ชีวิตที่เลือกที่จะไม่ทำอะไรเลยของคุณสว่าง
มีเรื่องเศร้าสะท้อนสังคมอยู่เรื่องนึงอยากเล่าให้ฟัง ตัวละครในเรื่องนี้ไม่ได้มีตัวตนอยู่จริงแต่งขึ้นมาทั้งหมด แต่โลกนี้มีคนแบบนี้อยู่จริงๆ เรื่องเศร้าเรื่องนี้สะท้อนให้เห็นถึงปัญหาของคนกับเวลาและเงิน อยากเล่าเพื่อเตือนสติหลายๆคนให้ตะนึงถึงความสำคัญของเวลา คุณสว่างเป็นคนในครอบครัวผมคนนึง เป็นธรรมดาคนนึงที่ไม่มีจุดเด่นอะไร และไม่มีความทะเยอทะยานที่จะทำอะไร สิ่งที่เค้าปรารถนาคือการมีชีวิตอยู่ไปวันๆอย่างสบายๆ ไม่ต้องรับผิดชอบกับอะไร หรือเครียดกับอะไร คุณสว่างไม่ใช่คนเลวร้ายอะไร เค้าไม่ได้ค้ายา ติดยา ติดเหล้า ติดผู้หญิง ชอบทะเลาะวิวาท หรือชอบเล่นการพนัน ใช้จ่ายเงินทองอย่างค่อนข้างประหยัด กิจกรรมในแต่ละวันที่ชอบทำมากที่สุดคือการดูทีวี ซึ่งในแต่ละวันจะใช้เวลาดูทีวีอยู่หลายชั่วโมง เค้าไม่ได้ทำอะไรที่สร้างความเดือดร้อนให้กับครอบครัว แต่สิ่งเดียวที่คุณสว่างทำความเดือดร้อนให้กับครอบครัวคือ การที่คุณสว่างไม่ทำอะไรเลยนี่แหล่ะ ที่จริงแล้วการไม่ทำอะไรเลย นั้นอาจจะไม่เป็นปัญหาหากว่าครอบครัวที่คุณสว่างเกิดมานั้นมีฐานะเป็นเศรษฐี หรือ มีเงินใช้ได้ตลอดโดยที่ไม่ทำงานตั้งแต่เกิด แต่ฐานะของครอบครัวคุณสว่างนั้นเป็นครอบครัวคนชั้นกลาง ที่ประสบปัญหาเศรษฐกิจแล้วจนลง เงินที่ทางครอบครัวพอจะมีให้ได้คือเงินที่พอที่จะสามารถส่งเสียให้คนในครอบครัวเรียนจบได้ ส่วนคนไหนที่ไม่สามารถจบได้ตามระยะเวลาปกติก็ต้องถูกให้ย้ายไปเรียนที่มหาวิทยาลัยเปิดที่ใช้จ่ายน้อยลง คุณสว่างใช้เวลาในการเรียนนานมากมหาวิทยาลัยตั้งแต่อายุ 21จะเรียนจบปริญญาตรีตอนอายุ 33 ในระหว่างที่เรียนก็ไม่ได้ทำอะไรใช้ชีวิตเที่ยวเล่นสบายๆไปวันๆ ไม่ได้ทำงานอะไร หรือสะสมความสำเร็จอะไรให้ชีวิตเลย ในช่วงนั้นน้องๆของคุณสว่างหลายคนจบมหาวิทยาลัยหมดแล้ว และหางาน ทำงานกัน แต่คุณสว่างยังคงเรียนอยู่ คุณสว่างจะหัวเสียมากเวลาที่ถูกตำหนิจากพ่อแม่ในเรื่องเรียน หรือเรื่องพฤติกรรม เค้าจะเดินหนีและไม่รับฟังคำเตือนอะไรจากผู้ใหญ่ และหากใครมาถามว่าเค้าทำอะไรอยู่เค้าจะไม่กล้าที่จะตอบ พยายามหลบหน้าผู้คนด้วยความอายที่ตัวเองอายุก็มากแล้ว แต่ชีวิตยังไม่ไปไหน คุณสว่างมีทิฐิที่สูงมาก ไม่ชอบให้ใครมาดูถูก หรือดุด่า หรือพูดเกี่ยวกับความผิดพลาดของเค้า ไม่เคยยอมรับความล้มเหลวของตัวเอง เค้าจึงไม่ค่อยได้เรียนรู้จากความล้มเหลวของตัวเองเลยสักอย่าง คำพูดติดปากเวลาที่พ่อแม่สอนสั่งคือ รู้แล้วน่าๆ แต่ไม่เคยทำอะไรเพื่อเปลี่ยนแปลงเลยสักอย่างทั้งๆที่รู้แล้ว คุณสว่างไม่ชอบถูกว่าทุกครั้งที่เกิดความผิดพลาดเค้าจะโกหกเพื่อให้ตัวเองไม่โดนด่า แม้อายุจะเยอะแล้วนิสัยนี้ก็ยังอยู่ไม่ต่างอะไรกับเด็ก แต่แม้จะอายเค้าก็ยังไม่ทำอะไรให้ชีวิตดีขึ้นยังคงชีวิตแบบว่างๆ สบายๆต่อไป จนในที่สุดคุณสว่างก็จบมหาวิทยาลัยด้วยเกรดเฉลี่ยแบบปริ่มๆ แต่หลังจากจบเค้าเลือกที่จะว่างเล่นๆไปอีกปี เงินทองที่ใช้อยู่ก็ใช้เงินพ่อแม่ ฐานะในตอนนั้นของครอบครัวก็ไม่ใช่ว่าจะดีเรียกว่ากินเงินเก่าอยู่และเงินนั้นจะหมดในเวลาอีกไม่กี่ปี หลังจากผ่านไปปีนึงคุณสว่างก็เริ่มหางาน หาอยู่ 8 เดือนได้งานเป็นพนักงานตรวจสอบสินค้าห้างชื่อดังเงินเดือนไม่ถึงหมื่นบาท ทำงาน 6 วัน หยุด 1 วัน มีโอทีทำงานหนักมากต้องกลับดึกเกือบทุกวัน ซึ่งคุณสว่างรับไม่ได้กับต้องทำงาน 6 วัน และทำจนดึกดื่นและก็ปฏิเสธไป หลังจากนั้นอีกประมาณ 3 เดือนคุณสว่างเข้าทำงานเป็นตัวแทนขายประกันชีวิตทำได้ 3 เดือนก็ออก เพราะหลังจาก 3เดือนบริษัทจะไม่มีเงินเดือนให้จะต้องหารายได้จากการขายกรมธรรมอย่างเดียว หลังจากตอนนั้นเป็นเวลาเกือบ 3 ปี คุณสว่างก็ไปสัมภาษณ์งานอยู่เรื่อยๆ แต่ก็ไม่ได้งานสักที่ และงานที่จะเข้ามาให้สัมภาษณ์ก็ไม่ค่อยเข้ามาทั้งๆที่ลงข้อมูลไว้ในเวปหางานต่างๆไว้หลายแห่งแล้วก็ตาม พ่อกับแม่เป็นทุกข์เป็นร้อนมากกับลูกชายคนนี้ แต่ก็ทำอะไรมากไม่ได้เพราะพ่อแม่ก็ไม่ได้มีเส้นสายอะไรมากมายพอที่จะหางานให้ลูกได้ และไม่สามารถไปตำหนิติเตือนอะไรมากได้ เพราะในช่วงที่ผ่านมานายสว่างมีอาการเครียดชักกระตุกจนต้องเข้าโรงพยาบาลมาทีแล้ว ความเครียดจากการหางานไม่ได้ทำให้น้ำหนักของคุณสว่างลดลงไปกว่า 10 กิโล ผมเคยเสนองานรับเลี้ยงคนชราให้คุณสว่างไปทีนึง เงินเดือนประมาณ 15000 บาททำงานทุกวันและต้องไปอยู่ในบ้านของคนชรา หลังจากผมบอกงานไปหนึ่งวัน ผมโทรไปหาคุณสว่างอีกถามหาความคืบหน้า คุณสว่างบอกว่า งานนี้มันรับแต่ผู้หญิงไม่ใช่เหรอ ผมเลยลองโทรไปถามบริษัทแห่งนั้นพบว่าเค้ารับทั้งผู้ชายและหญิง!! ผมคิดว่าเค้าคงจะยังคิดว่าไม่ลำบากถึงที่สุดจึงยังคงเลือกงานอยู่ การหางานแบบนี้ไม่แปลกเลยที่หางานมากว่า 3ปีแล้วยังไม่ได้งาน ก็ป็นเพราะตัวเค้าเองเลือกงาน และงานหนักก็ไม่เอา งานเบาก็ไม่สู้ เลือกทำตัวเป็นภาระที่บ้านไปวันๆ ปีนี้คุณสว่างอายุเกือบจะเลขสี่แล้วแต่คุณสว่างแต่ยังหางานเป็นหลักเป็นแหล่งไม่ได้เลย ในช่วงที่เรียนอยู่นี้ก็มีเวลาที่จะสามารถหางานพาร์ทไทม์ทำไปก่อนได้แต่คุณสว่างก็อ้างกับที่บ้านอยู่ตลอดว่าไว้เรียนให้จบก่อนแล้วค่อยหางาน ตั้งแต่ตอนที่เรียนจนถึงอายุเกือบเลขสี่คุณสว่างก็แทบไม่เคยทำงาน ผมเริ่มคิดว่าสาเหตุจริงๆไม่ใช่เรื่องของหางานยากหรอก แต่เป็นเพราะอาจจะเป็นเพราะว่าคุณสว่างไม่ต้องการทำงานมากกว่า และคิดว่าคงจะไม่ต้องการทำอะไรเลยนอกจากเกียจคร้านไปวันๆจนตาย ผมจึงเข้าใจว่าคนที่มีเป้าหมายในชีวิตต้องการความสำเร็จนั้นมี คนที่มีความพยายามทำงานหนักเพื่อให้รวยก็มี คนที่ยอมตัดทุกอย่างเพื่อทำงานและสร้างฐานะนั้นก็มี และคนที่ต้องการใช้ชีวิตโดยไม่อยากที่จะพยายามทำอะไรกับชีวิตนั้นก็มี เรื่องนี้สอนให้รู้ว่า หากคุณอยากใช้ชีวิตแบบเกียจคร้าน ไม่ทำอะไรเลยในชีวิตล่ะก็ได้ แต่เวลาและสังคมจะบีบให้คุณใช้ชีวิตได้ยากขึ้นและจะมีความสุขกับชีวิตได้น้อยลง สังคมที่คุณจะอยู่ได้จะแคบ ที่ยืนของคุณจะหายาก เพื่อนที่ยอมรับในตัวคุณจะน้อย และยิ่งหากคุณไม่รวย เงินจะเป็นตัวบังคับให้คุณต้องทำงาน บางครั้งคุณก็จะต้องทำงานที่ไม่สมกับฐานะของคุณ ต้องยอมเสียศักศรีดิ์เพื่อให้ได้เงิน เมื่ออายุยิ่งเยอะเข้าคุณก็ยิ่งมีโอกาสผิดพลาดเพื่อเรียนรู้ได้น้อยลง เพราะการให้อภัยเมื่อคุณทำผิดจากคนรอบข้างจะน้อยลง ไม่มีใครเค้าสนหรอกว่าคุณเพิ่งเริ่มงาน คุณอายุมากขนาดนี้แล้วแต่ยังทำงานได้เท่ากับเด็กจบใหม่แน่นอนว่าต้องถูกกดดันอย่างหนัก เหมือนคุณถูกบังคับให้เล่นเกมในระดับที่ยากแต่ความสามารถของคุณยังอยู่ในระดับผู้เริ่มต้น ความสามารถที่โตไม่ทันอายุเป็นจะทำให้หางานที่ดีได้ยากและยิ่งสาเหตุที่ทำให้โตมันทันเพราะเกิดจากความเกียจคร้านก็ยิ่งทำให้คนไม่ยอมรับคุณมากขึ้นไปอีก ชีวิตต่อไปของคุณสว่างจะเป็นยังไงต่อไปผมไม่ทราบ ผมไม่รู้ว่าบั้นปลายชีวิตของคุณสว่างจะมีความสุข หรือเสียใจกับการใข้ชีวิตของตัวเองหรือไม่ แต่ที่ผมทราบก็คือในประเทศไทยนั้นไม่ใช่ว่าจะหางานเลี้ยงชีพได้ยาก งานที่ดีมีอยู่เยอะแยะ โอกาสยังมีอีกมาก หาเค้ายอมลดทิฐิลงยังไงก็ยังพอหางานได้ และผมเชื่อว่าหากมีชีวิตมาแล้วครั้งนึงก็ควรใช้ให้เต็มที่โดยที่ไม่เหลือความรู้สึกเสียใจหรือเสียดายกับชีวิตจะดีกว่า บทความจาก //www.toytorich.com www.facebook.com/pages/Sawmoon/465074080170124
Create Date : 22 พฤศจิกายน 2555 |
Last Update : 22 พฤศจิกายน 2555 22:03:00 น. |
|
8 comments
|
Counter : 3578 Pageviews. |
|
|