้านใหญ่ ๆ ในตัวเมืองซึ่งปิดทำการในวันหยุดนี่แหละ มีโฆษณาทางโทรทัศน์ของบริษัทจัดหาคนรับใช้ต่างชาติอยู่ตัวหนึ่ง ซึ่งต้องการเน้นว่าคนรับใช้ต่างชาติของทางบริษัทสามารถพูดภาษาจีนกวางตุ้งได้ด้วย โฆษณาดังกล่าวเปิดฉากขึ้นในบ้านหลังหนึ่ง พ่อแม่ลูกนั่งคุยกันอยู่ สักพักก็มีเสียงกริ่งประตูดังขึ้น
เมื่อเปิดประตูออกไปดูก็พบหญิงสาวนุ่งผ้าถุงห่มสไบในชุดไทยเต็มยศ พูดว่า ฉันมาจากประเทศไทยค่ะ ครอบครัวนี้ส่ายหน้าเป็นทำนองว่าไม่เอา
สักพักเสียงกริ่งดังขึ้นอีก เมื่อเปิดประตูออกไปก็พบสาวอินโดนีเซียในชุดประจำชาติพูดภาษาบาฮาซา ซึ่งความหมายก็คงคล้ายกับคำพูดของคนไทยนั่นแหละว่า ฉันมาจากประเทศอินโดนีเซีย ทั้งสามก็ยังส่ายหน้าว่าไม่เอา
ต่อมามีสาวชาวฟิลิปปินส์มากดกริ่ง พูดทักทายขึ้นมาเป็นภาษาตากาล็อก ครอบครัวนี้ก็ยังส่ายหน้าว่าไม่เอา
คนสุดท้ายที่มากดกริ่งประตูแต่งชุดคนรับใช้สากลแบบที่เราเห็นทั่วไปในหนัง พูดภาษาจีนกวางตุ้งคล่องแคล่วถึงแม้จะติดสำเนียงต่างชาติอยู่ ครอบครัวนั้นพยักหน้าทำนองว่า เอาคนนี้แหละ
สาวใช้ฟิลิปปินส์ซึ่งถูกปฎิเสธไปก่อนหน้า ก็ยื่นหน้าจากประตูบ้านเข้ามาถามสามคนพ่อแม่ลูกประมาณว่า เธอก็มาจากประเทศเดียวกันกับคนที่ได้งาน ทำไมคนนี้ได้แต่เธอไม่ได้ ครอบครัวนั้นบอกว่า เพราะคนรับใช้คนสุดท้ายพูดภาษาจีนกวางตุ้งได้
โฆษณาเรื่องนี้จบแบบแฮปปี้เอนดิ้งเข้าใจกันดีทุกฝ่าย แต่คนที่ไม่เข้าใจไปด้วยคงเป็นฉันนี่แหละ มันรู้สึกอายจนหน้าชาทุกครั้งที่เห็นโฆษณานี้ทางจอโทรทัศน์ ความรู้สึกเหมือนโดนดูถูกเหยียดหยามเชื้อชาติ (Racism) อย่างไรก็ไม่รู้ คนไทยที่มาอยู่อาศัยในฮ่องกงต้องเป็นคนรับใช้ไปหมดทุกคนหรือ?
แถวบ้านมีร้านขายของไทยอยู่หลายร้าน ซึ่งถ้าฉันรู้ว่าเจ้าของร้านเป็นคนไทย ก็จะเข้าไปอุดหนุนอย่างเต็มใจ ฉันสังเกตเห็นร้านใหม่ตรงหัวมุมขายผักและผลิตภัณฑ์ของไทยหลายอย่าง ลองเข้าไปทักถามเป็นภาษาไทย เจ้าของร้านก็โอภาปราศรัยกลับมาเป็นอย่างดี ตั้งแต่นั้น เวลาต้องการจะซื้อกับข้าวกลับมาทำอาหารไทยที่บ้าน ก็จะต้องมาร้านนี้ทุกครั้ง วันหนึ่งฉันไปซื้อของที่ร้านนี้ตามปรกติ เจ้าของร้านเห็นว่าเป็นลูกค้าประจำ เลยอยากจะชวนคุย
น้องมาทำงานบ้านเหรอ อยู่แถวไหนล่ะ
คำทักทายอย่างมีมิตรไมตรีสั้น ๆ เพียงประโยคเดียวนั้น ทำลายความรู้สึกดี ๆ ที่ฉันมีทั้งหมด ฉันยังมีสติตอบเจ้าของร้านไปว่า เปล่าค่ะ แต่นับจากวันนั้น ฉันก็ไม่เคยกลับไปที่ร้านอีกเลย
.........................
ทางการฮ่องกงมีศัพท์บัญญัติไว้เรียกขานคนรับใช้ต่างชาติเป็นการเฉพาะว่า Foreign Domestic Helper ในปัจจุบันตัวเลขของคนรับใช้ต่างชาติซึ่งมีใบอนุญาติทำงานอย่างถูกต้องตามกฏหมายในฮ่องกงมีจำนวนมากกว่าสองแสนคน อันได้แก่ ชาวฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย อินเดีย เนปาล ศรีลังกา และไทย เรียงตามลำดับจำนวนจากมากไปหาน้อย
ค่าแรงขั้นต่ำของคนรับใช้ต่างชาตินั้นอยู่ที่ประมาณ 3,400 เหรียญฮ่องกงต่อเดือน อัตรานี้เป็นอัตรากินอยู่ในบ้านของเจ้านายเสร็จสรรพ ฉันเคยอ่านบทสัมภาษณ์คนรับใช้ต่างชาติชาวฟิลิปปินส์ในหนังสือพิมพ์ภาษาอังกฤษฉบับหนึ่งของที่นี่ เธอเล่าว่างานในแต่ละวันก็เป็นงานบ้านทั่วไป พร้อมเสริมว่าการใช้ชีวิตของเธอนั้นไม่ลำบาก เนื่องจากเจ้านายเป็นคนต่างชาติไม่ใช่คนฮ่องกง ไม่เหมือนเพื่อนร่วมอาชีพคนอื่นที่เธอรู้จัก บางคนต้องตื่นมาทำงานตั้งแต่ตีห้า กว่าจะได้หลับได้นอนก็ปาเข้าไปตีหนึ่งตีสอง นั่นคือตอนที่เจ้านายทั้งหลายเข้านอนกันหมดแล้วนั่นแหละ
เจ้านายของบางคนไม่ให้คนรับใช้นั่งกินข้าวร่วมโต๊ะ ไม่ให้ใช้ห้องน้ำภายในบ้าน ปวดหนักปวดเบาขึ้นมาก็ต้องวิ่งไปเข้าห้องน้ำสาธารณะ บางคนต้องนอนในอ่างอาบน้ำ เพราะเจ้าของบ้านไม่มีเตียงให้อย่าว่าแต่ห้องนอนเลย
เธอยังบอกด้วยความภูมิใจด้วยว่า ถึงแม้เธอจะเป็นแค่คนรับใช้ แต่เธอยังได้เงินเดือนมากกว่าคนที่จบด็อกเตอร์บางคนในประเทศของเธอเสียอีก
เคยมีข่าวคนรับใช้ชาวอินโดนีเซียแอบเอาผ้าอนามัยใช้แล้วมาแกว่งลงไปในหม้อซุปซึ่งเป็นอาหารเย็นของเจ้านายแต่มาถูกจับได้เสียก่อน เมื่อทางตำรวจสอบสวน สาวใช้รายนั้นก็อ้างว่าเธอไม่ได้มีเจตนาร้ายและแค่ต้องการทำคุณไสยให้เจ้านายเอ็นดู เพราะเธอรู้สึกว่าเจ้านายไม่ชอบหน้าและอาจยกเลิกสัญญาจ้างในที่สุด
แน่นอนว่าข่าวฉาวแบบนี้ทำให้คนรับใช้ที่มีเชื้อชาติเดียวกันกับเธอพลอยเดือดร้อนและได้รับการดูถูกเหยียดหยามตามไปด้วย คนรับใช้ชาวอินโดนีเซียอีกรายหนึ่งยื่นฟ้องพี่สาวของนายจ้างเป็นจำเลยในข้อหาทำร้ายร่างกาย ซึ่งขณะที่ขึ้นศาลนั้นจำเลยอายุ 55 ปีแล้ว สาวใช้คนดังกล่าวให้การว่า เธอเพิ่งจะมาทำงานให้นายจ้างคนนี้ได้ไม่กี่สัปดาห์ ต่อมาจำเลยหรือพี่สาวของนายจ้างก็ได้มาพักที่บ้านเดียวกัน
วันหนึ่งทั้งสองอยู่บ้านด้วยกันเพียงลำพัง จำเลยนั่งมองเธอรีดผ้าอยู่ครู่เดียวก็เริ่มด่าว่าเธอด้วยอารมณ์กราดเกรี้ยว หาว่าเธอใช้เตารีดด้วยความร้อนสูงเกินไป สาวใช้ก็เลยลดระดับความร้อนของเตารีดแล้วก็ถอดปลั๊กออกในที่สุด จำเลยยังไม่พอใจ คว้าเตารีดร้อน ๆ ซึ่งเพิ่งจะถอดปลั๊กออกมานาบเข้ากับแขนของเธอ
ทนายของจำเลยสู้คดีในทำนองที่ว่า จำเลยเป็นคนอารมณ์ไม่ปรกติเนื่องจากต้องตกงานมาเป็นเวลาหลายปี แถมยังต้องเลี้ยงดูมารดาซึ่งอายุมากและป่วยหนัก ถึงกระนั้นศาลก็ยังเห็นว่าจำเลยกระทำการเกินกว่าเหตุ และพิพากษาให้จำคุกจำเลยเป็นเวลา 4 เดือน
ผู้สื่อข่าวสัมภาษณ์สาวใช้ชาวอินโดนีเซียซึ่งเป็นโจทย์ในคดีดังกล่าวว่าเธอรู้สึกอย่างไรกับคำตัดสินของศาล คำตอบของเธอคือ
ฉันรู้สึกสงสารที่เขาต้องมาติดคุกตอนที่อายุมากแล้ว แต่ฉันก็เป็นคนนะ ทำไมเขาต้องทำกับฉันถึงขนาดนี้
|