ของเล่นฮาเฮ ดูสบายๆ ขำๆ

sawmoon
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 5 คน [?]








Group Blog
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add sawmoon's blog to your web]
Links
 

 

ภาษาอังกฤษกับการสัมภาษณ์งาน

เมื่อวันก่อนที่บริษัทมีสัมภาษณ์พนักงานใหม่ตำแหน่งช่างซ่อมบำรุง

มีน้องผู้ชายอยู่คนนึงอายุประมาณ27ปี เข้ามาสัมภาษณ์

ตอนแรกของการสัมภาษณ์ก็เริ่มคุยกันเป็นภาษาอังกฤษกับคนญี่ปุ่น พอคุยไปได้สักประมาณ3นาทีนายญี่ปุ่นก็เรียกผมเข้าไปแปล

น้องทำงานเป็นผู้จัดการมีลูกน้องสามคน คอยเข้าไปตรวจโรงงานต่างๆเพื่อหาจุดปรับปรุงที่ต้องทำในโรงงานนั้นแล้วแจ้งให้ทางโรงงานทราบ และซ่อมเครื่องจักรในโรงงาน

น้องบอกสิ่งที่ลำบากคือการใช้สมอง หาวิธีที่จะควบคุมลูกน้องให้ได้ และต้องหาทางทำให้ลูกน้องยอมรับตัวเค้าซึ่งเป็นหัวหน้าที่อายุน้อยกว่า

บุคลิกน้องมีความมั่นใจมาก มองโลกในแง่ดี ดูเป็นคนมีความคิด รู้จักใช้สมอง ฉลาด ซึ่งคุณสมบัติต่างๆเหล่านี้ผมคิดว่าใช้ได้เลยทีเดียว คิดว่าน้องคงผ่านแล้ว

หลังจากจบการสัมภาษปรากฏว่านายญี่ปุ่นให้ไม่ผ่านสาเหตุเพราะว่า

“ภาษาอังกฤษยังไม่ดีพอ”

พอลองคิดดูก็จริงอย่างที่นายว่า ตลอดเวลาที่สัมภาษณ์น้องจะให้ผมแปลให้ตลอดเลย ทั้งๆที่บางคำพูดง่ายๆก็น่าจะพูดเองเลย

ผมว่าถ้าเป็นการสัมภาษณ์ที่เค้าให้เราพูดภาษาอังกฤษ แม้ว่าจะมีล่ามเข้ามาช่วยแล้วก็ตาม แต่พอผ่านประโยคที่เราทำไม่ได้ไปแล้ว ก็ให้เราพยายามพูดอังกฤษด้วยตัวเองต่อไป ถึงแม้อาจจะยังภาษาอังกฤษไม่เข้าเกณฑ์อยู่ก็จริง แต่ถ้าเค้าเห็นถึงความพยายามของเราอาจจะเห็นถึงความตั้งใจและได้งานก็ได้




 

Create Date : 14 กรกฎาคม 2555    
Last Update : 14 กรกฎาคม 2555 6:36:58 น.
Counter : 3814 Pageviews.  

การศึกษาคือหน้าตาทางสังคม

ระบบการศึกษาในสังคม เป็นระบบที่แสดงหน้าตาทางสังคม

ในความเป็นจริงแล้วอาจจะไม่ได้ใช้ความรู้ทีได้จากการเรียนในการศึกษาภาคบังคับเลย แต่จำเป็นต้องเรียนให้จบตามระบบเพราะมันเหมือนเป็นการแสดงฐานะทางสังคม และค่านิยมของคนยุคนี้ไปแล้ว

หากลองคิดดูว่ามีเด็กคนนึงตั้งแต่เกิดมาไม่เคยได้เรียนตามปกติ แต่เค้าได้ฝึกวิชาชีพในเชิงการธุรกิจด้วยการศึกษาจากบิดามารดาแล้วประสบความสำเร็จตอนอายุยี่สิบ เพราะความรู้ที่ได้เรียนมา มาจากการได้ใช้จริงเรียนจริง และมีประโยชน์ในการทำเงิน

ถามว่าเด็กคนนี้จะเป็นยังไง ถ้าเค้าไม่ลำบากเรื่องเงินทองจริงอยู่ แต่ทุกครั้งที่ถูกเพื่อนๆ หรือผู้คนในสังคมถามว่าจบอะไรมา เค้าต้องรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจมากแน่ เนื่องจากไม่มีประวัติการศึกษาตามปกติที่ได้รับการยอมรับจากสังคม

ชีวิตของเค้าจะถูกมองแปลกๆตลอดจนกว่าเค้าจะประสบความสำเร็จในชีวิต ผู้คนถึงจะยอมรับ

ทั้งๆที่จริงๆแล้วความรู้ที่เค้าได้รับจากประสบการณ์ตรงตั้งแต่ยังเล็กนั้นอาจจะมีประโยชน์กว่าการเรียนตามระบบปกติมาก

หากเอาเวลาที่เข้าโรงเรียนไปศึกษาหาความรู้ด้วยวิธีอื่นก็อาจจะได้ความรู้ที่เป็นประโยชน์มากกว่า และทำให้เก่งอะไรสักด้านนึงได้ดีกว่า

การที่เกิดมาฝึกสิ่งที่ยังไม่มีระบบยอมรับนั้น ยังไม่มีเกียรติบัตร หรือสิ่งที่เป็นสัญลักษณ์แห่งการยอมรับได้เหมือนกับการจบการศึกษา แต่ความสำเร็จของคุณนั้นแหล่ะเป็นประกาศนียบัตรที่สำคัญ

มีหลายๆคนที่หลังจากจบมหาวิทยาลัยแล้วไม่อยากทำงานแต่หากจะอยู่เฉยๆก็ดูไม่ดี พอถูกคนถามว่าทำอะไรอยู่ก็ไม่อยากตอบว่าอยู่ว่างๆ

เนื่องจากครอบครัวไม่ได้ขาดแคลนทางการเงิน จึงเลือกที่จะเรียนต่อปริญญาโทแม้ว่าตัวเองจะไม่ได้สนใจอะไรเป็นพิเศษแต่เรียนไปเพื่อไม่ให้ตัวเองดูเป็นคนว่างงาน

บางคนยังไม่รู้เลยว่าชีวิตนี้อยากจะทำอะไร แต่เพื่อไม่ให้ดูเป็นคนว่างงานและเป็นคนเรียนเก่งก็เรียนจนถึงปริญญาเอกเลยก็มี

การศึกษาช่วยทำให้ภาพลักษณ์ในสังคมดีขึ้นได้แม้ว่าจะไม่มีรายได้ ไม่มีงานทำ อายุเกือบจะ30แล้วแต่ก็ยังใช้เงินพ่อเงินแม่อยู่ 




 

Create Date : 14 กรกฎาคม 2555    
Last Update : 14 กรกฎาคม 2555 6:36:12 น.
Counter : 850 Pageviews.  

การศึกษาภาคบังคับ

ในยุคนี้มนุษย์ถูกบังคับให้เรียนหนังสือ

ในประเทศไทยถูกบังคับให้ใช้เวลาตั้งแต่ ประมาณ 5ขวบ ถึง 17ปี ให้เรียนหนังสือ

ในช่วงเวลานั้นกำหนดให้คนๆนึงต้องเอาเวลาชีวิตสิบสองปีมาใช้ที่นี่
จะชอบหรือไม่ชอบก็ตาม แต่ยังไงก็ต้องใช้เวลานี้ในการมาโรงเรียน

หากมีใครสักคนที่ไม่ได้เรียนหนังสือในช่วงเวลานี้จะถูกมองอย่างแปลกๆ
ดูแล้วเป็นคนผิดปกติ

ผมเชื่อว่ามีพ่อแม่หลายคนที่นำลูกเข้าเรียน
ก็เพื่อให้ลูกตัวเองไม่แตกต่างกับคนหมู่มากในสังคม

ความรู้เป็นสิ่งที่ดี
การพัฒนาสมองทำให้เกิดความก้าวหน้า

แต่ควรจะมีทางเลือกให้มากกว่านี้

เด็กหลายๆคนเสียเวลาไปมากในช่วงเวลานี้
เรียนสิ่งที่ตัวเองไม่ได้ถนัด ไม่ได้มีโอกาสได้ใช้ในอนาคตเลย
บางครั้งก็เหมือนๆเสียเวลาไปอย่างเปล่าประโยชน์

เด็กหลายคนเกิดมาเพื่อศิลปะ
แต่สิ่งที่เรียนในโรงเรียนปกติไม่ได้เน้นในเนื้อหาสิ่งนี้เลย

เด็กบางคนไม่ถนัดในการอยู่ในสังคม เเค้าไม่ถนัดในการอยู่ในสังคมหมู่มาก
เค้าเหมาะกับสังคมกลุ่มเล็กๆ เมื่อมาอยู่ในโรงเรียน เค้าจะถูกแกล้งและไม่มีที่อยู่ในสังคมโรงเรียน

เด็กหลายคนไม่มีความสามารถในด้านการอ่าน
การจำ แต่เรียนรู้จากการลงมือทำ

ความสามารถที่แท้จริงของเด็กบางคนไม่มีโอกาสได้ใช้
หรือได้ขัดเกลาเมื่ออยู่ที่โรงเรียน

โรงเรียนเฉพาะทางอาจเป็นทางเลือกให้กับเด็กเหล่านี้

แต่ยังมีโรงเรียนเฉพาะทางน้อยนักในไทย

แต่ยิ่งกว่านั้นค่านิยมและการยอมรับยังมีไม่พอ
ที่จะทำให้โรงเรียนเฉพาะทางจะได้รับการยอมรับ

หลายครั้งเวลาที่มีคนจบจากโรงเรียนเฉพาะทางไปสมัครงานมักจะไม่ได้เครดิตดีเท่ากับโรงเรียนปกติ

มีเพื่อนผมคนนึงจบจากโรงเรียนเฉพาะทางจากญี่ปุ่นด้านการออกแบบกราฟฟิคทางเกม
ไม่สามารถสมัครบริษัทเกมได้เพราะเค้าบอกว่าต้องการวุฒิปริญญาตรี
ซึ่งเพื่อนผมไม่มีเพราะว่าจบม.6แล้วก็ไปเรียนโรงเรียนเฉพาะทางเลย

หากไม่มีวุฒิปริญญาตรี
คนจบวิชาชีพเฉพาะทางหางานยากมากในไทย

เราเหมือนถูกบีบต้องจ่ายค่าเทอมแพงๆเพื่อเรียนให้สูง
ซึ่งสิ่งที่เรียนบางครั้งไม่ได้มีประโยชน์หรืออยากที่จะเรียน
แต่เรียนเพื่อต้องการรายได้เพิ่ม

ในไทยยึดถือวุฒิมาก แต่ในญี่ปุ่นสามารถหางานที่เงินพอจะเลี้ยงชีพได้อย่างพอประมาณแม้ว่าจะไม่จบมหาวิทยาลัย

และคนส่วนใหญ่จะไม่เลือกเรียนมหาวิทยาลัย
เลือกเรียนวิชาชีพเฉพาะด้านแทน และบริษัทต่างๆก็ยอมรับในวุฒิวิชาชีพ

เค้าจึงไม่ถูกบีบให้ต้องจ่ายค่าเทอมแพงๆของมหาวิทยาลัย
ก็ยังสามารถหางานที่เงินดีได้

ค่านิยมว่าหากได้เรียน
ชีวิตก็ก้าวหน้า หากเรียนหนังสือยิ่งจบสูงๆก็ยิ่งเจริญก้าวหน้า

ผมเชื่อว่าอาจจะไม่เจริญก้าวหน้าก็ได้จริง
แต่มีโอกาสที่จะเรียกเงินได้เยอะอยู่

แต่ถึงจะเป็นอย่างนั้นก็ตาม ผมก็มีเพื่อนหลายคนที่อายุ25 เรียนจบปริญญาโทแต่เงินเดือนไม่ถึงสองหมื่นบาทหลายคนมาก

ก็อย่างที่ว่าการเรียนจบสูงบางครั้งก็เรียกเงินได้ไม่มาก

แต่ก็มีความจริงอีกอย่าง คือ
คนที่เรียนไม่สูง แทบจะไม่มีโอกาสในการเรียกเงินเดือนสูงๆเลย
หรือโอกาสเข้าทำงานบริษัทดีๆก็น้อยมาก

สังคมมีค่านิยมยอมรับคนที่จบการศึกษาสูงๆแต่หลายๆครั้งก็ไม่รู้หรอกว่าเค้าเรียนอะไรมาบ้าง

เพียงแค่ใช้เป็นการกรองบุคคลากรที่จะมาร่วมงานด้วยเท่านั้นเอง
เพราะวิธีนี้ง่ายต่อผู้ประกอบการมาก (เพราะอย่างน้อยๆไม่ว่าคุณจะเก่งไม่เก่ง
แต่ความพยายามจนได้วุฒิมาก็การันตีความพยายามคุณระดับนึง)

แต่คนเรียนไม่สูงก็มีโอกาสจะก้าวหน้าได้ไม่แพ้คนที่จบสูงๆ
แต่อาจจะต้องมามุ่งเน้นในทางการทำธุรกิจ หรือค้าขาย

มีคนรวยมากๆหลายคนที่ไม่ได้จบมหาวิทยาลัย

เพื่อนผมคนนึงทำธุรกิจสำเร็จหลายอย่าง แต่ก็ยังเรียนเอแบ็คไม่จบเลย
แต่ความคิดความอ่านของเค้าดีกว่าคนที่จบปริญญาโทหลายคนมาก

ในเส้นทางนี้คนเรียนสูงหรือคนเรียนไม่สูงก็ไม่ต่างกัน
ความรู้ของคนที่เรียนมาสูงอาจจะนำมาใช้ไม่ได้ในเส้นทางนี้

ความรู้และข้อมูลมักจะมาจากประสบการณ์ในการทำงาน
หรือเรียกว่าทำธุรกิจไปเรียนรู้ไป

และข้อมูลก็เปลี่ยนไปตลอด
ไม่ใช่ว่าจะใช้ได้ทุกยุคทุกสมัย
ความรู้ที่อยู่ในตำราจึงอาจจะไม่สามารถนำมาใช้ได้จริง

ทำให้คนที่เรียนไม่สูงสามารถที่จะมีรายได้มาก
หลายครั้งก็สร้างตำนานเศรษฐีมากนักต่อนักแล้ว

ทุกๆคนก็ทราบดีว่า
หลายๆความรู้ที่ได้เรียนจากโรงเรียนแทบจะไม่ได้ใช้ในชีวิตจริงเลย
เรื่องบางเรื่องเหมือนๆเสียเวลาเรียนไปอย่างนั้นแหล่ะ เพื่อให้จบเทอม เพื่อให้มีสังคม
เพื่อให้ไม่แตกต่างกับเพื่อนๆ เพื่อให้จบการศึกษาตามที่ถูกกำหนด หลายๆเรื่องไม่สามารถเลือกเรียนได้ในสิ่งที่อยากเรียน
แต่พอดีมันถูกบังคับด้วยหลักสูตร

ผมเชื่อว่าหากเอาเวลาที่เรียนการศึกษาภาคบังคับ
นำมาใช้ศึกษาอะไรสักอย่าง อย่างจริงจังในสิ่งที่ชอบ อาจจะทำให้เกิดบุคคลที่มีความสามารถในศาสตร์นั้นๆในระดับโลกได้เลย

อ่านบทความเกี่ยวกับเรื่องเงินๆได้ที่ toytorich.com/article




 

Create Date : 14 กรกฎาคม 2555    
Last Update : 14 กรกฎาคม 2555 6:34:40 น.
Counter : 2140 Pageviews.  

สิ่งสำคัญในงานล่าม

ล่ามไม่ใช่สำคัญแค่มีความรู้ด้านภาษาที่จะแปลเท่านั้น

ความรู้ในเนื้องานและเรื่องราวความเป็นมาก็สำคัญมาก

หลายครั้งที่คนงานไทยคุยกับคนญี่ปุ่นสื่อสารกันได้โดยที่ไม่ใช่ล่ามก็ทำงานได้ ก็เพราะเค้ารู้เนื้อหางาน แค่ชี้แสดงให้ดูก็เข้าใจได้

หลายครั้งที่คนงานไทยฟังคนญี่ปุ่นพูดออกทั้งๆที่รู้ศัพท์แค่สองสามคำ

หากรู้เนื้อหางานเกือบทั้งหมดแล้วแม้ว่าจะฟังได้ไม่หมดก็สามารถจับใจความได้

ความจำก็เป็นอีกอย่างนึงเหมือนกันที่สำคัญ

ฟังประโยคออกหมด ไม่ติดศัพท์อะไร แต่จำไม่ได้ว่ารายละเอียดมันมีอะไรบ้าง เค้าบอกมาห้าอย่าง จำได้แค่สามอย่างก็แปลได้ไม่ครบ

การจดรายละเอียดเป็นทางออกเพื่อช่วยกันลืม

ความสามารถในการดึงคำศัพท์ออกมาใช้งานได้ทันทีที่ต้องการใช้เป็นสิ่งสำคัญในการพูด

แม้ว่าบางครั้งรู้ศัพท์เยอะแต่ไม่ค่อยได้ใช้ การดึงออกมาใช้ก็จะช้า หรือนึกไม่ออก

จึงเป็นสาเหตุให้หลายคนอ่านออกได้เยอะ แต่พูดไม่ค่อยได้ เพราะไม่ค่อยได้ฝึกนึกแล้วพูดออกมา

หากพูดออกมาบ่อยๆกระบวนการนึกจะค่อยๆหมดไป มันจะเป็นความชินปาก สมองต้องการอย่างนี้คำพูดมันออกมาเองกลายเป็นกระบวนการอัตโนมัติไป

หากเข้าใจวัตถุประสงค์ที่พูดของผู้พูดได้ก็จะทำให้ล่ามง่ายขึ้น เพราะแม้จะเปลี่ยนคำพูดไปแต่ก็สามารถทำให้ผู้ส่งสารได้คำตอบในสิ่งที่ต้องการ แต่การเปลี่ยนคำพูดก็ต้องอยู่ที่สถานการณ์และวัตถุประสงค์ การแปลบางอย่างไม่สามารถเปลี่ยนวิธีการพูดได้ เช่นการแปลในศาล การแปลที่ต้องการอรรถรส แปลคำตำหนิของคนญี่ปุ่น(หากคนญี่ปุ่นต้องการให้แรงก็ต้องแรง)

หากทนายในศาล ถามคำถามโจทย์ใช้ประโยคว่า “ไม่เป็นความจริงไม่ใช่เหรอ” แต่คุณแปลว่า “เป็นความจริงใช่หรือไม่”ก็จะผิดวัตถุประสงค์ของทนาย

บางครั้งทนายต้องการใช้ประโยคปฏิเสธซ้อนปฏิเสธ เพื่อให้ผู้ตอบคำถามตอบยาก หรือบางครั้งตอบผิด หรือเข้าใจผิด ซึ่งมีผลต่อความเชื่อถือในชั้นศาล

ความสามารถในการถ่ายทอดเรื่องราวก็สำคัญ หากฟังญี่ปุ่นมาแล้วพูดภาษาไทยไม่เข้าใจการสื่อสารก็ไม่สำเร็จ

และอีกสิ่งนึงคือเรื่องของใจ ก็เป็นสิ่งที่สำคัญมากๆ งานล่ามเป็นงานที่เห็นผลทันที แปลดีแปลไม่ดี พูดรู้เรื่อง ฟังรู้เรื่องขนาดไหน หากทำไม่ดีคนจะรู้ได้เลยทันที หรือบางครั้งฟังไม่ออกแต่เริ่มแปลไม่ครบ แปลมั่ว อาการมันจะออกสักทาง ผู้ฟังจะทราบได้ไม่ยาก

จึงเป็นเรื่องธรรมดาที่อาจจะโดนว่า หรือถูกเมินเนื่องจากดูเป็นคนไม่มีความน่าเชื่อถือในช่วงแรกที่ยังไม่เก่ง ยังไม่แข็งแกร่งพอ หากผ่านช่วงเวลาที่ยากลำบากนี้ พัฒนาตัวเองจนถึงขั้นที่คนรอบข้างยอมรับได้เมื่อไหร่ก็จะแข็งแกร่งและไม่ค่อยกลัวในงานล่าม

 แต่การที่ผู้ใช้งานว่าก็มีเหตุผลอยู่ เพราะเราสื่อสารให้เค้าได้ไม่ดีงานของเค้าก็มีปัญหา ซึ่งเค้าก็เป็นผู้ต้องรับผิดชอบจะว่าผู้ใช้ล่ามไม่ดีฝ่ายเดียวก็ไม่ได้

หากใจมีทัศวิสัยที่ไม่ดีจะทำให้การพัฒนาไปได้ช้า หากใจทนต่อการต่อว่า หรือคำวิจารณ์ไม่ได้ก็อาจจะทนทำต่อไปไม่ได้ หากอายก็ทำให้ไม่กล้าใช้และการที่จะเก่งขึ้นก็ยาก พูดง่ายๆคือช่วงแรกให้หน้าด้านไปก่อน

ช่วงแรกจะไม่ได้รับการยอมรับจากผู้คน ความเชื่อถือจะไม่ค่อยมี ต้องทนไปก่อน พอใช้ได้แล้วคนจะค่อยเชื่อถือเรา เป็นธรรมดาของวงจรด้านภาษา

เรื่องของภาษาเป็นงานที่ใช้เวลา มีกระบวนการการเรียนรู้ของมัน แต่ทุกคนสามารถทำได้ หลักฐานง่ายๆก็คือทุกคนพูดภาษาบ้านตัวเองได้ และเป็นธรรมดาที่ตอนแรกทุกคนจะยังพูดไม่ค่อยคล่องเหมือนเด็กๆ

การจะพัฒนาช้าหรือเร็วก็อยู่ที่ชั่วโมงการใช้งาน ชั่วโมงการเรียนรู้

ในเรื่องเทคนิคเสริมอื่นๆ

หากผู้ใช้ล่ามเอ็นดูเราได้ก็จะทำให้การเป็นล่ามง่ายขึ้น เวลาที่แปลผิด หรือมีปัญหาแปลไม่ได้ก็จะได้ความเข้าใจและได้รับโอกาสจากผู้ใช้ล่าม ทำให้เราทำงานได้ง่ายขึ้น หากผู้ใช้ล่ามไม่เข้าข้างเรา คอยเอาแต่จับผิด คิดปลด ดิสเครดิตตลอด ทำงานล่ามก็จะไม่ต่างกับเดินบนกะทะร้อน แม้จะทำได้แต่โดนว่าตลอดก็คงไม่มีความสุขแต่เงินดี

หากจัดลำดับสิ่งความสำคัญในการทำงานล่าม

อันดับหนึ่งคือ ด้านภาษา(รวมการดึงศัพท์)

อันดับสองคือ ด้านรู้เนื้อหางาน (บางครั้งหากรู้เนื้องานเยอะก็แปลได้แม้ฟังไม่ค่อยเข้าใจ แต่ในกรณีที่ไม่มีโอกาสได้รู้เนื้อหางานก็ต้องพึ่งความรู้ด้านภาษาอย่างเต็มที่)

อันดับสามคือ ใจ (ผมว่าสิ่งนี้สำคัญไม่แพ้ความรู้ด้านภาษา เพราะช่วยเพิ่มความรู้ด้านภาษา และทำให้อดทนทำงานล่ามต่อไปได้)

อันดับสี่ คือ ความจำ จะสำคัญมากขึ้นถ้าต้องแปลประโยคยาวๆ (หมากล้อมช่วยทำให้ความจำดีขึ้น)

อันดับห้าคือ เข้าใจวัถตุประสงค์ บางครั้งไม่เข้าใจวัตถุประสงค์ก็ยังแปลได้

อันดับหก คือ การถ่ายทอด บางครั้งพูดแบบไม่เป็นประโยคก็ยังถ่ายทอดได้ เช่น พูดเป็นคำๆ

อ่านบทความอื่นๆได้ที่ //www.toytorich.com/article




 

Create Date : 13 กรกฎาคม 2555    
Last Update : 13 กรกฎาคม 2555 12:33:29 น.
Counter : 2120 Pageviews.  

เงินที่ไม่มีเวลาใช้

มีเพื่อนผมอยู่คนนึง ชื่อโจ ที่บ้านมีฐานะค่อนข้างรวยมาก เพราะที่บ้านมีกิจการขนาดใหญ่

โจเป็นคนที่เอาจริงเอาจังมาก ทำอะไรทำจริง ค่อนข้างซีเรียส

นั้นเป็นผลมาจากทางบ้านที่มีพ่อที่เข้มงวดมากในทุกๆเรื่อง และตั้งความหวังกับตัวโจไว้สูงมาก

ตั้งแต่เข้ามหาวิทยาลัยเค้าก็รู้อนาคตของตัวเองแล้วว่าจะต้องถูกบังคับให้ทำธุรกิจกับที่บ้าน นอกจากเส้นทางนี้เค้าไม่มีโอกาสจะได้เลือกทางอื่นเลย

แต่ตัวเค้าเองก็รักทางบ้านอยากจะให้ครอบครัวภูมิใจ เค้าอดทนเลือกเดินทางที่พ่อเขียนเส้นให้

โจเป็นคนขยัน หลังจากรับสืบทอดธุรกิจจากพ่อก็ทำงานต่อเรื่อยมาเป็นเวลา5ปี เค้าก็ตระหนักได้ว่าความสุขของเค้านั้นแทบไม่มีเลย

ชีวิตตั้งแต่เช้าถึงเย็นทุกวัน จันทร์ถึงอาทิตย์ ทำแต่งาน

หน้าที่ความรับผิดชอบที่สูงทำให้ปลีกตัวจากสิ่งนี้ไม่ได้

เวลาความสุขที่สุดของเค้าคือตอนเลิกงานแล้วได้มีเวลาดูหนังแผ่นกับแฟนเท่านั้นเอง

เค้าอิจฉาเพื่อนคนอื่นอยู่ทุกครั้งที่ได้เห็นเพื่อนๆได้ไปเที่ยวในที่ต่างๆ อยากทำอะไรก็ได้ตามแต่ใจชอบในวันหยุด



บ้านผมมีฐานะเศรษฐกิจที่ไม่ค่อยดีมาตั้งแต่พ่อผมเสีย

ผมเป็นทุกข์อยู่ตลอดจากการถูกความขาดแคลนเงินคอยกดดัน

ฐานะทางบ้านค่อยๆเสื่อมลงเรื่อยๆ เงินมีแต่ใช้ออกไปและรายได้ไม่มีเข้ามา

แม่ของผมบ่นให้ฟังอย่างสิ้นหวังทุกวันถึงสภาพทางการเงินของบ้าน

คอยเตือนอยู่ทุกวันว่าเงินจะหมดแล้ว

ผมถูกฝังความคิดและความกลัวไม่มีเงินใช้มาหลายปี ผมเชื่อมาตลอดว่าหากมีเงินก็มีทางเลือก รู้สึกเป็นอิสระมากกว่านี้

แต่พอมาเห็นเพื่อนผมคนนี้แล้วก็เข้าใจโลกอีกมุมนึงเลย

มีเงินก็ใช่ว่าจะมีความสุขหากขาดอิสระในการใช้ชีวิตและการยอมรับจากครอบครัว

บทความจาก //www.toytorich.com/article




 

Create Date : 05 กรกฎาคม 2555    
Last Update : 14 กรกฎาคม 2555 6:40:26 น.
Counter : 1804 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  
 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.