ของเล่นฮาเฮ ดูสบายๆ ขำๆ

sawmoon
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 5 คน [?]








Group Blog
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add sawmoon's blog to your web]
Links
 

 

เกียรติและการยอมรับมีค่ามากกว่าเงิน

ได้ไปดูเรื่อง”ยอดมนุษย์เงินเดือน” รู้สึกโดนใจกับการนำเสนอชีวิตของมนุษย์เงินเดือนในหลายๆแง่มุมตามตัวละครที่แสดงในเรื่อง

ยิ่งทำให้ผมแน่ใจได้อย่างนึงว่า”คนเราไม่สามารถทำงานเพื่อเงินได้”

หลายคนอาจจะตลกแล้วคิดในใจว่า“ก็เพราะอยากได้เงินไม่ใช่เหรอ ถึงได้มาทำงาน”

คนเราหากทำงานเพื่อเงินเพียงอย่างเดียวเมื่อไหร่จะไม่สามารถทนทำไปได้นาน

งานหลายอย่างที่ไม่ได้ทำเพราะใจรัก ไม่ได้รู้สึกสนุกคนเราจะทนทำไม่ได้ หากผลตอบแทนเป็นเงินเพียงอย่างเดียว

ผมเคยได้ทำงานแห่งนึง เงินเดือนถือว่าใช้ได้ งานไม่ได้ยากเย็นอะไร แต่เข้ากับเพื่อนร่วมงานไม่ค่อยได้และมักจะถูกผู้บังคับบัญชาสั่งงานที่เราไม่ชอบใจที่จะทำ และมักถูกผู้บังคับบัญชาทำให้รู้สึกเสียเกียรติ เสียหน้า และแทบจะไม่ได้รับความไว้วางใจเลย

ผมอดทนทำไปเรื่อยๆ คิดในใจว่ายังไงซะเรามาทำงานก็เพราะเงิน เราไม่ได้มาเพื่อหาเพื่อน หรือมาเอาเกียรติหรือชื่อเสียงอะไร เรามันก็คนตัวเปล่าที่ไม่มีพ่อรวย หรือนามสกุลใหญ่โตอะไรอยู่แล้ว หากวันนี้จะเสียเกียรติอีกสักหน่อย หรือเหงาไปบ้าง แต่ได้เงินเพิ่มขึ้นมาจะเป็นไรไป

ในช่วงนั้นเวลาผ่านไปช้ามาก แต่ละวันบีบบังคับให้ใจเราทรมานจากการเสียเกียรติ ความอดทนค่อยๆถูกกร่อนจากการถูกดูถูกจนเริ่มปริบาง ความขมขื่นในใจถูกสะสมมากขึ้นเรื่อยๆ เริ่มสะกดคำว่า “สุข”ไม่เป็นแล้ว ยิ่งเราไม่มีเพื่อนฝูงให้คอยระบาย หรือเป็นกำลังใจให้กันแล้วยิ่งอึดอัดมาก แม้ว่าจะได้เงินแต่ความเป็นคนค่อยๆลดหายไปเรื่อยๆ สุดท้ายผมก็ทนไม่ไหว ตัดสินใจลาออกจากบริษัทนั้นและได้ไปทำงานที่บริษัทอื่นที่เงินดีกว่าแล้วสุขใจกว่า

มนุษย์เงินเดือนยังไงก็ยังต้องการอะไรอย่างอื่นอีกนอกจากเงิน

“เกียรติ” และ”การยอมรับ”เป็นสิ่งนึงที่มนุษย์เราอยากได้รับ แม้จะเป็นมนุษย์เงินเดือนก็ตามที

หลายครั้งการได้รับทำงานที่มีเกียรติมีคนยอมรับ ได้รับคำชม มีคนยกย่องทำให้เรามีหน้ามีตาในสังคม แม้ว่าเงินจะไม่มาก แต่การยอมรับจากหัวหน้า การได้รับความไว้วางใจจากหัวหน้า หรือการยอมรับจากคนในสังคมจะทำให้ความเหนื่อยยากที่ผ่านมาหายไปราวกับเวทมนต์ได้เลยทีเดียว

หลายๆครั้งหัวหน้าสร้างกำแพงมาขวางความคิดลูกน้องไว้ พอลูกน้องไม่มีอำนาจทำสิ่งที่คิดให้เป็นจริงได้ก็จะเลิกคิดไอเดียที่สร้างสรรค์งานให้กับบริษัท เรื่องบางเรื่องง่ายๆที่คิดว่าเป็นไปได้หากไม่ได้รับการสนับสนุน เจ้าของไอเดียก็หมดแรงคิดต่อไป และรู้สึกว่าความคิดตัวเองไม่มีค่า

หากเถ้าแก่ไม่อยากเหนื่อย หรือต้องทำงานทุกอย่างด้วยตัวเอง ก็ต้องยกหน้าที่และความคิดในการทำงานให้กับลูกน้องบ้าง ไม่ใช่ว่าต้องการให้ทำตามที่สั่งเสียทุกเรื่อง

หลายๆครั้งที่ลูกน้องได้รับความภาคภูมิใจนั้นถือเป็นสิ่งที่มีค่ามากๆ และอาจจะมากกว่าเงินซะอีก

ความภูมิใจและการได้รับการยอมรับมีค่ามากกว่าเงินเดือนมากนัก ที่หลายคนทำงานที่ได้เงินเดือนน้อยได้ก็เพราะได้รับสิ่งเหล่านี้ทดแทน

จิตวิญญาณจะไม่สามารถคงอยู่ได้หากไม่ได้รับรางวัลแห่งจิตใจ รางวัลของชีวิตคนคือ ความภูมิใจ การยอมรับ การได้รับความรัก การได้รับเกียรติ

จิตวิญญาณจะไม่สามารถคงอยู่ได้หากถูกหล่อเลี้ยงด้วยเงินเพียงอย่างเดียว ชีวิตการทำงานที่ไม่สามารถคงอยู่ไปได้นานหากสูบฉีดมันด้วยเงินอย่างเดียว

เจ้านายที่ยอมรับ และไว้ใจในตัวลูกน้อง แม้ว่าจะจ่ายเงินเดือนให้ไม่มาก แต่จะได้รับผลงานอย่างสุดแรงจากลูกน้องโดยที่ไม่ต้องเพิ่มเงินเข้าไปด้วย

หลายๆครั้งที่ลูกน้องถูกหักหน้า ถูกทำให้เสียน้ำใจ หากไม่ได้รับคำอธิบายที่ดีคุณจะเสียความจงรักภักดีไป และคุณจะขยายงานยาก เพราะคุณจะหาคนที่ไว้ใจไม่ได้ หาคนที่เก่งมาทำงานแทนคุณไม่ได้ ต้องทำแทบทุกอย่างเอง

คนที่เก่งที่ไว้ใจได้จำเป็นต้องใช้เงินที่แพงมากในการจ้างมา แต่ถ้าคุณไม่มีทุน คุณต้องการผู้บริหารที่เก่งราคาประหยัดจำเป็นต้องสร้างขึ้นมาเอง บางครั้งคนที่คุณสร้างขึ้นมานี่แหล่ะที่สามารถบริหารได้ดีกว่าคนที่คุณจ้างมาแพงๆซะอีก

อย่ามองว่าคนจะมีความสามารถสูงสุดเพียงแค่วันนี้ การเรียนรู้ของคนเราไม่มีที่สิ้นสุด หากวางใจมอบงานให้กับคนที่มีใจอยากเรียนรู้ยังไงสักวันเค้าก็ทำงานนั้นให้คุณได้

บทความจาก //www.toytorich.com

facebook 

//www.facebook.com/pages/Sawmoon/465074080170124




 

Create Date : 13 ธันวาคม 2555    
Last Update : 13 ธันวาคม 2555 21:51:51 น.
Counter : 2278 Pageviews.  

ธุรกิจที่ไม่ได้ใช้เงินค่าการตลาด

สิ่งที่จำเป็นในธุรกิจคือการทำการตลาดให้ดีและขายให้ได้มากๆ

ค่าใช้จ่ายทางาการตลาดเป็นค่าใช้จ่ายที่ถือว่าหนักมากอย่างนึง หลายครั้งสูงกว่าต้นทุนของสินค้าอีก บางครั้งก็เหมือนละลายไปกับน้ำโดยที่ไม่ได้ผลตอบแทนที่คุ้มค่า เรียกได้ว่าเป็นค่าใข้จ่ายที่มีความเสี่ยงสูงที่จะทำให้เสียเงินฟรี หากเลือกลงเงินไปกับการทำตลาดที่ไม่ได้ประโยชน์ แต่ก็มีบางธุรกิจที่มีลูกค้าเข้ามาเองและจำนวนมากโดยที่ไม่ได้ทำกิจกรรมทางการตลาดอะไรมากมายนัก

ถ้าถามว่าเมื่อไหร่จะหยุดหรือชะลอค่าการตลาด ผมมองว่าหนึ่งในสถานการณ์ที่ควรลดค่าการตลาดคือ เมื่อกำลังการผลิตเต็มแล้ว

 เพื่อนผมคนนึงขายสินค้าแฮนเมด โดยเป็นทั้งผู้ผลิตและผู้ขาย

สินค้าของเค้ามีต้นทุนไม่ถึง 20 เปอเซ็นต์ของยอดขาย ซึ่งยอดขายอยู่ที่ตัวละเกือบสองพันบาท

ในตอนแรกที่เริ่มคิดผลิตภัณฑ์ได้แล้วก็เริ่มขายจากกลุ่มเพื่อนแบบบอกปากต่อปาก และเริ่มนำไปลงขายในเวปไซด์ที่ให้เขียนบล็อกฟรี และทำเฟสบุ๊ก

ด้วยเพราะฝีมือที่ดี มีความคิดสร้างสรรค์ และเป็นสินค้าที่มีคนทำน้อยจนนับรายได้ ทำให้สินค้านี้มีศักยภาพดึงดูดลูกค้าเข้ามาจำนวนมากภายในเวลาไม่นาน

หลังจากนั้นเกือบสองเดือนออเดอร์ก็หลั่งไหลเข้ามาเกินกว่าร้อยชิ้น!! และทั้งหมดนั้นเป็นออเดอร์ที่ลูกค้าโอนเงินเข้ามาก่อน

หากท่านเป็นนักขายหรือนักการตลาดหรือพ่อค้าหรือเจ้าของกิจการอะไรก็คงจะดีใจแน่ๆ

หลังจากนั้นไม่นานเพื่อนผมก็ปิดรับออเดอร์ไปเดือนนึงเพราะออเดอร์ที่ทะลักเข้ามานั้นเยอะเกินกว่าที่จะผลิตได้ทัน ทำให้ต้องค่อยๆทยอยผลิตและส่งไปเรื่อยๆ แต่ถึงจะปิดรับออเดเอร์ใหม่ก็ยังผลิตหลายๆออเดอร์ได้ไม่ทันกำหนดการ ต้องเรทไป เลื่อนไป บางรายรอไม่ไหวก็คืนเงินลูกค้าไป

เรียกว่าหยุดรับออเดอร์ไปเดือนนึง แต่กระแสของลูกค้าก็ยังไม่หมด ยังมีหลายคนที่เข้ามาคอมเม้นขอจองสั่งสินค้า

หลังจากเคลียร้อยออเดอร์แรกเสร็จก็เริ่มเปิดรับออเดอร์เข้ามาก็มีลูกค้าสั่งเข้ามาเรื่อยๆ เรียกว่าจนรายได้เยอะกว่าคนทำงานที่มีตำแหน่งผู้บริหารหลายๆคนซะอีก

ความสำเร็จทั้งหมดนี้อาจจะเรียกได้ว่าแทบจะไม่ได้ใช้การตลาดเลยและใช้การบริการที่ไม่ได้ดีเท่าที่ควรซะด้วย สิ่งที่ดึงดูดลูกค้ามีเพียงแค่ตัวผลิตภัณฑ์กับช่องว่างทางตลาด

ธุรกิจขายสินค้าแฮนเมดของเพื่อนผมคนนี้เวลาส่วนใหญ่ที่ใช้ในธุรกิจแทบไม่ได้ใช้ทำการตลาด หรือคิดวิธีการสื่อสารอะไรกับลูกค้าเลย เฟซบุ๊คหรือเวปไซด์ก็แทบไม่ได้เข้าไปอัพเดท เวลาส่วนใหญ่วุ่นอยู่กับการผลิต

ธุรกิจส่วนมากมักมีปัญหาในเรื่องรายได้ไม่เพียงพอต่อรายจ่ายจึงทำให้ต้องเลิกกิจการไป หลายๆคนมักจะคำนึงแต่วิธีการทำการตลาด วิธีการโฆษณาเพื่อขยายสื่อของธุรกิจตัวเองให้เป็นที่รู้จักอย่างแพร่หลายให้ได้มากที่สุด แต่ลืมคิดไปเลยว่าตัวสินค้าเองก็เป็นการตลาดเหมือนกัน หากสินค้าที่มีอยู่เป็นผลิตภัณฑ์ที่ดี มีศํกยภาพแข่งขันในตลาดได้ แม้ว่าจะไม่ได้ทำการตลาดมากมายนัก ยอดขายก็เข้ามาเรื่อยๆ จนเต็มยอดการผลิตของคุณ

และยิ่งคุณทำให้ผลิตภัณฑ์ของคุณเป็นที่จำเป็นกับลูกค้าได้มากเท่าไหร่ โอกาสในการให้อภัยกับความผิดพลาดของบริการของคุณก็ยิ่งสูง

ผมเคยได้เรียนเรื่องQCD มาก่อนซึ่งถือเป็นปัจจัยในการทำธูรกิจ

Q = Quality =คุณภาพ

D = Delivery = การขนส่ง

C = Cost  = ราคา

ในความเป็นจริงแล้วการขนส่งและราคาจะมีน้ำหนักน้อยมาก หากสินค้าของคุณไม่มีคุณภาพ หรือไม่เป็นที่ต้องการของตลาด ต่อให้ทำการตลาดมากแค่ไหน หากคุณภาพใช้ไม่ได้ ก็เหนื่อยและใช้เงินในอัตราที่มากในการทำการตลาด หรือต่อให้บริการดี จัดส่งได้ตามเวลาได้มากแค่ไหน หากลูกค้าไม่ได้ต้องการผลิตภัณฑ์ของคุณก็ป่วยการที่จะเสนอบริการที่ดีให้กับเค้า

แต่หากสินค้าคุณเป็นที่ต้องการของตลาดเงินที่ใช้ในการตลาดก็จะน้อยลง

ธุรกิจเกือบทุกอย่างจำเป็นต้องเผื่อเงินทุนสำหรับค่าการตลาดอยู่เสมอ แต่ถ้าธุรกิจของท่านมีช่องว่างในการตลาดมากก็จะได้เปรียบไม่ต้องใช้เงินมากในการเรียกลูกค้า ในช่วงนี้ถือว่าต้องรีบเก็บเกี่ยวเพราะไม่ใช่ว่าจะเป็นแบบนี้ได้ตลอด ทุกธุรกิจผมเชื่อว่าสุดท้ายแล้วก็จะมีคู่แข่งหรือทางเลือกที่ทำให้ลูกค้าเลือกได้โดยที่ไม่ต้องพึ่งเรา แต่ละธุรกิจมันมีอายุขัยของมัน

หากเข้าได้ถูกช่องว่างของตลาดและสินค้ามีคุณภาพมีความแข็งแกร่ง สามารถสร้างแบรนจนลูกค้าชื่นชอบยอมรับได้ย่อมทำเรียกลูกค้าได้โดยที่แทบจะไม่ต้องใช้ค่าการตลาด

ก่อนที่จะทำการตลาดควรจะทำให้สินค้าและบริการเข้มแข็งก่อน เพราะสินค้าและบริการที่เข้มแข็งก็เป็นการตลาดอย่างนึง

ปัจจัยภายในต้องเข้มแข็งก่อนจะทำให้ดึงปัจจัยภายนอกเข้ามาได้ง่าย

บทความจาก //www.toytorich.com

Facebook:  www.facebook.com/pages/Sawmoon/465074080170124?ref=hl




 

Create Date : 30 พฤศจิกายน 2555    
Last Update : 30 พฤศจิกายน 2555 21:35:35 น.
Counter : 1551 Pageviews.  

เลือกเพื่อนเป็นหุ้นส่วน

แต่ละคนมีเหตุผลในการเลือกหุ้นส่วนทางธุรกิจที่ต่างกันไป แต่ผู้ที่เป็นมือใหม่ที่พึ่งเริ่มทำธุรกิจมักจะผิดพลาดในการเลือกหุ้นส่วนเพราะว่าเป็นเพื่อนสนิท

หลายๆคนที่อยากเริ่มธุรกิจมักจะเลือกหุ้นส่วนที่เป็นเพื่อนฝูง ด้วยเหตุผลเพราะว่าเป็นเพื่อนที่สนิทกันมาก คุยกันตรงๆได้อย่างไม่ยาก โตมาด้วยกัน เที่ยวมาด้วยกัน เป็นเพื่อนตาย รู้จักกันตั้งแต่เพื่อนยังจีบสาวไม่เป็น จนรู้ไส้รู้พุงกันหมดแล้ว ไม่ว่าจะทำกิจกรรมอะไรก็ทำมาด้วยกันตลอด แทบไม่เคยมีปัญหาอะไร เรียกว่าเป็นบุคคลที่ไปไหนไปกัน โดยคิดว่าแม้ว่าจะเป็นงานที่เกี่ยวกับเงินจำนวนมากก็คงจะไม่เป็นไร เพราะหลายๆเหตุการณ์ก็เคยผ่านกันมาได้ด้วยดี

แต่เพื่อนที่ดีไม่ใช่ว่าจะเป็นหุ้นส่วนที่ดีได้ทุกคน

หุ้นส่วนที่ดี คือคนที่ทำงานกับเราได้ดี เข้ากับเราได้ในนิสัยการทำงาน และนิสัยทางการเงิน

ที่จริงการเลือกหุ้นส่วนจากเพื่อนสนิทก็ไม่ใช่ว่าจะไม่ดี การได้ทำงานกับเพื่อนรัก ได้ร่วมยินดีด้วยกันเวลาที่ธุรกิจสำเร็จนั้นเป็นช่วงเวลาที่มีค่ามาก หลายๆธุรกิจประสบความสำเร็จจากการลงทุนร่วมกันกับเพื่อน

แต่การจะเลือกหุ้นส่วนพื่อจะมาทำงานด้วยกันนั้น ต่างกับการเที่ยวด้วยกันเยอะ  ตอนที่ทำงานเรามีต้องรับผิดชอบ ต้องมีความตั้งใจ ความขยัน ซึ่งบรรยากาศจะต่างกับตอนเที่ยวที่สนุกสนานและยิ่งเป็นการธุรกิจแล้วยิ่งแล้วใหญ่ เราต้องทำงานให้หนักด้วยไฟของเราเองไม่มีใครมาบังคับเราเหมือนตอนทำงานในออฟฟิศ เงินของเราที่ลงทุนไปแล้วไม่มีใครมาปกป้องเรานอกจากเราต้องบังคับใจตัวเองให้ทำงาน

 หลายคนที่เป็นเพื่อนที่แสนดีมีน้ำใจ เป็นคนดี อารมณ์ขันเยอะ แต่เค้าไม่ได้เป็นคนที่มีความรับผิดชอบมากนัก ไม่ได้ขยัน ตื่นเช้าไม่ได้ บางวันมีไฟบ้างไม่มีบ้าง ความจริงจังและทุ่มเทในการทำงานไม่เท่ากัน พอร่วมงานกันไปก็พบว่าทำงานด้วยกันแล้วเหมือนๆเหนื่อยไม่เท่ากัน  แต่พอกำไรออกมาก็ต้องแบ่งเงินให้เท่ากัน

พอเริ่มพูดเตือน เริ่มต่อว่า ก็เริ่มมีปัญหากัน เพราะไม่ว่าใครก็ไม่ต้องการถูกตำหนิ หรือต่อว่า สุดท้ายแล้วจากเพื่อนสนิทที่จะไม่มีปัญหาอะไรกันก็ผิดใจกันเพราะทำงานไม่เข้ากัน

มีหลายเคสแล้วที่เลิกคบกัน หรือเสียน้ำใจกันเพราะมาทำธุรกิจด้วยกัน

ธุรกิจเป็นเรื่องเกี่ยวกับเงิน พออะไรที่เกี่ยวกับเรื่องเงิน คนเราจะใช้อีกมาตรฐานนึงในการตัดสินใจ อาจจะมีความโลภเข้ามาบังตา คนที่เคยใจกว้างมีน้ำใจ อาจจะไม่ยินยอมรับส่วนแบ่งที่น้อยกว่า หรือรู้สึกไม่ยอมรับความเสียเปรียบอันเล็กน้อยที่ได้เจอ

เรื่องของเงินกับชีวิตวัยเรียนที่ผ่านมานั้นต่างกัน ตอนที่เรียนเรามุ่งหวังจะจบ ทำเกรดให้ได้ดีๆ ซึ่งความสัมพันธ์ของเพื่อนนั้นเป็นสิ่งสำคัญเพื่อบรรลุเป้าหมายนั้น แต่สำหรับเงินแล้วบางครั้ง การไปให้ถึงเป้าหมายโดยที่ไม่ต้องใช้ความสัมพันธ์ของเพื่อนก็อาจจะทำได้ คนบางคนอาจจะเลือกทรยศเพื่อนเพื่อให้ได้เงินมาก็มี

เหตุการณ์ตัวอย่างที่จะทำให้หุ้นส่วนผิดใจกันได้

ตัวอย่างที่1 หุ้นส่วนคนนึงแนะนำให้ซื้อสินค้ากับซัพพลายเออร์เจ้านึ ว่าเป็นผู้น่าเชื่อถือแต่พอจ่ายเงินมัดจำแปดหมื่นบาทแต่ซัพพลายเออร์ไม่ทำงานให้ ไม่ได้หนี ไม่ผลิตงานให้ และไม่คืนเงินมัดจำ พอจะเข้าไปคุยกำหนดวันจัดส่งกัน ซัพพลายเออร์ก็บ่ายเบี่ยงไม่เซ็นสัญญาบอกว่าต้องใช้เวลา แต่ไม่บอกว่าจะได้เมื่อไหร่ เวลาผ่านไปเกือบสามเดือนก็ไม่ได้งาน จึงไปแจ้งความ ตำรวจบอกว่านี่คือคดีแพ่งจำเป็นต้องฟ้องกันในศาลแพ่งและต้องจ้างทนาย สุดท้ายแล้วเงินมัดจำจำนวน แปดหมื่นบาทไม่ได้รับคืน ในกรณีนี้หุ้นส่วนคนที่แนะนำอาจจะโดนด่าเละก็ได้ ซึ่งก็ทำให้เสียเพื่อนกันไป

ตัวอย่างที่ 2 เพื่อนคนนึงที่เป็นหุ้นส่วนด้วยเป็นคนเอาจริงเอาจังมาก ทำงานหนักมากในแต่ละวัน บริษัทนี้หุ้นกัน 5 คน สัดส่วนการถือหุ้นคือคนละ20 เปอร์เซ็นต์ แต่มีคนเดียวที่ทำงานหนัก พอคนที่ทำงานหนักเตือนเพื่อนคนอื่นๆให้ตั้งใจกันหน่อย ก็ขยันไปได้ไม่เท่าไหร่ก็ขี้เกียจต่อเป็นอย่างนี้หลายครั้ง เตือนแล้วเตือนอีกก็ขยันอยู่แป็บๆ สุดท้ายบริษัทประสบความสำเร็จแต่ด้วยการทำงานของคนเพียงคนเดียว แต่ต้องมาหารเงินเท่ากัน ถ้าคุณเป็นคนที่ทำงานหนักจะน้อยเนื้อต่ำใจมั้ย

ตัวอย่างที่ 3 บริษัทหนึ่งก่อตั้งขึ้นมา หุ้นส่วนสามคนออกจากงานบริษัทมาทำธุรกิจส่วนตัวกัน บริษัทพึ่งก่อตั้งยังไม่มีรายได้ทั้งสามคนทำงานกันไป เกิดค่าใช้จ่ายขึ้นมาเกินกว่างบลงทุนที่ตั้งไว้ตอนแรกแล้ว ค่าใช้จ่ายหลายอย่างที่เป็นส่วนเพิ่มเติมขึ้นมาก็มีนายเอซึ่งเป็นหนึ่งในผู้ถือหุ้นเป็นผู้จ่ายมาโดยตลอดเพราะมีฐานะการเงินดีที่สุด โดยเงินที่จ่ายก็เปรียบเหมือนเป็นเงินให้บริษัทยืม แต่ถ้าไม่จ่ายเพื่อนอีกสองคนก็ไม่สามารถจ่ายได้เพราะออกจากงานมาแล้วไม่มีรายได้แค่มีเงินเลี้ยงชีพโดยไม่ต้องทำงานเพื่อมาทำบริษัทให้เต็มที่ก็แทบจะอดมื้อกินมื้ออยู่แล้ว หากนายเอไม่จ่ายเงินบริษํทก็เกิดไม่ได้ นายเอก็จำเป็นต้องจ่ายไป ถ้าคุณเป็นนายเอล่ะจะรู้สึกอย่างไร

ตัวอย่างที่ 4 เวลาที่ทำงานด้วยกัน แบ่งงานกันไป แต่มีเพื่อนหลายคนที่ทำตัวเบลอ ทำลืม งานที่ให้ทำก็ไม่ยอมทำ ต้องเตือนต้องเร่งถึงจะทำ นัดให้มาประชุมก็ไม่เคยตรงเวลาเรทอย่างน้อยชั่วโมงตลอด คุณจะรู้สึกยังไงหากหุ้นส่วนของคุณมีคนเป็นแบบนี้ และคนที่เป็นแบบนี้ก็เพื่อนซี้คุณด้วย

ตัวอย่างที่ 5 หุ้นส่วนกัน 3 คน มีอยู่คนนึงได้หุ้นน้อยกว่าเพื่อนแต่ต้องทำงานหนักเท่าๆกัน คุณจะทำอย่างไงกับความเสียเปรียบนี้

หากคุณไม่ได้ลำบากเรื่องเงินทุนและเป็นคนยอมรับกับความเสียเปรียบไม่ค่อยได้ ยอมรับกับความผิดพลาดของคนอื่นไม่ได้ คิดเล็กคิดน้อยและรู้สึกไม่ดีมากๆกับตอนที่เสียเปรียบในเรื่องบางเรื่องเพียงเล็กน้อย ผมมองว่า จ้างคนอื่นมาทำงานจะสบายใจกว่า อย่างน้อยหากมีปัญหาก็ด่าได้ เคลมได้เต็มที่ ไม่ต้องกลัวเสียความรู้สึกภายหลัง หากมีปัญหามากไม่ยอมทำงาน ไม่ซื่อสัตย์ก็ลงโทษได้ หรือไล่ออกได้

การจะเป็นหุ้นส่วนทางธุรกิจกันนั้นก็คล้ายๆกับการแต่งงานกันกันคือต้องอยู่ร่วมกันให้ได้โดยที่ไม่รู้สึกอึดอัด และมีผลประโยชน์ร่วมที่ทั้งสองฝ่ายพอใจ

และหลายครั้งแน่นอนว่าความรู้สึกไม่พอใจ ความรู้สึกเสียเปรียบเกิดขึ้นได้เสมอแต่ต้องทำใจกว้างยอมรับกับสิ่งนั้นได้ ท่องไว้เลยครับว่า”ต้องยอม” อาจจะคล้ายๆกับชีวิตคู่

หุ้นส่วนที่ดี หรือเพื่อนที่เป็นหุ้นส่วนที่ดีจะช่วยกันและมีจิตสำนึกสร้างความเท่าเทียมสร้างผลประโยชน์ร่วมอย่างดีที่สุดเพื่อให้เกิดความเสมอภาคมากที่สุดเท่าที่จะทำได้ หากได้หุ้นส่วนทีมีจิตสำนึกแบบนี้คุณจะรู้สึกดี เพราะความเสียเปรียบจะหมุนผลัดกันไป ไม่ใช่เป็นเราที่เสียเปรียบอยู่ทุกครั้งไป

การทำธุรกิจแบบก่อตั้งกันเองในหมู่เพื่อน ในช่วงที่ยังเล็กอยู่จะแทบไม่มีระบบ ระเบียบอะไรทั้งนั้น เรียกได้ว่าแต่ละคนทำงานก็ทำในหลายหน้าที่ ไม่สามารถขีดเส้นหน้าที่ได้เป๊ะๆ และหลายครั้งจะมีเรื่องที่คุณอาจจะต้องเสียเปรียบสักเล็กน้อยอยู่เสมอ แต่สิ่งสำคัญคือความใจกว้างและยอมกัน

หากไม่มีการยอมกัน หรือเสียสละบริษัทจะเกิดได้ยาก เพราะมัวแต่เกี่ยงกันทำงาน ใส่ใจในรายละเอียดเล็กน้อยเรื่องจิตใจกันมากกว่างานใหญ่ของบริษัท

 อย่าลืมนะครับ สิ่งทีคุณต้องการไม่ใช่การได้เห็นสังคมเสมอภาคกัน คุณต้องการให้ธุรกิจประสบความสำเร็จ ให้ลองคิดดูครับ ว่าจะเลือกแบบไหนระหว่างคุณทำงานหนักแม้อาจจะหนักกว่าหุ้นส่วนแต่ธุรกิจประสบความสำเร็จคุณได้กำไรในส่วนของคุณเท่าๆกับคนอื่น กับทุกคนทำงานเท่ากัน หรือไม่ยอมทำงานเท่าๆกัน แต่บริษัทเจ๊งเงินลงทุนของทุกคนสูญเปล่า ไม่มีใครได้กำไร ไม่มีใครได้มากกว่าใคร ไม่มีใครเสียเปรียบใคร คุณจะเลือกแบบไหน

ไม่ใช่ว่าการเลือกหุ้นส่วนจากเพื่อนสนิทจะไม่ดีแต่ต้องดูว่าเค้าทำงานกับคุณได้หรือเปล่า เค้าอะไรทรัพยากรหรือความสามารถที่คุณต้องการหรือเปล่า หากเลือกหุ้นส่วนเพราะนึกสนุกเหมือนเลือกเพื่อนไปเที่ยวจะได้ไม่คุ้มเสียนะครับ

อ่านบทความอื่นได้ที่ //www.toytorich.com

ทาง Facebook 

www.facebook.com/pages/Sawmoon/465074080170124?ref=hl




 

Create Date : 28 พฤศจิกายน 2555    
Last Update : 28 พฤศจิกายน 2555 10:17:03 น.
Counter : 2369 Pageviews.  

ชีวิตที่เลือกที่จะไม่ทำอะไรเลยของคุณสว่าง

มีเรื่องเศร้าสะท้อนสังคมอยู่เรื่องนึงอยากเล่าให้ฟัง ตัวละครในเรื่องนี้ไม่ได้มีตัวตนอยู่จริงแต่งขึ้นมาทั้งหมด แต่โลกนี้มีคนแบบนี้อยู่จริงๆ เรื่องเศร้าเรื่องนี้สะท้อนให้เห็นถึงปัญหาของคนกับเวลาและเงิน อยากเล่าเพื่อเตือนสติหลายๆคนให้ตะนึงถึงความสำคัญของเวลา

คุณสว่างเป็นคนในครอบครัวผมคนนึง เป็นธรรมดาคนนึงที่ไม่มีจุดเด่นอะไร และไม่มีความทะเยอทะยานที่จะทำอะไร สิ่งที่เค้าปรารถนาคือการมีชีวิตอยู่ไปวันๆอย่างสบายๆ ไม่ต้องรับผิดชอบกับอะไร หรือเครียดกับอะไร

คุณสว่างไม่ใช่คนเลวร้ายอะไร เค้าไม่ได้ค้ายา ติดยา ติดเหล้า ติดผู้หญิง ชอบทะเลาะวิวาท หรือชอบเล่นการพนัน ใช้จ่ายเงินทองอย่างค่อนข้างประหยัด กิจกรรมในแต่ละวันที่ชอบทำมากที่สุดคือการดูทีวี ซึ่งในแต่ละวันจะใช้เวลาดูทีวีอยู่หลายชั่วโมง เค้าไม่ได้ทำอะไรที่สร้างความเดือดร้อนให้กับครอบครัว

แต่สิ่งเดียวที่คุณสว่างทำความเดือดร้อนให้กับครอบครัวคือ การที่คุณสว่างไม่ทำอะไรเลยนี่แหล่ะ

ที่จริงแล้วการไม่ทำอะไรเลย นั้นอาจจะไม่เป็นปัญหาหากว่าครอบครัวที่คุณสว่างเกิดมานั้นมีฐานะเป็นเศรษฐี หรือ มีเงินใช้ได้ตลอดโดยที่ไม่ทำงานตั้งแต่เกิด

แต่ฐานะของครอบครัวคุณสว่างนั้นเป็นครอบครัวคนชั้นกลาง ที่ประสบปัญหาเศรษฐกิจแล้วจนลง

เงินที่ทางครอบครัวพอจะมีให้ได้คือเงินที่พอที่จะสามารถส่งเสียให้คนในครอบครัวเรียนจบได้ ส่วนคนไหนที่ไม่สามารถจบได้ตามระยะเวลาปกติก็ต้องถูกให้ย้ายไปเรียนที่มหาวิทยาลัยเปิดที่ใช้จ่ายน้อยลง

คุณสว่างใช้เวลาในการเรียนนานมากมหาวิทยาลัยตั้งแต่อายุ 21จะเรียนจบปริญญาตรีตอนอายุ 33

ในระหว่างที่เรียนก็ไม่ได้ทำอะไรใช้ชีวิตเที่ยวเล่นสบายๆไปวันๆ ไม่ได้ทำงานอะไร หรือสะสมความสำเร็จอะไรให้ชีวิตเลย

ในช่วงนั้นน้องๆของคุณสว่างหลายคนจบมหาวิทยาลัยหมดแล้ว และหางาน ทำงานกัน แต่คุณสว่างยังคงเรียนอยู่

คุณสว่างจะหัวเสียมากเวลาที่ถูกตำหนิจากพ่อแม่ในเรื่องเรียน หรือเรื่องพฤติกรรม เค้าจะเดินหนีและไม่รับฟังคำเตือนอะไรจากผู้ใหญ่ และหากใครมาถามว่าเค้าทำอะไรอยู่เค้าจะไม่กล้าที่จะตอบ พยายามหลบหน้าผู้คนด้วยความอายที่ตัวเองอายุก็มากแล้ว แต่ชีวิตยังไม่ไปไหน

คุณสว่างมีทิฐิที่สูงมาก ไม่ชอบให้ใครมาดูถูก หรือดุด่า หรือพูดเกี่ยวกับความผิดพลาดของเค้า ไม่เคยยอมรับความล้มเหลวของตัวเอง เค้าจึงไม่ค่อยได้เรียนรู้จากความล้มเหลวของตัวเองเลยสักอย่าง คำพูดติดปากเวลาที่พ่อแม่สอนสั่งคือ “รู้แล้วน่าๆ” แต่ไม่เคยทำอะไรเพื่อเปลี่ยนแปลงเลยสักอย่างทั้งๆที่รู้แล้ว

คุณสว่างไม่ชอบถูกว่าทุกครั้งที่เกิดความผิดพลาดเค้าจะโกหกเพื่อให้ตัวเองไม่โดนด่า แม้อายุจะเยอะแล้วนิสัยนี้ก็ยังอยู่ไม่ต่างอะไรกับเด็ก

แต่แม้จะอายเค้าก็ยังไม่ทำอะไรให้ชีวิตดีขึ้นยังคงชีวิตแบบว่างๆ สบายๆต่อไป

จนในที่สุดคุณสว่างก็จบมหาวิทยาลัยด้วยเกรดเฉลี่ยแบบปริ่มๆ แต่หลังจากจบเค้าเลือกที่จะว่างเล่นๆไปอีกปี

เงินทองที่ใช้อยู่ก็ใช้เงินพ่อแม่ ฐานะในตอนนั้นของครอบครัวก็ไม่ใช่ว่าจะดีเรียกว่ากินเงินเก่าอยู่และเงินนั้นจะหมดในเวลาอีกไม่กี่ปี

หลังจากผ่านไปปีนึงคุณสว่างก็เริ่มหางาน

หาอยู่ 8 เดือนได้งานเป็นพนักงานตรวจสอบสินค้าห้างชื่อดังเงินเดือนไม่ถึงหมื่นบาท ทำงาน 6 วัน หยุด 1 วัน มีโอทีทำงานหนักมากต้องกลับดึกเกือบทุกวัน ซึ่งคุณสว่างรับไม่ได้กับต้องทำงาน 6 วัน และทำจนดึกดื่นและก็ปฏิเสธไป

หลังจากนั้นอีกประมาณ 3 เดือนคุณสว่างเข้าทำงานเป็นตัวแทนขายประกันชีวิตทำได้ 3 เดือนก็ออก เพราะหลังจาก 3เดือนบริษัทจะไม่มีเงินเดือนให้จะต้องหารายได้จากการขายกรมธรรมอย่างเดียว

หลังจากตอนนั้นเป็นเวลาเกือบ 3 ปี คุณสว่างก็ไปสัมภาษณ์งานอยู่เรื่อยๆ แต่ก็ไม่ได้งานสักที่ และงานที่จะเข้ามาให้สัมภาษณ์ก็ไม่ค่อยเข้ามาทั้งๆที่ลงข้อมูลไว้ในเวปหางานต่างๆไว้หลายแห่งแล้วก็ตาม

พ่อกับแม่เป็นทุกข์เป็นร้อนมากกับลูกชายคนนี้ แต่ก็ทำอะไรมากไม่ได้เพราะพ่อแม่ก็ไม่ได้มีเส้นสายอะไรมากมายพอที่จะหางานให้ลูกได้ และไม่สามารถไปตำหนิติเตือนอะไรมากได้ เพราะในช่วงที่ผ่านมานายสว่างมีอาการเครียดชักกระตุกจนต้องเข้าโรงพยาบาลมาทีแล้ว ความเครียดจากการหางานไม่ได้ทำให้น้ำหนักของคุณสว่างลดลงไปกว่า 10 กิโล

ผมเคยเสนองานรับเลี้ยงคนชราให้คุณสว่างไปทีนึง เงินเดือนประมาณ 15000 บาททำงานทุกวันและต้องไปอยู่ในบ้านของคนชรา หลังจากผมบอกงานไปหนึ่งวัน ผมโทรไปหาคุณสว่างอีกถามหาความคืบหน้า

คุณสว่างบอกว่า “งานนี้มันรับแต่ผู้หญิงไม่ใช่เหรอ”

ผมเลยลองโทรไปถามบริษัทแห่งนั้นพบว่าเค้ารับทั้งผู้ชายและหญิง!!

ผมคิดว่าเค้าคงจะยังคิดว่าไม่ลำบากถึงที่สุดจึงยังคงเลือกงานอยู่ การหางานแบบนี้ไม่แปลกเลยที่หางานมากว่า 3ปีแล้วยังไม่ได้งาน ก็ป็นเพราะตัวเค้าเองเลือกงาน และงานหนักก็ไม่เอา งานเบาก็ไม่สู้ เลือกทำตัวเป็นภาระที่บ้านไปวันๆ

ปีนี้คุณสว่างอายุเกือบจะเลขสี่แล้วแต่คุณสว่างแต่ยังหางานเป็นหลักเป็นแหล่งไม่ได้เลย

ในช่วงที่เรียนอยู่นี้ก็มีเวลาที่จะสามารถหางานพาร์ทไทม์ทำไปก่อนได้แต่คุณสว่างก็อ้างกับที่บ้านอยู่ตลอดว่าไว้เรียนให้จบก่อนแล้วค่อยหางาน

ตั้งแต่ตอนที่เรียนจนถึงอายุเกือบเลขสี่คุณสว่างก็แทบไม่เคยทำงาน ผมเริ่มคิดว่าสาเหตุจริงๆไม่ใช่เรื่องของหางานยากหรอก แต่เป็นเพราะอาจจะเป็นเพราะว่าคุณสว่างไม่ต้องการทำงานมากกว่า และคิดว่าคงจะไม่ต้องการทำอะไรเลยนอกจากเกียจคร้านไปวันๆจนตาย

ผมจึงเข้าใจว่าคนที่มีเป้าหมายในชีวิตต้องการความสำเร็จนั้นมี คนที่มีความพยายามทำงานหนักเพื่อให้รวยก็มี คนที่ยอมตัดทุกอย่างเพื่อทำงานและสร้างฐานะนั้นก็มี และคนที่ต้องการใช้ชีวิตโดยไม่อยากที่จะพยายามทำอะไรกับชีวิตนั้นก็มี

เรื่องนี้สอนให้รู้ว่า หากคุณอยากใช้ชีวิตแบบเกียจคร้าน ไม่ทำอะไรเลยในชีวิตล่ะก็ได้ แต่เวลาและสังคมจะบีบให้คุณใช้ชีวิตได้ยากขึ้นและจะมีความสุขกับชีวิตได้น้อยลง สังคมที่คุณจะอยู่ได้จะแคบ ที่ยืนของคุณจะหายาก เพื่อนที่ยอมรับในตัวคุณจะน้อย และยิ่งหากคุณไม่รวย เงินจะเป็นตัวบังคับให้คุณต้องทำงาน บางครั้งคุณก็จะต้องทำงานที่ไม่สมกับฐานะของคุณ ต้องยอมเสียศักศรีดิ์เพื่อให้ได้เงิน เมื่ออายุยิ่งเยอะเข้าคุณก็ยิ่งมีโอกาสผิดพลาดเพื่อเรียนรู้ได้น้อยลง เพราะการให้อภัยเมื่อคุณทำผิดจากคนรอบข้างจะน้อยลง ไม่มีใครเค้าสนหรอกว่าคุณเพิ่งเริ่มงาน คุณอายุมากขนาดนี้แล้วแต่ยังทำงานได้เท่ากับเด็กจบใหม่แน่นอนว่าต้องถูกกดดันอย่างหนัก เหมือนคุณถูกบังคับให้เล่นเกมในระดับที่ยากแต่ความสามารถของคุณยังอยู่ในระดับผู้เริ่มต้น

ความสามารถที่โตไม่ทันอายุเป็นจะทำให้หางานที่ดีได้ยากและยิ่งสาเหตุที่ทำให้โตมันทันเพราะเกิดจากความเกียจคร้านก็ยิ่งทำให้คนไม่ยอมรับคุณมากขึ้นไปอีก

ชีวิตต่อไปของคุณสว่างจะเป็นยังไงต่อไปผมไม่ทราบ ผมไม่รู้ว่าบั้นปลายชีวิตของคุณสว่างจะมีความสุข หรือเสียใจกับการใข้ชีวิตของตัวเองหรือไม่ แต่ที่ผมทราบก็คือในประเทศไทยนั้นไม่ใช่ว่าจะหางานเลี้ยงชีพได้ยาก งานที่ดีมีอยู่เยอะแยะ โอกาสยังมีอีกมาก หาเค้ายอมลดทิฐิลงยังไงก็ยังพอหางานได้

และผมเชื่อว่าหากมีชีวิตมาแล้วครั้งนึงก็ควรใช้ให้เต็มที่โดยที่ไม่เหลือความรู้สึกเสียใจหรือเสียดายกับชีวิตจะดีกว่า

บทความจาก //www.toytorich.com

www.facebook.com/pages/Sawmoon/465074080170124




 

Create Date : 22 พฤศจิกายน 2555    
Last Update : 22 พฤศจิกายน 2555 22:03:00 น.
Counter : 3581 Pageviews.  

ใช้ความซื่อสัตย์ตัดสินว่าจะเลือกเชื่อใจใคร

ในการผลิตเพื่อขายมีหลักการนึงที่เรียกว่า QCDซึ่งเป็นหลักการที่แสดงถึงศักยภาพด้านการสร้างความพึงพอใจให้ลูกค้าและเป็นหลักการที่ลูกค้าใช้ในการพิจารณาการทำธุรกิจกับซัพพลายเออร์

Q คือ Quality คุณภาพ

C คือ Cost  ราคา

D คือ Delivery การจัดส่ง

ลูกค้าจะพิจารณาว่าซัพพลายเออร์เจ้าไหนทำสินค้าที่มีคุณภาพที่ดีที่สุด ราคาถูกที่สุด การจัดส่งที่ตรงเวลาที่สุดก็จะถือว่าเจ้านั้นน่าที่จะทำธุรกิจด้วย

แต่ในความเป็นจริงการจะทำธุรกิจอาจจะไม่ได้มีสำคัญปัจจัยเพียงแค่สามอย่างนี้

อีกสิ่งนึงที่ควรใช้ในการพิจารณาซัพพลายเออร์คือความซื่อสัตย์

หากคุณภาพดีราคาได้จัดส่งสินคาตรงเวลา แต่สินค้าที่เค้าผลิตให้เราซึ่งตกลงกันไว้ว่าจะผลิตให้กับเราเจ้าเดียว แต่ลับหลังเค้าเอาไปผลิตให้กับลูกค้าอีกเจ้าที่เป็นคู่แข่งเรา ย่อมสร้างความเสียหายให้กับเราได้

ช่างซ่อมคอมพิวเตอร์เจ้านึงมีบริการซ่อมถึงบ้านในราคาที่ไม่แพง และมีฝีมือดีในการซ่อม มารับคอมถึงบ้านและเอากลับไปทำที่ออฟฟิศเค้า ตกลงรับงานและกำหนดส่งงานกันเรียบร้อยแล้ว แต่พอถึงวันที่ส่งงานปิดโทรศัพท์หนี ติดต่อไม่ได้ พอตามไปถึงออฟฟิศบอกว่าที่ปิดหนีเพราะงานยังไม่ได้ตามกำหนดการเลยยังไม่อยากรับสาย แต่พอนำคอมพิวเตอร์กลับมาถึงที่บ้านพบว่าชิ้นส่วนบางอย่างในเครื่องไม่เหมือนเดิม ช่างแบบที่ไม่มีความซื่อสัตย์แบบนี้ แม้ว่าจะเก่ง ประหยัด สะดวกแต่ก็อันตราย เราก็เลิกใช้เพราะไม่มีความซื่อสัตย์ในบริการ

ข้าวสารไทยที่ส่งออกไปต่างประเทศแม้ว่าจะราคาถูก แต่ก็แอบเอาทราย เอาวัตถุอื่นไปใส่ผสมด้วยเพื่อเพิ่มน้ำหนักก็ทำให้เราเสียชื่อเสียงและความเชื่อมั่นมาก ถึงจะถูกยังไงแต่ถ้าไม่ซื่อสัตย์ลูกค้าก็อาจจะไม่ซื้อก็ได้

ธุรกิจก็เช่นกัน แม้ว่าราคา คุณภาพ การจัดส่งจะดี แต่หากความซื่อสัตย์ไม่มี จะไม่สามารถสร้างความเชื่อใจให้ลูกค้าได้ หากสร้างไม่ได้การที่จะได้เงินจากเค้าก็เป็นเรื่องยาก

ความซื่อสัตย์เป็นสิ่งที่พิสูจน์ไม่ได้เลยในตอนแรกที่พบเจอ หลายๆครั้งเราจึงมักถามกับเพื่อนที่เคยใช้บริการมาก่อนว่าการบริการ หรือสินค้าของร้านค้าเจ้านี้เป็นยังไงแล้วจึงค่อยตัดสินใจใช้บริการ

แต่ถึงอย่างนั้นความซื่อสัตย์ก็เป็นสิ่งที่ไม่แน่นอน และแปรเปลี่ยนไปตามสถานการณ์และเวลา ก่อนหน้านี้เค้าอาจจะบริการอย่างซื่อสัตย์ แต่พอเวลาผ่านไปลูกค้ามากขึ้น เริ่มทำไม่ไหวจึงมีการลักไก่กันบ้าง

ในเรื่องของคนก็เหมือนกัน แต่ละวันเราเจอคนมากมายในที่ทำงาน หรือในที่ต่างๆมีเพื่อนใหม่มากมายจากการแนะนำจากเพื่อน หรือต้องเจอกับคนแปลกหน้าที่ได้เข้ามาทำธุรกิจด้วยกัน หรือคนรักของเราที่อาจจะได้แต่งงานด้วยในอนาคต

แน่นอนว่าคนเรามีทั้งดีและเลวเรามักตัดสินใจได้ยากว่าจะเลือกเชื่อใจใครและบางครั้งไม่รู้เลยว่าจะเชื่อใจใครได้บ้าง

 บางคนกลัวที่จะเชื่อใจคนอื่น เพราะพอเชื่อใจก็มักจะถูกทรยศเลยเลือกที่จะไม่ไว้ใจใครทั้งนั้นทำให้ชีวิตมีแต่การระแวงและไม่สบายใจ ผมไม่เห็นด้วยกับการเลือกที่จะไม่เชื่อใจใครเลย

ในสังคมมีคนมากมายเราหลีกเลี่ยงที่จะไม่พบเจอคนไม่ได้ และเมื่อหลีกไม่ได้ ก็ต้องเรียนรู้ที่จะอยู่ร่วมกัน เมื่ออยู่ร่วมกันแล้วไม่เชื่อใจกันจะทำให้เกิดความทุกข์มาก ความสามารถในการเลือกว่าจะเชื่อใจใครนั้นเป็นสิ่งสำคัญมาก

ความซื่อสัตย์ก็เป็นสิ่งที่ใช้วัดความเชื่อใจ หากใครที่มีความซื่อสัตย์ก็ถือว่าคนนั้นเชื่อใจได้

เมื่อคำพูดของเค้าตรงกับการกระทำของเค้าถือว่าเค้าเป็นคนที่มีความซื่อสัตย์

หากรับหลังเพื่อนเราไม่ทำร้ายเรา หรือเอาเรื่องเราไปนินทาเสียๆหายๆด้วยความเกลียดชังถือว่าเพื่อนเราซื่อสัตย์กับมิตรที่ดีกับเรา

แต่ความซื่อสัตย์นั้นบางครั้งทำได้ยากในสังคม หลายครั้งคนหลายคนต้องโกหกเพื่อเอาตัวรอด เพื่อมารยาท

จึงไม่ได้หมายความว่าคนโกหกทุกคนจะเป็นคนไม่ดี แต่ควรเข้าใจวัตถุประสงค์ของการโกหกของเค้า

หากพบว่าที่โกหกไปนั้นไม่ได้เป็นเรื่องที่ไม่ดีอะไร ก็อย่าไปถือสาเพื่อนเลย แม้ว่าจะไม่ซื่อสัตย์แต่หลายๆคนก็เป็นคนที่ไว้ใจได้และเชื่อใจได้หากวัตถุประสงค์ของความไม่ซื่อสัตย์นั้นไม่ได้เลวร้าย

ในสังคมนั้นการจะพูดความจริงทุกเรื่องเป็นเรื่องที่ยาก และบางครั้งการพูดความจริงก็ไม่ใช่ทางเลือกที่ดีนัก และสร้างความเดือดร้อนให้กับหลายๆคน

เมื่อเจอคนที่ไม่ซื่อสัตย์กับเราก็ไม่ได้หมายความว่าคนๆนั้นจะคบไม่ได้ หรือไม่ควรทำธุรกิจด้วย ก็ต้องดูกันไปตามแต่ละกรณี

บางครั้งอาจจะพบว่าเค้าไม่ซื่อสัตย์จริง ก็ไม่ได้หมายความว่าจะไม่ควรคบค้าสมาคมด้วย แต่เราก็จำไว้ในใจให้รู้ว่าความซื่อสัตย์ของเค้านั้นมีแค่ไหน เราไว้ใจได้แค่นี้ หากเป็นเรื่องสำคัญมากๆเราก็ไม่ควรจะให้เค้าทำงาน หรือให้เค้าได้รับทราบเรื่องสำคัญของเรา

บทความจาก

www.toytorich.com

//www.facebook.com/pages/Sawmoon/465074080170124




 

Create Date : 12 พฤศจิกายน 2555    
Last Update : 12 พฤศจิกายน 2555 21:46:40 น.
Counter : 1657 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  
 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.