|
| 1 | 2 |
3 | 4 | 5 | 6 | 7 | 8 | 9 |
10 | 11 | 12 | 13 | 14 | 15 | 16 |
17 | 18 | 19 | 20 | 21 | 22 | 23 |
24 | 25 | 26 | 27 | 28 | 29 | 30 |
31 | |
|
|
|
|
|
|
|
ปูทองรู้คุณ
พระพุทธเจ้าเล่าเรื่อง “ปูทองรู้คุณ - สุวรรณกักกฏกชาดก” “การกระทำความดี ย่อมได้รับผลตอบแทนในความดีอยู่เสมอ....” ครั้งหนึ่งพระมหาโพธิสัตว์ ลงไปเกิดในตระกูลกาสิกพราหมณ์ที่กรุงราชคฤห์ มีชื่อว่า “พราหมณ์ศรินทิยะ” (Sālindiya) ดวงตาของพราหมณ์ปรากฏเป็นวงกลม 3 ชั้น ใสแจ๋ว สามารถให้มองเห็นอะไรได้ชัดเจนกว่าผู้อื่น ในวันหนึ่งระหว่างทางที่พราหมณ์ได้ออกไปยังหนองน้ำใหญ่ปลายนา ได้พบปูตัวหนึ่ง มีชื่อว่า“อัสทะบาท” มีสีทอง กำลังกระหายน้ำใกล้จะตาย พราหมณ์จึงนำผ้ามาห่อปูทองมายังแม่น้ำ แล้วปล่อยให้ปูทองว่ายน้ำไป พราหมณ์มีความสุขที่ได้ช่วยปูทองให้พ้นจากความทุกข์ทรมาน ทุกครั้งที่พราหมณ์มายังหนองน้ำ ก็จะพบปูทองอัสทะบาทที่เติบใหญ่ขึ้นอยู่เสมอ จนเกิดเป็นความคุ้นเคยระหว่างกัน ใกล้กับหนองน้ำนั้น มีกาผัวเมียอยู่คู่หนึ่งอาศัยอยู่บนต้นตาลใหญ่ นางกาเกิดแพ้ท้อง อยากกินดวงตาพราหมณ์ จึงได้อ้อนวอนขอให้พ่อกาช่วยคิดแผนการร้าย โดยจะไปขอให้งูเห่าที่อาศัยอยู่ในจอมปลวกใต้ต้นตาลเดียวกันไปกัดพราหมณ์ แล้วค่อยไปจิกควักลูกตามากิน ทุกวัน กาทั้งสองจึงไปเอาอกเอาใจงูเห่า หาอาหารมาให้กินเป็นประจำ จนถึงวันหนึ่งจึงเอ่ยปากขอร้องไหว้วาน ทวงบุญคุณกับงูเห่า ขอให้งูเห่าไปกัดพราหมณ์ "...เจ้าจะได้กินเนื้ออร่อยของเขา แต่ดวงตาของเขาเป็นของฉันนะ...” นางกากล่าว "....มันเป็นการแบ่งผลประโยชน์ที่ดีนะอีกา เอาล่ะ ฉันจะเลื้อยไปกัดเขาให้ตายเสียก่อน...เดี๋ยวนี้ " งูเห่าเลื้อยออกมาโพรงแล้วเข้ามากัดพราหมณ์จนล้มลงนอนร้องครวญครางจนแน่นิ่งอยู่กับพื้น ปูทองอัสทะบาท รีบขึ้นมาจากแม่น้ำ แล้วกล่าวว่า "...พวกเจ้ายังกินเขาไม่ได้นะ...” ปูทองให้ข้อเสนอกับพ่อกากับงูเห่าว่า “...ข้านั้นมีเวทมนตร์ที่จะทำให้คอของพวกเจ้ายาวขึ้น ช่วยให้เจ้าเพลิดเพลินกับการกินลูกตาและเนื้อของเขา มันจะอร่อยมากกว่าหลายเท่านัก หากเมื่อพวกเจ้าได้ลิ้มลองรสชาติไว้เป็นเวลายาวนานด้วยคออันยาว....” ทั้งงูเห่าและกาตกลง จึงยื่นคอให้ยาวเข้ามาเพื่อรับเวทมนตร์ ปูทองอัสทะบาทจึงใช้จังหวะ บีบก้ามอันแข็งแรงหนีบคอทั้งกาและงูเห่าเอาไว้ แล้วกล่าวว่า “....เจ้างูร้าย พราหมณ์ผู้นี้เป็นผู้มีพระคุณช่วยชีวิตข้าไว้ในอดีต เจ้าต้องช่วยให้เขาฟื้นกลับขึ้นมา ไม่เช่นนั้นข้าจะหนีบคอเจ้าทั้งคู่ให้ขาด.....” งูเห่าและอีกาไม่ยอม จึงพยายามล่อลวงให้ปูทองปล่อยพวกตนก่อน จึงตอบว่า “.....ได้ซิ งั้นข้าจะช่วยดูดพิษออกจากพราหมณ์ให้ แต่เจ้าจะต้องปล่อยก้ามที่หนีบพวกข้าไว้เสียก่อนที่พิษร้ายจะเข้าสู่ร่างกายเขามากกว่านี้ ไม่งั้นเราคงช่วยอะไรเจ้าไม่ได้นะ....” “....ใช่แล้วเจ้าปู ได้ยินแล้วก็รีบปล่อยพวกเราซิ....” อีกากล่าวสำทับ แต่ปูทองมิได้หลงในเล่ห์กล “....ข้าไม่เชื่อพวกเจ้าหรอก ข้าจะปล่อยพวกเจ้าไปก็ต่อเมื่อพราหมณ์ฟื้นคืนขึ้นมาแล้วเท่านั้น เร็วเข้า เจ้างู เจ้าจงรีบดูดพิษออกเดี๋ยวนี้ ไม่เช่นนั้นข้าก็จะหนีบคอพวกเจ้าให้ขาดกระเด็นตายตามกันไปเลย...” ปูทองคลายก้ามที่บีบออกเล็กน้อยเพื่อให้งูเห่าสามารถเข้าไปดูดพิษคืน จนพราหมณ์ฟื้นขึ้น ได้สติคืนมา “...เราช่วยให้พราหมณ์ฟื้นขึ้นแล้ว เจ้าจงปล่อยพวกข้าได้แล้ว....” งูเห่ากล่าว “.....ใช่ ปล่อยเราได้แล้ว เจ็บจะตายอยู่หนีบซะแรงเลย....” อีกากล่าวสำทับ แต่ปูทองกลับกล่าวว่า “....หากปล่อยพวกเจ้าไป ก็โง่น่ะสิ สัตว์เดรัจฉานที่คิดการร้ายอย่างพวกเจ้านั้น หากปล่อยไป ก็คงจะคิดกระทำการชั่วร้ายอีก.....” ว่าแล้วปูทองก็ได้ออกแรงบีบก้ามสุดแรง จนคอของสัตว์ทั้งสองขาดกระเด็น สิ้นชีวิตไปทั้งคู่ ฝ่ายนางกาที่อยากกินลูกตาพราหมณ์ ก็ได้รีบบินหนีไป ไม่กลับมาอีกเลย พราหมณ์เห็นเหตุการณ์ทั้งหมด จึงขอบคุณปูทองที่ได้ช่วยชีวิตตนเอาไว้ ปูทองอัสทะบาทจึงกล่าวแก่พราหมณ์ศรินทิยะว่า "...ท่านเคยได้ช่วยชีวิตข้าเอาไว้ในครั้งก่อน คราวนี้เราขอตอบแทนด้วยการช่วยชีวิตท่าน ..." --------------------------------- *** เรื่องราวชาดก (jātaka Story) หรือเรื่องเล่าพระโพธิสัตว์ เรื่อง “สุวรรณกักกฏกชาดก” (Suvaṇṇakakkaṭa Jātaka) อยู่ในชาดก 550 เรื่อง “ชาตกอรรถวรรณา” (Jātakatthavaṇṇanā) หรือ “อรรถกถาชาตก” (Jātakaṭṭhakathā) ภาษาบาลีของฝ่ายนิกายเถรวาท ปรากฏรูปศิลปะที่เก่าแก่ที่สุดในโลกบนเสารั้วเวทิกาหินทรายแดงของสถูปภารหุต (Bharhut stupa) ศิลปะแบบราชวงศ์ศุงคะ อายุในราวกลางพุทธศตวรรษที่ 4 ปัจจุบันจัดแสดงพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ กรุงนิวเดลลี (ชิ้นส่วนหินประกอบของสถูปแทบทั้งหมด ถูกย้ายไปจัดแสดงไว้ในพิพิธภัณฑ์อินเดียน ที่เมืองกัลกัตตา (Indian Museum – Calcutta) อิทธิพลในคติและเรื่องราวชาดกพระโพธิสัตว์แบบเถรวาทจากอินเดียและลังกา คงได้แพร่หลายเข้ามาสู่เอเชียตะวันออกเฉียง มาตั้งแต่ราวพุทธศตวรรษที่ 10 – 11 แล้ว ดังปรากฏเป็นภาพปูนปั้นชาดกหลายเรื่องที่เจดีย์จุลประโทน จังหวัดนครปฐม แต่เรื่อง “สุวรรณกักกฏกชาดก” ยังไม่พบในเขตวัฒนธรรมทวารวดีภาคกลาง แต่ไปปรากฏภาพสลักบนใบเสมาหินทรายหลักหนึ่ง ที่วัดโนนศิลาอาสน์ บ้านหนองกาลืม ตำบลเมืองพาน อำเภอบ้านผือ จังหวัดอุดรธานี อายุในราวพุทธศตวรรษที่ 13 – 14 ภาพศิลปะของชาดกเรื่องปูทองรู้คุณที่เป็นที่รู้จักกันทั่วโลก คือภาพสลักนูนต่ำบนผนังกำแพงของราวบันไดทางขึ้นสู่ลานประทักษิณ ของ “วิหารจันทิเมนดุต” (Chandi Mendut Vihara) ศิลปะแบบราชวงศ์ไศเลนทร์ อายุในราวกลางพุทธศตวรรษที่ 14 บนเกาะชวากลางครับ เครดิต ; FB วรณัย พงศาชลากร EJeab Academy ..................................................... ยังมีสาระเรื่องราวดี ๆ ที่อยากเล่าตามมาดูเราได้ที่ ; My blogs link 👆 https://sites.google.com/site/dhammatharn/ https://abhinop.blogspot.com https://abhinop.bloggang.com ..................................................... ททมาโน ปิโยโหติ #ผู้ให้ย่อมเป็นที่รัก A giver is always be love. .......................................................
Create Date : 04 มกราคม 2564 |
Last Update : 23 มีนาคม 2564 14:22:44 น. |
|
2 comments
|
Counter : 3874 Pageviews. |
|
|
|
|
|
|
MY VIP Friend
|
|
|
|
A giver is always be love.