ฉันหายไปในฤดูร้อน
ฉันรู้สึกใจหาย เมื่อตอนที่พนักงาน สถาบันแต่งหน้าชื่อดัง MTI บอกว่าไม่รับนักศึกษาฝึกงาน ผ่านทางโทรศัพท์ เนื่องจากฉันไม่ได้เป็นนักเรียนแต่งหน้าที่นี้ นี้ก็เข้าเทอมสองแล้ว ตามกฎข้อบังคับ นักศึกษาปี 3 ภาควิชานิเทศ ทุกคนจะต้องเข้ารับการฝึกงานเป็นจำนวนเวลา 200 ชั่วโมง แต่จนบัดนี้ ฉันก็ยังติดต่อสถานที่ หรือบริษัทที่รับนักศึกษาฝึกงาน ตำแหน่งเมค อัพ ไม่ได้เลยซักที โดยปกติแล้ว นักศึกษาภาพยนตร์ มักจะเข้ารับการฝึกงานตามกองถ่ายภาพยนตร์ หรือละคร บริษัทโปรดักชั่นเฮ้าส์โฆษณา มิวสิค วิดีโอ ตำแหน่งที่แพร่หลายก็เช่น ทีมกำกับ อันได้แก่ ผู้ช่วยผู้กำกับ ผู้ช่วยโปรดิวเซอร์ หรือทีมโพสท์ โพรดักชั่น ที่ทำหน้าที่ตัดต่อ จัดการเรื่องซาวน์ หรือทีมครีเอถีฟ ที่เป็นงานสร้างสรรค์ระดมพล....น่าแปลกที่ฉันไม่ได้สนใจที่จะเข้าฝึกในส่วนของงานพวกนี้ แต่กลับอยากเรียนรู้กระบวนการแต่งหน้า และสเปเชี่ยล เมคอัพ มากกว่า มีคนสงสัยว่า ทำไมฉันจึงไม่ไปฝึกงานด้านกำกับล่ะ ไหนเมื่อฉันอยากเป็นผู้กำกับมากซะขนาดนั้น ฉันคิดว่า งานกำกับ เป็นงานที่รวบรวมเอาความสามารถหลากหลายได้มาไว้ในกำมือ แล้วจึงบังเหียนผู้ใต้บังคับบัญชาไปตามคำสั่งของตน ใครๆก็เป็นผู้กำกับได้ หากเค้าได้อำนาจ ณ ส่วนนั้นมา ทุกวันนี้เรามี ตลก กำกับหนัง มีตำรวจ มีคนที่เรียนจบรัฐศาสตร์ บัญชี หรือสถาปัตย์ หรือไม่ต้องเรียนจบมาก็ยังกำกับหนังได้ ใครๆก็กำกับหนังได้ ถ้าการกำกับในความหมายอย่างง่ายที่สุดคือ การออกคำสั่ง ขอเพียงเรามีคนที่พร้อมจะเป็น มือ ขา แขน เท้า ก็เท่านั้น เราสามารถสร้างงานภาพเคลื่อนไหว เรื่องนึงตามภาพเคลื่อนไหวในหัวสมองเราได้แล้ว มันก็เหมือนกับความจริงที่ว่า คุณเรียนจบอะไรมา คุณก็สามารถเป็นผู้กำกับได้ เพียงแต่การเรียนภาพยนตร์อาจทำให้คุณใกล้ชิดกับอุปกรณ์ถ่ายทำ และมีเส้นสายต่อวงการบันเทิงได้ง่ายกว่าการเรียนคณะอื่น แต่ก็นั้นแหละ การเป็นผู้กำกับ บางทีหากตัดเรื่องความสามารถแล้ว สิ่งนึงที่ช่วยให้ได้รับตำแหน่งนี้ ก็คือ ดวง หรือเรียกแบบแสนสุภาพว่า จังหวะของชีวิตที่ลงตัว ฉันไม่ได้พูดข้อความด้านต้น ด้วยต้องการจะดูถูกตำแหน่งอันสูงค่านี้ แต่มันเป็นความจริงที่ทุกคนควรรู้ และน่าจะรู้ ฉันคิดว่า ผู้กำกับที่ดี ควรมีวิสัยทัศน์ รู้ว่าอะไรที่ควร หรือไม่ควรมี และที่สำคัญถึงแม้ว่าเค้าจะไม่ได้ลงมือทำในกระบวนการเทคนิคเอง แต่ก็ควรจะมีความรู้ที่จะสั่งบัญชาภาพในหัวของเค้าออกไป นั้นคือเหตุผลที่ฉันบอกกับตัวเองทุกครั้งที่หวั่นใจต่อคำถาม "ทำไมฉันจึงไม่เลือกที่จะฝึกงานด้านกำกับ" ฉันอยากเรียนรู้การทำงานด้านอื่นที่ตัวเองสนใจ และสามารถนำมันมาเป็นการเรียนรู้สร้างสรรค์ต่อไปสำหรับผลงานในอนาคต ฉันเคยพูดเปรยๆว่า วิทยานิพนธ์ของฉัน จะเป็นแนวสยองขวัญ และฉันก็คิดไว้ว่าฉันจะทำ และเมื่อจบออกไป ฉันก็ยังสนใจอยู่กับงานด้านนี้ ดังนั้นฉันควรจะฝึกเรียนรู้มันตั้งแต่ตอนฝึกงาน (ถึงหลายคนจะบอกว่า หนังสยองขวัญดีๆ ไม่จำเป็นต้องพึ่งเทคนิคด้านนี้หรอก แต่สำหรับฉัน มันคือสีสันในผลงาน)....ฉันไม่เชื่อว่าการที่ฉันไม่พยายามอิงแนบเป็นเถาเครือญาติกับ ผู้กำกับ หรือบุคคลที่มีชื่อเสียงจะทำให้ฉันไม่ได้เข้าใกล้เส้นทางการกำกับภาพยนตร์ที่ตัวเองสนใจ เพราะฉันไม่คิดว่าทุกคนที่จบการศึกษาไปจะได้เป็นผู้กำกับทกุคน และเพราะฉันเชื่อว่า การกำกับภาพยนตร์ใหญ่ โอกาสทองแบบนั้นมันมาได้เพียง 1 ในพัน ของนักศึกษาภาพยนตร์ของมหาวิทยาลัยต่างๆ ในรุ่นๆนึง....นั้นเพราะฉันยังเชื่อว่า โอกาสในการทำภาพยนตร์ไม่ได้มีเพียงแค่หนังยาวฉายโรง...ฉันสามารถทำหนังสั้นอิสระได้ หนังสั้นที่สามารถส่งประกวดได้ ดังนั้น คำว่าผู้กำกับภาพยนตร์ของฉัน มันจะไม่มีวันจบ อยู่ภายใต้อัตราความน่าจะเป็น 1 ใน 1000 อะไรแบบนั้นเด็ดขาด หลังจากท้อแท้กับการตามหาที่ฝึกงาน ที่จริงๆ มันอาจจะง่ายกว่า หากฉันเป็นนักเรียนแฟชั่น หรือถ่ายภาพ...ฉันก็เริ่มแก้ปัญหาแบบตายคียบอร์ดหน้า ด้วยการโพสท์ในอินเทอร์เนท แน่นอนว่า พันทิพ ห้องเฉลิมไทยเป็นที่แรก ที่ฉันนึกถึง
แต่สุดท้ายก็ไม่มีใครมาตอบ ทุกคนยังคงเฮฮากับการด่าไก่ มีสุข และกดโหวตกระทู้เรตติ้งใจร้าว ศิลามณี สุดท้ายฉันเลยไปตั้งห้องย่อย ห้องของคนรักหนังแทน.....ตอนตั้งก็ไม่คิดอะไรมากหรอก จริงๆก็แทบก๊อปกระทู้เดิมมาตอบด้วยซ้ำ กะว่าถ้าไม่มีใครมาแนะ คงจะเบนหัวเรือไปฝึกงานในนิตยสาร Filmmax แทน วันเวลาผ่านไป วันนึงฉันก็กลับมาเช๊คกระทู้ในห้องคนรักหนัง "ขอให้คุณฟองฟ้าพาไปฝากฝึกกับน้าขวดซีครับ เขาทำงานอยู่ใกล้ๆ กัน คงฝากได้ " ใครมาตอบน่ะ ฉันคิด ล๊อกอินชื่อ Cinephile อ้อ ล๊อกอินนี้เป็นคนตั้งห้องคนรักหนังขึ้นมานิน่า....แต่คุ้นๆน่ะ เหมือนเคยได้ยินชื่อมาก่อน ตอนไหนน่ะ ตอนที่สุริโยทัยเข้าฉาย.....อืมๆๆๆ แล้วล๊อกอินนี้ก็มาตอบกระทู้ที่มีคนบ่นถึงหนัง กรี๊ดดดด ฉันพึ่งนึกออก Cinephile นี้มัน ท่านมุ้ย นิน่า
(ข้อความต่อไปนี้อาจพิมพ์ราชาศัพท์ผิดไปบ้าง ต้องขออภัย) ท่านมีพระกรุณาจริงๆ ฉันคิดว่าท่านคงไม่เห็นสมควรที่จะเดินเรื่องด้วยตัวเอง อย่างน้อยท่านเป็นผู้ใหญ่ คงไม่เหมาะที่จะรับใครเข้าทำงานโดยไม่รู้จักมาก่อน จึงให้ฉันอาศัยคำแนะนำติดต่อผ่านคนที่สามอีกที คุณฟองฟ้า เป็นชายหนุ่มจบ รามคำแหง คณะบริหารธุรกิจ หลังจากเรียนจบ เค้าก็ร่อนเร่ไปเรื่อยๆตามโปรดักชั่นโฆษณา และค่ายเทป ด้วยหวังว่ามีผลงานโฆษณาหรือมิวสิค วิดีโอซักตัว สุดท้ายก็ไม่เป็นอย่างที่หวัง จนแล้วจนรอด เค้าก็ไปโพสท์ว่าอยากฝึกงานภาพยนตร์ ในห้องเพชรพระอุมา เฉลิมไทย พันทิพ และก้ได้ท่านนี้แหละที่เมตตาให้คำแนะนำ จนตอนนี้คุณฟองฟ้าได้เข้าร่วมเป็นหนึ่งในทีมงานภาพยนตร์ของท่านมุ้ย ตอนนี้คุณฟองฟ้า กำลังอยู่ในขั้นรีเซิจหาอุปกรณ์ สำหรับภาพยนตร์เรื่องใหม่ของท่าน.....เพชรพระอุมา (ใครเป็นแฟนวรรณกรรมเล่มนี้ กรี๊ดได้เลย สร้างแน่ๆ)
ฉันติดต่อหาคุณฟองฟ้า และได้รับการช่วยเหลืออย่างดี ทั้งเป็นธุระติดต่อกับพี่ขวดให้ (ตอนแรกฉันไม่รู้จัก ใครอ่ะพี่ขวด จนไปถามอาจารย์ อาจารย์บอกว่าเป็นครูใหญ่ของ MTI และเป็นเมคอัพ อาร์ตติส ชื่อดังของเมืองไทย)....คุณฟองฟ้าคอยโทรมาบอกตารางการถ่ายทำ เพื่อที่จะได้ให้ฉันเดินทางมากองถ่ายเพื่อคุยกับพี่ขวด (คือวันที่ไม่ถ่าย กองเมคอัพจะไม่มากัน) หลายครั้งที่เจออุปสรรคคือ ตารางการทำงานเปลี่ยนแปลงกะทันหัน (ตามประสาผู้กำกับ spontanious แบบท่านมุ้ย) เก็บกระเป๋าเตรียมจะไปแล้ว ท่านแคนเซิ่ล หรือบางทีก็ถ่ายขึ้นมาในวันที่ฉันติดธุระ จนฉันคลาดกับตารางของพี่ขวดบ่อยครั้ง จนพี่ขวดเองแกให้เบอร์ติดต่อผ่านคุณฟองฟ้ามา...แต่ฉันและคุณฟองฟ้าเห็นเหมือนกันว่า เราเป็นเด็กกว่าไม่ควรนัดผู้ใหญ่ ที่สำคัญฉันก็เป็นเด็กสามัญเห่ยๆ ไม่ได้มีพื้นฐานการแต่งหน้า ไม่ใช่นักเรียนMTI ไม่ได้มาสมัครงาน และไม่ใช่มืออาชีพ ฉันควรแสดงความจริงใจและมุ่งมั่นด้วยการเดินทางไปกาญจบุรีเพื่อคุยกับพี่ขวดโดยตรงดีกว่า จนท้ายที่สุด คริสมาตรอีฟ ฉันขึ้นรถตู้แถวสนามหลวงเพื่อเดินทางไปค่ายสุรสีร์ กาญจนบุรี.....ฉันคงไม่เล่ามาก ว่ากองถ่ายเป็นอย่างไร เอาเป็นว่า พื้นที่เกือบ40% บนภูเขาของค่ายทหารกลายเป็นพื้นที่ของกองถ่าย มีฉากจำลองมากมาย ใครที่ดูแล้วคงนึกภาพออก มันยิ่งใหญ่มาก เสียจนฉันรู้สึกเกร็งจนทำอะไรไม่ถูก ไม่กล้าพูดกับใคร อยากจะเร้นหายไปกับกำแพงกรุงศรีอยุธยา ตามประสาโรคกลัวคนแปลกหน้า....วันแรกของฉันหมดไปในสโตร์เก็บอุปกรณ์ของกองถ่ายนเรศวร ที่คุณฟองฟ้าทำงานอยู่ ของในนั้นล้วนแล้วแต่เป็นสุดยอดงานฝีมือจริงๆ เชื่อได้เลยว่าหลังถ่ายทำเสร็จของในโกดังสามารถทำกิจการให้เช่าแก่กองถ่ายภาพยนตร์ย้อนยุคทั้งหลายได้สบาย สุดท้ายวันนั้นฉันก้ไม่ได้เจอพี่ขวด เนื่องจากท่านแคนเซิลกองอีกครั้งนึง ฉันเลยต้องอยู่พักกับทีมงานด้วยความรู้สึกเกร็งๆและเกรงใจ ระหว่างนี้คุณฟองฟ้าก้ดูแลตลอด ตั้งแต่หาที่นอน คุยกับผู้จัดการกองเรื่องที่ฉันจะมาขอพัก ติดต่อกับพี่ขวด คอยเช๊คตารางงานให้ตลอดเวลา สุดท้ายพี่เค้าก็บอกว่าพรุ่งนี้แหละ ถ่ายฉากใหญ่เจอแน่ๆ เช้าวันต่อมา เราตื่นแต่ตีห้ามาที่กองถ่าย ผู้คนมากมายเดินทางมายังโกดัง เพื่อนำอุปกรณ์ชุดเกราะไปใส่ให้ตัวประกอบเขมร ทีมเมคอัพมาแล้ว พวกเค้ากำลังม๊อกอัพนางสนมและทหารเขมรอยู่ คุณฟองฟ้าบอกว่าพี่ขวดไม่ได้อยู่จุดนี้ แต่ไปแต่งหน้าให้กับนักแสดงหลักในพระราชวัง...ฉันก็รอเรื่อยๆ หยิบพอร์ต (พูดซะหรู จริงๆคือรูปที่อัดมาจากในภาพยนตร์สั้นของตัวเอง 4-5 รูป) หลังจากนักแสดงแต่งหน้าแต่งตัวเสร็จ ซึ่งฉันก็เฝ้าดูการทำงานแบบทึ่งๆ มือไม้สั่นอยากทำบ้าง ทีมเมคอัพก็ได้พัก ฉันก็ขึ้นรถไปยังฉากพระราชวัง เพื่อไปคุยกับพี่ขวด ในใจตอนนั้นตื่นเต้นมาก รู้สึกเหมือนอยู่ในเกมส์ผจญภัย ที่กว่าเราจะได้เจอบอสใหญ่ก็ต้องรออะไรต่างๆมากมาย เราเข้าไปอยู่ในเรือนอะไรซักอย่าง ซึ่งฉันทราบมาว่าจะเป็นฉากถวายตัว อะไรซักอย่าง นั่งรออยู่ซักพัก ฉันก้ได้พบพี่ขวด สุดยอดช่างแต่งหน้าระดับประเทศ ตอนนั้นฉันกลัวมาก(คือพี่เค้าเหมือนไมเคิล เชาวนัลย์ มาก) เออ ไม่เอาล่ะ ไม่พูด....คือเค้าดูดุ น่าเกรงขาม ฉันล่ะหน้าซีดเลย ไม่เป็นมืออาชีพ ไม่มีพอร์ตสวยงาม ไม่ได้เรียนแต่งหน้ามา ไม่มีพื้นฐาน.....ฉันเองก็ไม่รู้ว่าพี่ขวดแกรู้รึยังว่า ท่านแนะนำมา แต่ฉันก็ไม่พูดออกไปว่าใครแนะนำมา ฉันอยากให้พี่แกเห็นว่าฉันมุ่งมั่นที่จะมาเรียนรู้ มากกว่าเป็นคำแนะนำแกมบังคับอย่างน่าเห็นใจ แบบนั้นมากกว่า สุดท้ายพี่ขวดแกก็ไม่ได้ขอดูพอร์ท ไม่ถามอะไร ทำไมอยากมา สิ่งที่ฉันต้องทำก็คือ ขอหนังสือรับรองจากทางสถาบัน พระพุทธเจ้า! ทุกอย่างผ่านไปด้วยดี ฉันเดินออกมาจากเขตพระราชวัง ฉันมองกำแพงคูเมืองที่เป็นสีขาวกลืนไปกับแสงแดดอันเจิดจ้า ตอนนั้นฉันรู้สึกเหมือนว่าตัวเองอยู่ท่ามกลางดินแดนอันแสนสุข กองฟาง ทางทิศเหนือไหวตัวของมันไปตามสายลม ฉันทำสำเร็จแล้ว การอดทน และความตั้งใจจริงที่มีความพยายามของการเข้าหาผู้ใหญ่ คือบทเรียนแรกสำหรับการฝึกงานครั้งนี้ ฉันคงไม่สามารถได้ร่วมงานกับบุคคลระดับมืออาชีพ หากไม่ได้คำแนะนำอันเปี่ยมด้วยเมตตาของท่าน cinephile กระหม่อมขอขอบพระทัย พี่ฟองฟ้า พี่เลี้ยงที่ใจดี ที่คอยช่วยเหลือ เป็นธุระติดต่อมาโดยตลอด รวมไปถึงสองสมาชิกในห้องคนรักหนัง พี่นรากร และพี่บินไปในฟ้ากว้าง ที่คอยให้กำลังใจและคำแนะนำ (ไม่รู้ว่าพี่สองคนนี้แอบไปกระซิบบอกพี่ขวดล่วงหน้ารึเปล่า)... ฤดูร้อนปีหน้า ฉันคงจะไม่ได้ไปเที่ยวเล่นในเมืองหลวงแบบก่อน ฉันคงไม่ได้ไปดูภาพยนตร์ในโรงภาพยนตร์ ไม่ได้ไปเดินตากแอร์ในห้างสรรพสินค้า และอ่านหนังสือฟรีในร้านบีทูเอส เคเอฟซี ๙บูชิ ฉันคงจำใจลาพวกเธอ และฝากตัวกับอาหารกองถ่าย จากนี้ไป ฉันจะมี 200 ชม. ที่มีค่า และจะเป็นการเรียนรู้เพื่อบูรณาการภาพยนตร์สยองขวัญของฉันต่อไปในอนาคตอย่างแน่นอน
ป.ล. ไม่ได้ลงรูปน่ะ ถ่ายมานิดเดียวเองอ่ะ ไม่กล้าถ่ายเยอะ กลัวและเกร็งมากๆ แต่สัญญาถ้าไปอีกจะเก็บภาพมาเยอะๆเลย
Moonlight Shadow - Mike Oldfield
Create Date : 26 ธันวาคม 2551 |
|
14 comments |
Last Update : 26 ธันวาคม 2551 13:05:44 น. |
Counter : 812 Pageviews. |
|
|
|
มาเป็นกะลังใจให้น้ำหนึ่ง
ก็จริงนะ ตอนนี้ใคร ๆ ก็เป็นผู้กำกับได้อ่ะ
แต่อ้อมว่า..เค้าทำได้ไม่ดีเลยอ่ะ
พล็อตเรื่อง
ฉาก
ตัวละคร
ในความรู้สึกอ้อม มันไม่ดีจริง ๆ อ่ะ
ปอลิง *[]* เรตติ้งอ้อมจะตกจริง ๆ เหรอเนี่ย
คิดถูกรึคิดผิดเนี่ย ที่เอารูปหลานลง