รวบรวมเนื้อหาธรรมะดีๆ รูปภาพสวยๆ

มัจฉาโพธิสัตว์ (บำเพ็ญสัจบารมี)

มัจฉาโพธิสัตว์
(บำเพ็ญสัจบารมี)
*****************************
ตลอดระยะเวลาอันยาวนาน มวลมนุษยชาติต่างปรารถนาจะให้โลกมีสันติสุขอย่างแท้จริง แต่ไม่มีใครรู้ว่า สันติสุขที่แท้จริงอยู่ที่ไหน จะเข้าถึงได้อย่างไร จนกระทั่งพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงค้นพบว่า การที่จะทำให้เกิดสันติสุขที่แท้จริงนั้น มนุษย์ทุกคนจะต้องปฏิบัติให้เข้าถึงสันติสุขภายใน คือ เข้าถึงพระธรรมกาย ซึ่งเป็นแหล่งกำเนิดแห่งความสุขที่แท้จริง และเป็นสิ่งที่มีอยู่ในตัวของมนุษย์ทุกคน ไม่ว่าจะมีความแตกต่างกันโดยเชื้อชาติ ศาสนา หรือเผ่าพันธุ์ หากได้ลงมือปฏิบัติอย่างถูกวิธีแล้ว ย่อมเข้าถึงพระธรรมกายด้วยกันหมดทั้งสิ้น

พระธรรมเสนาบดีได้กล่าวไว้ใน ขุททกนิกาย ปฏิสังยุตว่า
“ยทา จ พุทฺธา โลกสฺมึ อุปฺปชฺชนฺติ ปภงฺกรา
เต อิมํ ธมฺมํ ปกาเสนฺติ ทุกฺขูปสมคามินํ

เมื่อใดพระพุทธเจ้าทั้งหลาย ผู้ทำความสว่าง บังเกิดขึ้นในโลก เมื่อนั้นพระพุทธเจ้าเหล่านั้นย่อมประกาศธรรม อันให้ถึงความเข้าไประงับทุกข์ได้”

พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงเป็นแสงสว่างของโลก เป็นประทีปเอกที่ส่องนำทางชีวิต ให้มนุษยชาติหลุดพ้นจากความทุกข์ทรมานทั้งปวง หลุดพ้นจากการบังคับบัญชาของกิเลสอาสวะ จากอวิชชาคือความไม่รู้ ด้วยการประกาศสัจธรรมที่พระองค์ทรงค้นพบในวันเพ็ญขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๖ เมื่อ ๒๕๐๐ กว่าปีก่อน หากไม่มีบุคคลเช่นพระพุทธองค์บังเกิดขึ้น มนุษยชาติย่อมพบแต่ความทุกข์เป็นอนันต์ จะไม่พบกับสันติสุขที่แท้จริงได้เลย

สัจธรรมที่พระพุทธองค์ทรงค้นพบนั้น ใช่ว่าจะได้มาง่ายๆ พระองค์ต้องสั่งสมบ่มบารมีถึง ๒๐ อสงไขยกับ ๑๐๐,๐๐๐ มหากัป บางชาติต้องทรงสละชีวิต เพื่อให้ได้มาซึ่งการบรรลุพระสัมมาสัมโพธิญาณ แม้พระชาติสุดท้าย พระองค์ยังต้องสละความสะดวกสบายที่มีพรั่งพร้อมในพระราชวัง ออกบำเพ็ญเนกขัมมบารมีนานถึง ๖ ปี กว่าจะค้นพบเส้นทางสายกลางที่ ทำให้พระองค์ได้บรรลุธรรม เมื่อพระองค์บรรลุแล้วก็มิได้หวงแหนไว้แต่เพียงผู้เดียว ทรงมีพระมหากรุณาธิคุณเปิดเผยให้ชาวโลกทั้งหลาย ได้รู้แจ้งเห็นแจ้งแทงตลอดในธรรมะที่พระองค์ได้ตรัสรู้แล้วตามไปด้วย

สมัยหนึ่ง เมื่อครั้งที่พระพุทธองค์ประทับอยู่ที่วัดพระเชตวันในแคว้นโกศล ฝนไม่ตกต้องตามฤดูกาล ทำให้สรรพสัตว์ทั้งหลายต้องลำบาก ได้รับทุกข์ทรมาน ข้าวกล้าในนาเสียหาย น้ำในสระก็แห้งขอด แม้แต่สระโบกขรณี ใกล้ซุ้มประตูวัดพระเชตวันก็ไม่มีน้ำ ทำให้เหล่าฝูงนกกาต่างรุมจิกกินปลาและเต่า ที่หลบซ่อนอยู่ในเปือกตม เมื่อพระบรมศาสดาทอดพระเนตร เห็นความลำบากของสรรพสัตว์ทั้งหลายเช่นนั้นแล้ว ทรงมีพระมหากรุณาธิคุณอันยิ่งใหญ่ และทรงดำริว่า เราควรจะต้องบันดาลให้ฝนตก

ครั้นรุ่งเช้าของวันใหม่ หลังจากทรงชำระพระสรีระ และได้เสด็จกลับจากบิณฑบาต เสวยพระกระยาหารในเมืองสาวัตถี พร้อมด้วยภิกษุสงฆ์หมู่ใหญ่แล้ว ได้ประทับยืนที่บันไดของสระโบกขรณี ทรงตรัสเรียกพระอานนท์พลางรับสั่งว่า “ดูก่อนอานนท์ เธอจงนำผ้าอาบน้ำมา เราจะสรงน้ำในสระโบกขรณีนี้“

พระเถระได้ฟังพระดำรัสเช่นนั้น จึงกราบทูลว่า “ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ น้ำในสระโบกขรณีแห้งขอดแล้ว เหลือแต่เพียงเปือกตมเท่านั้น พระเจ้าข้า“

พระองค์ตรัสว่า “อานนท์ ชื่อว่ากำลังของพระพุทธเจ้าทั้งหลายใหญ่หลวงนัก เธอจงนำผ้าอาบมาเถิด“

เมื่อฟังพระดำรัสดังนั้น พระเถระจึงนำมาทูลถวาย ครั้นทรงรับแล้ว พระองค์ทรงนุ่งผ้าอุทกสาฎกด้วยชายข้างหนึ่ง อีกชายหนึ่งทรงคลุมพระสรีระ ประทับยืนที่บันไดพลางตั้งพระทัยว่า “เราจักสรงน้ำในสระโบกขรณีที่วัดพระเชตวันนี้”

ขณะเดียวกันนั้นเอง บัณฑุกัมพลศิลาอาสน์ของท้าวสักกะ สำแดงอาการร้อนขึ้นมาทันที ท้าวสักกะจึงมีเทวบัญชา เรียกเทพวลาหกเจ้าแห่งฝนมาเฝ้าและตรัสว่า “พ่อเทพบุตร พระบรมศาสดาทรงตั้งพระทัยว่า จักเสด็จลงสรงน้ำในสระโบกขรณีที่วัดพระเชตวัน บัดนี้พระองค์ได้ประทับยืนอยู่ที่บันไดแล้ว เธอจงบันดาลให้ฝนตกทั่วแคว้นโกศลโดยเร็วเถิด”

เทพวลาหกรับเทวบัญชาแล้ว รีบนำก้อนเมฆมหึมาก้อนหนึ่ง ได้ขับเพลงเมฆสังคีต บ่ายหน้าไปทางทิศตะวันออก ของโลกธาตุ จากนั้นบันดาลให้มีก้อนเมฆซ้อนกันเป็นชั้นๆ ถึงพันชั้น ฟ้าส่งเสียงคำรามแลบแปลบปลาบ ฝนได้ตกลงมาทั่วทั้งแคว้นโกศล น้ำได้ท่วมท้นเหมือนห้วงน้ำที่ไหลปริ่มตลิ่งฉะนั้น เพียงครู่เดียวก็เต็มสระโบกขรณีจนถึงบันไดที่ประทับยืน ทำให้พระพุทธองค์ทรงสรงน้ำได้ดังพุทธประสงค์

ครั้นตกเย็น พระภิกษุสงฆ์ได้สนทนาธรรมกันในธรรมสภาว่า “ผู้มีอายุทั้งหลาย ท่านทั้งหลายจงดูพระคุณสมบัติ คือ พระขันติ พระเมตตา และพระกรุณาของพระทศพล ในเมื่อข้าวกล้าต่างๆ กำลังเหี่ยวแห้ง ชลาลัยทุกแห่งก็เหือดหาย ฝูงปลาและเต่าประสบทุกข์ใหญ่หลวง พระองค์ทรงอาศัยพระกรุณา ทรงครองผ้าอุทกสาฎก ด้วยมุ่งพระทัยจะให้มหาชนพ้นจากความทุกข์ ได้ประทับยืนที่บันไดขั้นแรกของสระโบกขรณี ทรงบันดาลให้ฝนตก เหมือนห้วงน้ำใหญ่ไหลบ่าท่วมโกศลรัฐทุกส่วน เพียงครู่เดียวพระองค์ปลดเปลื้องมหาชน ให้พ้นจากทุกข์กาย ทุกข์ใจได้”

ขณะพระภิกษุกำลังสนทนาธรรมอยู่นั้น พระบรมศาสดาได้เสด็จออกจากพระคันธกุฎีสู่ธรรมสภา พลางตรัสถามว่า “ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย พวกเธอนั่งสนทนากันด้วยเรื่องอะไร“

เมื่อภิกษุทั้งหลายกราบทูลแล้ว จึงตรัสว่า “ภิกษุทั้งหลาย มิใช่แต่ในบัดนี้เท่านั้น ที่เราตถาคตทำให้ฝนตก ในขณะที่มหาชนพากันลำบาก แม้ในกาลก่อนครั้งที่ตถาคต เกิดในกำเนิดเป็นราชาของฝูงปลา เราได้ทำให้ฝนตกมาแล้วเช่นกัน ทรงนำเรื่องในอดีตมาตรัสเล่าว่า

ณ ลำห้วยแห่งหนึ่งล้อมรอบด้วยเถาวัลย์ บริเวณสระโบกขรณีในเมืองสาวัตถี แคว้นโกศลแห่งนี้ ครั้งนั้นพระโพธิสัตว์บังเกิด ในกำเนิดราชาแห่งปลา ในคราวนั้นแคว้นโกศลเกิดฝนแล้ง ข้าวกล้าของชาวเมืองเหี่ยวแห้ง แหล่งน้ำทั้งหลายก็ขาดน้ำ ฝูงปลา และเต่าพากันคุดเข้าไปในเปือกตม แม้แต่ลำห้วยที่พระโพธิสัตว์อาศัยอยู่ ฝูงปลาก็พากันคุดเข้าโคลนตมซุกซ่อนอยู่ เมื่อเหตุการณ์เป็นเช่นนี้ ฝูงกา เป็นต้น ต่างพากันรุมจิกกิน พระโพธิสัตว์เห็นความพินาศของหมู่ญาติ และบริวาร จึงดำริว่า “ผู้อื่นเว้นเราเสียแล้ว ไม่มีใครเลยที่สามารถปลดเปลื้องความทุกข์นี้ได้ เราจักทำสัจกิริยาให้ฝนตก ปลดเปลื้องหมู่ญาติให้พ้นจากทุกข์คือความตาย”

เมื่อคิดดังนั้นแล้ว พระโพธิสัตว์ได้แหวกเปือกตมออกมา ทำสัจจาธิษฐาน พญาปลานั้นมีสีกายเหมือนปุ่มต้นอัญชัน มีตาทั้งคู่เหมือนแก้วมณีสีแดงที่เจียระไนดีแล้ว ได้มองดูอากาศ บันลือสีหนาทกล่าวกับเทพปัชชุนนะว่า

“ข้าแต่พระปัชชุนนะผู้เจริญ ข้าพเจ้าและหมู่ญาติกำลังเดือดร้อนมาก ในเมื่อข้าพเจ้าเป็นผู้ทรงศีลลำบากอยู่ ทำไมท่านถึงไม่ช่วยให้ฝนตกลงมาเล่า ข้าพเจ้าบังเกิดในฐานะที่สามารถกัดกินพวกเดียวกัน แต่ก็ไม่เคยกัดกินมัจฉาชาติ ไม่ว่าจะเป็นปลาเล็กขนาดเท่าเมล็ดข้าวสาร หรือแม้สัตว์เหล่าอื่น ข้าพเจ้าก็มิเคยแกล้งปลงชีวิตเลย ด้วยสัจวาจานี้ ขอท่านจงบันดาลให้ฝนตกลงมา จงปลดเปลื้องหมู่ญาติของข้าพเจ้าจากทุกข์ด้วยเถิด”

จากนั้นเทพผู้มีฤทธิ์ได้ยังฝนห่าใหญ่ให้ตกทั่วแคว้นโกศล ทำให้หมู่ญาติ และมหาชนพ้นจากทุกข์สมปรารถนา เมื่อพระพุทธองค์ตรัสพระธรรมเทศนาจบ ทรงสรุปชาดกว่า “ฝูงปลาในครั้งนั้นได้มาเป็นพุทธบริษัท ปัชชุนนะเทวราชได้มาเป็นพระอานนท์ ส่วนพญาปลาคือเราตถาคต”

เพราะฉะนั้น การบังเกิดขึ้นของพระพุทธองค์ เป็นการบังเกิดขึ้นเพื่อยังสันติสุขให้บังเกิดขึ้นแก่โลกอย่างแท้จริง พระองค์ทรงอุบัติขึ้นเพื่อเปลื้องทุกข์ให้กับสรรพสัตว์ทั้งหลาย ถึงแม้ว่าบางชาติต้องเอาชีวิตเป็นเดิมพัน พระพุทธองค์ก็ยอมเพื่อให้ได้มาซึ่งพระสัมมาสัมโพธิญาณ ที่จะนำพาสรรพสัตว์ทั้งหลายให้พ้นจากทุกข์ ควรอย่างยิ่งที่เราจะระลึกนึกถึงพระองค์ ยึดพระองค์เป็นแบบอย่างในการสร้างบารมี หมั่นระลึกนึกถึงพระคุณอันไม่มีประมาณของพระองค์ว่า การบังเกิดขึ้นของพระองค์นั้น เป็นประโยชน์เกื้อกูลแก่มนุษย์ เทวา และสรรพสัตว์ทั้งหลาย

การที่จะระลึกนึกถึงพระองค์ เราควรทำในสิ่งที่พระองค์อยากจะให้ทำ นั่นคือ การปฏิบัติบูชา ดังนั้น ให้ทุกๆ ท่านตั้งใจทำใจหยุดใจนิ่ง ให้ใจใสสะอาดบริสุทธิ์ หยุดนิ่งอยู่ที่ศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ หรือผู้ใดจะระลึกนึกถึงพระบรมครูของเรา ด้วยการนึกพระปฏิมากรที่นั่งขัดสมาธิ(Meditation) เกตุดอกบัวตูม ใสเป็นแก้ว แทนการตรึกระลึกนึกถึงพระองค์ก็ได้

ให้ทุกคนทำใจหยุดใจนิ่งให้ดี ตรึกระลึกนึกถึงพระพุทธเจ้าเป็นอารมณ์ ไม่กังวลกับสิ่งใดทั้งปวง เจริญพุทธานุสติโดยนำใจตรึกนึกถึงท่านเป็นอารมณ์ ใจหยุดใจนิ่ง ให้ใจใส ใจสบาย พยายามปรับปรุงวิธีการวางใจให้ดีว่า ทำอย่างไรเราถึงจะวางใจได้ถูกส่วน ไม่ตึงเกินไป ไม่หย่อนเกินไป ตึงเกินไปก็จะเครียด หย่อนเกินไปก็จะเคลิ้ม ทำให้พอดี แล้วจะสบาย รู้สึกมีความพึงพอใจกับอารมณ์อย่างนี้ ถ้าเกิดความรู้สึกอย่างนี้ก็ให้รักษา หวงแหนอารมณ์นี้ไว้นานๆ ให้ต่อเนื่อง ในใจให้มีพระพุทธเจ้าเป็นอารมณ์ ให้ใจหยุดนิ่ง จนกว่าจะเห็นพระแก้วขาวใสบริสุทธิ์ เป็นพระธรรมกายที่ใสสว่างปรากฏเกิดขึ้นในกลางกายทุกๆ คน


พระธรรมเทศนาโดย : พระราชภาวนาวิสุทธิ์ (ไชยบูลย์ ธมฺมชโย)
*มก.มัจฉชาดก เล่ม ๕๖ หน้า ๒๐๔




Create Date : 21 ธันวาคม 2553
Last Update : 21 ธันวาคม 2553 20:34:05 น. 0 comments
Counter : 670 Pageviews.  

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

เจ้าหญิงใจดี
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




[Add เจ้าหญิงใจดี's blog to your web]