ช่วงเวลาเช้าเกือบๆสาย ในวันที่อากาศค่อนข้างเย็นสบาย ไม่หนาวมากอย่างแสนสาหัสเหมือนเมื่อสองเดือนที่แล้วมา
หญิงสาวคนเดิมกำลังมุ่งหน้าไปยังโรงแรมโตเกียว เวสตินที่ตั้งสูงตระหง่านอยู่หลังตึกทรงยุโรปแสนหรูของศูนย์การค้าเอบิสึการ์เดนเพลส มันเป็นวันสุดท้ายที่เธอจะได้พบหน้าเพื่อนฝูง ที่เรียนกับเธอมาสองปีเต็มๆ
ด้านหน้าโรงแรมที่เป็นจุดหมายปลายทางของหนูนามีสภาพไม่ต่างจากวันแรกที่เธอมาปฐมนิเทศ หากจะไม่เหมือนก็ตรงที่ครั้งนี้ ทางโรงแรมติดป้ายผ้าบอกตำแหน่งที่จัดพิธีจบการศึกษาของมหาวิทยาลัยวิชาชีพนานาชาติที่มีชื่อย่านชินจุกุ ผู้คนหนุ่มสาวที่สวมใส่เสื้อแบบเดียวกับเธอ และแบบเดียวกับวันแรกที่มา ทยอยกันเดินเข้าห้องประชุมห้องเดิมที่อยู่ต่ำไปจากล็อบบี้สักสองชั้นได้
หลายคนกำลังลงทะเบียนเข้าพิธีและรับเอกสารสูจิบัตรกับเนื้อเพลงประจำโรงเรียนเดินเข้าห้องประชุมใหญ่ สมทบกับอีกหลายคนที่นั่งประจำที่อยู่ก่อนแล้ว ส่วนใหญ่จับกลุ่มคุยกับเพื่อนฝูงระเบ็งเซ็งแซ่เช่นเคย แต่คราวนี้ ไม่มีการแยกเชื้อชาติกันแล้ว ภาพที่เธอเห็นและกำลังจะเข้าไปร่วมวงคือ เพื่อนทุกๆชาติล้อมวงกันคุยภาษาเดียวกันอย่างสมานฉันท์และเป็นหนึ่งเดียว
นารุจัง ทางนี้ลูน่ากวักมือเรียกเธอ หนูนามองตามจนเจอและตามเข้ามาร่วมวงไพบูลย์ด้วย และแล้วสองสาวที่ได้นั่งติดกันเมื่อวันปฐมนิเทศ ก็ได้นั่งติดกันในวันสุดท้ายอีกครั้ง
นี่ ชุดครุยของเธอหญิงสาวหยิบห่อชุดครุยพร้อมหมวกที่วางอยู่บนเก้าอี้ให้เพื่อน หนูนาตาโตเมื่อคลี่มันออกมาใส่ โดยลูน่าเป็นผู้ช่วย
ฉันชอบชุดแบบนี้มากเลยรู้ปะ เหมือนพวกจบอ๊อกซ์ฟอร์ดเขาใส่กันนะแลมที่เดินมาสมทบเอ่ยขึ้นเมื่อเห็นหนูนาอยู่ในชุดแบบเดียวกับที่เธอและทุกๆคนใส่อยู่
แน่ละ มหาวิทยาลัยของเราเป็นมหาวิทยาลัยลูกครึ่งญี่ปุ่นอเมริกันนี่ยะ ไม่งั้นจะไม่ใช่แบบนี้หรอกหนูนาหัวเราะน้อยๆ
เสร็จสิ้นจากงานเลี้ยงฉลองจบการศึกษาแล้ว ทุกคนก็รวมตัวกันไปถ่ายรูปที่หน้าอาคารยุโรปเป็นที่ระลึก พิพัฒน์ตามมาพร้อมดอกไม้ช่อใหญ่ให้สาวคนรัก เรียกเสียงกรี๊ดจากเพื่อนฝูงที่อิจฉาระคนยินดี แม้แต่เซกิที่ตอนนี้เริ่มยิ้มออกกับความหวานชื่นของทั้งคู่ก็ยังยินดีด้วย
และที่ร้านของเจนนี่ตามที่ได้นัดหมาย ทุกคนมาเหมาร้านของเพื่อนเก่า ทั้งกินทั้งดื่ม และร้องเพลงกันจนสว่าง เจนนี่ก็เต็มใจบริการเต็มที่ไม่ยอมให้ขาดตกบกพร่อง และออกจะตื่นเต้นเมื่อได้รับการ์ดสีชมพูจากมือของหนูนา
เจ๊จะแต่งงาน
อ้าว ก็ใช่สิคะ คุณนาย คิดว่าการ์ดวันเกิดรึไง ก็เห็นๆอยู่ว่าชื่อฉันกะชื่อว่าที่สามีของฉันชัดเจนขนาดนี้
เจ้านายเจ๊รู้เรื่องแล้วเหรอ แล้วลุงเจ๊ล่ะ
คนกำลังจะแต่งงานยิ่งยิ้มขำกว่าเดิม เพราะเจนนี่ถามเหมือนที่แตงกวาถามเธอเมื่อเช้านี้เด๊ะๆ
แต่คนอย่างหนูนาน่ะหรือ จะกลัวกับแค่เรื่องโดนด่า หญิงสาวแจ้งเรื่องการแต่งงานให้ผู้อุปการะทั้งสองฝ่ายได้รับทราบอย่างไม่มีปิดบัง ลุงกับป้าคามาดะ ไม่ว่าอะไร แต่ลุงแท้ๆของเธอก็โวยวายตามเคย
นี่เธอไปซี้ซั้วคบใครมาอีกละเนี่ย
ไม่ได้ซี้ซั้วคบนะคะ ลุง ก็ดูใจกันมาตั้งแต่เรียนภาษาแล้วด้วยซ้ำ จนตอนนี้ก็สี่ปีแล้ว นานพอสมควรเหมือนกันค่ะ
นี่หมายความว่าไปถึงก็มีแฟนเลยงั้นสิ
ก็ไม่เชิงหรอกค่ะ ตอนแรกก็แค่เพื่อน แต่เขามาเปิดใจว่าชอบหนู ก็เลยดูๆกันไปก่อน จนนานๆเข้า เขาก็ยังเหมือนเดิม เลยลองอัพเกรดเป็นแฟนดูอีกที ก็โอเค ไว้ใจได้ เลยคบมาจนแต่งงานนี่ละค่ะ
ป่วยการจะบ่นจะด่า ในเมื่อหลานคนนี้มันแหกคอก แต่ก็ยังรักดีเรียนจบด้วยคะแนนที่ค่อนข้างหรู และก็ยังทำงานที่เดิมกับเพื่อนของเขา ถึงอย่างไรก็ยังมีคนดูแล เป็นหูเป็นตาให้อยู่เหมือนเก่า ยิ่งได้ข่าวว่าเดี๋ยวนี้หลานสาวดูจะน่ารักกว่าเดิม ไม่หงุดหงิดงี่เง่า ไม่อารมณ์เสียง่ายเหมือนเมื่อก่อน หักลบกลบหนี้แล้วก็นับว่าพอจะปล่อยได้ วางใจได้
แล้วนี่จะอยู่ที่นี่ต่อ หรือจะกลับไปเมืองไทยละรุ่นน้องสาวคนสนิทไม่วายซักต่ออย่างอยากรู้
อยู่ที่นี่แหละ ใช้วีซ่าติดตามคุณชายเขาหนูนายิ้มตอบ ศีรษะเอนพิงไหล่ของพิพัฒน์อย่างฉอเลาะ
หนูนาตัดสินใจอยู่ทำงานร้านอาหารร้านเดิมต่อไปเรื่อยๆ เพื่อใช้ชีวิตอยู่กับพิพัฒน์ที่ญี่ปุ่นทั้งคู่เพิ่งจะกลับไปแจ้งข่าวการแต่งงานกับผู้ใหญ่ที่เมืองไทย และจดทะเบียนสมรสกันเสร็จสรรพ โดยจัดเลี้ยงฉลองใหญ่ที่บ้านของฝ่ายชายที่เมืองไทย และกลับมาจัดงานฉลองเล็กๆกับเพื่อนฝูงที่ร้านของเจนนี่ พิพัฒน์ขยายที่พักของเขาจากห้องเล็กๆไปอยู่อพาร์ทเมนท์ที่สวย กว้างใหญ่และมีระดับมากขึ้นอีกขั้นหนึ่ง เพื่อรับรองศรีภรรยาที่จะย้ายจากบ้านพักของแตงกวามาร่วมทางชีวิตกับเขาตลอดไป
โห เจ๊ ฉลาดนี่หว่า ใช้วีซ่าติดตามสามี ก็เลยไม่ต้องทำงานเต็มสตีมเหมือนสมัยก่อนน่ะสิ คราวนี้เจ้านายเจ๊ก็ตามจิกเจ๊ไม่ได้แน่ๆเลยรุ่นน้องหัวเราะชอบใจ หนูนายิ้มอ่อนๆ
เจ๊นี่ก็เนอะ อกหักรักร้าวมาจากเมืองไทย เข็ดขยาดปิดกั้นตัวเองจนไม่ยอมให้ใครเข้ามาเฉียด ก็ยังอุตส่าห์มีคนมารัก ทั้งไทยทั้งยุ่นเชียว หนูบอกแล้วว่าเรามีดีในตัวของเรา ทำไมจะต้องเอาคนเลวๆมาทำให้เราเสียโอกาสด้วยน๊า
หนูนายิ้มเขินๆกับความเขลาเบาปัญญาที่เธอเคยทำร้ายตัวเองมาก่อน ทำร้ายให้หัวใจตัวเองมีแต่ความด้านชาไม่รับรู้ความอบอุ่นจากหัวใจของใคร กว่าจะมีคนอย่างเซกิมาทลายกำแพงที่สูงและหนาทึบในหัวใจเธอได้ก็ใช้เวลานานเหลือเกิน แต่โชคดีนัก ที่แม้จะต้องพรากจาก ผิดใจกับเซกิจนยากเกินจะหวนกลับมาเหมือนเดิม แต่ก็ยังมีพิพัฒน์ ผู้ชายมั่นคงคนเดิมที่รอเธออยู่อย่างมุ่งมั่น ไม่เคยเปลี่ยนใจไปจากเธอเลย ต่อจากนี้ก็คงจะคุ้มแล้ว ที่ชีวิตและหัวใจของเธอจะฝากไว้เคียงข้างเขาจนชั่วนิรันดร์
งานเลี้ยงถึงวันเลิกรา แต่ละคนกล่าวลากันแยกย้ายไปใช้ชีวิตของตนเหมือนเดิม อาจจะไม่ได้กลับมาเจอหน้ากันทุกวันเหมือนเก่า แต่ทุกคนก็รู้ว่าตราบใดที่ยังอยู่ร่วมแผ่นดินเดียวกัน ยังมีกันและกันอยู่ใกล้ๆ ก็ไม่ยากเกินกว่าจะกลับมาพบกันอีก
ไม่น่าเชื่อเลยเนอะ ว่าเพื่อนเธอแต่ละคนจะผูกพันกันมากขนาดนี้
พิพัฒน์พูดขึ้นเมื่อเดินจูงมือกันกลับบ้านของตัวเอง แสงสว่างจากท้องฟ้าเริ่มส่องให้เห็นว่าต้นซากุระในสวนสาธารณะเริ่มผลิดอก ปีนี้เร็วกว่าทุกปี เพิ่งจะกลางมีนาคมเท่านั้นเอง ดอกซากุระเป็นพวงสีชมพูเต็มไปหมดแทบทุกต้น
ก็รักกันแบบนี้มาตั้งแต่ช่วงแรกๆแล้วละ มันเป็นรักที่มาพร้อมกับดอกซากุระจริงๆเลย ก็ฉันกับพวกเขามาเจอกันตอนเดือนเมษานี่นาหนูนาตอบ เธอเดินเข้าไปหยิบช่อซากุระที่ปลิวร่วงลงสู่พื้นดินขึ้นมาเชยชม
แล้วระหว่างเราล่ะ มันเป็นรักแบบไหนชายหนุ่มทวงถามด้วยรอยยิ้ม สองแขนแกร่งถือวิสาสะโอบรวบเอวบางๆเข้ามากอดไว้แนบชิด
แบบไหนน่ะเหรอหนูนานิ่งคิด ก่อนจะตอบ
ก็คงจะเป็นเหมือนดอกรักพันธุ์ไทย ที่มีกลิ่นของดอกซากุระอยู่ด้วยละมั้ง ก็เราสองคนเป็นคนไทย แต่ความรักมาเกิดแล้วก็เติบโตอยู่ที่ญี่ปุ่นนี่
พิพัฒน์หัวเราะน้อยๆกับคำเปรียบเปรยของหญิงสาวผู้เป็นคู่ชีวิต เขาก้มจูบกระหม่อมเธออย่างทะนุถนอมก่อนจะลากริมฝีปากไปเชยชมที่พวงแก้มที่ขาวใสอมชมพูอย่างแสนรักอยู่ใต้ต้นซากุระนั่นนานเท่านาน
จบบริบูรณ์