"ข้าพเจ้าไม่ขอพบเจอกับคนพาล เพราะคนพาลย่อมแนะนำในสิ่งที่ไม่ควรแนะนำ ย่อมชักชวนในสิ่งที่ไม่ใช่ธุระ การแนะนำคนพาลถึงจะแนะนำดีเขาก็โกรธ" (กฤษฏ์ ธรรมกฤตกรณ์)

ตาลปุฏเถรคาถา



คาถาสุภาษิตของพระตาลปุฏเถระ

เมื่อไรหนอ เราจึงจักได้อยู่แต่ผู้เดียว ไม่มีตัณหาเป็นเพื่อนสอง ณ ภูเขาและซอกเขา

เมื่อไรหนอ เราจึงจักพิจารณาเห็นแจ้งภพทั้งปวงโดยความเป็นของไม่เที่ยง ความตรึกเช่นนี้ของเราจักสำเร็จเมื่อไรหนอ

เมื่อไรหนอ เราจึงจักได้เป็นนักปราชญ์ นุ่งห่มผ้ากาสาวพัสตร์อันเศร้าหมอง ไม่มีความยึดมั่น ไม่มีความหวัง เป็นผู้ฆ่าราคะ โทสะ และโมหะได้แล้ว เที่ยวไปตามป่าใหญ่อย่างสบาย ความตรึกเช่นนี้ของเราจักสำเร็จเมื่อไรหนอ

เมื่อไรหนอ เราจึงจักได้เห็นแจ้งซึ่งร่างกายนี้อันเป็นของไม่เที่ยง เป็นรังแห่งโรคคือความตาย ถูกความตายและความเสื่อมโทรมบีบคั้นแล้ว เป็นผู้ปราศจากภัย อาศัยอยู่ในป่าแต่ผู้เดียว ความตรึกเช่นนี้ของเราจักสำเร็จเมื่อไรหนอ

เมื่อไรหนอ เราจึงจักได้ถือเอาซึ่งดาบอันคมกริบ คืออริยมรรคอันสำเร็จด้วยปัญญา แล้วตัดเสียซึ่งลดาชาติ คือ ตัณหาอันก่อให้เกิดภัย นำมาซึ่งทุกข์ เป็นเหตุให้คิดวนเวียนไปในอารมณ์ภายนอก ความตรึกเช่นนี้ของเราจักสำเร็จเมื่อไรหนอ

เมื่อไรหนอ เราจึงจักได้ถือเอาซึ่งศาตราอันสำเร็จด้วยปัญญา มีเดชานุภาพมากของฤาษี คือ พระพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้า และพระอริยสาวก แล้วหักราญเสียซึ่งกิเลสมารพร้อมทั้งเสนาโดยเร็วพลัน เหนือเถรอาสน์มีลีลาศดังราชสีห์ ความตรึกเช่นนี้ของเราจักสำเร็จเมื่อไรหนอ

เมื่อไรหนอนักปราชญ์มีพระพุทธเจ้าเป็นต้น ผู้มีความหนักแน่นในธรรม ผู้คงที่ มีปกติเห็นตามความเป็นจริง มีอินทรีย์อันชนะแล้ว จักเห็นว่าเราบำเพ็ญเพียร ความตรึกเช่นนี้ของเราจักสำเร็จเมื่อไรหนอ

เมื่อไรหนอ ความเกียจคร้าน ความหิวกระหาย ลม แดด เหลือบ ยุง และสัตว์เสือกคลานทั้งหลายจึงจักไม่เบียดเบียนเรา ตามซอกเขา ข้อนั้นเป็นความประสงค์ของเรา ความตรึกเช่นนี้ของเราจักสำเร็จเมื่อไรหนอ

เมื่อไรหนอ เราจึงจักเป็นผู้มีจิตมั่นคง มีสติ ได้บรรลุอริยสัจ ๔ ที่เห็นได้แสนยาก อันพระผู้มีพระภาคผู้ทรงแสวงหาคุณอันยิ่งใหญ่ทรงทราบแล้วด้วยปัญญา ความตรึกเช่นนี้ของเราจักสำเร็จเมื่อไรหนอ

เมื่อไรหนอ เราจึงจักประกอบด้วยความสงบระงับ จากเครื่องเร่าร้อนใจในเพราะรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ และธรรมารมณ์ ที่เรายังไม่รู้เท่าถึง พิจารณาเห็นด้วยปัญญา ความตรึกเช่นนี้ของเราจักสำเร็จเมื่อไรหนอ

เมื่อไรหนอ เราเมื่อถูกว่ากล่าวติเตียนด้วยถ้อยคำชั่วหยาบแล้ว จักไม่เดือดร้อนใจเพราะถ้อยคำชั่วหยาบนั้น อนึ่ง ถึงเขาจะสรรเสริญก็จักไม่ยินดี เพราะถ้อยคำเช่นนั้น ความตรึกเช่นนี้ของเราจักสำเร็จเมื่อไรหนอ

เมื่อไรหนอเราจึงจักพิจารณาเห็นสภาพภายใน กล่าวคือ เบญจขันธ์และรูปธรรมเหล่าอื่น ที่ยังไม่รู้ทั่วถึง และสภาพภายนอก คือ ต้นไม้ หญ้า และลดาชาติ ว่าเป็นสภาพเสมอกัน ความตรึกเช่นนี้ของเราจักสำเร็จเมื่อไรหนอ

เมื่อไรหนอ ฝนที่ตกในเวลาปัจจุสมัย จักตกรดเราผู้นุ่งห่มผ้ากาสาวพัสตร์ ผู้ปฏิบัติอยู่ในมัคคปฏิปทาที่นักปราชญ์มีพระพุทธเจ้าเป็นต้น ดำเนินไปแล้วด้วยน้ำใหม่อยู่ในป่า ความตรึกเช่นนี้ของเราจักสำเร็จเมื่อไรหนอ

เมื่อไรหนอ เราจึงจักได้ฟังเสียงร่ำร้องแห่งนกยูง และทิชาชาติในป่าและซอกเขา ลุกขึ้นจากการนอนแล้ว พิจารณาธรรมโดยความไม่เที่ยงเพื่อบรรลุอมตธรรม ความตรึกเช่นนี้ของเราจักสำเร็จเมื่อไรหนอ

เมื่อไรหนอ เราจึงจักข้ามพ้นแม่น้ำคงคา ยมุนา สรัสสดี ที่ไหลไปกระทั่งถึงบาดาล เป็นปากน้ำใหญ่น่ากลัวนัก ไปได้ด้วยฤทธิ์โดยไม่ติดขัด ความตรึกเช่นนี้ของเราจักสำเร็จเมื่อไรหนอ

เมื่อไรหนอ เราจึงจักงดเว้นความเห็นว่านิมิตงามทั้งปวงเสียโดยเด็ดขาด ขวนขวายอยู่ในฌาน แล้วทำลายความพอใจในกามคุณทั้งหลายเสียได้ เหมือนช้างทำลายเสาตลุง และโซ่เหล็กแล้ว เที่ยวไปในสงครามฉะนั้น ความตรึกเช่นนี้ของเราจักสำเร็จเมื่อไรหนอ

เมื่อไรหนอ เราจึงจักละความพอใจในกามคุณ ได้บรรลุคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า ผู้แสวงหาคุณอันยิ่งใหญ่ แล้วเกิดความยินดี เปรียบเหมือนลูกหนี้ผู้ขัดสน เมื่อถูกเจ้าหนี้บีบคั้นแล้ว แสวงหาทรัพย์มาได้และชำระหนี้เสร็จแล้ว พึงดีใจฉะนั้น ความตรึกเช่นนี้ของเราจักสำเร็จเมื่อไรหนอ

ดูกรจิต ท่านได้อ้อนวอนเราเป็นเวลาหลายปีแล้ว ว่าท่านไม่สมควรอยู่ครองเรือนเลย บัดนี้เราก็ได้บวชสมประสงค์แล้ว เหตุไฉนท่านจึงละทิ้งสมถะวิปัสสนา มัวแต่เกียจคร้านอยู่เล่า

ดูกรจิต ท่านได้อ้อนวอนเรามาแล้วมิใช่หรือว่า ฝูงนกยูงมีขนปีกอันแพรวพราว และเสียงกึกก้องแห่งธารน้ำตกตามซอกเขา จักยังท่านผู้เพ่งฌานอยู่ในป่าให้เพลิดเพลิน เรายอมสละญาติ และมิตรที่รักใคร่ในตระกูล สลัดความยินดีในการเล่นและกามคุณในโลกได้หมดแล้ว ได้เข้าถึงป่าและบรรพชาเพศนี้แล้ว

ดูกรจิต ส่วนท่านไม่ยินดีต่อเราผู้ดำเนินตามเสียเลย เมื่อเราพิจารณาเห็นว่าจิตนี้เป็นของเรา ไม่ใช่ของผู้อื่น จะประโยชน์อะไรด้วยการร้องไห้ร่ำพิไรในเวลาทำสงครามกับกิเลสมาร เพราะจิตทั้งหมดนี้เป็นธรรมชาติหวั่นไหว ดังนี้จึงได้ออกบวช แสวงหาทางอันไม่ตาย

พระสัมมาสัมพุทธเจ้าผู้ประเสริฐกว่าสัตว์ทั้งหลาย ผู้เป็นจอมท้าวสักกเทวราช เป็นจอมสารถีฝึกนระ ตรัสสุภาษิตไว้ว่า จิตนี้กวัดแกว่งเช่นวานร ห้ามได้แสนยาก เพราะยังไม่ปราศจากความกำหนัด ปุถุชนทั้งหลายผู้ไม่รู้เท่าทัน พัวพันอยู่ในกามทั้งหลายอันล้วนแต่เป็นของงดงาม มีรสอร่อย น่ารื่นรมย์ใจ เขาเหล่านั้นเป็นผู้แสวงหาภพใหม่ กระทำแต่สิ่งไร้ประโยชน์ ชื่อว่าประสงค์ทุกข์ ย่อมถูกจิตนำไปสู่นรกโดยแท้

ดูกรจิต แต่ก่อนท่านเคยแนะนำเราไว้ว่า ท่านจงเป็นผู้แวดล้อมด้วยเสียงร่ำร้องแห่งนกยูงและนกกะเรียน อีกทั้งเสือเหลืองและเสือโคร่งอยู่ในป่า ท่านจงสละความห่วงใยในร่างกาย อย่ามีความอาลัยเลย

ดูกรจิต แต่ก่อนท่านเคยแนะนำเราว่า จงอุตส่าห์เจริญฌาน อินทรีย์ พละ โพชฌงค์ และสมาธิภาวนา จงบรรลุวิชชา ๒ ในพระพุทธศาสนา

ดูกรจิต แต่ก่อนท่านเคยแนะนำเราว่า จงเจริญอัฏฐังคิกมรรคเพื่อบรรลุนิพพาน อันเป็นทางนำสัตว์ออกจากโลก ให้ถึงความสิ้นทุกข์ทั้งปวง เป็นเครื่องชำระล้างกิเลสทั้งปวง

ดูกรจิต แต่ก่อนท่านเคยแนะนำเราว่า จงพิจารณาเห็นเบญจขันธ์โดยอุบายอันแยบคายว่า เป็นทุกข์ จงละเหตุอันก่อให้เกิดทุกข์ จงทำที่สุดแห่งทุกข์ในอัตภาพนี้เถิด

ดูกรจิต แต่ก่อนท่านเคยแนะนำเราว่า จงพิจารณาเบญจขันธ์โดยอุบายอันแยบคายว่า เป็นของไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นของว่างเปล่า หาตัวตนมิได้ เป็นของวิบัติ และว่าเป็นผู้ฆ่า จงดับมโนวิจารณ์เสียโดยแยบคายเถิด

ดูกรจิต แต่ก่อนท่านเคยแนะนำเราว่า จงปลงผมและหนวดแล้ว ถือเอาเพศสมณะ มีรูปลักษณะอันแปลก ต้องถูกเขาสาปแช่ง ถือเอาบาตรเที่ยวภิกษาตามตระกูล จงประกอบตนอยู่ในคำสอนของพระบรมศาสดาผู้แสวงหาคุณอันยิ่งใหญ่เถิด

ดูกรจิต แต่ก่อนท่านเคยแนะนำเราว่า จงสำรวมระวังเมื่อเวลาเที่ยวไปบิณฑบาตตามระหว่างตรอก อย่ามีใจเกี่ยวข้องในตระกูลและกามารมณ์ทั้งหลาย เหมือนพระจันทร์ในวันเพ็ญเว้นจากโทษฉะนั้น

ดูกรจิต แต่ก่อนท่านเคยแนะนำเราว่า จงยินดีในธุดงคคุณทั้ง ๕ ถืออยู่ในป่าเป็นวัตร ถือเที่ยวบิณฑบาตเป็นวัตร ถืออยู่ป่าช้าเป็นวัตร ถือนุ่งห่มผ้าบังสุกุลเป็นวัตร ถือการไม่นอนเป็นวัตร ตลอดกาลทุกเมื่อเถิด

บุคคลผู้ต้องการผลไม้ ปลูกต้นไม้ไว้แล้วเก็บผลไม่ได้ ก็ประสงค์จะโค่นต้นไม้นั้นเสียฉันใด ดูกรจิต ท่านแนะนำเราผู้ใดให้หวั่นไหวในความไม่เที่ยง ท่านจงทำเราผู้นี้ให้เหมือนกับบุคคลผู้ปลูกต้นไม้ไว้ฉะนั้นเถิด

ดูกรจิตผู้หารูปมิได้ ไปได้ในที่ไกล เที่ยวไปแต่ผู้เดียว บัดนี้เราจักไม่ทำตามคำของท่านแล้ว เพราะว่ากามทั้งหลายล้วนเป็นทุกข์ มีผลเผ็ดร้อน เป็นภัยใหญ่หลวง เราจักมีใจมุ่งนิพพานเท่านั้น

เราไม่ได้ออกบวชเพราะหมดบุญ เพราะไม่มีความละอาย เพราะเหตุแห่งจิต เพราะเหตุแห่งการทำผิดต่อชาติบ้านเมือง หรือเพราะเหตุแห่งอาชีพ

ดูกรจิต ท่านได้รับรองกับเราไว้ว่า จักอยู่ในอำนาจของเรามิใช่หรือ

ดูกรจิต ท่านได้แนะนำเราไว้ในครั้งนั้นว่า ความเป็นผู้มักน้อย การละความลบหลู่คุณท่าน และความสงบระงับทุกข์ สัตบุรุษทั้งหลายสรรเสริญ แต่บัดนี้ท่านกลับเป็นผู้มีความมักมากขึ้น เราไม่อาจกลับไปสู่ตัณหา ราคะ ความรัก ความชัง รูปอันสวยงาม สุขเวทนา และเบญจกามคุณ อันเป็นของชอบใจที่เราคายเสียแล้วอีก

ดูกรจิต เราได้ปฏิบัติตามถ้อยคำของท่านในภพทั้งปวงแล้ว เราไม่ได้มีความขุ่นเคืองต่อท่านหลายชาติมาแล้ว เพราะความที่ท่านมีความกตัญญู จึงปรากฏมีอัตภาพนี้ขึ้นอีก ท่านทำให้เราต้องท่องเที่ยวไปในกองทุกข์มาช้านานแล้ว

ดูกรจิต ท่านทำเราให้เป็นพราหมณ์ก็มี เป็นพระราชามหากษัตริย์ก็มี เพราะอำนาจแห่งท่าน บางคราวเราเป็นแพทย์ เป็นศูทร เป็นเทพเจ้าก็มี เพราะอำนาจแห่งท่าน

เพราะเหตุแห่งท่าน มีท่านเป็นมูลเหตุ เราเป็นอสูร บางคราวเป็นสัตว์นรก บางคราวเป็นสัตว์ดิรัจฉาน บางคราวเป็นเปรต ท่านได้ประทุษร้ายเรามาบ่อย ๆ มิใช่หรือ

บัดนี้เราจักไม่ให้ท่านทำเหมือนกาลก่อนอีกละแม้เพียงครู่เดียว ท่านได้ล่อลวงเราเหมือนกับคนบ้า ได้ทำความผิดให้แก่เรามาแล้วมิใช่หรือ

จิตนี้แต่ก่อนเคยเที่ยวจาริกไปในอารมณ์ต่าง ๆ ตามความประสงค์ ตามความใคร่ ตามความสบาย วันนี้เราจักข่มจิตนั้นไว้โดยอุบายอันชอบ ดังนายหัตถาจารย์ข่มช้างตัวตกมันไว้ด้วยขอฉะนั้น

พระศาสดาของเราได้ทรงตั้งโลกนี้ โดยความเป็นของไม่เที่ยง ไม่ยั่งยืน ไม่เป็นแก่นสาร ดูกรจิต ท่านจงพาเราบ่ายหน้าไปในศาสนาของพระชินสีห์ จงพาเราข้ามจากห้วงใหญ่ที่ข้ามได้แสนยาก

ดูกรจิต เรือนคืออัตภาพของท่านนี้ ไม่เป็นเหมือนกาลก่อนเสียแล้ว เพราะเราจักไม่เป็นไปตามอำนาจของท่านอีกต่อไป เราได้บวชในศาสนาของพระพุทธเจ้าผู้แสวงหาประโยชน์อันยิ่งใหญ่แล้ว สมณะทั้งหลายผู้ทรงความพินาศไม่เป็นเช่นเรา

ภูเขา มหาสมุทร แม่น้ำคงคาเป็นต้น แผ่นดินทิศใหญ่สี่ ทิศน้อยสี่ ทิศเบื้องบน ทิศเบื้องต่ำ และภพสาม ล้วนเป็นสภาพไม่เที่ยง มีแต่ถูกเบียดเบียนอยู่เสมอ ดูกรจิต ท่านจะไป ณ ที่ไหนเล่าจึงจะมีความสุขรื่นรมย์

ดูกรจิต เบื้องหน้าแต่จิตของเราตั้งมั่นแล้ว ท่านจักทำอะไรแก่เราได้ เราไม่เป็นไปตามอำนาจของท่านแล้ว

บุคคลไม่ควรถูกต้องไถ้สองปาก คือร่างกายอันเต็มไปด้วยของไม่สะอาด มีช่อง ๙ แห่ง เป็นที่ไหลออก น่าติเตียน

ท่านผู้ไปสู่เรือนคือถ้ำที่เงื้อม ภูเขาอันสวยงามตามธรรมชาติ เป็นที่อาศัยอยู่แห่งสัตว์ป่า คือ หมูและกวาง และในป่าที่ฝนตกใหม่ ๆ จักได้ความรื่นรมย์ใจ ณ ที่นั้น

ฝูงนกยูงมีขนที่คอเขียว มีหงอนและปีกงาม ลำแพนหางมีแวววิจิตรนัก ส่งสำเนียงก้องกังวานไพเราะจับใจ จักยังท่านผู้บำเพ็ญฌานอยู่ในป่าให้ร่าเริงได้ เมื่อฝนตกหญ้างอกยาวประมาณ ๔ นิ้ว ท้องฟ้างามแจ่มใสไม่มีเมฆปกคลุม เมื่อท่านทำตนให้เสมอด้วยไม้แล้ว นอนอยู่เหนือหญ้าระหว่างภูเขานั้น จะรู้สึกอ่อนนุ่มดังสำลี เราจักกระทำให้เหมือนผู้ใหญ่ จะยินดีด้วยปัจจัยตามมีตามได้

บุคคลผู้ไม่เกียจคร้าน ย่อมกระทำจิตของตนให้ควรแก่การงานฉันใด เราจักกระทำจิตฉันนั้น เหมือนบุคคลเลื่อนถุงใส่แมวไว้ฉะนั้น เราจักทำให้เหมือนผู้ใหญ่ จักยินดีด้วยปัจจัยตามมีตามได้ จักนำท่านไปสู่อำนาจของเราด้วยความเพียร เหมือนนายหัตถาจารย์ผู้ฉลาดนำช้างที่ซับมันไปสู่อำนาจของตนด้วยขอฉะนั้น

เราย่อมสามารถที่จะดำเนินตามหนทางอันเกษมสุข ซึ่งเป็นทางอันบุคคลผู้ตามรักษาจิต ได้ดำเนินมาแล้วทุกสมัย ด้วยหทัยอันเที่ยงตรงที่ท่านฝึกฝนไว้ดีแล้ว มั่นคงแล้ว เปรียบเหมือนนายหัตถาจารย์ สามารถจะดำเนินไปตามภูมิสถานที่ปลอดภัย ด้วยม้าที่ฝึกดีแล้วฉะนั้น

เราจักผูกจิตไว้ในอารมณ์ คือ กรรมฐานด้วยกำลังภาวนา เหมือนนายหัตถาจารย์มัดช้างไว้ที่เสาตลุงด้วยเชือกอันมั่นคงฉะนั้น

จิตที่เราคุ้มครองดีแล้ว อบรมดีแล้วด้วยสติ จักเป็นจิตอันตัณหาเป็นต้นไม่อาศัยในภพทั้งปวง ท่านจงตัดทางดำเนินที่ผิดเสียด้วยปัญญา ข่มใจให้ดำเนินไปในทางที่ถูกด้วยความเพียร ได้เห็นแจ้งทั้งความเกิดขึ้นและความเสื่อมไป แล้วจักได้เป็นทายาทของพระพุทธเจ้า ผู้มักแสดงธรรมอันประเสริฐ

ดูกรจิต ท่านได้นำเราให้เป็นไปตามอำนาจของความเข้าใจผิด ๔ ประการ เหมือนบุคคลจูงเด็กชาวบ้านวิ่งวนไปฉะนั้น ท่านควรคบหาพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้ตัดเครื่องเกาะเกี่ยวและเครื่องผูกเสียได้ เพียบพร้อมด้วยพระมหากรุณา เป็นจอมปราชญ์มิใช่หรือ

มฤคชาติเข้าไปยังภูเขาอันน่ารื่นรมย์ ประกอบด้วยน้ำและดอกไม้ เที่ยวไปในป่าอันงดงามตามลำพังใจฉันใด ดูกรจิต ท่านก็จักรื่นรมย์อยู่ในภูเขาที่ไม่เกลื่อนกล่นด้วยผู้คนตามลำพังใจฉันนั้น เมื่อท่านไม่ยินดีอยู่ที่ภูเขานั้น ท่านก็จักต้องเสื่อมโดยไม่ต้องสงสัย

ดูกรจิต หญิงชายเหล่าใดประพฤติตามความพอใจ ตามอำนาจของท่านแล้ว เสวยความสุขใดอันอาศัยเบญจกามคุณ หญิงชายเหล่านั้นชื่อว่าเป็นผู้โง่เขลา ตกอยู่ในอำนาจของมาร เป็นผู้เพลิดเพลินอยู่ในภพน้อย ภพใหญ่ และชื่อว่าเป็นสาวกของท่าน.

จบ ตาลปุฏเถรคาถา.
---------------




 

Create Date : 19 พฤศจิกายน 2552   
Last Update : 19 พฤศจิกายน 2552 16:24:11 น.   
Counter : 498 Pageviews.  


thammakittakon
Location :
ปทุมธานี Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 8 คน [?]




[Add thammakittakon's blog to your web]