สิงหาคม 2555

 
 
 
1
2
3
4
5
7
8
9
10
11
15
16
17
18
19
20
21
22
23
24
25
27
28
29
30
31
 
 
All Blog
ฉันเป็นคนไทย .... หงอไห่ไทกว่อกหยั่น


ปฐมบท


ป้าเดซี่ เปิดกลุ่มบล็อกใหม่ล่าสุด ห้องเล็กในเมืองใหญ่ นี้ขึ้นมา เพื่อรวบรวมเรื่่องราวเก่า ๆ ที่เคยเขียนเคยโพสท์เป็นบล็อกเอาไว้ตั้งแต่สมัยกลับมาอยู่ฮ่องกงใหม่ ๆ (เป็นครั้งที่ 2) เรียกว่าเป็นเรื่องเก่าเอามาเล่าใหม่ก็คงไม่ผิดค่ะ


ช่วงนั้นก็พยายามปรับตัวปรับใจให้เข้ากับความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ที่เกิดขึ้นในชีวิตอีกครั้งหนึ่ง พยายามฆ่าความเหงาด้วยการหาความรู้ทางภาษาใหม่ (จีนกวางตุ้ง) ใส่ตัว หางานการในต่างแดนทำ หางานอดิเรกไม่ให้ฟุ้งซ่าน จนได้มารู้จักกับบล็อกแก๊ง


เป็นคนชอบอ่านชอบเขียนอยู่แล้ว ก็เลยเริ่มเขียนบล็อก เรื่องที่เขียนง่ายที่สุดสำหรับนักอยากจะเขียนมือใหม่ ก็คงเป็นเรื่องอัตชีวประวัติของตัวเองนี่แหละค่ะ ก็เมาท์มอยเรื่องราวของตัวเองไว้ในกลุ่มชีวิตในต่างแดนมาตลอดตั้งแต่นั้น จนจะครบ 5 ปีเข้านี่แล้ว สิริรวมก็น่าจะเกือบ 300 บล็อกได้นะ


หลัง ๆ เปิดบล็อกตัวเองเข้ามา ก็รู้สึกว่าเนื้อหามันเยอะเกิน บล็อกดูรกหูรกตาไม่น่าอ่าน เลยปิดห้องปรับปรุงเสียหน่อย พอมีเวลาว่างก็แอบมาปัดกวาดเทขยะทิ้งไปบ้าง


ณ. บัดนาว ห้องดังกล่าวก็เรียบร้อยแล้วเสร็จ เปิดโอกาสให้เจ้าของห้องเริ่มทยอยขายของเก่ากินได้อีกครา เพื่อน ๆ น้อง ๆ ใครผ่านไปผ่านมาขอเรียนเชิญทัศนาได้ตามยถากรรมนะคะ ขอบคุณค่ะ


..............................................


ฉันรู้จักคนไทยในต่างแดนหลายคนที่จบการศึกษาจากสถาบันชั้นนำ เคยทำงานในระดับผู้บริหารที่เมืองไทย แต่พอย้ายมาอยู่ต่างประเทศ ต้นทุนสูงลิบเหล่านั้นก็หายวับไปกับตา ทุกคนต้องมาเริ่มนับ 1 กันใหม่หมด


ฉันเองเป็นแค่ผู้หญิงไทยสายสามัญ จบการศึกษาจากสถาบันระดับกลางของรัฐบาล หน้าที่การงานก็อยู่ในระดับพนักงานธรรมดา ตำแหน่งสุดท้ายก่อนที่จะย้ายมาอยู่ฮ่องกงคือเลขานุการผู้บริหาร ฉันจึงไม่เดือดร้อนอะไรนักกับการที่ต้องมาเริ่มนับ 1 หรือแม้กระทั่งนับ -1 ใหม่


ฉันย้ายมาอยู่ฮ่องกงในปี พ.ศ. 2550 เมื่อเพื่อนร่วมงานรู้ว่าฉันจะมาอยู่ที่นี่ หลายคนถามว่าจะมาทำงานอะไร ฉันตอบไปตามตรงว่าฉันไม่รู้ ก็ใครล่ะจะไปคาดเดาอนาคต แถมยังเป็นอนาคตที่แทบจะมองไม่เห็นอนาคตอีกด้วย


ฉันเคยอยู่ฮ่องกงมาหลายปีก่อนหน้า และเคยผ่านประสบการณ์การหางานที่นี่มาแล้วตั้งแต่ครั้งนั้น ฉันรู้ซึ้งว่าการหางานในเมืองที่ประชากรโดยเฉลี่ยมีการศึกษาสูง มีความสามารถทางภาษาถึง 3 ภาษา คือ ภาษาจีนกวางตุ้ง จีนกลาง และอังกฤษ เป็นเรื่องที่แทบจะเป็นไปไม่ได้เลยสำหรับตัวเอง


ก่อนมาที่นี่ฉันจึงเอาเงินเก็บทั้งหมดที่มีไปเปิดบัญชีซื้อขายหลักทรัพย์ออนไลน์ ตั้งใจไว้ว่าถ้าหางานไม่ได้ ฉันก็จะใช้ชีวิตเป็นแม่บ้าน หาเวลาว่างไปเรียนภาษา เรียนทำอาหาร แล้วก็เล่นหุ้นอยู่กับบ้านนี่แหละ แหม...มันช่างเป็นแผนสำรองที่ยอดเยี่ยมกระเทียมดองอะไรเช่นนี้ ก็ตอนนั้นฉันยังไม่รู้จักคำว่า “ติดดอย” น่ะนะ


เดือนแรกที่ย้ายมาอยู่ฮ่องกง ว่างจากการทำงานบ้านฉันก็เปิดเว็บไซต์หางาน เลือกเฉพาะบริษัทที่รับสมัครพนักงานต่างชาติ ขณะเดียวกันก็มองหาที่เรียนภาษาจีนกวางตุ้งไปด้วย ตอนนั้นทาง YMCA ฮ่องกงเปิดคอร์สภาษาจีนกวางตุ้งขั้นพื้นฐานสำหรับชาวต่างชาติพอดี ฉันจึงได้เริ่มต้นชีวิตนักเรียนอีกครั้งในวัยเกือบสี่สิบปี


ฉันส่งใบสมัครงานออนไลน์ไปได้เพียงไม่กี่แห่ง เพราะบริษัทห้างร้านส่วนใหญ่ต้องการคนที่พูดภาษาจีนกวางตุ้งกับจีนกลางเป็นหลัก แต่ไม่นาน ฉันก็ได้รับอีเมลเรียกไปสัมภาษณ์จากโรงเรียนนานาชาติ 2 แห่งในเวลาไล่เลี่ยกัน ในตำแหน่งพนักงานต้อนรับ และพนักงานธุรการ


ฉันตื่นเต้นกับการได้เรียกสัมภาษณ์ครั้งนี้พอสมควร จะว่าไปแล้วฉันตื่นเต้นกับการไปสัมภาษณ์งานทุกครั้งนั่นแหละ และถ้าจะให้นับกันจริง ๆ ชีวิตของฉันนี้ผ่านการสัมภาษณ์งานมาเป็นร้อยครั้งแล้วละกระมัง แต่ฉันก็ไม่เคยคุ้นชินกับมันสักที


ฉันนึกคาดเดาคำถามที่คิดว่าทางคณะกรรมการจะถาม และเตรียมคำตอบสำหรับคำถามดังกล่าวที่ฉันคิดว่าเข้าท่าไว้ด้วย แต่คำตอบที่เข้าท่าสำหรับฉัน คงเป็นคำตอบที่ “ออกท่า” สำหรับคณะกรรมการ ฉันจึงพลาดไม่ได้งานเลยทั้งสองแห่ง


ฉันซึมไปหลายวันและเมื่ออาการดีขึ้นฉันก็เริ่มหางานอีก ครั้งหนึ่งที่ได้รับการติดต่อกลับจากบริษัทท่องเที่ยวซึ่งประกาศรับพนักงานลูกค้าสัมพันธ์โดยไม่ได้ระบุเชื้อชาติหรือภาษา เพียงแต่บอกว่า “ใช้ภาษาอังกฤษได้เป็นอย่างดี” เท่านั้น


อีเมลดังกล่าวไม่ใช่จดหมายเรียกสัมภาษณ์หากแต่เป็นจดหมายขอบคุณและแสดงความเสียใจที่ไม่สามารถเรียกฉันเข้าสัมภาษณ์ได้ เพราะ “ทางบริษัทต้องการคนที่พูดภาษาจีนกวางตุ้ง และจีนกลางได้ด้วย”


และนั่นเหมือนเป็นแสงไฟส่องทางดวงน้อยซึ่งทำให้ฉันได้คิดว่า หากฉันยังคงก้มหน้าก้มตาหางานปรกติซึ่งต้องไปแก่งแย่งกับคนที่นี่ซึ่งพูดอ่านเขียนได้ถึง 3 ภาษานั้น ชาตินี้ฉันคงไม่มีวันหางานในฮ่องกงได้แน่


ฉันเปลี่ยนวิธีหางานทางเว็บไซต์ใหม่ โดยทุกครั้งฉันจะใส่คีย์เวิร์ด (Keyword) ในการค้นหางานว่า “Thai” หรือ “Thai Speaker” เข้าไปด้วย และในที่สุดฉันก็พบว่าฉันคิดถูก


ฉันพบงานที่ต้องการคนไทยซึ่งพูดและใช้ภาษาไทยเป็นภาษาหลัก และใช้ภาษาอังกฤษหรือภาษาจีนเป็นภาษารองถึง 2 งาน งานแรกเป็นงานเลขานุการผู้บริหารของบริษัทผู้ผลิตและส่งออกเครื่องหนัง ส่วนงานที่สองเป็นงานในตำแหน่งลูกค้าสัมพันธ์ของบริษัทโทรคมนาคมใหญ่ยักษ์ของฮ่องกง ก็ส่งใบสมัครไปทั้งสองงานนั่นแหละค่ะ


รุ่งขึ้นก็ได้รับอีเมลตอบกลับจากบริษัทแรก ไมเคิล แนะนำตัวว่าเป็นผู้จัดการทั่วไปของบริษัท สนใจเรียกฉันเข้าสัมภาษณ์ แต่ ... “คุณช่วยตอบคำถามเหล่านี้มาก่อนนะ” เธอเริ่มสัมภาษณ์ฉันผ่านทางอีเมลเข้าให้


ไมเคิลบอกว่าที่บริษัททำงานกัน 6 วันต่อสัปดาห์ วันจันทร์ถึงวันศุกร์ ตั้งแต่ 9 โมงเช้าถึง 6 โมงเย็น ส่วนวันเสาร์ก็ตั้งแต่ 9 โมงเช้าถึงบ่ายโมง บางวันถ้างานเยอะ อาจต้องทำล่วงเวลาแบบไม่จ่ายเงินพิเศษ ถามฉันว่า “มีอะไรขัดข้องหรือไม่”


พวกที่อยากได้งานเนี่ย ตอนแรกก็ตอบว่าได้กันทั้งนั้น นานวันเข้าเห็นบ่นกระปอดกระแปดกันถ้วนทั่ว ฉันก็เป็นหนึ่งในนั้นนั่นแหละที่ตอบว่า “ได้สิ ไม่มีปัญหา”


ไมเคิลเห็นในประวัติการทำงานว่าฉันเคยเป็นเลขานุการผู้บริหารในสำนักงานกฎหมายนานาชาติมาก่อน แต่ทำได้ไม่ถึงปีก็ลาออก คำถามที่สองของไมเคิลคือ “ทำไมถึงลาออก”


ฉันนั่งคิดอยู่อึดใจหนึ่งก็บรรจงพิมพ์คำตอบกลับไปว่า “ฉันเคยทำงานโรงแรมมาก่อน ลักษณะงานมันสนุกและท้าทายกว่ากันเยอะ พอมีโรงแรมเปิดใหม่เขารับสมัคร ฉันจึงสมัครไปอย่างไม่รอช้า แล้วก็พบว่าฉันคิดถูกเพราะงานนี้ทำให้ฉันได้คิด ได้ทำอะไรเยอะมาก”


ไมเคิลน่าจะพอใจในคำตอบนี้พอสมควร เพราะบริษัทของไมเคิลก็เพิ่งจะไปเปิดบริษัทลูกในเมืองไทย และถ้าเดาไม่ผิด งานของฉันคงต้องรับผิดชอบตั้งแต่สากกระเบือยันเรือรบไม่แพ้งานโรงแรมเปิดใหม่แห่งนั้นเหมือนกัน


คำถามสุดท้ายของไมเคิลคือเงินเดือนที่ต้องการ ความจริงในประกาศรับสมัครก็ระบุมาแล้วว่าจะได้เงินเดือนเท่าไหร่ ซึ่งนับว่าค่อนข้างสูงเมื่อเทียบกับเงินเดือนเฉลี่ยของพนักงานทั่วไปในฮ่องกงซึ่งฉันก็พอใจอยู่ ฉันจึงบอกไมเคิลไปอย่างนั้น


หลังจากนางงามสัญชาติไทยอย่างฉันโดนกรรมการสัมภาษณ์ออนไลน์แล้วเสร็จ ไมเคิลก็ส่งอีเมลถึงฉันอีกฉบับ นัดให้ฉันไปสัมภาษณ์ในวันรุ่งขึ้น ซึ่งเป็นวันเสาร์


ในวันสัมภาษณ์ ไมเคิลบอกให้ฟังถึงลักษณะของงานและหน้าที่รับผิดชอบ ฉันแอบเห็นว่ามีคนใช้ปากกาเน้นข้อความตรงประวัติการทำงานที่สำนักงานกฎหมายของฉันในเรซูเม่ซึ่งไมเคิลถือติดมือเข้ามาในห้องตอนสัมภาษณ์ฉันด้วย ฉันเลยเดาได้ว่างานนี้คงเน้นเรื่องการจัดตั้งบริษัทและแปลเอกสารเป็นแน่ เมื่อไมเคิลให้ฉันเล่าประวัติการทำงานให้ฟัง ฉันจึงเน้นเล่าประวัติการทำงานในสำนักงานกฏหมายดังกล่าวมากเป็นพิเศษ


ไมเคิลพูดคุยกับฉันจนพอใจแล้ว ก็เอาเอกสารการจัดตั้งบริษัทในเมืองไทยมาทดสอบให้ฉันแปลหลายฉบับ ซึ่งตอนทำงานที่สำนักงานกฎหมายในเมืองไทย ฉันก็แปลเอกสารพวกนี้เป็นประจำอยู่แล้ว รองจากการเสิร์ฟกาแฟอ่ะนะคะ


ฉันใช้เวลาแปลไม่นานก็เสร็จ ส่งเอกสารให้ทางไมเคิลตรวจสอบ ตอนนั้นในใจคิดอยู่อย่างเดียวว่า ฉันคงได้งานนี้แน่


สักพักไมเคิลก็กลับมาบอกฉันอย่างที่คิดไว้ว่าฉันได้งานนี้ ฉันจะเป็นเลขานุการของนายใหญ่ ซึ่งเป็นเจ้านายของไมเคิลอีกทีหนึ่ง และคงจะต้องเดินทางไปเมืองไทยบ่อย ๆ ครั้งหนึ่งก็ 2-3 วัน เธอถามว่าครอบครัวฉันจะรับได้ไหม


ฉันดีใจเหมือนลิงได้แก้ว ขอบคุณไมเคิลซ้ำแล้วซ้ำเล่า บอกไมเคิลไปว่า เรื่องเดินทาง เรื่องไปเมืองไทย ไม่มีปัญหาสำหรับฉันเลย ดีเสียอีก ที่ฉันจะได้กลับบ้านบ้างโดยที่ไม่ต้องเสียเงินซื้อตั๋วเครื่องบินไปเอง


ถึงตอนนี้ไมเคิลรู้สึกเป็นกันเองกับฉันมากขึ้น มานั่งเล่าให้ฉันฟังว่า บริษัทลงประกาศรับสมัครงานนี้ไป 4-5 วันแล้ว เพิ่งจะมีฉันนี่แหละที่ส่งใบสมัครมาเป็นคนแรกและคนเดียว แล้วพอได้เห็นประวัติการทำงานของฉันแล้ว เธอก็ถูกใจมาก เพราะเรียกว่าประสบการณ์การทำงานของฉัน ตรงกับที่บริษัทต้องการเลยทีเดียว


ฉันหัวเราะ ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าฉันเป็นตัวเต็ง ถ้าคำว่า “ตัวเต็ง” สามารถใช้กับสถานการณ์ที่ไร้คู่แข่งน่ะนะคะ ตอนนั้นฉันตระหนักว่า นอกจากประสบการณ์และความสามารถแล้ว จังหวะและโชคเป็นปัจจัยสำคัญในการหางานไม่ว่าจะที่ไหนในโลกก็ตาม


ฉันนึกย้อนไปถึงตอนสัมภาษณ์งานกับโรงเรียนนานาชาติทั้งสองแห่ง ยังจำที่คณะกรรมการถามฉันว่า

“คุณพูดภาษาจีนกวางตุ้งได้ไหม?”

“ภาษาจีนกลางล่ะ?”

“คุณใช้สเปรดชีท (Spreadsheet) เป็นหรือเปล่า?”

คำตอบที่ออกจากปากของฉันล้วนแต่เป็นการตอบปฏิเสธ


มีคำกล่าวหนึ่งของฝรั่งที่ว่า “things happen for a reason” “สิ่งใด ๆ ล้วนเกิดขึ้นโดยมีมูลเหตุ” วินาทีนี้ ฉันเพิ่งจะเข้าใจมูลเหตุแห่งการถูกปฏิเสธครั้งแล้วครั้งเล่าก่อนหน้า

หลังจากนั้นอีกสองสามวัน ฉันก็ได้รับโทรศัพท์จากบริษัทโทรคมนาคมที่ฉันส่งใบสมัครออนไลน์ไปพร้อมกันกับงานนี้ พนักงานที่โทรฯมาแจ้งว่าต้องการให้ฉันเข้าไปสัมภาษณ์งานที่บริษัท ฉันตอบกลับไปด้วยสีหน้าเปื้อนยิ้มว่า

“ขอโทษนะ ฉันได้งานแล้ว”


...........................................


พบกันใหม่บล็อกหน้า สวัสดีค่ะ




Create Date : 06 สิงหาคม 2555
Last Update : 6 สิงหาคม 2555 15:42:55 น.
Counter : 3546 Pageviews.

0 comments

ป้าเดซี่
Location :
堅尼地城  Hong Kong SAR

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 77 คน [?]





เจ้าของบล็อกนี้มีชื่อไซเบอร์ว่า "ป้าเดซี่" ค่ะ ย้ายตามครอบครัวมาปักหลักและทำงานที่ฮ่องกงเป็นปีที่ 8

เป็นมนุษย์เงินเดือนไทยในต่างแดนมาก็หลายงาน ตั้งแต่เลขานุการผู้บริหาร พนักงานติดตามเร่งรัดหนี้สิน นักแปล ล่าม ฯลฯ

ปัจจุบันเป็นนักแปลอิสระสัญชาติไทยประจำบริษัทรับจองห้องพักออนไลน์สัญชาติดัตช์มากว่า 4 ปี เป็นผู้จัดการชุมชนออนไลน์สัญชาติไทยประจำบริษัทศึกษาวิจัยทางการตลาดสัญชาติฝรั่งเศสมากว่า 3 ปี และเป็นจิตอาสาทำงานแปลเอกสารให้กับมูลนิธิเด็กอ่อนในสลัมฯ ประเทศไทยมากว่า 4 ปีค่ะ

บล็อกนี้ก็เป็นบล็อกเกี่ยวกับการใช้ชีวิต และอาการวิปริตทางความคิดและจิตใจของผู้หญิงไทยสายสามัญคนหนึ่ง ซึ่งมาใช้ชีวิตแบบสุขบ้าง ทุกข์บ้างในฮ่องกง

หวังว่าทุกท่านที่พลัดหลงเข้ามาในบล็อกนี้คงได้รับความไร้สาระกลับออกไปบ้างตามยถากรรมนะคะ