|
ผมจะเป็นพระที่ดี ตอนที่16 ธรรมะ คือ..ธรรมชาติ
ตอนที่ 16 ธรรมะ คือ..ธรรมชาติ ============================
ผมกำลังกวาดใบไม้อยู่ที่ลานข้างๆเรือนไทยหลังใหม่ โดยมีครูบาแหล่ช่วยกวาดอยู่ใกล้ๆ จำนวนใบไม้บนพื้นที่ร่วงลงมาบนพื้นมีมากมายซะจนกลบสีของพื้นดินจนเกือบมิด และในขณะที่กวาดอยู่นั้น ใบไม้บนต้นก็ยังคงทะยอยกันร่วงหล่นลงมาอีกเป็นระยะๆ
เห็นมะม่วงสุกจนเน่าลูกหนึ่ง ตกอยู่ไม่ห่างไป กลิ่นเน่าๆของมันโชยมา เรียกแมลงวันสองสามตัวให้บินวนเวียนผลัดกันมาตอม ผมจึงเดินไปกวาดให้ไปรวมกันกับกองใบไม้
ดูเป็นอสุภะไปนะครูบา
เสียงครูบาแหล่พูดขึ้น มะม่วงพวกนี้มันก็เป็นมะม่วงสุกหวานๆแบบเดียวกับที่เรากินตอนเช้านั่นแล๊ะ สุดท้ายมันก็สลายเป็นธาตุ ดิน น้ำ ลม ไฟ คืนให้โลกก็เท่านั้น ใช่ครับ ครูบา ผมตอบพลางพิจารณาตาม พอกินเข้าไปก็หลงไปกับรสหวานอร่อยของมัน
ครูบาแหล่ท่านสอนต่อ คิดดูสิครูบา กิเลสมันหลอกเราไปได้ขนาดนั้น คนเรานี่ก็ดินน้ำลมไฟเหมือนกันนะ
กิเลสนี่มันหลอกให้ดินน้ำลมไฟ กิน ดินน้ำลมไฟด้วยกันเอง
ดูซิว่ามันฉลาดขนาดไหน จริงครับครูบา ผมว่า
เรากวาดกันต่อไปซักพัก แล้วจู่ๆผมก็นึกอะไรขึ้นมาได้ จะว่าไป ใบไม้พวกนี้ก็เหมือนกิเลสนะครูบา
ผมเงยหน้าขึ้นพูดกับครูบาแหล่แป๊บนึง ก่อนจะก้มตากวาดต่อไป กวาดเท่าไหร่ก็ไม่รู้จักหมด ..อย่างมากก็แค่ ทำให้สะอาดได้เป็นพักๆ อีกประเดี๋ยวมันก็ร่วงลงมาใหม่เต็มพื้นใหม่อีก ใช่ครูบา ครูบาแหล่ตอบยิ้มๆ พร้อมกับเสริมให้ว่า จนกว่าเราจะมีปัญญาพอที่จะทำลายต้นของมันได้นั้นและ
. ผมพยักหน้า พร้อมกับพิจารณาตามไป หากใบไม้พวกนี้คือ กิเลส
ต้นกิเลสก็น่าจะเป็น อวิชชา ส่วนปัญญาที่จะเอามาโค่นต้นไม้นี้ลงได้ก็คงจะเป็น อริยสัจ
และนั่นก็เป็นส่วนหนึ่งในบท สนทนาธรรมของผมกับครูบาแหล่ ครูบาแหล่มักจะบอกผมอยู่เสมอว่า
ธรรมชาติเค้าจะสอนธรรมะให้เราอยู่เสมอ หากเรารู้จักสังเกตุและพิจารณาตาม
ท่านเคยเล่าเรื่องของเศรษฐีคนหนึ่งในสมัยพุทธกาล(ผมจำชื่อไม่ได้แล้ว ซึ่งมีพร้อมทุกอย่าง อยากได้อะไรก็สามารถสรรหามาได้ราวกับเนรมิต เศรษฐีผู้นั้นชอบกินมะม่วงมาก วันหนึ่งเอาต้นมะม่วงมาปลูก แล้วเลี้ยงดูประคบประหงมอย่างดีตั้งแต่เป็นต้นเล็กๆ พอโตขึ้นมาแกก็เก็บผลกิน
.จนกระทั่งวันหนึ่งต้นมะม่วงตายไป เขาก็รู้สึกเสียใจมาก วันนั้นต้นมะม่วงนั้นได้สอนให้เขาเห็นสัจธรรมของโลก ในที่สุดเขาก็ได้ดวงตาเห็นธรรม และได้บรรลุธรรมในที่สุด (ผมจำไม่ได้ว่าขั้นไหน)
และไม่ใช่แค่เศรษฐีคนนั้นคนเดียว ยังมีพระสงฆ์อีกหลายรูปที่บรรลุอรหัตผลจากการน้อมใจไปเรียนรู้จากธรรมชาติ
ซึ่งพระพุทธเจ้าเองท่านก็เห็นในจุดนี้ ดังนั้นพอมีพระมาบวชกับท่านได้ซักระยะ ท่านก็มักจะตรัสให้พระสงฆ์ไปอยู่ตามป่าตามเขา หรือตามเรือนว่าง ===================== เห็นรึยังครับ ธรรมะไม่ได้อยู่ในหอไตร ไม่ได้อยู่ในตู้พระไตรปิฏก
.หรือ แม้แต่คำบาลียากๆในนั้น
แต่อยู่ในป่า ในเขา
ในเรือนว่าง
ธรรมะ
.อยู่ในธรรมชาติครับ หรืออาจจะกล่าวได้ว่า
ธรรมะ ก็คือ ธรรมชาติ นั่นเอง ===================== ผมในฐานะพระป่าน้องใหม่ ก็รู้สึกยินดีจริงๆครับ ที่ได้มีโอกาสมาพำนักอาศัยอยู่ในวัดป่าที่อยู่ท่ามกลางธรรมชาติ และได้เรียนรู้วิถีชีวิตที่ยังคงผูกพันกับธรรมชาติอย่างที่ไม่เคยได้สัมผัสในเมืองใหญ่
สิ่งที่ทำผมรู้สึกประหลาดใจมากที่สุดก็คือ การซักผ้าของที่นี่ครับ คือ วัดนี้เค้าจะไม่ใช่แฟ้บซักผ้านะครับ (ใช้เหมือนกันแต่น้อย) แต่ใช้แก่นขนุนซักครับ สำหรับคนที่นึกไม่ออกว่าทำยังไง (ซึ่งตอนแรกผมก็เป็นเหมือนกัน) เดี๋ยวผมจะเล่าให้ฟังครับ
แต่ก่อนอื่นมาทำความรู้จักกับเจ้าแก่นขนุนกันก่อนครับ แก่นขนุนก็คือแก่นของขนุนนั่นแหละครับ (เออ อันนั้นรู้แล้ว) เป็นส่วนแกนกลางของต้นขนุน มีสีเหลืองส้ม บางทีก็อมน้ำตาลหน่อยๆ เวลาจะใช้ก็ต้องไปเอามาทั้งลำต้น (ที่วัดมีต้นขนุนเยอะมากครับ ส่วนใหญ่ก็ไปเอาจากต้นที่ตายแล้ว) เอาเปลือกไม้ออกแล้วไส ก็จะเหลือแต่แก่น ซึ่งก็เล็กบ้างใหญ่บ้างแล้วแต่ขนาดของต้น พอได้แก่นขนุนมาแล้ว ทีนี้ก็ต้องค่อยๆสับค่อยๆเฉาะให้เป็นชิ้นเล็กๆแล้วก็เอาไปกองรวมกัน บางทีก็เก็บใส่ถังเอาไว้ พอจะใช้ก็ค่อยตักไปเท่าที่จำเป็น
การสับแก่นขนุนนี้ก็ถือเป็นเครื่องมือช่วยในการภาวนาได้อย่างดีทีเดียวครับ ครูบาชัยเห็นผมสนใจท่านเลยสอนให้ เริ่มจากการเอาแก่นขนุนขนาดพอเหมาะ (หรือไม่พอเหมาะก็ตาม..) มาวางไว้บนเขียงไม้ แล้วลากเก้าอี้มานั่งในท่าที่ถนัด (ต้องนั่งสับครับ ไม่งั้นปวดหลังตาย) จากนั้นก็จับมีดอีโต้ให้ทำมุมเพียงพอที่จะกินเนื้อไม้ แล้วก็สับไปครับ ส่วนอีกมือก็จับแก่นขนุนให้แน่น คอยหมุนให้มันได้มุมดีๆ รับกับมีด แล้วท่านก็สับให้ดู โชะโชะโชะ ผมดูท่านสับก็เหมือนจะง่ายครับ แต่ผมลองไปนั่งสับมั่ง โป๊กโป๊กโป๊กตลอดครับ คือคมมีดมันไม่กินเนื้อไม้ ครูบาชัยเลยแซวว่า เค้าให้สับแก่น ไม่ได้ให้ตอกแก่นนะครูบาเอก ผมก็นั่งลองผิดลองถูกอยู่นาน เข้ามั่งไม่เข้ามั่งจนปวดมือไปหมด ซักพักหนึ่งครูบาแหล่ผ่านมาเห็นท่านก็สอนให้ดูอีกที ซึ่งผมก็ตั้งใจดูและพยายามทำตาม คราวนี้ก็เริ่มดีขึ้นครับ
.ผมเลยนั่งสับต่อไปเรื่อยๆ เหนื่อยก็เหนื่อยครับ ทั้งปวดแขน ทั้งเจ็บมือ บางขณะจิตก็แอบนึกอยากเลิกครับ
ผมก็ดูเวทนา ดูอาการของจิตที่เกิดขึ้นตามไปเรื่อย อาศัยขันติเข้าช่วย ในที่สุดแก่นขนุนบ้องใหญ่ๆ ก็เหลือเพียงแค่แกนเล็กๆครับ (ตอนหลังครูบาแหล่ผ่านมาเห็น บอกผมว่ามีความเพียรดี)
เอ้ากลับเข้าเรื่องกันต่อครับ
. ทีนี้พอถึงวันโกนทีนึงก็จะได้เวลาซักผ้าครับ ซึ่งก่อนอื่นก็เริ่มจากการก่อไฟต้มน้ำครับ ซึ่งจะทำกันตอนเช้าก่อนจะฉันจังหัน โดยที่วัดนี้เค้าจะมีหม้อขนาดใหญ่ไว้สำหรับการนี้โดยเฉพาะ(แปะรูปไว้ให้ด้านล่างครับ) พอได้เวลาเราก็เอาฟืนที่หามาเตรียมไว้ใส่ไปในช่องใส่ฟื้นข้างใต้ จากนั้นก็ก่อไฟ เติมน้ำใส่หม้อจนเต็มแล้วใส่แก่นขนุนลงไป รอให้เดือด แล้วเคี่ยวซักพัก เสร็จแล้วก็กลับไปที่โบสถ์เพื่อรับนิมนต์โยมและฉันจังหัน พอกลับมาอีกทีก็จะได้กลิ่นหอมของแก่นขนุนโชยมาแต่ไกล เป็นอันพร้อมซักครับ
เวลาซักผ้าก็จะต้องซักทั้งน้ำเดือดๆอย่างนั้นแหละครับ โดยพระที่ซักจะต้องใส่ถุงมือหนาทั้งสองข้าง มือข้างหนึ่งถือกระบวยสำหรับตักแก่นขนุนพร้อมน้ำเดือดๆจากหม้อ ส่วนอีกข้างถือที่กรองแก่นขนุน แล้วถือเอากระบวยมาเทผ่านที่กรองลงสู่กาละมังสังกะสีที่เตรียมไว้ โดยน้ำแก่นจะผ่านที่กรองลงไปยังกาละมัง ส่วนแก่นขนุนก็จะเหลืออยู่ในที่กรอง ก็เอากลับไปเทในหม้อใหม่ (รียูส) ทำอย่างนี้ไปเรื่อยๆจนกว่าจะได้ปริมาณน้ำแก่นเพียงพอกับผ้าที่จะซัก (กะพอให้แค่ท่วม) แล้วก็ใช้มือที่สวมถุงมือกดๆบีบๆให้ซึมทั่วผ้า (ขนาดใส่ถุงมือก็ยังร้อนอยู่เลยครับ) เสร็จแล้วก็เอาไปตาก เป็นอันเสร็จพิธี ส่วนน้ำแก่นที่ยังเหลืออยู่ก็จะเอากรอกใส่ปี๊บเอาไว้ สามารถเอาไปต้มใช้ได้ในคราวต่อไป ครูบาชัยบอกผมว่าแก่นขนุนจะแตกต่างจากผงซักฟอกทั่วไปก็ตรงที่ว่า มันจะไม่ไปดึงคราบสกปรกออกมาแต่จะเข้าไปเคลือบเอาไว้
ท่านบอกว่ากรรมวิธีนี้มีมาตั้งแต่สมัยโบราณแล้ว สมัยก่อนถ้าวัดไหนหาแก่นขนุนไม่ได้ก็จะใช้เปลือกไม้ชนิดต่างๆบ้าง ดินแดงบ้างตามแต่ที่ท้องที่ของตัวเองมี
บางทีพระที่ต้องไปธุดงค์เป็นเวลานานๆ ก็จะใช้วิธีเคี่ยวน้ำแก่นขนุนจนแข็งเป็นก้อน และเอามาต้มใช้ในคราวจำเป็น (ว่ากันว่า ผ้าที่ย้อมด้วยน้ำแก่นขนุนมากๆ จะมีกลิ่นช่วยไล่ยุงไล่แมลงด้วยครับ)
.. จะเห็นได้ว่าวิถีชีวิตของพระป่านั้นผูกพันกับธรรมชาติจริงๆ ไม่เพียงแต่เรื่องซักผ้าเท่านั้นนะครับ อีกเรื่องหนึ่งที่ผมอยากจะเล่าให้ฟัง
..ก็คือเรื่องยาขนานเอกของพระป่าครับ
ยาขนานเอกตัวนี้มีมาตั้งแต่สมัยพุทธกาลมาแล้วครับ มีหลักฐานปรากฏในพระสูตรครับ แถมไม่ได้คิดค้นโดยใครที่ไหนอื่นไกล ก็พระพุทธเจ้าของเรานั่นเองแหละครับ มันมีสรรพคุณเป็นโคตรอภิมหายา(อันนี้ผมเรียกเองนะครับ ไม่มีในพระสูตร ^^) สามารถรักษาโรคได้สารพัดครับ ..ที่สำคัญหาได้ง่ายมากครับ เป็นของใกล้ตัวเรามากๆซะด้วย ฮั่นแน่
อยากรู้แล้วสิครับ (เออ อย่าลีลามาก)
ยาขนานเอก ที่ว่านั่นก็คือ น้ำมูตรเน่า หรือ น้ำปัสสาวะของเรานั่นเองครับ!!
เอ้า เอ้า อย่าเพิ่งอ้วกแตกอ้วกแตนกันครับ ผมไม่ได้พูดเล่นนะ การฉันน้ำมูตรเน่า นี่ถือเป็นหนึ่งในนิสสัย 4* (ปัจจัยของบรรพชิต )ด้วยนะเอ้อ (*นิสสัย 4 ประกอบด้วย 1 เที่ยวบิณทบาต 2 นุ่งห่มบังสุกุล 3 อยู่โคนไม้ 4 ฉันยาดองด้วยน้ำมูตรเน่า)
เนื่องจากพระป่าในสมัยก่อน อาศัยอยู่ตามป่าเขา ในเขตทุรกันดาร ห่างไกลความเจริญ พอเจ็บป่วยทีจะเดินทางไปรักษาก็ลำบาก ก็เลยต้องอาศัยน้ำมูตรเน่านี่แหละครับมาช่วยรักษา สมัยนี้ก็ยังคงมีอยู่นะครับ
ผมเคยเล่าให้ฟังใน ตอนที่9 (วิถีแห่งพระป่า 2) ที่ครูบาแหล่ถูกงูกัด ดื่มน้ำมูตรเน่าจนหายมาแล้ว ไม่น่าเชื่อครับ ครูบาจิตวีโร(ครูบาฝรั่ง) ท่านก็เคยมีประสบการณ์ดื่มน้ำมูตรเน่ามาแล้วเหมือนกัน
ท่านเล่าให้ผมฟังว่า ครั้งเมื่อท่านได้บวชเป็นพระที่เมืองไทยใหม่ๆที่วัดป่านานาชาติ (หลังจากเป็นผ้าขาวอยู่ 3 เดือน และเป็นเณรอยู่ 1 ปี ) วันหนึ่งท่านป่วยเป็นไข้อย่างหนัก ต้องนอนซมอยู่ในกุฏิ (ไม่แน่ใจว่าใช่ไข้ป่ารึเปล่า) ท่านจะขอลาเจ้าอาวาสไปรักษาตัวที่โรงพยาบาลในเมือง แต่ท่านเจ้าอาวาสไม่ให้ กลับบอกให้ท่านเอาน้ำปัสสาวะไปดองใส่ขวดสามวันแล้วเอามาฉันเป็นยาทุกวัน (ที่วัดนู้นมีวัตรปฏิบัติที่เคร่งครัดมากพอๆ กับวัดสาขาใหญ่เลยครับ) ทีแรกท่านก็ไม่เชื่อครับ (เพราะท่านเป็นคนยุโรป เรื่องพวกนี้ท่านก็คงไม่เคยได้ยินมาก่อน) แต่ก็ขัดครูบาอาจารย์ไม่ได้ แต่ต้องยอมทำตามไป
ปรากฏว่าฉันไปๆ ไม่นานท่านก็หายครับ (ผมจำไม่ได้ว่านานเท่าไหร่)
ท่านบอกเคล็ดลับให้ว่า ควรจะใช้ปัสสาวะตอนเช้า (ครั้งแรกหลังจากตื่นนอน) เนื่องจากมีความบริสุทธิ์มาก และให้เอาเอาแต่เฉพาะน้ำปัสสาวะช่วงกลางๆ จะดีที่สุด เอาไปดองสองสามวัน แล้วเอามาดื่ม บางทีก็เอาไปดองกับสมอและมะขามป้อม จะได้สรรพคุณเป็นยาอย่างดีมากๆ (ผมจำไม่ได้ว่ารักษาโรคอะไรได้มั่ง แต่สามารถใช้ได้ทั้ง กิน ทา หยอด หากอยากรู้รายละเอียดเพิ่มเติม ลองเสิร์ชคำว่า น้ำมูตรดูได้ครับ )
เรื่องนี้ผมเคยเอาไปค้นคว้าเพิ่มเติมตอนสึกออกมาแล้ว ก็ได้พบงานวิจัยชิ้นหนึ่งบอกว่า น้ำปัสสาวะช่วงเช้า จะมีสารเมลาโทนินซึ่งมีประโยชน์ต่อร่างกายมาก และนอกจากนี้การดื่มน้ำปัสสาวะยังมีประโยชน์ในด้านการรักษาสภาวะสมดุลของร่างกายอีกด้วย
.น่าแปลกที่ว่าพระพุทธเจ้าค้นพบเรื่องนี้เมื่อ 2500กว่าปีที่แล้ว
นอกจากเรื่องการรักษาโรค ครูบาแหล่ยังช่วยชี้แนะผมเพิ่มเติมในเรื่องการเอาน้ำมูตรเน่ามาล้างหน้า เพื่อลด มานะอัตตา* ได้อีกด้วย ท่านบอกว่า พระปฏิบัติเคร่งมากๆ บางทีก็อาจเผลอหลงไปคิดว่าตัวเองเก่ง ตัวเองดีกว่าคนอื่นๆ ไปหลงติดกับ มานะอัตตาที่ตนสร้างขึ้นมา แต่ถ้าหากใช้น้ำมูตรเน่าล้างหน้าเป็นประจำแล้วล่ะก็จะช่วยลดมิจฉาทิฏฐิตัวนี้ได้
(*อัตตา คือ ตัวตน ความยึดมั่นถือมั่นในตัวในตน ทำให้หลงผิดคิดว่า นี่เป็นเรา นี่เป็นของๆเรา ทั้งๆที่เป็นของยืมเขาใช้ชั่วคราวเท่านั้นเอง ไม่จีรังยั่งยืนอะไร บางคนเรียกว่า ตัวตู-ของตู.....ใครแตะต้องไม่ได้ ว่าไม่ได้ ตำหนิไม่ได้...... มานะ คือ ความเปรียบเทียบว่าตัวเองดีกว่าเขา-เท่ากับเขา-หรือต่ำกว่าเขา ท่านว่ายังไม่ดี เป็นอุปกิเลสที่ควรต้องละ......)
ตอนนั้นผมก็สงสัยนิดๆครับ ว่ามันจะลดได้ยังไง
วันรุ่งขึ้นผมก็เลยลองเลยครับ ฉี่ใส่กระบอกน้ำเอาไว้แล้วดองเอาไว้สามวันสามคืน พอถึงกำหนดผมก็ไปเอามันออกมา (ดูเหมือนสีมันจะเข้มขึ้นกว่าเก่าแฮะ) แล้วถือขวดเข้าไปในป่า (กลัวว่าถ้าไปล้างในห้องน้ำ มันจะเหม็นไปหมด)
จากนั้นผมก็เปิดขวดออกมา
.
โอ้ แม่เจ้า!! เพิ่งรู้ว่าฉี่ดองสามวันนี่มันเหม็นขนาดนี้ ไม่น่าเชื่อว่านี่จะเป็นกลิ่นฉี่ผมเอง คือมันเหม็นแบบฉุนๆหน่อยอะครับ ผมยืนทำใจอยู่ตรงนั้นซักพัก แล้วก็ค่อยๆก้มหน้าลง หลับตา กลั้นหายใจ เม้มปากไว้แน่น แล้วค่อยๆเทน้ำฉี่ลงบนมืออีกข้างแล้ววักล้างหน้า คิดดูครับ ขนาดกลั้นหายใจแล้ว กลิ่นฉุนของมันยังทะลุทะลวงเข้ามาได้ แต่ผมก็ยังมีสตินะครับ ดูความรู้สึกรังเกียจ(โทสะ)ตามไปครับ
.ล้างไปได้ซักพักมันก็คิดได้ว่า ฉี่ของเรานี่มันก็คือไอ้น้ำที่เราดื่มเข้าไปเองนี่เนอะ ทีไอ้ตอนนั้นดื่มเข้าไปได้ไม่บ่น ทีตอนนี้ทำมาเป็นรังเกียจ ทั้งๆที่มันก็เป็นธาตุ 4เหมือนกันนี่และ ถูกกิเลสมันหลอกแท้ๆ
แล้วมันก็คิดต่อไปอีกว่า
ขนาดน้ำธรรมดาพอผ่านร่างกายเราออกมา ยังเน่าเสียขนาดนี้
. นี่แสดงว่าร่างกายเรามันก็คงเป็นของเน่าเสียเหมือนกัน ..ฉะนั้นอย่าไปยึดมั่นถือมั่นอะไรกับมันเลย
ในเมื่อร่างกายยังไม่ ยึดมั่นถือมั่น
แล้วมานะอัตตาจะไปเอาที่ไหนอยู่ล่ะครับ??
.. เห็นมั้ย ขนาดฉี่ ยังสอนธรรมะผมได้ขนาดนี้
..แล้วทีนี้ผมจะสรุปได้รึยังครับว่า
ธรรมะ คือ ธรรมชาติ ..
จริงๆ
Create Date : 17 สิงหาคม 2553 |
Last Update : 17 สิงหาคม 2553 11:08:29 น. |
|
1 comments
|
Counter : 504 Pageviews. |
|
|
|
|
|
|
|
ซงย้ง |
|
|
|
|