รวบรวมเนื้อหาธรรมะดีๆ รูปภาพสวยๆ

ทุ่มสุดชีวิต เพื่ออภิสัมโพธิญาณ.. ธรรมะเพื่อประชาชน DMC

ทุ่มสุดชีวิต
เพื่ออภิสัมโพธิญาณ
*****************


ชีวิตเป็นสิ่งที่มีคุณค่า กาลเวลาเป็นสิ่งที่มีความหมาย เรามีชีวิตอยู่ในโลกนี้เพียงชั่วครั้งชั่วคราว ไม่ช้าทุกคนต่างต้องจากโลกนี้ไป แม้ทรัพย์สมบัติภายนอกที่มีอยู่ ก็ไม่อาจนำติดตัวไปได้ สิ่งที่จะติดตัวเราไป มีเพียงบุญกับ บาปเท่านั้นเอง หากเราสั่งสมบุญ ชีวิตเราก็จะมีคุณค่า เกิดมาแล้วมีชีวิตไม่ว่างเปล่า เป็นประโยชน์ต่อตนเอง และผู้อื่น เพราะเราได้ใช้วันเวลาอันน้อยนิดที่มีอยู่ในโลกนี้ สร้างบารมีอย่างเต็มที่โดยไม่ประมาท เช่นเดียวกับพระบรมโพธิสัตว์ทั้งหลายในกาลก่อน


พระสัมมาสัมพุทธเจ้าเมื่อยังเป็นโพธิสัตว์ เสวยพระชาติเป็นพระเจ้าสุตโสมได้ตรัสให้โอวาทแก่พญาโปริสาทว่า

“จเช ธนํ องฺควรสฺส เหตุ
องฺคํ จเช ชีวิตํ รกฺขมาโน
องฺคํ ธนํ ชีวิตญฺจาปิ สพฺพํ
จเช นโร ธมฺมมนุสฺสรนฺโต


นรชนพึงสละทรัพย์เพราะเหตุแห่งอวัยวะอันประเสริฐ เมื่อจะรักษาชีวิตเอาไว้ พึงสละอวัยวะ เมื่อคำนึงถึงธรรม พึงสละทั้งอวัยวะ ทรัพย์ และแม้ชีวิตทุกอย่างเถิด”


การให้ทานบาง คนอาจจะคิดว่าเป็นการเสียมากกว่าได้ ทั้งเสียทรัพย์ และเสียเปรียบ ก่อนอื่นเราต้องทำความเข้าใจเสียใหม่ว่า แท้ที่จริงแล้วการให้ทานเป็นการได้ต่างหาก ได้บุญ ได้มิตร ทำให้เป็นที่รัก เกียรติคุณชื่อเสียงย่อมขจรขจายไปทั่ว เราจะเกิดความรู้สึกอาจหาญ และภาคภูมิใจในความเป็นผู้ให้ และที่สำคัญที่สุด คือ เราได้ชนะใจตนเอง โดยตัดความตระหนี่ออกจากใจ เป็นการยกระดับคุณธรรมในจิตใจให้สูงขึ้น และพัฒนาคุณภาพชีวิต จากการเป็นผู้รับมาเป็นผู้ให้ ให้เพื่อจะได้มาซึ่งความสุขใจ ที่เงินทองก็หาซื้อไม่ได้


เมื่อพระโพธิสัตว์เจ้า ทั้งหลายตัดสินใจเด็ดเดี่ยวสร้างบารมี เพื่อมุ่งบรรลุอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ ท่านได้เปลี่ยนจากการเป็นผู้รับมาเป็นผู้ให้โดยตลอด ให้แม้กระทั่งชีวิต ถึงแม้จะรัก และหวงแหนชีวิตมากเพียงไร แต่ใจท่านรักโพธิญาณมากกว่า จึงยอมสละชีวิตได้ ไม่ว่าจะเกิดมากี่ภพกี่ชาติ


ในอดีตกาล มีเศรษฐีท่านหนึ่งชื่อ วิสัยหะ มีทรัพย์สมบัติ ๘๐ โกฏิ เป็นผู้มีอัธยาศัยรักในการให้ทาน ท่านเศรษฐีได้บริจาคทรัพย์ทุกวันๆ ละ ๖๐๐,๐๐๐ กหาปณะ นอกจากนี้ ยังชักชวนทุกคนในครอบครัวให้ ทำทาน และรักษาศีล ชื่อเสียงที่ดีงามของท่าน จึงฟุ้งขจรไปทั่วสารทิศ จนได้รับความเคารพยกย่องนับถือไปทั่วชมพูทวีป ประดุจพระจันทร์วันเพ็ญที่รุ่งเรืองกว่าหมู่ดาวทั้งหลาย


แม้เหล่าเทวดายังแซ่ซ้องสาธุการ กล่าวขานถึงท่านเศรษฐีเป็นประจำ จนเป็นเหตุให้ท้าวสักกะผู้เป็นจอมเทพแห่งสวรรค์ชั้น ดาวดึงส์ ปรารถนาจะทดลองใจท่านว่า มีศรัทธาไม่หวั่นไหวในการให้ทานแค่ไหน จึงดลบันดาลให้สมบัติของท่านเศรษฐี หมดไปเรื่อยๆ แม้แต่ข้าวเปลือก น้ำมัน น้ำผึ้ง น้ำอ้อยก็หมดไป เจ้าหน้าที่แผนกจัดทาน มาบอกท่านเศรษฐีว่า ขณะนี้ในโรงทานไม่มีอาหารอะไรที่จะบริจาคแล้ว


ถึงกระนั้น ท่านเศรษฐียังปรารภกับภรรยาว่า “ทาน คือชีวิตของเรา ชีวิตที่ปราศจากการให้ เป็นชีวิตที่ไร้ประโยชน์ ถึงอย่างไรเราก็จะไม่หยุดให้ทาน”


เศรษฐีได้บอกให้ภรรยาลองค้นดูให้ทั่วบ้านอีกครั้ง ในที่สุดพบเคียวเกี่ยวหญ้าอันหนึ่ง ท่านเศรษฐีจึงชวนภรรยาออกไปเกี่ยวหญ้าเพื่อนำไปขาย เมื่อได้ทรพย์มา ส่วนหนึ่งไปซื้ออาหารอีกส่วนหนึ่งได้แบ่งปันให้ทาน วันหนึ่ง เมื่อหาบหญ้าไปขายได้เงินมาแล้ว ได้แบ่งส่วนหนึ่งให้พวกขอทาน แต่ขอทานมีมาก เมื่อพวกขอทานพวกที่ไม่ได้ มาร้องขอบ้าง ท่านเศรษฐีจึงให้ส่วนของตนไปจนหมด


ท่านเศรษฐีให้ทานเช่นนี้ติดต่อกันถึง ๖ วัน ครั้นวันที่ ๗ ขณะท่านเศรษฐีกำลังหาบหญ้า เนื่องจากท่านอดอาหารติดต่อกันมาหลายวัน จึงรู้สึกหน้ามืดตาลายเป็นลมล้มลงไป พระอินทร์เห็นอาการของท่านเศรษฐี ได้เฝ้าดูอยู่ ทันทีที่ท่านเศรษฐีได้สติ พระอินทร์รีบถามว่า “เมื่อก่อนท่านมีทรัพย์สมบัติมาก แต่ต้องยากจนลงสิ้นเนื้อประดาตัว เพราะการให้ทาน การให้ทานไม่ได้ช่วยอะไรท่านเลย เพราะฉะนั้น ต่อจากนี้ไปท่านไม่ควรให้ทานอีก เมื่อท่านประหยัดทรัพย์ สมบัติก็จะเพิ่มขึ้น ถ้าท่านให้ปฏิญญาแก่เราว่า ตั้งแต่นี้เป็นต้นไป ท่านจะไม่ให้ทานอีก ท่านก็จักได้เป็นมหาเศรษฐีตามเดิม”
ท่านเศรษฐีค่อยๆ ลืมตาขึ้น พลางถามว่า “ท่านเป็นใคร ทำไมมายืนกล่าวคำอัปมงคลแก่หูของเรา”


พระอินทร์ตอบว่า “เราเป็นท้าวสักกะ”


ท่านเศรษฐียิ่งเกิดความสงสัยมากขึ้น จึงถามว่า “ธรรมดาท้าวสักกะย่อมสรรเสริญการให้ทาน สมาทานศีล รักษาอุโบสถ บำเพ็ญวัตตบท ๗ ประการ จึงได้เป็นท้าวสักกะ แต่ไฉนวันนี้ พระองค์จึงทรงห้ามการให้ทานเสียเองเล่า”


เมื่อพระอินทร์ไม่อาจห้ามท่านเศรษฐีได้ จึงตรัสถามว่า “ท่านให้ทานเพื่อประโยชน์อะไร”


ท่านเศรษฐีตอบว่า “ข้าพเจ้าให้ทานเพราะมิได้ปรารถนาจะเป็นท้าวสักกะ แต่ปรารถนาพระสัมมาสัมโพธิญาณ”


ท้าวสักกะได้สดับแล้ว รู้สึกชื่นชมท่านเศรษฐีว่า เป็นผู้มีจิตใจสูงส่ง มีความปรารถนายิ่งใหญ่ประดุจพระบรมโพธิสัตว์ จึงเอาพระหัตถ์ลูบหลังท่านเศรษฐี


ทันทีที่ท่านเศรษฐีถูกท้าวสักกะลูบหลัง ร่างกายของท่านก็กลับมีเรี่ยวแรง กระปรี้กระเปร่าขึ้นมา และด้วยอานุภาพของท้าวสักกะ ทรัพย์สมบัติของท่านเศรษฐี ก็บังเกิดขึ้นมากมาย ใช้ไม่มีวันหมด ตั้งแต่นั้นมา ท่านเศรษฐีได้ทุ่มเทในการให้ทานอย่างสุดกำลัง ท่านรักการให้ทานมากเป็นชีวิตจิตใจ จากที่เคยบริจาคทรัพย์วันละ ๖๐๐,๐๐๐ กหาปณะ ก็บริจาคเพิ่มขึ้นอีกเท่าตัว ทำเช่นนี้จนตลอดอายุขัย


เพราะฉะนั้น พวกเราทั้งหลายอย่าได้ตระหนี่ในการให้ทาน ให้ดูพระโพธิสัตว์ในกาลก่อนเป็นแบบอย่าง แม้คราวที่ยากจนขัดสน ท่านก็ไม่เคยท้อแท้ในการให้ทาน เพราะทานบารมีเป็นบารมีแรกที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์ จะต้องสร้างให้เต็มเปี่ยม เพื่อเป็นเครื่องสนับสนุนให้การสร้างบารมีอื่นๆ สะดวกสบายยิ่งขึ้น ดังนั้น ทานบารมีจึงเป็นสิ่งสำคัญที่เราขาดไม่ได้ หากชีวิตไม่มีทานบารมีก็เหมือนรถที่ไม่มีน้ำมัน ซึ่งไม่อาจจะนำพาชีวิตเราไปสู่จุดหมายปลายทางได้ การจะไปสู่อายตนนิพพานนั้น ต้องเตรียมเสบียงในการเดินทางไกลให้พร้อม เราเป็นนักสร้างบารมีก็ต้องดูแบบอย่างของนักสร้างบารมีทั้งหลายในกาลก่อน เมื่อเดินตามทางของบัณฑิต ชีวิตย่อมปลอดภัยและจะประสบชัยชนะไปทุกภพทุกชาติอย่างแน่นอน


พระธรรมเทศนาโดย : พระราชภาวนาวิสุทธิ์ (ไชยบูลย์ ธมฺมชโย)
*มก.วิสัยหชาดก เล่ม ๕๘ หน้า ๖๔๗


Create Date : 23 พฤศจิกายน 2553
Last Update : 23 พฤศจิกายน 2553 16:39:24 น. 0 comments
Counter : 683 Pageviews.  

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

เจ้าหญิงใจดี
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




[Add เจ้าหญิงใจดี's blog to your web]