ททมาโน ปิโย โหติ ผู้ให้ย่อมเป็นที่รัก A giver is always be loved.
Group Blog
 
 
สิงหาคม 2554
 
 123456
78910111213
14151617181920
21222324252627
28293031 
 
18 สิงหาคม 2554
 
All Blogs
 
โทษที่ฉกฉวยเอาประโยชน์ของคนอื่น

กิงฉันทชาดก ว่าด้วยโทษที่ฉกฉวยเอาประโยชน์ของคนอื่น
พระศาสดาเมื่อเสด็จประทับอยู่ ณ พระเชตวันมหาวิหาร ทรงปรารภ อุโบสถกรรม ตรัสพระธรรมเทศนานี้ ดังนี้.

ความย่อว่า วันหนึ่ง พระศาสดาตรัสถามอุบาสก อุบาสิกาเป็นอันมาก ผู้รักษาอุโบสถ ผู้มานั่งเพื่อจะฟังพระธรรมเทศนาอยู่ที่โรงธรรมสภาว่า ดูก่อน อุบาสกอุบาสิกาทั้งหลาย พวกท่านรักษาอุโบสถหรือ? เมื่อเขากราบทูลให้ ทรงทราบแล้ว ตรัสว่า ท่านทั้งหลายทำการรักษาอุโบสถ จัดว่าได้ทำความดี บัณฑิตแต่ครั้งโบราณทั้งหลายได้รับยศอันยิ่งใหญ่ ก็เพราะผลแห่งอุโบสถกรรมกึ่งหนึ่ง อันพวกอุบาสกอุบาสิกากราบทูลอาราธนา จึงทรงนำอดีตนิทานมา ตรัสดังต่อไปนี้

ในอดีตกาล เมื่อพระเจ้าพรหมทัตเสวยราชสมบัติอยู่ในพระนครพาราณสีโดยธรรม ทรงเป็นผู้มีศรัทธาปสาทะ ไม่ประมาทในทานศีลและอุโบสถกรรม ท้าวเธอมีตรัสสั่งกับผู้อื่นมีอำมาตย์เป็นต้น ให้ตั้งมั่นในกุศลจริยามีทานเป็นต้น แต่ปุโรหิตของพระองค์ มีปกติรีดเลือดเนื้อประชาชน กินสินบน วินิจฉัยอรรถคดีโดยอยุติธรรม ในวันอุโบสถตรัสสั่งให้ประชาชนมีอำมาตย์เป็นต้นมาเฝ้า แล้วตรัสสั่งว่า พวกท่านทั้งหลายจงมารักษาอุโบสถ ปุโรหิตก็ไม่ยอมสมาทานอุโบสถ
คราวนั้น เมื่อพระราชากำลังทรงซักถามพวกอำมาตย์ว่า ท่านทั้งหลายสมาทานอุโบสถละหรือ? จึงตรัสถามปุโรหิตผู้รับสินบนและตัดสินอรรถคดีโดยอยุติธรรม ในเวลากลางวัน แล้วมาสู่ที่เฝ้าว่า ท่านอาจารย์ ท่านสมาทานอุโบสถแล้วหรือ?
ปุโรหิตนั้น ทูลคำเท็จว่าสมาทานแล้ว พะย่ะค่ะ แล้วลงจากปราสาทไป ครั้งนั้น อำมาตย์ ผู้หนึ่งท้วงว่า ท่านไม่ได้สมาทานอุโบสถมิใช่หรือ?

ปุโรหิตนั้นพูดแก้ตัวว่า ข้าพเจ้าบริโภคอาหารเฉพาะในเวลาเท่านั้น และข้าพเจ้ากลับไปเรือนแล้ว จักบ้วนปากอธิษฐานอุโบสถ ไม่บริโภคอาหารในเวลาเย็น ข้าพเจ้าจักรักษาอุโบสถศีลในเวลากลางคืน ด้วยอาการอย่างนี้ ข้าพเจ้าก็จักมีอุโบสถกรรม กึ่งหนึ่ง

อำมาตย์ผู้นั้นกล่าวว่า ดีละขอรับ ท่านอาจารย์

ปุโรหิตนั้นกลับเรือนแล้ว ก็ได้กระทำอย่างนั้น.

อยู่มาวันหนึ่ง เมื่อปุโรหิตนั้นนั่งอยู่ในศาล สตรีผู้มีศีลคนหนึ่ง มายื่นฟ้องคดี เมื่อไม่ได้โอกาสที่จะกลับไปเรือน จึงคิดว่า เราจักไม่ละเลยอุโบสถกรรม พอใกล้เวลานางจึงเริ่มบ้วนปาก ขณะนั้นมีผู้นำผลมะม่วงสุก มาให้พราหมณ์ปุโรหิตพวงหนึ่ง พราหมณ์ปุโรหิตรู้ว่าหญิงนั้นจะสมาทานอุโบสถ จึงหยิบมะม่วงส่งให้พร้อมกับพูดว่า เจ้าจงรับประทานมะม่วงสุกเหล่านี้ก่อนแล้วจึงสมาทานอุโบสถเถิด หญิงนั้นก็ได้กระทำตามนั้น กุศล กรรมของพราหมณ์ปุโรหิตมีเพียงเท่านี้.

ในเวลาต่อมา พราหมณ์ปุโรหิตนั้นทำกาลกิริยาแล้ว ได้ไปบังเกิดเหนือสิริไสยาสน์อันอลงกต ในวิมานทองอันงามเรืองรอง มีภูมิภาคเป็นรมณียสถาน ในสวนอัมพวัน มีบริเวณ ๓ โยชน์ ใกล้ฝั่งน้ำโกสิกิคงคานที ในหิมวันตประเทศ ดุจคนที่หลับแล้วตื่นขึ้น มีเรือนร่างอันประดับตกแต่งดีแล้ว ทรงรูปโฉมงามสง่า แวดล้อมด้วยนางเทพกัญญาหมื่นหกพันเป็นบริวาร เขาได้เสวยสิริสมบัตินั้น เฉพาะในเวลากลางคืนเท่านั้น

ความจริง เทพบุตรนั้น ได้เสวยวิบากผลสมกับกรรมที่ตนทำไว้ โดยภาวะเป็นเวมานิกเปรต เพราะ ฉะนั้น เมื่อเวลาอรุณขึ้น เขาจะต้องไปสู่สวนอัมพวัน ในขณะที่ย่างเข้าไปสู่สวนอัมพวันเท่านั้น อัตภาพอันเป็นทิพย์ของเขาก็อันตรธานไป เกิดอัตภาพประมาณเท่าลำตาล สูง ๘๐ ศอกแทน ไฟติดทั่วร่างกาย เป็นเหมือนดอก ทองกวาวที่บานเต็มที่ฉะนั้น นิ้วแต่ละนิ้วที่มือทั้งสองข้าง มีเล็บโตประมาณเท่าจอบใหญ่ เขาเอาเล็บเหล่านั้น กรีดจิกควักเนื้อข้างหลังของตนออกมากิน เสวยทุกขเวทนาร้องโอดครวญอยู่

เมื่อพระอาทิตย์อัสดงคตแล้ว ร่างนั้นก็อันตรธานไป ร่างอันเป็นทิพย์ก็เกิดขึ้นแทน เหล่านางฟ้อนอันเป็นทิพย์ ผู้ประดับตกแต่งแล้วด้วยทิพพาลังการ ต่างถือดุริยางดนตรีมาห้อมล้อมบำเรอ เมื่อจะเสวยมหาสมบัติ ก็ขึ้นไปยังปราสาทอันเป็นทิพย์ ในสวนอัมพวันอันเป็นรมณียสถาน

เวมานิกเปรตนั้น ได้เฉพาะซึ่งสวนอัมพวัน อันมีปริมณฑล ๓ โยชน์ ด้วยผลแห่งการให้ผลมะม่วงแก่สตรีผู้สมาทานอุโบสถ แต่เพราะผลแห่งการกินสินบน ตัดสินคดีโดยอยุติธรรม จึงต้องจิกควักเนื้อหลังของตนกิน และเพราะผลแห่งอุโบสถกรรมกึ่งหนึ่ง จึงได้เสวยยศอันเป็นทิพย์แวดล้อมด้วยหญิงฟ้อนหมื่นหกพันเป็นบริวาร บำรุงบำเรอด้วยประการฉะนี้.

กาลนั้น พระเจ้าพาราณสี เห็นโทษในกามารมณ์ จึงเสด็จออกทรงผนวชเป็นดาบส ให้กระทำบรรณศาลาที่ภูมิประเทศอันน่ารื่นรมย์ประทับอยู่ ยังอัตภาพให้เป็นไปด้วยอุญฉาจริยวัตร (เที่ยวภิกษาเลี้ยงชีวิต) อยู่มาวันหนึ่ง ผลมะม่วงสุกโตประมาณเท่าหม้อเขื่อง ๆ ตกมาจากสวนอัมพวันนั้น ลอยมาตามกระแสแม่น้ำคงคา มาถึงตรงท่าน้ำซึ่งเป็นที่บริโภคใช้สอยของพระดาบสนั้น พระดาบสกำลังล้างปากอยู่ เหลือบเห็นผลมะม่วงสุกนั้นลอยมากลางน้ำ จึงลงว่ายน้ำเก็บมานำไปอาศรมบท เก็บไว้ในเรือนไฟ ผ่าด้วยมีด แล้วฉันพอเป็นเครื่องประทังชีวิต ส่วนที่เหลือเอาใบตองปิดไว้ แล้วต่อมาก็ฉันผลมะม่วงนั้นทุก ๆ วันจนหมด
เมื่อมะม่วงสุกผลนั้นหมดแล้ว พระดาบสก็ไม่อยากฉันผลไม้อื่น ๆ เพราะติดในรสแห่งมะม่วงนั้น จึงตั้งใจว่า จักฉันเฉพาะผลมะม่วงสุกชนิดนั้น จึงไปนั่งคอยดูอยู่ที่ริมแม่น้ำ ตกลงใจว่า ถ้าไม่ได้ผลมะม่วงสุกจักไม่ยอมลุกขึ้น ดาบสนั้นไม่ยอมขบฉัน สู้นั่งคอยดูผลมะม่วงอยู่ที่ริมน้ำนั้นถึง ๖ วัน จนร่างกายซูบซีดเพราะลมและแดดแผดเผา

ครั้นถึงวันที่เจ็ด นางเทพธิดาผู้รักษาแม่น้ำ พิจารณาดูรู้เหตุนั้น แล้วคิดว่า พระดาบสผู้นี้เป็นผู้ตกอยู่ในอำนาจของความอยาก สู้อดอาหารถึง ๗ วัน มานั่งคอยดูแม่น้ำคงคา การที่เราจะไม่ถวายผลมะม่วงสุกแก่ดาบสนี้ไม่สมควรเลย เมื่อดาบสนี้ไม่ได้ผลมะม่วงสุกคงจักมรณภาพ เราจักถวายแก่ท่าน จึงมายืนบนอากาศเหนือแม่น้ำคงคา เมื่อจะสนทนากับดาบสนั้น จึงกล่าวว่า

ดูก่อนพราหมณ์ * ท่านมีความพอใจอะไร ประสงค์อะไร ปรารถนาอะไร แสวงหาอะไร จึงมานั่งอยู่แต่ผู้เดียวในเวลาร้อน เพราะเหตุไร ท่านจึงมานั่งดูแม่น้ำ.

* นางเทพธิดากล่าวเรียกดาบสนั้นว่า "พราหมณ์" เพราะบวชแล้ว

พระดาบสได้ฟังดังนั้น จึงกล่าวคาถา ๑๐ คาถา ความว่า

หม้อน้ำใหญ่ มีรูปทรงงดงามฉันใด ผลมะม่วงสุกอันมีสีกลีบและรสดีเยี่ยม ก็มีอุปไมยฉันนั้น.เราได้เห็นผลมะม่วงนั้น อันกระแสน้ำพัดลอยมาท่ามกลางแม่น้ำ จึงได้หยิบเอามาเก็บไว้ในเรือนไฟ.แต่นั้นก็วางไว้บนใบตอง ทำวิกัปด้วยมีดเองแล้วก็ฉัน พอข้าพเจ้าวางมะม่วงลงที่ปลายลิ้น เท่านั้น รสแห่งมะม่วงสุกนั้น แผ่ไปตลอดเส้นเอ็นรับรสทั้ง ๗ พัน จนบำบัดความหิวและความระหายของข้าพเจ้าได้.เราหมดความกระวนกระวายใจ เพราะว่า ผลมะม่วงสุกนั้น กำจัดความกระวนกระวายของข้าพเจ้าได้ เหมือนบริโภคโภชนะอันมีรสดี พอมะม่วงหมด เราต้องอดทนต่อความทุกข์ ข้าพเจ้าไม่มีความยินดี แม้เล็กน้อยในผลไม้อื่นๆ มี ผลกล้วยและผลขนุนเป็นต้น อย่างอื่น ผลกล้วย ผลขนุนทั้งหมด พอข้าพเจ้าวางแตะลิ้น ก็สำเร็จความอิ่มทันที (คือเมื่อไม่อยากกิน)

ผลมะม่วงใดเกิดมีแก่ข้าพเจ้า ผลมะม่วงนั้นมีรสอร่อยเป็นเลิศ เป็นที่น่ารื่นรมย์ใจ คงจักนำความตายมาแก่ข้าพเจ้าแน่ เพราะซูบผอม เนื่องจากอดอาหาร.

ข้าพเจ้าเก็บผลมะม่วงสุก อันลอยมาจากทะเลในห้วงมหรรณพได้ ข้าพเจ้าเข้าใจว่าผลมะม่วงสุกนั้นคงจักนำความตายมาแก่ข้าพเจ้า ข้าพเจ้าต้องมานั่งอยู่ที่นี่เพราะเหตุใด เหตุนั้นทั้งหมดข้าพเจ้าบอกท่านแล้ว.

ข้าพเจ้านั่งอยู่ เฉพาะแม่น้ำอันน่ารื่นรมย์ แม่น้ำนี้กว้างขวางมีปลาโลมาใหญ่อาศัยอยู่ น่าจะพึงมีความสบาย ข้าแต่ท่านผู้ยืนอยู่เฉพาะหน้าแห่งเราไม่หนีไปท่านจงบอกความนั้นแก่เราเถิด.

ดูก่อนท่านผู้มีร่างกายอันสันทัดงามดี ท่านผู้มีร่างอันงามเช่นกับด้วยทองใบทั้งแผ่น หรือดุจนางพยัคฆี ที่สัญจรไปตามซอกเขา ท่านเป็นใคร หรือว่าท่านมาที่นี่เพื่ออะไร.

เทพนารีทั้งหลายในเทวโลก ซึ่งเป็นบริจาริกาแห่งทวยเทพในฉกามาพจรสวรรค์ มีอยู่เหล่าใด หรือสตรีมีรูปงาม ในมนุษยโลกเหล่าใด เทพนารี และสตรีทั้งหลายเหล่านั้น ในหมู่เทวดาคนธรรพ์ และมนุษย์ ไม่มีที่จะเสมอเหมือนท่านด้วยรูป ท่านผู้มีตะโพกอันงามประหนึ่งทอง เราถามท่านแล้ว ขอจงบอกชื่อและเผ่าพันธุ์เถิด.

ลำดับนั้น นางเทพธิดาได้กล่าวว่า

ดูก่อนพราหมณ์ดาบส ท่านนั่งอยู่ เฉพาะแม่น้ำโกสิกิคงคาอันน่ารื่นรมย์ใด โกสิกิคงคานั้น มีกระแสอันเชี่ยว เป็นห้วงน้ำใหญ่ ข้าพเจ้าสิงสถิตอยู่ในวิมานอันตั้งอยู่ที่แม่น้ำนั้น.

มีลำห้วย และลำธาร ไหลมาจากเขาหลายแห่งเกลื่อนกล่นไปด้วยหมู่ไม้นานาพรรณ ย่อมไหลตรงมารวมอยู่ที่ข้าพเจ้าทั้งนั้น.

ใช่แต่เท่านั้น ยังมีน้ำที่ไหลมาจากป่า มีกระแสไหลเชี่ยว สีเขียวปัด อีกมากหลาย และน้ำที่พวกนาคกระทำให้มีสีวิจิตรต่าง ๆ ย่อมไหลมาตามกระแสน้ำ.แม่น้ำเหล่านั้นย่อมพัดเอา ผลมะม่วง ผลชมพู่ ผลขนุนสำมะลอ ผลกระทุ่ม ผลตาล และผลมะเดื่อเป็นอันมาก มาเนือง ๆ.

ผลไม้ชนิดใดชนิดหนึ่ง ที่ฝั่งทั้งสองตกลงในน้ำแล้ว ผลไม้นั้นย่อมตกอยู่ในอำนาจแห่งกระแสน้ำของข้าพเจ้า โดยไม่ต้องสงสัย.

ดูก่อนท่านผู้เป็นปราชญ์ มีปัญญามาก ผู้เป็นใหญ่กว่านรชน ท่านรู้อย่างนี้แล้วจงฟังข้าพเจ้า ท่านอย่าพอใจความเกี่ยวเกาะด้วยตัณหาอย่างนี้เลย จงเลิกคิดเสียเถิด.

ดูก่อนพระราชฤๅษี ผู้ยังรัฐให้เจริญ ข้าพเจ้าไม่เข้าใจว่าท่านจะเจริญรุ่งเรืองไปได้อย่างไร เมื่อท่านซูบผอมรอความตายอยู่.เพราะโลภในมะม่วง เราหาสำคัญความเป็นบัณฑิตเช่นนี้ของท่านไม่

พรหม คนธรรพ์ เทวดา และฤๅษีทั้งหลาย ในโลกนี้ ผู้มีตนอันสำรวมแล้ว เรืองตบะ เริ่มตั้งความเพียร ผู้เรืองยศ ย่อมรู้ความที่ท่านตกอยู่ในอำนาจแห่งตัณหา อย่างไม่ต้องสงสัยเลย.

เมื่อนทีเทพธิดา จะให้ดาบสนั้นเกิดความสังเวชจึงกล่าวอย่างนั้น ลำดับนั้น พระดาบสได้กล่าวว่า

บาปย่อมไม่เจริญแก่นรชน ผู้รู้จักศีล และความไม่เที่ยงแล้วดำรงอยู่ ฉันใด ข้าพเจ้าซึ่งรู้ธรรมทั้งปวง รู้ความสลายและความจุติแห่งชีวิต ก็เป็นฉันนั้น ก็ข้าพเจ้าไม่คิดเพื่อจะฆ่าใคร ๆ นั่งคอยดูแม่น้ำ ทำความอาลัยในมะม่วงสุกอย่างเดียว ท่านตรวจดูแล้ว ได้เห็นอกุศลกรรมอะไรของข้าพเจ้าบ้างเล่า?

ดูก่อน ท่านผู้ซึ่งหมู่ฤๅษีผู้ลอยบาปรู้กันทั่วแล้วว่าเป็นผู้เกื้อกูลแก่โลก แต่ต้องทำบาปกรรมแก่ตนเอง เพราะใช้คำบริภาษอันไม่ประเสริฐไพเราะ.เพราะเมื่อบาปในตัวของข้าพเจ้าไม่มีอยู่เลย ท่านก็มาบริภาษข้าพเจ้าถึงอย่างนี้ ทั้งเพ่งเล็งความตายต่อข้าพเจ้า ชื่อว่าใฝ่แสวงหาบาปกรรม ทำให้เกิดขึ้นแก่ตน
ดูก่อนท่านผู้มีตะโพกอันผึ่งผาย ถ้าเราจักตายอยู่ที่ริมฝั่งน้ำของท่านเพราะไม่ได้ผลมะม่วงสุกนั้น เมื่อเราตายไปแล้ว ความติเตียนก็จักมาถึงท่านโดยไม่ต้องสงสัย.

ดูก่อนท่านผู้มีสะเอวอันกลมกลึง เพราะฉะนั้นแล ท่านจงรักษาบาปกรรมไว้เถิด อย่าให้คนทั้งปวงติเตียนท่านได้ในภายหลัง ในเมื่อเราตายไปแล้ว.

นางเทพธิดาได้ฟังดังนั้น จึงกล่าวว่า

เหตุนั้นข้าพเจ้าทราบแล้ว ท่านจงอดกลั้นไว้ก่อน ข้าพเจ้าจะยอมตน และให้มะม่วงแก่ท่าน เพราะท่านละกามคุณที่ละได้ยาก แล้วตั้งไว้ซึ่งความสงบ และสุจริตธรรม.

บุคคลใดละสังโยชน์ในก่อนได้ แล้วภายหลังมาตั้งอยู่ในสังโยชน์ ประพฤติอธรรมอยู่ บาปย่อมเจริญแก่บุคคลนั้น.

มาเถิด ข้าพเจ้า จะนำท่านไปยังสวนมะม่วงท่านจงเป็นผู้มีความขวนขวายน้อยโดยส่วนเดียวเถิดข้าพเจ้าจักนำท่านไปในสวนมะม่วงอันร่มเย็น ท่านจงเป็นผู้ไม่ขวนขวายอยู่เถิด.

ดูก่อนท่านผู้ปราบปรามข้าศึก สวนนั้นเกลื่อนกล่นไปด้วยหมู่นก ที่มัวเมาอยู่ในรสดอกไม้ มีนกกระเรียน นกยูง นกเขา ซึ่งมีสร้อยคออันน่าชม มีหมู่หงส์ส่งเสียงร้องขรม ฝูงนกดุเหว่าที่ร้องปลุกสัตว์ทั้งหลายอยู่ในสวนมะม่วงนั้น.

ผลมะม่วง ในสวนนั้น ดกเป็นพวง ๆ ดุจฟ่อนฟางปลายกิ่งห้อยโน้มลงมา มีทั้งต้นคำ ต้นสน ต้นกระทุ่มและผลตาลสุกห้อยอยู่เรียงราย.

เมื่อนางเทพธิดา กล่าวอย่างนี้แล้ว จึงอุ้มดาบสขึ้นนอนแนบอก เหาะไปในอากาศ เห็นทิพอัมพวันอันมีปริมณฑลได้ ๓ โยชน์ และได้สดับเสียงแห่งสกุณปักษี แล้วจึงกล่าวแก่ดาบสว่า ท่านโปรดขบฉันผลมะม่วงทั้งหลาย ยังความอยากของตนให้เต็มบริบูรณ์ ในสวนอัมพวันนี้ แล้วนางเทพธิดาก็กลับไป
ครั้นพระดาบสขบฉันผลมะม่วงจนอิ่มสมอยากแล้ว หลังจากที่ได้พักผ่อนอยู่พักหนึ่งแล้ว จึงเที่ยวไปในสวนอัมพวัน พบเห็นเปรตนั้นกำลังเสวยทุกข์ แต่ไม่สามารถจะพูดอะไรได้ แต่เมื่อพระอาทิตย์อัสดงแล้ว เห็นเปรตนั้น มีหญิงฟ้อนแวดล้อมบำเรอ เสวยทิพยสมบัติอยู่ จึงกล่าวว่า

ท่านทรงทิพมาลา ผ้าโพกศีรษะ และเครื่องอาภรณ์ล้วนแต่เป็นทิพย์ มีทองต้นแขน ลูบไล้ด้วยจุรณจันทน์ กลางคืนมีหญิง ๑๖,๐๐๐ คน เป็นปริจาริกาบำเรอท่านอยู่ แต่กลางวันต้องเสวยทุกขเวทนา.น่าขนพองสยองเกล้า.

ในปุริมภพ ท่านทำบาปกรรมอะไรไว้ จึงต้องนำทุกขเวทนามาสู่ตน ท่านทำกรรมอะไรไว้ในมนุษยโลก จึงต้องเคี้ยวกินเนื้อหลังของตนเองในบัดนี้.

เปรตจำพระดาบสได้ จึงทูลว่า พระองค์คงจำข้าพระพุทธเจ้าไม่ได้ ข้าพระพุทธเจ้า คือผู้ที่ได้เป็นปุโรหิตของพระองค์ ข้าพระพุทธเจ้าต้องเสวยความสุขในกลางคืนนี้ เพราะผลแห่งอุโบสถกึ่งหนึ่งที่ตนได้ทำมา เพราะอาศัยพระองค์ แต่ที่ได้เสวยทุกขเวทนาในเวลากลางวัน เพราะผลแห่งบาปกรรมที่ทำไว้แล้วเหมือนกัน แท้จริง ข้าพระพุทธเจ้า ซึ่งพระองค์ทรงตั้งไว้ในตำแหน่งผู้พิพากษา ได้ชำระคดีโดยอยุติธรรมรับสินบน ขูดเลือดเนื้อประชาชน เพราะผลแห่งกรรมที่ทำไว้นั้น ตอนกลางวัน ข้าพระพุทธเจ้า จึงได้เสวยทุกขเวทนานี้ แล้วกล่าวว่า

ข้าพเจ้าเรียนจบไตรเพท หมกมุ่นอยู่ในกามทั้งหลาย ได้ประพฤติเพื่อความฉิบหายมิใช่ประโยชน์แก่ชนเหล่าอื่น ตลอดกาลนาน.บุคคลใดเป็นผู้ขูดเลือดเนื้อผู้อื่น บุคคลนั้นย่อมต้องควักเนื้อของตนกิน เช่นเดียวกับที่ข้าพระพุทธเจ้าต้องกินเนื้อหลังของตนอยู่จนทุกวันนี้.

ก็แลครั้นเปรตกราบทูลอย่างนี้แล้ว จึงทูลถามพระดาบสว่า พระองค์เสด็จมาในที่นี้ได้อย่างไร?

พระดาบสเล่าเรื่องทั้งหมดให้ฟังโดยละเอียด

เปรตทูลถามอีกว่า ก็บัดนี้พระองค์จะประทับอยู่ในที่นี้ต่อไป หรือจักเสด็จไปที่อื่น ?

พระดาบสตรัสตอบว่า เราหาอยู่ไม่ จักกลับไปสู่อาศรมบทนั่นเทียว

เปรตทูลว่า ดีละพระเจ้าข้า ข้าพระพุทธเจ้าจักบำรุงพระองค์ด้วยผลมะม่วงสุกเป็นประจำ แล้วนำพระดาบสไปในอาศรมบท ด้วยอานุภาพของตน ทูลขอปฏิญญาว่า ขอพระองค์อย่าได้มีความกระสัน ประทับอยู่ในที่นี้เถิด แล้วทูลลาไป

ตั้งแต่นั้นมา เปรตนั้นก็บำรุงพระดาบสด้วยผลมะม่วงสุกเป็นนิตย์ พระดาบสเมื่อได้ฉันผลมะม่วงสุกนั้น ก็กระทำกสิณบริกรรม ยังฌานและ อภิญญาให้บังเกิด แล้วได้เป็นผู้มีพรหมโลกเป็นที่ไปในเบื้องหน้า.

พระบรมศาสดา ทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแสดงแก่อุบาสกอุบาสิกาทั้งหลายแล้ว ทรงประกาศอริยสัจธรรม ในที่สุดแห่งอริยสัจเทศนา บางพวกได้เป็นพระโสดาบัน บางพวกได้เป็นพระสกทาคามี บางพวกได้เป็นพระอนาคามี ทรงประชุมชาดกว่า นางเทพธิดา ในครั้งนั้น ได้มาเป็น นางอุบลวรรณา ส่วน ดาบส ได้มาเป็น เราผู้ตถาคต ฉะนี้แล.

ยังมีสาระเรื่องราวดี ๆ ที่อยากเล่าตามมาดูเราได้ที่ ;
My blogs link 👆
https://sites.google.com/site/dhammatharn/
https://abhinop.blogspot.com
https://abhinop.bloggang.com
ททมาโน ปิโยโหติ #ผู้ให้ย่อมเป็นที่รัก
A giver is always beloved.




Create Date : 18 สิงหาคม 2554
Last Update : 22 มีนาคม 2564 15:53:31 น. 1 comments
Counter : 473 Pageviews.

 
ยังมีสาระเรื่องราวดี ๆ ที่อยากเล่าตามมาดูเราได้ที่ ;
My blogs link 👆
https://sites.google.com/site/dhammatharn/
//abhinop.blogspot.com
//abhinop.bloggang.com
ททมาโน ปิโยโหติ #ผู้ให้ย่อมเป็นที่รัก
A giver is always beloved.


โดย: ผู้ให้ย่อมเป็นที่รัก วันที่: 22 มีนาคม 2564 เวลา:16:06:56 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

ผู้ให้ย่อมเป็นที่รัก
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 5 คน [?]




ททมาโน ปิโยโหติ ผู้ให้ย่อมเป็นที่รัก
A giver is always beloved.
New Comments
Friends' blogs
[Add ผู้ให้ย่อมเป็นที่รัก's blog to your web]
Links
 
MY VIP Friend


 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.