ฉันเป็นคนไทย .... หงอไห่ไทกว่อกหยั่น
ปฐมบท
ป้าเดซี่ เปิดกลุ่มบล็อกใหม่ล่าสุด ห้องเล็กในเมืองใหญ่ นี้ขึ้นมา เพื่อรวบรวมเรื่่องราวเก่า ๆ ที่เคยเขียนเคยโพสท์เป็นบล็อกเอาไว้ตั้งแต่สมัยกลับมาอยู่ฮ่องกงใหม่ ๆ (เป็นครั้งที่ 2) เรียกว่าเป็นเรื่องเก่าเอามาเล่าใหม่ก็คงไม่ผิดค่ะ
ช่วงนั้นก็พยายามปรับตัวปรับใจให้เข้ากับความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ที่เกิดขึ้นในชีวิตอีกครั้งหนึ่ง พยายามฆ่าความเหงาด้วยการหาความรู้ทางภาษาใหม่ (จีนกวางตุ้ง) ใส่ตัว หางานการในต่างแดนทำ หางานอดิเรกไม่ให้ฟุ้งซ่าน จนได้มารู้จักกับบล็อกแก๊ง
เป็นคนชอบอ่านชอบเขียนอยู่แล้ว ก็เลยเริ่มเขียนบล็อก เรื่องที่เขียนง่ายที่สุดสำหรับนักอยากจะเขียนมือใหม่ ก็คงเป็นเรื่องอัตชีวประวัติของตัวเองนี่แหละค่ะ ก็เมาท์มอยเรื่องราวของตัวเองไว้ในกลุ่มชีวิตในต่างแดนมาตลอดตั้งแต่นั้น จนจะครบ 5 ปีเข้านี่แล้ว สิริรวมก็น่าจะเกือบ 300 บล็อกได้นะ
หลัง ๆ เปิดบล็อกตัวเองเข้ามา ก็รู้สึกว่าเนื้อหามันเยอะเกิน บล็อกดูรกหูรกตาไม่น่าอ่าน เลยปิดห้องปรับปรุงเสียหน่อย พอมีเวลาว่างก็แอบมาปัดกวาดเทขยะทิ้งไปบ้าง
ณ. บัดนาว ห้องดังกล่าวก็เรียบร้อยแล้วเสร็จ เปิดโอกาสให้เจ้าของห้องเริ่มทยอยขายของเก่ากินได้อีกครา เพื่อน ๆ น้อง ๆ ใครผ่านไปผ่านมาขอเรียนเชิญทัศนาได้ตามยถากรรมนะคะ ขอบคุณค่ะ
..............................................
ฉันรู้จักคนไทยในต่างแดนหลายคนที่จบการศึกษาจากสถาบันชั้นนำ เคยทำงานในระดับผู้บริหารที่เมืองไทย แต่พอย้ายมาอยู่ต่างประเทศ ต้นทุนสูงลิบเหล่านั้นก็หายวับไปกับตา ทุกคนต้องมาเริ่มนับ 1 กันใหม่หมด
ฉันเองเป็นแค่ผู้หญิงไทยสายสามัญ จบการศึกษาจากสถาบันระดับกลางของรัฐบาล หน้าที่การงานก็อยู่ในระดับพนักงานธรรมดา ตำแหน่งสุดท้ายก่อนที่จะย้ายมาอยู่ฮ่องกงคือเลขานุการผู้บริหาร ฉันจึงไม่เดือดร้อนอะไรนักกับการที่ต้องมาเริ่มนับ 1 หรือแม้กระทั่งนับ -1 ใหม่
ฉันย้ายมาอยู่ฮ่องกงในปี พ.ศ. 2550 เมื่อเพื่อนร่วมงานรู้ว่าฉันจะมาอยู่ที่นี่ หลายคนถามว่าจะมาทำงานอะไร ฉันตอบไปตามตรงว่าฉันไม่รู้ ก็ใครล่ะจะไปคาดเดาอนาคต แถมยังเป็นอนาคตที่แทบจะมองไม่เห็นอนาคตอีกด้วย
ฉันเคยอยู่ฮ่องกงมาหลายปีก่อนหน้า และเคยผ่านประสบการณ์การหางานที่นี่มาแล้วตั้งแต่ครั้งนั้น ฉันรู้ซึ้งว่าการหางานในเมืองที่ประชากรโดยเฉลี่ยมีการศึกษาสูง มีความสามารถทางภาษาถึง 3 ภาษา คือ ภาษาจีนกวางตุ้ง จีนกลาง และอังกฤษ เป็นเรื่องที่แทบจะเป็นไปไม่ได้เลยสำหรับตัวเอง
ก่อนมาที่นี่ฉันจึงเอาเงินเก็บทั้งหมดที่มีไปเปิดบัญชีซื้อขายหลักทรัพย์ออนไลน์ ตั้งใจไว้ว่าถ้าหางานไม่ได้ ฉันก็จะใช้ชีวิตเป็นแม่บ้าน หาเวลาว่างไปเรียนภาษา เรียนทำอาหาร แล้วก็เล่นหุ้นอยู่กับบ้านนี่แหละ แหม...มันช่างเป็นแผนสำรองที่ยอดเยี่ยมกระเทียมดองอะไรเช่นนี้ ก็ตอนนั้นฉันยังไม่รู้จักคำว่า ติดดอย น่ะนะ
เดือนแรกที่ย้ายมาอยู่ฮ่องกง ว่างจากการทำงานบ้านฉันก็เปิดเว็บไซต์หางาน เลือกเฉพาะบริษัทที่รับสมัครพนักงานต่างชาติ ขณะเดียวกันก็มองหาที่เรียนภาษาจีนกวางตุ้งไปด้วย ตอนนั้นทาง YMCA ฮ่องกงเปิดคอร์สภาษาจีนกวางตุ้งขั้นพื้นฐานสำหรับชาวต่างชาติพอดี ฉันจึงได้เริ่มต้นชีวิตนักเรียนอีกครั้งในวัยเกือบสี่สิบปี
ฉันส่งใบสมัครงานออนไลน์ไปได้เพียงไม่กี่แห่ง เพราะบริษัทห้างร้านส่วนใหญ่ต้องการคนที่พูดภาษาจีนกวางตุ้งกับจีนกลางเป็นหลัก แต่ไม่นาน ฉันก็ได้รับอีเมลเรียกไปสัมภาษณ์จากโรงเรียนนานาชาติ 2 แห่งในเวลาไล่เลี่ยกัน ในตำแหน่งพนักงานต้อนรับ และพนักงานธุรการ
ฉันตื่นเต้นกับการได้เรียกสัมภาษณ์ครั้งนี้พอสมควร จะว่าไปแล้วฉันตื่นเต้นกับการไปสัมภาษณ์งานทุกครั้งนั่นแหละ และถ้าจะให้นับกันจริง ๆ ชีวิตของฉันนี้ผ่านการสัมภาษณ์งานมาเป็นร้อยครั้งแล้วละกระมัง แต่ฉันก็ไม่เคยคุ้นชินกับมันสักที
ฉันนึกคาดเดาคำถามที่คิดว่าทางคณะกรรมการจะถาม และเตรียมคำตอบสำหรับคำถามดังกล่าวที่ฉันคิดว่าเข้าท่าไว้ด้วย แต่คำตอบที่เข้าท่าสำหรับฉัน คงเป็นคำตอบที่ ออกท่า สำหรับคณะกรรมการ ฉันจึงพลาดไม่ได้งานเลยทั้งสองแห่ง
ฉันซึมไปหลายวันและเมื่ออาการดีขึ้นฉันก็เริ่มหางานอีก ครั้งหนึ่งที่ได้รับการติดต่อกลับจากบริษัทท่องเที่ยวซึ่งประกาศรับพนักงานลูกค้าสัมพันธ์โดยไม่ได้ระบุเชื้อชาติหรือภาษา เพียงแต่บอกว่า ใช้ภาษาอังกฤษได้เป็นอย่างดี เท่านั้น
อีเมลดังกล่าวไม่ใช่จดหมายเรียกสัมภาษณ์หากแต่เป็นจดหมายขอบคุณและแสดงความเสียใจที่ไม่สามารถเรียกฉันเข้าสัมภาษณ์ได้ เพราะ ทางบริษัทต้องการคนที่พูดภาษาจีนกวางตุ้ง และจีนกลางได้ด้วย
และนั่นเหมือนเป็นแสงไฟส่องทางดวงน้อยซึ่งทำให้ฉันได้คิดว่า หากฉันยังคงก้มหน้าก้มตาหางานปรกติซึ่งต้องไปแก่งแย่งกับคนที่นี่ซึ่งพูดอ่านเขียนได้ถึง 3 ภาษานั้น ชาตินี้ฉันคงไม่มีวันหางานในฮ่องกงได้แน่
ฉันเปลี่ยนวิธีหางานทางเว็บไซต์ใหม่ โดยทุกครั้งฉันจะใส่คีย์เวิร์ด (Keyword) ในการค้นหางานว่า Thai หรือ Thai Speaker เข้าไปด้วย และในที่สุดฉันก็พบว่าฉันคิดถูก
ฉันพบงานที่ต้องการคนไทยซึ่งพูดและใช้ภาษาไทยเป็นภาษาหลัก และใช้ภาษาอังกฤษหรือภาษาจีนเป็นภาษารองถึง 2 งาน งานแรกเป็นงานเลขานุการผู้บริหารของบริษัทผู้ผลิตและส่งออกเครื่องหนัง ส่วนงานที่สองเป็นงานในตำแหน่งลูกค้าสัมพันธ์ของบริษัทโทรคมนาคมใหญ่ยักษ์ของฮ่องกง ก็ส่งใบสมัครไปทั้งสองงานนั่นแหละค่ะ
รุ่งขึ้นก็ได้รับอีเมลตอบกลับจากบริษัทแรก ไมเคิล แนะนำตัวว่าเป็นผู้จัดการทั่วไปของบริษัท สนใจเรียกฉันเข้าสัมภาษณ์ แต่ ... คุณช่วยตอบคำถามเหล่านี้มาก่อนนะ เธอเริ่มสัมภาษณ์ฉันผ่านทางอีเมลเข้าให้
ไมเคิลบอกว่าที่บริษัททำงานกัน 6 วันต่อสัปดาห์ วันจันทร์ถึงวันศุกร์ ตั้งแต่ 9 โมงเช้าถึง 6 โมงเย็น ส่วนวันเสาร์ก็ตั้งแต่ 9 โมงเช้าถึงบ่ายโมง บางวันถ้างานเยอะ อาจต้องทำล่วงเวลาแบบไม่จ่ายเงินพิเศษ ถามฉันว่า มีอะไรขัดข้องหรือไม่
พวกที่อยากได้งานเนี่ย ตอนแรกก็ตอบว่าได้กันทั้งนั้น นานวันเข้าเห็นบ่นกระปอดกระแปดกันถ้วนทั่ว ฉันก็เป็นหนึ่งในนั้นนั่นแหละที่ตอบว่า ได้สิ ไม่มีปัญหา
ไมเคิลเห็นในประวัติการทำงานว่าฉันเคยเป็นเลขานุการผู้บริหารในสำนักงานกฎหมายนานาชาติมาก่อน แต่ทำได้ไม่ถึงปีก็ลาออก คำถามที่สองของไมเคิลคือ ทำไมถึงลาออก
ฉันนั่งคิดอยู่อึดใจหนึ่งก็บรรจงพิมพ์คำตอบกลับไปว่า ฉันเคยทำงานโรงแรมมาก่อน ลักษณะงานมันสนุกและท้าทายกว่ากันเยอะ พอมีโรงแรมเปิดใหม่เขารับสมัคร ฉันจึงสมัครไปอย่างไม่รอช้า แล้วก็พบว่าฉันคิดถูกเพราะงานนี้ทำให้ฉันได้คิด ได้ทำอะไรเยอะมาก
ไมเคิลน่าจะพอใจในคำตอบนี้พอสมควร เพราะบริษัทของไมเคิลก็เพิ่งจะไปเปิดบริษัทลูกในเมืองไทย และถ้าเดาไม่ผิด งานของฉันคงต้องรับผิดชอบตั้งแต่สากกระเบือยันเรือรบไม่แพ้งานโรงแรมเปิดใหม่แห่งนั้นเหมือนกัน
คำถามสุดท้ายของไมเคิลคือเงินเดือนที่ต้องการ ความจริงในประกาศรับสมัครก็ระบุมาแล้วว่าจะได้เงินเดือนเท่าไหร่ ซึ่งนับว่าค่อนข้างสูงเมื่อเทียบกับเงินเดือนเฉลี่ยของพนักงานทั่วไปในฮ่องกงซึ่งฉันก็พอใจอยู่ ฉันจึงบอกไมเคิลไปอย่างนั้น
หลังจากนางงามสัญชาติไทยอย่างฉันโดนกรรมการสัมภาษณ์ออนไลน์แล้วเสร็จ ไมเคิลก็ส่งอีเมลถึงฉันอีกฉบับ นัดให้ฉันไปสัมภาษณ์ในวันรุ่งขึ้น ซึ่งเป็นวันเสาร์
ในวันสัมภาษณ์ ไมเคิลบอกให้ฟังถึงลักษณะของงานและหน้าที่รับผิดชอบ ฉันแอบเห็นว่ามีคนใช้ปากกาเน้นข้อความตรงประวัติการทำงานที่สำนักงานกฎหมายของฉันในเรซูเม่ซึ่งไมเคิลถือติดมือเข้ามาในห้องตอนสัมภาษณ์ฉันด้วย ฉันเลยเดาได้ว่างานนี้คงเน้นเรื่องการจัดตั้งบริษัทและแปลเอกสารเป็นแน่ เมื่อไมเคิลให้ฉันเล่าประวัติการทำงานให้ฟัง ฉันจึงเน้นเล่าประวัติการทำงานในสำนักงานกฏหมายดังกล่าวมากเป็นพิเศษ
ไมเคิลพูดคุยกับฉันจนพอใจแล้ว ก็เอาเอกสารการจัดตั้งบริษัทในเมืองไทยมาทดสอบให้ฉันแปลหลายฉบับ ซึ่งตอนทำงานที่สำนักงานกฎหมายในเมืองไทย ฉันก็แปลเอกสารพวกนี้เป็นประจำอยู่แล้ว รองจากการเสิร์ฟกาแฟอ่ะนะคะ
ฉันใช้เวลาแปลไม่นานก็เสร็จ ส่งเอกสารให้ทางไมเคิลตรวจสอบ ตอนนั้นในใจคิดอยู่อย่างเดียวว่า ฉันคงได้งานนี้แน่
สักพักไมเคิลก็กลับมาบอกฉันอย่างที่คิดไว้ว่าฉันได้งานนี้ ฉันจะเป็นเลขานุการของนายใหญ่ ซึ่งเป็นเจ้านายของไมเคิลอีกทีหนึ่ง และคงจะต้องเดินทางไปเมืองไทยบ่อย ๆ ครั้งหนึ่งก็ 2-3 วัน เธอถามว่าครอบครัวฉันจะรับได้ไหม
ฉันดีใจเหมือนลิงได้แก้ว ขอบคุณไมเคิลซ้ำแล้วซ้ำเล่า บอกไมเคิลไปว่า เรื่องเดินทาง เรื่องไปเมืองไทย ไม่มีปัญหาสำหรับฉันเลย ดีเสียอีก ที่ฉันจะได้กลับบ้านบ้างโดยที่ไม่ต้องเสียเงินซื้อตั๋วเครื่องบินไปเอง
ถึงตอนนี้ไมเคิลรู้สึกเป็นกันเองกับฉันมากขึ้น มานั่งเล่าให้ฉันฟังว่า บริษัทลงประกาศรับสมัครงานนี้ไป 4-5 วันแล้ว เพิ่งจะมีฉันนี่แหละที่ส่งใบสมัครมาเป็นคนแรกและคนเดียว แล้วพอได้เห็นประวัติการทำงานของฉันแล้ว เธอก็ถูกใจมาก เพราะเรียกว่าประสบการณ์การทำงานของฉัน ตรงกับที่บริษัทต้องการเลยทีเดียว
ฉันหัวเราะ ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าฉันเป็นตัวเต็ง ถ้าคำว่า ตัวเต็ง สามารถใช้กับสถานการณ์ที่ไร้คู่แข่งน่ะนะคะ ตอนนั้นฉันตระหนักว่า นอกจากประสบการณ์และความสามารถแล้ว จังหวะและโชคเป็นปัจจัยสำคัญในการหางานไม่ว่าจะที่ไหนในโลกก็ตาม
ฉันนึกย้อนไปถึงตอนสัมภาษณ์งานกับโรงเรียนนานาชาติทั้งสองแห่ง ยังจำที่คณะกรรมการถามฉันว่า
คุณพูดภาษาจีนกวางตุ้งได้ไหม?
ภาษาจีนกลางล่ะ?
คุณใช้สเปรดชีท (Spreadsheet) เป็นหรือเปล่า?
คำตอบที่ออกจากปากของฉันล้วนแต่เป็นการตอบปฏิเสธ
มีคำกล่าวหนึ่งของฝรั่งที่ว่า things happen for a reason สิ่งใด ๆ ล้วนเกิดขึ้นโดยมีมูลเหตุ วินาทีนี้ ฉันเพิ่งจะเข้าใจมูลเหตุแห่งการถูกปฏิเสธครั้งแล้วครั้งเล่าก่อนหน้า
หลังจากนั้นอีกสองสามวัน ฉันก็ได้รับโทรศัพท์จากบริษัทโทรคมนาคมที่ฉันส่งใบสมัครออนไลน์ไปพร้อมกันกับงานนี้ พนักงานที่โทรฯมาแจ้งว่าต้องการให้ฉันเข้าไปสัมภาษณ์งานที่บริษัท ฉันตอบกลับไปด้วยสีหน้าเปื้อนยิ้มว่า
ขอโทษนะ ฉันได้งานแล้ว
...........................................
พบกันใหม่บล็อกหน้า สวัสดีค่ะ
|