สิ่งใดเกิดขึ้นแล้ว สิ่งนั้นดีเสมอ
Group Blog
 
All Blogs
 
นอกห้องเรียน

“โรงเรียน โลกกว้าง และความจริง”


ตอนยังเป็นนักเรียน นอกจากตำราที่ต้องอ่านเองแล้ว ครูบาอาจารย์ที่พร่ำสอนในห้องเรียน คือ ผู้ประสิทธิประสาทวิชาความรู้ จากไม่เคยรู้ก็ได้รู้ โลกแคบๆ ของเด็กคนหนึ่งเติบโตขึ้นทีละน้อย เมื่อถึงเวลาออกไปเผชิญโลกในชีวิตจริง ความรู้ที่อ่านจากในตำราที่ได้จากห้องเรียนอาจหายหกตกหล่นไปบ้าง แต่ประสบการณ์เพิ่มพูนขึ้น

วิชาหนังสือพิมพ์ในรั้วมหาวิทยาลัยสอนให้เรารู้จักวิธีการตั้งคำถาม การมองประเด็น การเขียนข่าว เขียนรายงาน เขียนสกู๊ป บทความ และอีกสารพัดรูปแบบงานเขียนที่มีอยู่ในหลักสูตรการเรียนการสอน แต่การเขียน เขียน และการฝึกปรือฝีมือเกิดขึ้นหลังจากนั้น ด้วยการลงมือทำ

สิ่งที่ได้เรียนรู้ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา คือการได้พบว่า ครูในชีวิตจริง ไม่ได้มีแค่คนที่พร่ำสอนดุด่าวิจารณ์งานเขียนของเรา ที่มีนับไม่ถ้วนคือคนที่สอนเราด้วยการกระทำ และอีกไม่น้อยหยิบยื่นโอกาสให้เราได้ลงมือเรียนรู้ถูกผิดด้วยตนเอง

บทเรียนจากการกระทำอยู่กับเราได้นานกว่าการท่องจำ
“โอกาส”อาจไม่มีมาตรวัดในการตีราคาค่างวด บางคนโชคดีมีคนหยิบยื่นให้ บางคนต้องไขว่คว้าตะเกียกตะกาย ว่ากันว่าคนส่วนใหญ่จะรู้ “ค่า” เมื่อมันได้ผ่านไปแล้ว

ไม่ว่าจะเป็นโอกาสที่ผ่านเข้ามา หรือต้องแสวงหาเอาเอง ผลลัพธ์ที่ได้ไม่ว่าจะเป็นความสำเร็จ หรือล้มเหลว เราจะรู้ได้ก็ต่อเมื่อไม่ปล่อยให้มันผ่านไป
คนมองโลกด้วยรอยยิ้มเปรียบคุณค่าของ “โอกาส”ที่ผ่านเข้ามา เหมือนการมี“แฟน” ทำไมเขาไว้ใจเลือกเรา? ไม่ใช่คนอื่น?? ในทางกลับกัน ถ้าปล่อยโอกาสนั้นผ่านไป ความรู้สึกที่ได้คงไม่ต่างอะไรกับตอนที่เขาคนนั้นเดินจากเราไป

การได้ทำในสิ่งที่รักย่อมถือเป็นโชคดี สิ่งที่ได้เรียนรู้ในช่วงหลายปีที่ผ่านมาทำให้ได้ตระหนักว่า ความสนุกทำให้เวลาหมุนไปเร็วมาก เงยหน้าขึ้นมาอีกทีจึงรู้ว่าหลงลืมอะไรบางอย่างไป แม้ไม่ถึงกับเสียใจ ก็ไม่ได้หมายความว่าไม่เสียดาย แต่มีประโยชน์อะไรที่จะพร่ำบอกตนเองว่า ถ้า… รู้อย่างนี้จะไม่

“สิ่งใดเกิดขึ้นแล้วสิ่งนั้นดีเสมอ” อย่าไปเสียเวลาพร่ำบ่นถึงวันคืนที่ผ่านเลย จงเริ่มต้นออกแบบชีวิตที่เราต้องการในวันพรุ่งนี้เสียแต่วันนี้

วันก่อนนอนดูทีวี แขกรับเชิญในรายการเป็นผู้บริหารในแวดวงการเงินพูดถึงแนวทางในการเริ่มต้นเก็บเงินด้วยการตั้งโจทย์ง่ายๆ โดยให้ถามตนเองว่า ต้องการมีเงินเก็บเดือนละเท่าไร เมื่อได้คำตอบแล้วให้จัดสรรการใช้จ่ายในแต่ละเดือนจากจำนวนเงินเดือนที่เหลือหลังหักเงินออมไว้แล้ว

ผู้บริหารคนเดิมยังให้ข้อคิดด้วยว่า การเก็บออมเงิน นอกจากควรคิดเผื่อถึงความเสี่ยงในอนาคตที่อาจเกิดขึ้นได้จากการเจ็บป่วย หรือความจำเป็นในยามฉุกเฉินแล้วยังควรคำนึงถึงความมีอิสระทางเงินในกรณีที่ต้องการลาออกจากงานประจำด้วย

วันหนึ่งถ้าเราทำงานไปสักพักแล้วรู้สึกอยากเปลี่ยนเส้นทางชีวิตไปทำอย่างอื่น เราจะมีเงินออมเหลือไว้ใช้จ่ายในช่วงค้นหาความฝันใหม่นานแค่ไหน

6 เดือน 1 ปี หรือมากกว่านั้น



อนาคตเป็นสิ่งไม่แน่นอน การตั้งต้นเตรียมตัวแต่เนิ่น ๆ จึงเป็นสิ่งจำเป็น
องค์กรในโลกธุรกิจปัจจุบันขับเคลื่อนด้วยการแข่งขัน และคำนึงถึงกำไรขาดทุนในระดับที่เข้มข้นมากขึ้นมาก

การปรับตัวให้อยู่รอดทั้งจากสภาวะการแข่งขันและการเปลี่ยนแปลงในโลกสมัยใหม่ทำให้แต่ละองค์กรเข้มงวดกับประสิทธิภาพ ประสิทธิผลในการทำงานของบุคคลากรในองค์กรเพิ่มขึ้นด้วย

หลายบริษัทต้องลดขนาดองค์กรให้เล็กลง จนต้องเลย์ออฟพนักงานในส่วนที่ไม่เกี่ยวกับการทำธุรกิจหลักออกไป เช่น กรณีแบงก์ใหญ่แห่งหนึ่งประกาศเลย์ออฟพนักงาน 500 ตำหน่ง ส่วนใหญ่เป็นพนักงานเดินเอกสารระหว่างชั้นทั้งในสำนักงานใหญ่ และสำนักงานสาขา

แม้แพ็คเกจที่แบงก์จ่ายเพื่อจ้างให้ออกจะเป็นจำนวนเงินที่ค่อนข้างมาก (ค่าตกใจ 1 เดือน บวก 10 เดือนตามกฎหมาย และส่วนเพิ่มเติมที่แบงก์ให้ คำนวณจากเงินเดือน เดือนสุดท้ายคูณจำนวนปีที่ทำงาน ) ถ้าเลือกได้คนส่วนใหญ่ยังอยากทำงานในฐานะพนักงานแบงก์ต่อไป

ทั้งความผูกพันกับองค์กรจากการทำงานมายาวนาน และสวัสดิการต่างๆ ที่เคยได้รับในฐานะพนักงาน แต่ทางเลือกมีไม่มากนัก ใครอยากทำงานต่อต้องแปรสภาพไปเป็นลูกจ้างรายวันของบริษัทที่แบงก์จ้างให้รับผิดชอบงานนั้น

เกือบทั้งหมดจึงจำยอมรับข้อเสนอของบริษัทที่ตนทำงานมานานนับสิบปี
องค์กรสมัยใหม่ขับเคลื่อนด้วยการแข่งขัน และให้ความสำคัญกับกำไรขาดทุนเป็นหลัก การบริหารจัดการจึงคำนึงถึงประสิทธิภาพของทีมงานในปัจจุบันเป็นที่ตั้ง คุณูปการในอดีตอาจสำคัญ แต่ไม่เท่าความอยู่รอดขององค์กรในอนาคต

ความสัมพันธ์ระหว่างพนักงานกับองค์กรจึงห่างเหิน เพราะยึดโยงกันด้วยภารกิจต่างตอบแทน

เหมือนแค่ผ่านพบ แต่ไม่ผูกพัน…


ชั้น5ประชาชาติ
เชอรี่ประชาชาติ cheryd@gmail.com





Create Date : 23 กุมภาพันธ์ 2554
Last Update : 23 กุมภาพันธ์ 2554 15:53:40 น. 1 comments
Counter : 309 Pageviews.

 
ชอบที่บอกว่า สิ่งใดเกิดขึ้นแล้วสิ่งนั้นดีเสมอ

ถ้าเราคิดอย่างนี้ได้จริงๆ เราจะขอบคุณที่ทุกสิ่งทุกอย่างที่ผ่านเข้ามาในชีวิต เราจะจดจำแต่คนดีๆ เพื่อนดีๆ สิ่งดีๆที่เกิดขึ้นในชีวิต กับเรื่องราวสอนใจจากเหตุการณ์ทั้งดีและร้ายต่างๆที่เกิดขึ้น

ต้องยอมรับว่า เรากับองค์กรที่เราสังกัดนั้น เกี่ยวข้องกัน แต่ก็ไม่ใช่สิ่งเดียวกัน

ผลประโยชน์บางอย่างก็ร่วมกัน แต่บางอย่างก็ไม่ร่วมกัน การที่บริษัทต้องการทักษะของเรา หรือทักษะของเราเป็นประโยชน์กับองค์กร เขาก็อยากให้เราอยู่ แต่ถ้าบริษัทไม่ได้ต้องการทักษะของเรา เราก็กลายเป็นส่วนเกิน ก็ถึงเวลาต้องแยกจากกัน

เวลาแยกจากกันนั้น ไม่ได้หมายความว่าองค์กรหรือตัวเราฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง ไม่มีค่าต่อโลก เพียงแต่อาจไม่มีค่าแก่กันและกันเพียงพอ ที่จะต้องอยู่ร่วมกันต่อไป

องค์กรทางธุรกิจนั้น ชัดเจนว่าเป็นไปเพื่อทำกำไร ถ้าเราอยู่ร่วมกันแล้วองค์กรทำกำไรได้ก็อยู่กันต่อ ถ้าเราเป็นอุปสรรคต่อการทำกำไรขององค์กร เขาก็ต้องขอให้เราไป ไม่เช่นนั้นองค์กรก็ต้อง(เจ๊ง)ไป

ท้ายที่สุดก็มีแต่ครอบครัวและญาติมิตรเท่านั้น ที่เราจะผูกพันกันต่อไป

//bharot.wordpress.comBY


โดย: ฺํฺํฺBY IP: 124.122.254.247 วันที่: 24 กุมภาพันธ์ 2554 เวลา:19:10:15 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

cherydnk
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




Friends' blogs
[Add cherydnk's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.