วิธีเปลี่ยนหมายเลขที่บันทึกในมือถือเป็น 10 หลัก
ที่มา: Fwd. Mail เนื่องจากระบบมือถือของประเทศไทยเปลี่ยนจาก 9 หลัก เป็น 10 หลัก เพิ่มหมายเลข 08 แทนที่เลข 0 ตัวหน้า ดังรูปแบบต่อไปนี้ เลขหมาย รูปแบบเดิม ( 9 หลัก) เลขหมาย รูปแบบใหม่ ( 10 หลัก) 0-1XXX-XXXX 08-1XXX-XXXX 0-3XXX-XXXX 08-3XXX-XXXX 0-4XXX-XXXX 08-4XXX-XXXX 0-5XXX-XXXX 08-5XXX-XXXX 0-6XXX-XXXX 08-6XXX-XXXX 0-7XXX-XXXX 08-7XXX-XXXX 0-8XXX-XXXX 08-8XXX-XXXX 0-9XXX-XXXX 08-9XXX-XXXX ขอเรียนแนะนำวิธีการเปลี่ยนหมายเลขที่บันทึกในมือถือของท่านให้เป็นระบบใหม่ 10 หลัก ด้วยวิธีง่ายๆ ดังต่อไปนี้ สำหรับ DTAC แบบที่ 1 1. กด *7099 แล้วโทรออก 2. ท่านจะได้รับบริการ Service ให้ท่านกด Retrive (โทรศัพท์ของท่านต้องเปิด GPRs) เพื่อเข้าสู่เว็ปไซต์ของ DTAC 3. จากนั้นให้ท่าน Download ตามขั้นตอนในเว็ป 4. จากนั้นให้ทำการ Install Program 5. เปิดโปรแกรม TenDigits แล้วเลือก Options Convert to 10 Digits * สามารถใช้ได้ตั้งแต่วันที่ 1 กันยายน 2549 แบบที่ 2 1. ส่ง SMS ไปที่ 7099 โดยไม่ต้องพิมพ์ข้อความ 2. ท่านจะได้รับบริการ Service ให้ท่านกด Retrive (โทรศัพท์ของท่านต้องเปิด GPRs) เพื่อเข้าสู่เว็ปไซต์ของ DTAC 3. จากนั้นให้ท่าน Download ตามขั้นตอนในเว็ป 4. จากนั้นให้ทำการ Install Program 5. เปิดโปรแกรม TenDigits แล้วเลือก Options Convert to 10 Digits * สามารถใช้ได้รูปแบบนี้ได้ทันที สำหรับ AIS 1. กดหมายเลข *184# แล้วกดโทรออก 2. ท่านจะได้รับบริการ Service ให้ท่านกด Retrive (โทรศัพท์ของท่านต้องเปิด GPRs) เพื่อเข้าสู่เว็ปไซต์ของ AIS 3. จากนั้นให้ท่าน Download ตามขั้นตอนในเว็ป 4. จากนั้นให้ทำการ Install Program 5. เปิดโปรแกรมเ 08_PhoneBook พื่อ Convert หมายเลขโฟนบุ๊ค ตามขั้นตอนของโปรแกรม * สามารถใช้ได้ตั้งแต่วันที่ 1 กันยายน 2549 สำหรับ TRUE MOVE สำหรับ TRUE ไม่มีโปรแกรมให้ Download ท่านสามารถติดต่อได้ที่ True Shop ทุกสาขา * สามารถใช้ได้ตั้งแต่วันที่ 1 กันยายน 2549 * กรณีที่ท่าน Download Program แล้วไม่สามารถติดตั้งโปรแกรมได้ หมายความว่าโทรศัพท์ของท่านไม่สามารถใช้งานโปรแกรมดังกล่าวได้ ท่านสามารถเปลี่ยนหมายเลขโทรศัพท์ในโฟนบุ๊คของท่าน ด้วยวิธีการต่อ ดังไปนี้ แบบที่ 1 กรณีที่หมายเลขโทรศัพท์ในโฟนบุ๊ค ของท่านมีไม่มาก ให้ท่านแก้ไขหมายเลขโทรศัพท์ในโฟนบุ๊คของท่านดังรูปแบบด้่านบน แบบที่ 2 กรณีที่หมายเลขโทรศัีพท์ในโฟนบุ๊คของท่านมีมาก และไม่สะดวกในการแก้ไขเปลี่ยนแปลงด้วยตนเอง ท่านสามารถติดต่อศูนย์มือถือของทุกระบบได้
+ ทำนายนิสัยจากเวลาเกิด +
เก็บมาฝากจาก Fwd. Mail เจ้าค่ะตรงกันมั่งรึเปล่าเอ่ย?
วิธีทำให้ชีวิตโล่ง และ เบาขึ้น
**** พอดีได้รับเรื่องนี้จาก Forward Mail เราอ่านแล้วเห็นว่าดีและมีประโยชน์เลยนำมาฝากกันค่ะ ช่วงนี้เรางานยุ่งอ่ะ อาจจะไม่ค่อยได้แวะไปเยี่ยมเพื่อนๆที่บล็อคเท่าไร แต่จะพยายามทยอยๆแวะไปทักทายนะคะ ขอให้มีความสุขในการดำเนินชีวิตค่ะ ****โดย ศ.ดร.นพ.วิทยา นาควัชระ (จิตแพทย์)เมื่อเร็วๆ นี้ ผมได้เปิดตู้เสื้อผ้าดูเห็นมีเสื้อผ้าที่ไม่ได้ใช้เต็มตู้ไปหมด เคยนึกจะใช้เวลาเลือกเอาสิ่งที่เลิกใช้ไปแล้วไปบริจาคที่ไหนสักแห่ง แต่ก็ยังไม่ได้ทำสักที เอาล่ะ...วันนี้เริ่มทำเสียที... ปรากฏว่า รื้อ ค้น ได้เสื้อ กางเกง เสื้อกันหนาวมากมายที่ไม่ได้ใช้แล้วหรือไม่อยากใช้แล้วนับเป็นร้อยชิ้น เมื่อเอาของออกจากบ้านไปบริจาคแล้ว มีความรู้สึกว่าตู้เสื้อผ้าโล่งขึ้น ตัวเองก็เบาลง ใจก็สบายขึ้นอย่างประหลาด รู้แล้วล่ะ...สิ่งที่ผมทำไปแล้วนั้นคือ การทำให้ชีวิตโล่งและเบาขึ้นนั่นเอง วันนี้เรามาคุยกันถึงวิธีทำให้ชีวิตเบาขึ้น โล่งขึ้น สบายขึ้นดีไหม? วิธีทำให้ชีวิตโล่ง และ เบาขึ้น เช่น...1. เก็บของที่ไม่ใช้ เลิกใช้ เอาไปบริจาคให้ผู้เดือนร้อน เช่น เสื้อผ้า รองเท้า เฟอร์นิเจอร์เก่าๆ อย่าไปเสียดายกับของที่ไม่ใช้แล้วเลย2. ลดงานที่เครียดๆ ลงบ้าง เช่นงานประชุมที่เอาจริงเอาจังงานที่แข่งขัน และหวังผลสูง ถ้าเลือกได้ลาออกจากการเป็นกรรมการอะไรต่อมิอะไรเสียบ้างก็ได้ บรรยากาศของการประชุมมักจะเครียดเสมอ สารความเครียดก็หลั่งตลอดเวลา...รู้ไหม?3. เลือกไปงานที่สำคัญและควรจะไปเท่านั้นไม่เช่นนั้นเราจะไม่มีเวลาเป็นของตัวเองเลย4. อ่านหนังสือพิมพ์ หรือนิตยสารให้น้อยลง โดยเฉพาะข่าวอาชญากรรมหรือข่าวเครียดๆ ที่ซ้ำกันทุกวัน5. เลิกดูรายการทีวี.ที่เครียด หรือรายการข่าวหนักๆ ที่ซ้ำๆ กันทุกวัน เช่น รายการที่มีพิธีกร มานั่งเถียงกัน พูดแข่ง พูดแซวกัน 2-3 คน ดูไปฟังไฟแทนที่จะสบายใจกลับเครียดมากขึ้น น่าเบื่อด้วยซ้ำ6. อย่ารับปากหรือสัญญาว่าจะทำอะไรให้ใครๆ ง่ายๆ ด้วยความเกรงใจเลยหัดปฏิเสธให้เป็น7. อย่าพยายามเปลี่ยนแปลงคนอื่นเลยทำได้ยากมากจะทำให้เราจมปลักอยู่กับความผิดหวังในตัวคนอื่น และเกลียดชังสังคมรอบตัว พยายามรักคนอื่นและยอมรับเขาตามความเป็นจริงเถิด ถ้ารักไม่ลง ก็มองข้ามเขาไป และลดความคาดหวังในตัวเขาลงด้วย เมื่อเวลาผ่านไป เราหันไปมองเขาใหม่ เราจะเข้าใจ ยอมรับและรักเขาตามความเป็นจริงได้มากขึ้น8. หัดไปไหนมาไหนคน เดียว เป็นเพื่อนตนเองได้จะลดขั้นตอนและความยุ่งยากใจ เวลาจะต้องทำอะไร หรือไปไหนได้มากขึ้น9. ลดความบ้างาน บ้าเงิน บ้าอำนาจ บ้าเกียรติยศชื่อเสียงลงบ้างจะทำให้คุณไม่เครียดกับการเฆี่ยนตัวเอง ให้ทำงานหนัก และแข่งขันกับคนรอบข้างตลอดเวลา จนลืมสร้างมิตรและไม่เคยพอใจตัวเองเลยไม่ว่า จะได้มามากเท่าไร10. ถ้าจะรักใครสักคน อย่าหลงรักเขาทั้งหมดของชีวิตและอย่าเข้าไปก้าวก่ายชีวิตเขาด้วยจงคิดเพียงจะอยู่ข้างๆ เขาก็พอแล้ว การรักแบบนี้จะทำให้รักกันได้นานๆ11. ลองแบ่งเวลาวันละ 1 ชั่วโมง ล้างจิตใต้สำนึกที่ไม่ดีออกไปให้หมด ลองทำดูตามที่แนะนำมานะครับ เราจะรู้สึกว่าชีวิตโล่งและเบามากขึ้น เหมือนใส่เสื้อผ้าหลวมๆไม่คับ แคบ หรือรัดรึง อึดอัด เวลาตัวเอง เบาๆ ใจสบายๆ ความคล่องตัวจะมีมากขึ้นจนคุณแปลกใจตัวเอง
Eight Below : ย้อนอดีตกับเรื่องจริงของสุนัขที่รอดชีวิต
True Story inspired by Eight Belowไม่ผิดหรอกค่ะสำหรับหัวข้อวันนี้ เนื่องมาจากการที่เราได้ไปดูหนังเรื่อง Eight Below มาเมื่อวานสดๆร้อนๆ สำหรับคนที่สนใจในหนังเรื่องนี้จะทราบดีว่า หนังเรื่องนี้ได้แรงบันดาลใจมาจากเรื่องจริง เราก็ทราบเท่านั้นแหละค่ะ จนกระทั่งดูหนังจบส่วนของหนังคงไม่ต้องพูดอะไรมาก คาดว่าคงมีคนรีวิวไว้พอสมควรแล้วบอกได้คำเดียวว่า สำหรับคนที่รักสุนัขอยู่แล้ว ไม่สมควรพลาดหนังเรื่องนี้อย่างยิ่ง ส่วนที่ไม่ได้เลี้ยงสุนัข ดูเรื่องนี้จบแล้ว คงอยากหามาเลี้ยงไว้สักตัวแน่นอนค่ะ ที่เกริ่นไว้ข้างต้นก็สืบเนื่องมาจากความประทับใจในตัวหนังที่มีมากทีเดียว(อาจจะอินไปนิด เพราะรักสุนัขเป็นทุนเดิมอยู่แล้วน่ะค่ะ) และจากประโยคที่ว่า "inspired by a true story." เลยทำให้เราลองไปค้นๆหาข้อมูลดูว่าเรื่องที่เป็นแรงบันดาลใจสำหรับหนังเรื่องนี้ เป็นมายังไงบ้าง แล้วก็ได้คำตอบมาในที่สุด...เรื่องนี้ถือเป็นหนังรีเมคก็ว่าได้ เพราะในปี 1983 ได้มีหนังที่สร้างออกมาโดยได้รับแรงบันดาลใจมาจากเรื่องเดียวกันชื่อว่า "Antarctica" หรือในชื่อญี่ปุ่นคือ "Nankyoku monogatari" แต่ในคราวนั้นใช้นักแสดงเป็นชาวญี่ปุ่นทั้งหมด ตามเรื่องที่เกิดขึ้นจริงในปี 1958 เมื่อคณะวิจัยสำรวจชาวญี่ปุ่นเดินทางไปขั้วโลกใต้พร้อมสุนัขลากเลื่อน 12 ตัว (เรื่องจำนวนสุนัขนี่มีข้อมูลหลายแหล่งมากค่ะ บางที่บอกว่า 9 ตัว บางที่ก็ 13 หรือ 15 ก็มี) ซึ่งเป็นสุนัขพันธุ์ Sakhalin Husky หรืออีกชื่อหนึ่งคือ Karafuto-Ken* ซึ่งเป็นสุนัขลากเลื่อนของญี่ปุ่น (สายพันธุ์เดียวกับสปริทซ์ และอาคิตะ) ในครั้งนั้น คณะสำรวจมีเหตุฉุกเฉินบางประการที่จำต้องทิ้งสุนัขทั้ง 12 ตัวไว้เบื้องหลัง โดยเชื่อว่าจะมีหน่วยช่วยเหลือตามมาสมทบเพื่อช่วยเหลือสุนัขเหล่านั้นภายในสองสามวัน พวกเขาจึงล่ามโซ่สุนัขทั้งหมดเอาไว้ข้างนอก พร้อมทิ้งอาหารไว้ให้เพียงเล็กน้อย อย่างไรก็ตาม ในเวลาต่อมาด้วยสภาพอากาศที่เลวร้ายมากขึ้น ทำให้หน่วยช่วยเหลือชุดที่ตามมาจำใจต้องหันหัวเรือกลับญี่ปุ่น โดยปล่อยให้สุนัขทั้ง 12 ตัวต้องเผชิญชะตากรรมกับสภาพอากาศอันหนาวเหน็บของขั้วโลกแต่เพียงลำพัง เกือบหนึ่งปีต่อมา เมื่อคณะเดินทางสำรวจกลุ่มใหม่เดินทางกลับมาอีกครั้งหนึ่งพวกเขาก็ค้นพบสุนัขสองตัวสุดท้ายที่รอดชีวิต คือ Taro และ Jiro แล้วทั้งคู่ก็ได้กลายเป็นฮีโร่ในสายตาของชาวญี่ปุ่นทันที ขณะที่ค้นพบนั้นทั้ง Taro และJiro ยังมีสุขภาพดีเหมือนก่อนจากไปไม่มีผิด ทั้งสองตัวยังแข็งแรงพอที่จะช่วยลากเลื่อนให้กับการสำรวจครั้งใหม่อีกด้วย
(- Our Beloved King -)