Wonder Moment @Wonderfruit Festival Day 1
Wonderfruit Festival - Live. Love. Wonder
Pavilion ซิกเนเจอร์ของ Wonderfruit Festival
ที่ตัดสินใจมา Wonderfruit Festival เป็นความอยากเห็นเลยว่ามันเป็นยังไง Live. Love. Wonder. สมสโลเกนหรือไม่ หนำซ้ำวงต่างประเทศที่ทางทีมงาน เชิญมาช่างยั่วยวนเสียเหลือเกิน อย่างน้อยถ้าไม่ได้งานนี้ต่อให้อีก 20 ปี ข้างหน้า อาจจะได้ดู หรือ ไม่มีโอกาสนี้เลยก็ได้ และอีก ๆ หลายวงที่มาเห็นแล้วน้ำลายไหล อยากจะร้องโอ๊ย ๆ ไม่ไปไม่ได้แล้ว แต่ราคาตั๋วสำหรับ Wonderfruit Festival สำหรับเมืองไทยจัดวางค่อนข้างสูงเลยทีเดียว (แต่ตั้ง 3 วันเลยนะ) วงที่อยากดูจริงจังประมาณ 6-7 วง หาร 5,000 เฉลี่ยออกมาเหลือวงละไม่กี่ร้อยบาท หากแต่ละวงมาเดี่ยว ๆ ราคาค่าตั๋วตกเฉลี่ย ประมาณ 2,000 - 2,500 บาทต่อวง แต่ถ้าเอาโอกาสที่จะได้ดู หารกับราคาตั๋วแล้ว อาจจะเหลือโอกาสเพียงแค่ 5% อาจจะน้อยกว่า หรือ ไม่มีเลย สำหรับการเดินทางไปชลบุรี ไม่ได้ลำบากเท่าไหร่ แต่การเดินทางเข้างานจากปากทาง เข้าไปที่ตัวงานนั้น ค่อนข้างตะกุกตะกักนิดหน่อย เนื่องจากซอยพรประภานิมิตรนั้น เป็นซอยของเอกชน (คือของ Siam Country Club) ไม่มีรถโดยสารสาธารณะวิ่งรับส่ง ถ้าเหมาเข้าไปก็แพงสู้ราคาไม่ไหว ต้องเดินถัดไปลงที่ซอยเนินพลับหวานที่อยู่ถัดไป ต้องเหมาเข้าไปแต่ราคาพอตกลงกันได้ ส่วนคนที่ขับรถมาเองนั้นสะดวกกว่ามาเองเป็นไหน ๆ แต่ป้ายบอกทางเข้างานเล็กมาก และแทบไม่เห็นตามติดตามรายทาง (ไปเห็นป้ายงานหลัก ๆ ที่ประชาสัมพันธ์งานบริเวณตัวเมืองพัทยาเสียมาก ส่วนแผนที่ที่ปริ้นมาจาก TTM นั้น ก็เป็นแผนที่เวอร์ชั่นยังไม่อัพเดท.....
มาถึงหน้างานประมาณ 12.00 น. ตามเวลาที่ประกาศในตางรางแป๊ะ มีสาวก Wonderer (ตอนนี้เห็นแต่ฝรั่งออกันอยู่ประมาณ 30-40 คน และทยอยเข้ามาสมทบอีกเรื่อย ๆ) มาชุมนุมเพื่อรอเข้างาน แต่เจ้าหน้าที่นั้น Setting กันยังไม่เสร็จเลยผ่านไปประมาณชั่วโมงกว่า ๆ ได้ยินเสียงแหม่มสาวเสียงใส ๆ บอกว่า "Hey guys thanks for comming to here Wonderfruit Festival please wait for 10 minuite" เวลารอจริง อีกเกือบชั่วโมงครึ่ง และแล้วก็ได้ผ่านเข้าประตูสู่งาน
เหล่า Wonderer
สร้างแลนด์มาร์ก เป็นที่เรียบร้อย
หลังจากพากันสร้างแลนด์มาร์กแล้วก็พากันสำรวจรอบงานว่ามีอะไรน่าสนใจบ้าง และวงที่เริ่มเล่นไปบ้างแล้วก่อนที่พวกเราจะเข้ามาถึงที่หน้าเวที เวทีแรกที่ได้ดู คือเวที SOI Stage นั่งดูไป 1 กับอีกครึ่งเพลงก็จบพอดี หลังจากนั้นก็ไปเดินดูหาอะไรกิน ราคาอาหารค่อนข้างสูง อาจเป็นเพราะต้องมีค่าดำเนินการนอกสถานที่หรือมีค่าเช่า เลยทำให้ราคาเลยอยู่เรทนี้ ส่วนเครื่องดื่มราคานี่ไม่ต้องพูดถึง มะพร้าวสดลูกละ 180 บาท แต่ก็ขายดีเหลือเกิน เบียร์ (แก้วขนาดกาแฟเซเว่นราคา 14 บาท) แก้วละ 200 บาท แบบผสมเหล้า 300 บาท บางคนหมดเงินหลายพันยังไม่เมาเลยมั้งหน่ะ และที่พักเต้น์ไม่มีไฟฟ้า และซุ้มชาร์ทแบตโทรศัพท์ไม่แน่ใจจะหาได้หรือเปล่า.
SOI Stage
@โลเล
@Rukkit at Kids area.
หลังจากเดินสำรวจแล้วงานบูทที่มาออกร้านแต่งร้านกันสวยเริ่ด ประชันความสวยของร้านกันอย่างเต็มที่ ขนาดกลางวันยังสวยขนาดนี้ กลางคืนคงสวยมากกว่านี้เป็นเท่าตัว แต่เสียดายที่ช่วงกลางคืน ไม่ได้แวะเข้ามาถ่ายรูปเลย
มีเกาะกลางน้ำ
กลางเกาะเป็น Art installation ของศิลปินชาวญีปุ่น จำชื่อไม่ได้ แขวน ๆ ลอย ๆ อยู่บนต้นไม้
Solar Stage มี 3 ชั้น แต่ละชั้นมีที่นอนและหมอนให้เอนกาย ปีนขึ้นไปถ่ายรูป ไปได้แค่ชั้นที่ 2 อยากขึ้นไปสูงกว่านี้ แต่กลัวลงไม่ได้กลัวต้องลำบากคนแถวนั้น (จริง ๆ กลัวอายมากกว่า-_")
Andrew Ashwong เป็นวงแรกของเวที Living Stage ที่ได้ดู ก่อนหน้านี้ คนนี้ เขามาเล่นที่กรุงเทพฯ วันก่อนหน้าไปแล้วที่ Studio Lam แต่เรารอมาดูที่นี่ทีเดียว เป็นพ่อหนุ่ม เร็กเก้ มาพร้อมมือเบสสาวเท่ มีอุปกรณ์แค่ กีตาร์ เบส และเอฟเฟคอีกนิดหน่อย ดนตรีเรียบง่ายตามสไตล์แต่เสียงร้องทั้ง 2 คน มีเสน่ห์หรือเกิน น่ารักทั้งคู่เลยนะ ก่อนจะเข้าเพลง This is love ของ Bob Marley พ่อ Andrew ชมมือเบสเสียเขิน ว่าเธอเป็นผู้หญิงพิเศษมีความเป็นหยิน-หยางในตัว คนดูอย่างเราแอบอมยิ้มตามไปด้วย.
Andrew Ahswong & Theo Parrish
จบจากจังหวะเบา ๆ ก็ต่อด้วย Hugo คนไทยแลต่างชาติให้ความสนใจพอสมควร มีเล่นเพลงทั้งจากยุค สิบล้อ และ Hugo ตอนอัลบั้มกับต่างประเทศ และที่ขาดไม่ได้เลย คือ Twist & Hug ซิงเกิ้ลแรกจากอัลบั้มล่าสุด แต่ที่ชอบที่สุดของ Hugo เรากลับ ชอบมือกีตาร์แบ็คอัพ "เบิร์ด" จาก Desktop Error เป็นมือกีตาร์ที่เรายอมรับในฝีมือจริง ๆ.
Hugo
กลิ่นอายอเมริกันแบบ Black keys ผ่านไปเข้าสู่ความคึกคักตามแบบฉบับ ของชาวสีม่วง Hercules and the love affair บีทเพลงตามสไตล์ ดิสโก้ แบบแต๋วแตก ปลุกอารมณ์ให้คนคึกคักไม่ยากเลย โดยเฉพาะลีลาการร้อง+เต้นของนักร้องนำ Rouge Mary และอีกหนึ่งคน GUSTAPH คนนี้น่ารักสุด ๆ เต้นเหมือนอยู่ในโลกอันสดใส ถ้าใครนึกไม่ออกว่าสดใสแบบไหน ให้หลับตาลงแล้วนึกถึงหนังเรื่อง Ma via en Rose สดใสในโลกสีชมพูของฉันแบบนั้น แต่ที่เสียดายคืออยากให้วงนี้มาตอนสมาชิกดั้งเดิมยังอยู่กันครบ โดยเฉพาะ Antony Hegarty และงานนี้ก็ไม่เห็น Kin Ann อีกด้วย
Sa-wad-dee-ka
อันนี้เล่นท่ายากส์..
Dj ระหว่างคั่นรายการต่อไป
ปิดท้าย Living Stage ด้วย Fat Freddy's Drop แนว Raggae dub ที่ performance ได้แบบ มันหยดติ๋ง ๆ สมชื่อ คนดูเอ็นจอยและสนุก เพลงต่อเพลงได้ไม่น่าเบื่อ ไล่อารมณ์คน ให้ค่อย ๆ ต่ำ แบบ dub และค่อย ๆ ไต่ขึ้นไปตามสเต็ปจนถึงจุดพีคขีด เล่นเอาคนดูฟินกับความสนุกกันไปทั้งแถบ...
หลักฐานของความสนุกแบบมันส์หยดติ๋ง ๆ คุณพี่ "พุงพริ้ว"
หลังจากจบเวที Living stage ยังมีหลาย ๆ ซุ้ม และ หลาย ๆ บู้ท ที่บรรดา DJ ทั้งหลาย รอเปิดเพลงต้อนรับคนแบบไม่ยอมให้ความสนุกขาดตอน ก่อนที่ราตรีจะผ่านพ้นไป สนุกและเหนื่อยมากเลยรีบดิ่งหัวเข้าเต้นท์นอน เลยก็ไม่ได้แวะไปดูบรรยากาศตอนกลางคืน รูปเวทีอื่นๆ และซุ่มตลาดของยามค่ำคืนเลย เห็นคนอื่นๆ ถ่ายมาบรรยากาศสวยมว้ากกก..
ผ่านวันแรกไปกับความสนุกสนาน อากาศเย็น ๆ ลมพัดโชยยอดมะพร้าวไหว
รออีกวันพรุ่งนี้จะได้เจอกันใหม่ :D
Create Date : 26 ธันวาคม 2557 |
|
0 comments |
Last Update : 25 มีนาคม 2558 11:14:16 น. |
Counter : 1063 Pageviews. |
|
|
|