Wonder Moment @Wonderfruit Festival Day 2
วันที่ 2 เปิดเช้ารับอรุณด้วยความงัวเงียแซะตัวออกจาเต้นท์นอนแสนลำบาก อากาศเย็น ๆ แต่ลมที่พักแรงทำให้เย็นกว่าเดิมเป็นเท่าตัว เดินฝ่าลมฉิว ๆ ไปทำธุระส่วนตัว และเหตุการณ์เดจาวู ก็หวนกลับมาให้ความทรงจำอีกครั้ง (จำได้คร่าว ๆ เหมือนที่บิ๊กเมาท์เทนท์ 4) น้ำไม่ไหล ในชั่วโมงเร่งด่วนแบบนี้ ไม่ต้องถามถึงสภาพของห้องน้ำ ที่ยังดั๊นไปเปิดดูเพื่อความแน่ใจ และคาดหวังว่าอาจจะมีสักห้องที่พอจะปลดเปลื้องอะไรได้บ้าง เปิดเข้าไปถึงกับผงะกับงานศิลปะชั้นยอด แนว Abstract ที่ว่าดูเข้าใจยากแล้ว เจองาน sculpture แบบ free form ของที่นี่อาจจะต้องชิดซ้าย สุดท้ายแล้วได้เพียงแต่เอาน้ำกลัวปาก ที่วักได้จากแท้งค์เก็บน้ำที่มีอยู่เต็มแถว ๆ นั้นเอง แต่ช่วงใกล้ ๆ เที่ยงห้องน้ำก็กลับมาใช้งานได้ตามปรกติ และมีคนดูแลตลอดเวลา
หลังจากเสพงานศิลปะเป็นที่เรียบร้อยแล้ว กระเพาะน้อย ๆ เริ่มทำงาน เลยพากันออกเดินไปหาอะไรกินด้านใน ราคาอาหารของ ซุ้มเวทีกลาง ๆ แถบ Solar stage ราคาเอาเรื่องทีเดียว เบอร์เกอร์ราคาเริ่มต้นที่ 120 บาท ซื้อมากินแต่ไม่ถูกปากเลยอ่ะ ขนมปังแข็งไปหน่อย และแล้วก็เค็มด้วย และแล้วก็ต่อด้วยกาแฟ จริง ๆ แล้วแค่หาโอกาสชาร์แบทโทรศัพท์ต่างหากจ้า กินกาแฟไป ชาร์ทศัพท์ไป (ที่บริเวณกางเต้นท์ ไม่มีไฟเลย ขนาดวันแรกไฟทางเดินติดตอน 3 ทุ่ม เลยต้องหาโอกาสมาแอบชาร์ทเขาแบบนี้)
งานนี้ถือว่าปาร์ตี้ 24 ชม. เลยก็ว่าได้ เพราะตื่นมา 7 โมง ก็ได้ยินเสียงเพลงแล้ว และที่ Solar Stage ก็มีดีเจ เปิดเพลงและมีการแสดงเล็ก ๆ แล้ว
เรียกน้ำย่อยด้วยBelly Dance @Solar Stage
หลังจากพักผ่อนหย่อนใจกับกาแฟกละอหารเช้าเล็ก น้อย ๆ แล้ว ก็เลยพากันเดินสำรวจอีกรอบ ก็ลองข้ามคลองไปอีกโซน เพื่อไปดูอะไรเพิ่มเติม ไปเจอโซน Beach area เนรมิตให้เป็นชายหาด เล็กๆ พร้อมสระน้ำความยาวขนาดโอลิมปิกด้วย แต่ความลึกหาใช่ไม่ มีฝรั่งคนหนึ่งกระโดดพุ่งหลาว ลงไปแต่พอหน้าพ้นน้ำขึ้นมาเลือดอาบน้ำเลย เพราะว่าสระลึกไม่พอกระโดดลงไปหน้าเลยไปครูด กับพื้นก้นบ่อ เลยต้องพากันส่งโรงพยาบาลกันไป สหายเราก็ลงไปแหวกว่ายเป็นมัจฉาหนุ่มอยู่ที่นี่ สักพักแล้วก็ขึ้นมาเพื่อแดนซืบนบกต่อ ตรงบริเวณนี้จะมี DJ กลุ่ม Kolour เป็นกลุ่มนักจัด Party ต่างชาติคอยหมุนเวียนเปิดเพลงอยู่ที่นี่ตลอด .
Booth DJ ของ Beach Area ฐานทัพของเหล่า Kolour
Beach Area
สระน้ำขนาดโอลิปิค ที่ความลึกแค่อก
หลังจากเสร็จการการเดินสำรวจตอนเที่ยงๆ และก็แวะกลับมาที่ SOI Stage อีกรอบ เลยค้นพบว่าแถวนี้ มีอาหารราคาย่อมเยาว์ขายด้วย พัดไทย 80 บาทพร้อมกุ้ง 4 ตัว อร่อยมาก รู้สึกเหมือนอยู่ Food court ที่ Terminal 21 เลย ระหว่างที่กินพัดไทยนั้น ก็ได้เวลาของพี่ Gene เลยทำให้มีโอกาสได้ดูพี่เขาไปด้วย เป็นศิลปินไทยวงเดียวที่มีโอกาสได้ดู .
จัดจ้าน แซ่บ ทั้งเพลงและคอสตู้ม
ช่วงกลางวันระหว่างที่ไม่มีกิจกรรมอะไร เพื่อนผู้มีน้ำใจแวะเข้ามารับออกไปสูดกลิ่นน้ำทะเล แถบ ๆ หาดจอมเทียน ครั้งแรกที่มาหาดนี้ในชีวิต และโอกาศดีๆ ที่ได้ชมวิวทะเลจากมุมสู้ง สูง
จากมุมนี้ประหนึ่งได้ว่าเส้นขอบฟ้าอยู่แค่เอื้อมมือ หลังจากไปเปิดหูเปิดตาก็กลับมาที่ Wonderfuit ต่อ เปิดเวทีวงแรกด้วย Nick Mulvey เป็น ทาง folk เหมือน Jose Gonzalez ได้ยินแต่เสียง ตอนทียังเดินไม่ถึง เวที นึกว่า Jose เล่นวันนี้ซะอีก รีบเจ้นไปดูปรากฏว่าไม่ใช่ เป็น Nick Mulvey แทน
Nick Mulvey
เหมือนว่า Line up ศิลปินที่มาเล่นในวันนี้จะเอาใจกลุ่มวัยสะรุ่น จบจาก folk ก็ต่อด้วย Little Dragon เป็นวงของ Yukimi Nagano เคยร่วมงานกับ Gorillaz ในอัลบั้ม Plastic Beach ชื่อญี่ปุ่นแต่สัญชาติสวีเดนนะ และก็เคยร่วมงานกับ Jose Gonzalez อีกด้วย เพลงออกไปทาง Trip hop / neo soul แต่ไสตล์การร้องไปทาง Bjork ฟังแรก ๆ ก็ดีหลัง ๆ เริ่มไม่ชอบเสียงของ Yukimi เพราะส่วนตัวไม่ค่อยชอบนักร้องหญิงเสียง หวานแต่ออกแหลม เท่าไหร่
หลังจากจบจาก Little Dragon ก็ถึงคิวหนุ่มเคราเฟิ้มแล้ว Woodkid เป็นวง side project ของ Yoann Lemoine ผู้กำกับ MV กะ graphic designer แปลกดี เคยแต่วง...นี้เป็นอีกผลงานหนึ่ง ของ นักร้อง หรือมือโน่น นี่ นั่น ของวงนั้น แต่เสียงหล่อ (หน้าตาด้วย) ทุ้ม ไปทางพวกนักร้อง Soul อิเล็กทรอนิคออก นี่เขาไปเป็นนักร้อง soul ได้สบายเลย เพลงของ Woodkid จะกระเดียดไปทาง เหมือนฟังพวกเพลงคลาสสิกที่มีท่อนแบบ กลาง ๆ แล้วไล่อารมณ์ขึ้นไปจนพีคสุด แล้วก็ไล่ระดับ ลงมา ส่วนเรื่องการแสดงบนเวทีเรารู้สึกเหมือนเขาจะออกเกร็ง ๆ กับการเอ็นเตอร์เทนคนดูไปหน่อย แต่ก็น่ารักตามสไตล์เขาดีอ่ะ มีแถมอังกอร์ในคนฟัง 1 เพลง คือ Run Boy Run แหมะ ถ้าเพลงนี้ไม่ได้ เล่นก็ถือว่างานนี้ไม่สมบูรณ์เลยหล่ะ เรียกว่าส่งแฟนเพลงไปเข้านอนเพลงนี้ หรือ กระตุ้นให้อยากไป ปาร์ตี้ต่อที่ booth อื่นหรือเปล่าก็ไม่รู้นะ ^^
ถ่ายมาสั้นมากกก
Woodkid
Woodkid
ผ่านไปด้วยดีกับวันที่ 2 ของงาน Wonderfruit Festival ที่น่าสังเกตุแบบขำ ๆ คือ ด้วยธรรมเนียม ของนักร้องมาประเทศไหนมักจะต้อง "เข้าเมืองตาหลิ่ว ต้องหลิ่วตาตาม" ทักทายแฟนเพลงด้วยภาษา ของประทเศนั้น ๆ ผ่านไป 2 วันกับ 6-7 วง ทุกครั้งทีวงที่เล่นทักทายคนดูด้วยภาษาไทย "Sa-was-dee" หรือ "kob-khun" คนดูนั้นแทบไม่มีการตอบรับเลย แต่ไม่แปลกหรอกเพราะเรามองซ้าย มองขวา มองหน้า และมองหลัง มีแต่หัวสีบรอนส์ทั้งนั้น อากาศวันนี้แดดร้อนและลมแรง...ความรักกำลังจะมาจริง ๆ
Create Date : 30 ธันวาคม 2557 |
|
0 comments |
Last Update : 25 มีนาคม 2558 11:11:21 น. |
Counter : 1014 Pageviews. |
|
|
|