ประสบการณ์เล็ก ๆ น้อย ๆ จากประเทศออสเตรเลียค่ะ
Group Blog
 
<<
พฤศจิกายน 2551
 1
2345678
9101112131415
16171819202122
23242526272829
30 
 
11 พฤศจิกายน 2551
 
All Blogs
 
วันวานไม่หวนกลับ 5

ตอนมาแรก ๆ ดิฉันก็มอง ๆ หางานพิเศษ และไปได้งานร้านอาหารใกล้ๆ บ้าน ร้านอาหารไทย แต่เจ้าของเป็นคนฮ่องกง เป็นธุรกิจแบบครอบครัวน่ะค่ะ พ่อแม่ผัด ลูกเสิร์ฟ และจ้างเด็กเสิร์ฟอีกสองคน ดิฉันก็เป็นหนึ่งในนั้นที่ได้เสิร์ฟ งานก็เริ่มตั้งแต่สี่โมงครึ่งไปจนถึงร้านปิด ต้องใส่ชุดไทย บางร้านก็ไม่ใส่นะคะ แล้วแต่เจ้าของว่าชอบแบบไหน แรก ๆ ก็ดีใจได้ชั่วโมงละแปดเหรียญ แถมได้ข้าวกล่องกลับบ้านด้วย ถ้าเป็นร้านเจ้าของคนจีน ส่วนมากกล่องใส่อาหาร จะใหญ่กว่าปกติ ดิฉันทานคนเดียวก็ไม่เคยหมด เลยแบ่งครึ่งๆ ให้เจ้าของบ้านได้ทานด้วย เค้าก็ดีใจยกใหญ่ เกิดมาไม่เคยทานอาหารไทย ส่วนตัวเค้าก็ไม่ทานข้าวอยู่แล้ว จะทานขนมปังซะมากกว่า พอมีข้าวเข้ามา ก็ทำให้ประหยัดไปได้หลายมื้อ แทนที่แกจะต้องไปซื้อของสดมาทำอาหาร ก็เอาเงินส่วนนั้นไปซื้อผลไม้มาทดแทน ดีนะคะ แฟร์ดี

กลับเข้ามาร้านแรกของดิฉัน พอดีว่าลุกเจ้าของร้านอายุยังไม่ถึง 18 ตามกฎหมายแล้วเค้าไม่ให้เสิร์ฟของมึนเมา ดิฉันและพี่อีกคนก็เลยเสิร์ฟแทน ที่เหลือก็เสิร์ฟกันตามปกติ ลำพังกับเจ้าของร้านไม่เท่าไหร่ แต่ที่มากเกินไปก็คงจะเป็นลูกเจ้าของ ดิฉันคิดว่าเค้าอายุยังน้อยกระมังคะ บางทีถึงได้หงุดหงิดเหลือเกิด ทำอะไรไม่ถูกใจเค้า ก็มักจะว่า ตะโกน ทำหน้าหงิกใส่เราตลอด พ่อแม่เค้าก็เพียรบอกเรา อย่าไปถือสาเลย แต่ใจตอนนั้นก็เริ่มหางานใหม่แล้วนะคะ แต่ติดว่าบ้านเพิร์ธเป็นเมืองเล็ก ร้านอาหารไทยส่วนมากจะมีแค่ร้าน หรือสองร้านในแต่ละ Suburb (คล้ายตำบลบ้านเราน่ะค่ะ แบ่งเขตพื้นที่ต่างๆ กันไป) ใจเราตอนนั้นก็คิดว่าภาษาอังกฤษยังไม่ดี ไม่กล้าไปทำงานร้านฝรั่ง เพิ่งจะเรียนภาษาได้ไม่กี่เดือนเริ่มงานที่ร้านไทยไปก่อนละกัน ก็ทำใจค่ะ อดทนทำต่อไปแต่ก็นั่นแหละค่ะ คับที่อยู่ได้ คับใจอยู่ยาก นานๆ เข้าเริ่มมีความรู้สึกไม่กระตือรือร้น รู้สึกเครียดที่จะต้องไปทำงาน วันนึงก็เลยตัดสินใจเดินไปที่ร้าน ซึ่งวันนั้นดิฉันไม่ทำงาน ก็ไปเจอกับเจ้าของร้านพอดี เค้ากำลังเตรียมของกันอยู่ในครัว พอเจอหน้าเราก็ทักทายอย่างดี ทานอะไรมาหรือยัง มีถั่วงอก อยากทานไหม ดิฉันก็เกือบเปลี่ยนใจ ถอยหลังกลับดีไหม จริง ๆ นะคะ ทำอะไรก็แล้วแต่ ส่วนที่ยากที่สุด คงเป็นตอนพูดคำว่าไม่ คิดว่าคงเป็นด้วยวัฒนธรรม ประเพณี ด้วยนะคะ คนไทยเกรงใจ แบ่งรับแบ่งสู้ ประณีประนอม แต่ดิฉันก็ตัดสินใจแล้ว จึงพูดไปว่ามาขอลาออก เจ้าของร้านผู้ชายเค้าก็ดูไม่ตื่นเต้นอะไร แถมบอกเราอีกด้วย ว่าแกเดาแล้วไม่มีผิด ว่าจะต้องมาขอลาออก แถมบอกเราอีกด้วยว่าใคร ๆ ก็เป็นแบบนี้ ลาออกกันเพราะลูกสาวของฉัน แต่ทน ๆ เค้าหน่อยเถอะ ถ้าไม่ใช่ลูกฉัน ฉันก็ไล่เค้าออกเหมือนกัน เค้าบอกเค้าชอบคนไทยน่ะค่ะ เกรงอก เกรงใจ เรียบร้อย และอยากได้คนไทยเป็นเด็กเสิร์ฟให้ เพราะคนไทยจะมีกริยามารยาทที่แตกต่างจากชาติอื่น ๆ จะได้ดึงดูดลูกค้าให้มาทานร้านเค้าเยอะ ๆ แต่หลัง ๆ เด็กก็ขอลาออกกัน เพราะลูกสาวเค้านี่แหละ ดิฉันก็เลยบอกไปว่า ออกตอนนี้ดีกว่า เพราะไม่อยากเสียความรู้สึกทีหลัง ไม่อยากจะมีเรื่องมีราวกัน เพราะตอนนี้ดิฉันยังอยุ่ในช่วงอดทน ไม่เถียง ไม่ทำอะไรไงคะ เค้าก็บอกแล้วแต่ละกัน แต่ถ้าอยากกลับไปทำก็ยินดีเสมอ

หลังจากนั้นก็ไม่ได้ทำร้านไหนอีกเลย ตั้งหน้าตั้งตาเรียนภาษาจนหมดคอร์ส จนกระทั่งเข้ามหาลัยเทอมสอง เพื่อนก็บอกว่าที่ร้านมีคนขาด ต้องการเด็กเสิร์ฟ สนใจจะทำไหม ดิฉันก็ไปสิไป ใกล้บ้านด้วย ดีว่าตอนนั้นเพื่อนไปส่ง เพราะเริ่มงานเวลาไล่ ๆ กัน ร้านก็เป็นทางผ่าน แถมใกล้บ้านอีกด้วย พอไปวันแรก ก็เจอรับน้องเลยค่ะ จากคนถิ่นเก่า คิดว่าเป็นปกตินะคะ พอมีคนใหม่เข้ามา คนเก่าอาจจะมีความรู้สึกบางอย่าง ว่าคนนี้จะมาแทนที่เราหรือเปล่า หรือทำงานดีกว่าเราหรือเปล่า น่าจะคิดไปอีกอย่างนะคะ ว่าเออ ถ้าเค้าทำงานดีเราก็ไม่เหนื่อย แต่ดิฉันเจออย่างแรกค่ะ ร้านแรกไม่ค่อยสนใจอะไรเพราะเป็นคนจีน รู้เรื่องบ้างไม่รู้เรื่องบ้าง แต่ร้านใหม่นี่ คนไทยล้วน ๆ พูดอะไรเข้าใจหมด เค้าทำอะไรเราเข้าใจหมด ก็เอาล่ะค่ะ ทำไงได้ เจ้าของร้านก็ดีทั้งคู่ ใจดีมาก ๆ เราก็อดทนไปก็แล้วกัน เอาความดีเข้าสู้ มันก็ผ่านไปได้ล่ะค่ะ ความดีนี่ ดีจริงๆ ไม่ต้องซื้อไม่ต้องหา อาจจะเพิ่มของแต่งไปด้วย นั่นคือความอดทน ตั้งหน้าตั้งตาทำไป ไม่ต้องสนใจใคร ทำเสร็จรับเงินกลับบ้านเป็นพอ ร้านใหม่เค้าให้ทานข้าวก่อนทำงานค่ะ ถือคติว่า กองทัพต้องเดินด้วยท้อง เจ้าของร้านเป็นคนอีสาน ดิฉันก็เริ่มฟังเพลงอีสาน ทานอีหยังก็บ่ฮู้ ทุกวัน แต่ละวันเริ่มมีปลาร้ามาแจม จากต่อนสองต่อน ก็มาเป็นตัว ไหนจะส้มตำกับน้ำปู ข้าวเหนียว ไก่ทอด แหม ร้านนี้เจ้าใจกว้างจริงๆ ค่ะ นอกจากจะจ่ายสมน้ำสมเนื้อแล้ว ยังเลี้ยงไม่อั้น บางวันหลังเลิกงานเจ้าของร้านก็เดินไปร้านข้าง ๆ ไปถอย Black มาหนึ่งขวด เราก็ทำโอทีกันไปจนถึงประมาณตีสามแยกย้ายกันกลับบ้าน ดิฉันก็เริ่มรู้สึกรักร้านมากขึ้น จากที่ทำอะไรแค่พอสมกับค่าจ้าง คราวนี้ก็เทใจให้ไปเลย เพราะคิดว่าเจ้าของร้านเค้าดีกับเราขนาดนี้ เราก็ตอบแทนบุญคุณเค้าด้วยการเทใจให้ละกัน จากนั้นมันก็กลายเป็นความรู้สึกแบบครอบครัวน่ะค่ะ ถ้าเค้ามีเรื่องอะไรไม่สบายใจ ก็กังวลไปกับเค้าด้วย เค้าเองก็ไม่มีใคร นอกจากเด็กเสิร์ฟกับเด็กในร้านที่จะคุยด้วยได้ สนิทกันมากขึ้นเพราะเจอกันทุกวัน

หน้าที่เด็กเสิร์ฟ ส่วนมากก็เริ่มตั้งแต่ ดูดฝุ่นพื้น จัดโต๊ะ พับกระดาษเช็ดปาก เช็ดแก้ว ช้อน ส้อม รับโทรศัพท์ เสิร์ฟอาหาร ล้างห้องน้ำ รับผิดชอบหน้าที่ข้างหน้าร้านไป ถ้าร้านไม่ยุ่งก็อาจจะไปช่วยทำงานเบา ๆ ข้างหลัง เช่นว่า ลอกแผ่นทำปอเปี๊ยะ เตรียมผัก ตักข้าวใส่กล่อง ถ้าคนมีฝีมือหน่อยก็อาจจะได้เตรียม ปอเปี๊ยะ หรือกะหรี่พั๊ฟ ทิปที่ร้านดิฉัน ได้เท่าไหร่ก็เอามาหารกันค่ะ ยกเว้นเจ้าของร้าน เคยได้ยินว่าบ้างร้าน เจ้าของร้านเก็บไว้เอง หรือไม่ก็แบ่งให้เฉพาะเด็กเสิร์ฟ อยู่ที่เพิร์ธ ได้ทิปไม่ค่อยเยอะค่ะ 30 เซ็นต์ 40 เซ็นต์ ลูกค้าเก็บคืนหมด ยกเว้นจะมีงานวันเกิด หรือเมามาก ๆ หรือเป็นลุกค้าประจำจริงๆ ที่เราจำได้ว่าเค้าชอบอะไร นั่นแหละค่ะถึงจะได้มา สาเหตุหนึ่ง อาจจะเป็นด้วยว่า ร้านอยู่ในชุมชนเล็ก อีกทั้งตัวเมืองยังเล็กอีกด้วย ลูกค้าก็เลยไม่คำนึงถึงข้อนี้สักเท่าไหร่ รวม ๆ แล้วทำงานร้านแรกก็ผ่านไปด้วยดี ส่วนตัวดิฉันก็มีเพื่อนมาชวนไปทำร้านอื่นบ้าง แต่ดิฉันรักเจ้าของร้าน และรักร้านนี้ไปแล้วค่ะ ความเคยชินและใกล้บ้าน ทำให้ไม่อยากไปทำที่อื่น ก็ทำจนเรียนจบกันเลยล่ะค่ะ พอรับปริญญา ก็หอบหิ้วชุดครุยไปถ่ายรูปกันถึงร้าน เพราะที่เรียนจบมาได้ส่วนหนึ่งก็เพราะพี่น้องเจ้าของร้าน ที่ทำให้ดิฉันมีข้าวกิน มีเงินใช้ ไม่มีปัญหาเรื่องเงินมากวนใจตอนเรียน ความประทับใจอีกอย่างหนึ่งก็คือ ดิฉันไม่เคยมีเพื่อนเป็นคนอีสาน จนกระทั่งมาอยู่เพิร์ธ ทำให้โลกมันแคบลง มารู้จักคนไทยทางภาคอีสาน ก็รู้สึกว่าเป็นคนจริงใจ และใจกว้าง ตรงไปตรงมา นี่แหละค่ะ ที่ประทับใจที่สุด และทำให้เราเอาเป็นแบบอย่าง เพราะได้เรียนรู้แล้วว่า การที่เค้าเป็นคนดี เค้าก็ได้ใจดี ๆ จากคนรอบข้างไปแบบเต็มเลยล่ะค่ะ ซึ่งถ้าเป็นความเชื่อทางพุทธศาสนา สิ่งนี้ด้วยที่ทำให้กิจการที่ร้านเจริญรุ่งเรือง ลูกค้าเต็มร้านตลอด

ตอนต่อไปก็คงเป็นประสบการณ์จากร้านอาหารเหมือนเดิมนะคะ เพียงแต่ว่าเปลี่ยนเมือง คุณผู้อ่านที่ยังไม่เคยทำงานร้านอาหารต่างประเทศ จะได้เห็นความเหมือนความต่าง ว่าเป็นอย่างไร



Create Date : 11 พฤศจิกายน 2551
Last Update : 11 พฤศจิกายน 2551 6:25:05 น. 0 comments
Counter : 288 Pageviews.

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

Indian Butterfly
Location :
Melbourne Australia

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




สวัสดีค่ะ ท่านผู้อ่านทุกท่าน เคยติดตามอ่านบล็อกมาหลายสำนัก ก็เล็งเห็นประโยชน์มากกว่าโทษ อ่านแล้วได้ความรู้สารพัดอย่าง เลยคิดว่าดิฉันควรจะทำอะไรให้เป็นประโยชน์ต่อส่วนรวมบ้าง ที่เคยคิดว่าจะเป็นครู พยาบาล นางสาวไทย ก็คิดนานซะจนอายุล่วงเลยมาจะสามสิบ จะไปสมัครงานที่ไหนใครก็คงไม่รับ นางงามไม่ต้องพูดถึง แต่มิสคานทองยังพอไหวนะคะ พออ่านมาก ๆเข้า ก็เกิดไอเดีย ว่าการเขียนก็เป็นการแบ่งปันเหมือนกัน วัตถุดิบก็มาจากประสบการณ์ ไม่ต้องซื้อ ไม่ต้องขาย ไม่มีค่าลิขสิทธิ์ให้เสียเวลา ใครอยากอ่านก็อ่าน อยากแสดงความคิดเห็นก็เชิญ รู้สึกว่าเป็นอิสระ และมีความเป็นส่วนตัวดี แถมอาจจะยังให้ประโยชน์ (อันน้อยนิด) ไม่มากก็น้อย

ดิฉันจะนำเสนอ เรื่องราว ประสบการณ์ที่คั่งค้างอยู่ในความทรงจำ ที่พูดไม่ออก บอกคนใกล้ชิดไม่ได้ แต่บอกผ่านตัวกลางแล้วสบายใจ แอบเข้าข้างตัวเองค่ะ ว่าเราคงมีพรสวรรค์ด้านการถ่ายทอดอยู่บ้างล่ะน่า น่าจะมีคนติดตามอ่าน หรือรู้สึกชอบเรื่องราวบางตอนบ้างก็ได้ ลองอ่านกันเลยดีกว่า รู้สึกไม่ดี ไม่ชอบอย่างไร คอมเม้นต์กันได้นะคะ ไม่โกรธไม่เคือง เปิดกว้างทางความคิดค่ะ

ผุ้อ่านท่านใดชอบอ่านบล็อกนี้ก็ขอบพระคุณไว้ ณ ที่นี้เลยนะคะ ส่วนท่านที่คิดว่ามันไม่ค่อยเข้าท่าเท่าไหร่ ก็ไม่เป็นไรค่ะ ยินดีรับคำติชมเสมอ
Friends' blogs
[Add Indian Butterfly's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.