ก็ว่าจะขีดเขียนไปเรื่อยๆ
Group Blog
 
All blogs
 

Suikoden I story EP : 03 มนุษย์ยักษ์สีดิน

Suikoden I story EP 03 : มนุษย์ยักษ์สีดิน

คฤหาสน์แมคดอลยามดึกสงัด แลดูเงียบเชียบ วังเวงกว่าที่เคย มองดูคล้ายไร้ซึ่งการเคลื่อนไหวและสุ้มเสียงใดๆ

เวลานี้เป็นว่าเวลาที่ทุกคนยังอยู่ในห้วงนิทรา หากแต่กับผู้ที่จักต้องออกเดินทางไปปฏิบัติกิจในที่ห่างไกล เวลานี้กลับใกล้เวลาที่จักต้องเริ่มออกเดินทาง

จอมทัพเทโอในชุดเกราะเต็มยศค่อยๆ บรรจงผลักประตูห้องของบุตรชายเข้าไปเบาๆ เทโอไม่ได้ต้องการรบกวนบุตรชายหากแต่รู้สึกอาลัยอารณ์อย่างประหลาด เขาจึงต้องการที่จะเห็นมองดูภาพบุตรชายของเขาและเก็บภาพเหล่านั้นไว้ยามห่างไกลกัน

เทโอเดินมาที่ข้างเตียงโดยมีเกรมิโอ้คนรับใช้คนสนิทติดตามมาไม่ห่าง ทีลยังคงหลับสนิท ใบหน้าอิ่มเอม สดใสราวกับเด็กเล็ก เทโอหวนคิดถึงวันวานที่พ้นผ่าน จะดีเพียงใดหากวันนี้ภรรยาของเขายังมีชีวิตอยู่ เฝ้าดูการเติบใหญ่ของบุตรชาย คอยอบรมบ่มเพาะคุณธรรมอย่างที่เคยเมื่อครั้งยังมีชีวิต

"พ่อคงจะไม่มีโอกาสได้พบหน้าลูกอีกนาน" เทโอรำพึงกับตัวเองเบาๆ คำพูดนั้นเปล่งออกมาเบาพอที่จะไม่รบกวนนิทราของบุตรชาย แต่ก็เปล่งออกมาได้ดังพอที่คนสนิทจะได้ยิน

"ใต้เท้าต้องการจะให้ข้าน้อยปลุกนายน้อยหรือไม่ขอรับ??" เกรมิโอ้รีบเอ่ยคำ เขาทั้งเข้าใจ ทั้งสลดใจที่ทั้ง 2 ต้องห่างไกลกันอย่างมาก

เทโอเกิดครุ่นคิดอยู่อึดใจ จึงกล่าวต่อ
"ไม่ต้องหรอก ปล่อยให้เขาหลับไปเถอะ ไม่ได้หมายความว่าจะไม่ได้เจอกันตลอดไปเสียหน่อย"

สิ้นคำไปได้ครู่หนึ่ง เกรมิโอ้สัมผัสได้ถึงความห่วงหาอาทรที่นายเหนือหัวแสดงออกมาบนใบหน้า และแววตายามทอดสายตามองดูบุตรชายที่รักเกินกว่าใคร แม้นจักไม่เอ่ยคำทว่าความหมายมากมายยิ่งกว่าคำนับพันคำเสียอีก

ความเงียบยังครอบคลุมบรรยากาศอยู่เป็นเวลาหนึ่ง จนกระทั่งจอมทัพเปล่งวาจาขึ้น
"เกรมิโอ้ เธอจะดูแลทีลเป็นอย่างดี...ใช่มั้ย"

"แน่นอนขอรับใต้เท้า"
เกรมิโอ้รีบตอบ น้ำเสียงจริงใจ

ตะวันทอแสงจากขอบฟ้า สาดแสงลงมายังเบื้องล่าง สร้างสีสันและความสว่างไสวให้แก่ทุกสรรพสิ่ง อากาศยามเช้าช่างแช่มชื่น นกน้อยตัวเล็กๆ ส่งเสียงร้องทักทายเจื้อยแจ้ว วิถีชีวิตของชาวนครเกรกมินสเตอร์ได้เริ่มต้นอีกครั้ง ผู้คนเริ่มออกจากบ้านเพื่อทำกิจวัตรของตนไม่เว้นแม้แต่คฤหาสน์ตระกูลแมคดอล ที่ยามนี้เหล่าผู้ติดตามและพี่เลี้ยงของทีลเริ่มเคลื่อนไหวและเตรียมพร้อมสำหรับกิจธุระของนายน้อยในวันนี้

เสียงถ้วยชามกระทบกันลอยมาแต่ไกล เกรมิโอ้กำลังจัดเตรียมโต๊ะอาหารสำหรับนายน้อยของเขาเหมือนที่เคยหากแต่อาหารนั้นมีเพียงพอสำหรับนายน้อยเพียงคนเดียว โดยปกติแล้วการทานอาหารพร้อมหน้ามักจะกระทำกันอย่างเป็นทางการในเวลาค่ำเท่านั้น โดยเฉพาะกับพาห์นที่แทบจะเข้าครัวทั้งวันหรือเคลโอที่งดข้าวเช้าด้วยเหตุผลส่วนตัวที่เธอไม่ยอมบอกใคร

เกรมิโอ้ขยับผ้ากันเปื้อนสีขาวที่คาดปกปิดตั้งแต่ส่วนอกจนเกือบถึงเข่านั้นเล็กน้อย "ฟู่..... มื้อเช้าเรียบร้อย" เขากล่าวกับตนเอง ก่อนจะก้าวเท้าออกจากห้องรับประทานอาหารมุงหน้าไปยังห้องของนายน้อยของเขา

เขาผลักประตูเข้ามาในห้อง นายน้อยของเขายังไม่ตื่น แต่เขาเองก็ไม่อยากรบกวนเท่าใดนัก เขากวาดสายตาไปรอบห้องแลเห็นโต๊ะเขียนหนังสือมีกองหนังสือวางอยู่ไร้ระเบียบเหมือนเคย นายน้อยของเขามักจะติดนิสัยชอบศึกษาตำราเฉพาะเรื่องที่ตนเองสนใจมาจากบิดาเป็นแน่ เกรมิโอ้คิดพลางจัดเรียงกองหนังสือให้เข้าที่เขาเห็นหนังสือในมือเล่มหนึ่งเขียนว่า "ศิลปะการต่อสู้ประชิดตัวในเชิงดาบที่แท้ โดย คาซิม ฮาซิล" เขาพลิกดูในเล่มครึ่งต่อครึ่งเป็นภาพวาดประกอบท่าทางการต่อสู้ เกรมิโอ้คิด "เด็กผู้ชายก็อย่างนี้กันทุกคนละนะ" เรื่องประวัติศาสตร์ โบราณคดีหรือเรื่องภาษาศาสตร์อะไรนั่นเป็นสิ่งที่นายน้อยของเขาหลีกหนีมาตลอด แต่กับเรื่องโลดโผนโจนทะยานนายน้อยของเขามักให้ความสนใจเป็นพิเศษ

"อรุนสวัสดิ์...เกรมิโอ้...." เสียงของทีลลอยมาจากอีกด้านของห้อง ทีลยันตัวขึ้นด้วยศอกทั้ง 2 ข้างผ้าห่มยังคงอยู่บนตัวผมเผ้ายามตื่นนอนยุ่งเหยิงและยามนี้ดูยุ่งเป็นพิเศษเพราะทีลไม่เคยใส่ผ้าโพกหัวเวลาเข้านอน เกรมิโอ้สังเกตได้ว่านายน้อยเพิ่งตื่นนอนเดี๋ยวนี้เอง

"อรุนสวัสดิ์ขอรับนายน้อย โอ้...นี่ข้าน้อยทำให้นายน้อยตื่นรึเปล่าขอรับ"
เกรมิโอ้ส่งเสียงตอบทันใด แต่เขาก็รู้ว่านายน้อยตื่นขึ้นเพราะเสียงกุกกักที่เขากึ่งตั้งใจทำให้มันเกิด

ทีลงัวเงียอยู่ครู่หนึ่งก่อนเอ่ยปากถาม
"พ่อไปแล้วเหรอ"

"นายน้อยขอรับ ใต้เท้าได้ออกเดินทางไปขณะที่นายน้อยยังหลับอยู่น่ะขอรับ" เกรมิโอตอบคำถาม

ได้ยินอย่างนั้นทีลก็เริ่มตื่นตัวขึ้นเล็กน้อย
"ไม่เห็นรู้เรื่องเลย...." แม้จะทำใจได้แล้ว แต่ทีลก็ยังอยากจะเป็นผู้ที่ส่งบิดาออกเดินทางด้วยตัวเอง เขารู้สึกเสียดายเล็กๆ ที่ไม่ได้เห็นภาพพ่อออกปฏิบัติราชการอยู่เหมือนกัน

"คงเป็นเพราะนายน้อยนอนดึกมากกว่าปกติกระมังขอรับ"
"วันนี้นายน้อยจะได้เริ่มทำหน้าที่ของกองทัพในฐานะที่เป็นส่วนหนึ่งของกองกำลังแห่งจักรวรรดิสกาเล็ตมูนแล้วสินะขอรับ" เกรมิโอ้กล่าวต่อ

เหมือนเป็นคำพูดเตือนสติที่กล่าวออกมาได้ถูกเวลา แววตาของทีลเปลี่ยนไปทันทีที่ได้ยิน ในความคิดขณะนี้เขาแยกและเรียงลำดับความสำคัญของสิ่งต่างๆ ออกได้ในทันที คำว่าหน้าที่ก้องอยู่ในหัวของทีล เขาย่อมไม่ทำให้พ่อผิดหวัง การรับใช้องค์จักรพรรดิโดยไม่ขาดตกบกพร่องนับเป็นเกียรติสูงสุดของตระกูลแมคดอล

เกรมิโอ้สังเกตท่าทีแล้วยิ้มออกมาอย่างพึงใจ ดูท่าว่าเขาคงไม่ต้องห่วงนายน้อยคนเก่งของเขาให้มากอย่างที่หลายคนห่วงก็ได้กระมัง เพราะเขาเล็งเห็นแล้วว่านายน้อยซึมซับหลายสิ่งหลายอย่างมากจากบิดาของเขามากมายพอดู
"เรารีบเตรียมตัวกันดีกว่าขอรับ การเข้าพบหัวหน้าหน่วยองครักษ์ไม่อาจชักช้าได้ ข้าน้อยเกรงว่าหากทำอะไรให้เขาขุ่นมัวเราอาจจะมีปัญหาในภายภาคหน้าก็ได้นะขอรับ"

ทีลพยักหน้าเป็นเชิงว่าเห็นด้วยกับคำพูด เกรมิโอ้ยิ้มให้เล็กน้อยจากนั้นจึงเดินนอกจากห้องไป ทีลไม่รอช้าเขารีบเตรียมตัวอย่างรวดเร็วทั้งทำความชำระสะอาดร่างกายและผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าจากนั้นจึงรีบรุดไปรับประทานอาหารที่ถูกจัดเตรียมเอาไว้ ทั้งนี้เป็นเพราะเขามองเห็นว่าแดดสาดแสงแรงกล้าออกมามากกว่าจะเป็นยามเช้าเสียแล้ว

เกรมิโอ้รอคอยจนนายน้อยของเขารับประทานมื้อเช้าเสร็จสรรพแล้ว จึงหยิบยื่นของสิ่งหนึ่งให้นายน้อย ทีลมองเห็นในมือของเกรมิโอ้กำพลองยาวสีดำด้ามหนึ่ง ขนาดไม่ใหญ่โตสักเท่าใด บริเวณด้ามส่วนปลายแกะสลักลวดลายสีทองสวยสดงดงาม ปลายสุดของพลองแต่ละด้านมีสิ่งที่ดูเหมือนลูกแก้วกลมสีทองติดอยู่ คาดเดาจากน้ำหนักส่วนกลางและส่วนปลายแล้วคาดการณ์ว่าลูกแก้วทั้งสองลูกนี้คงมีน้ำหนักตามสมควรสำหรับถ่วงน้ำหนักและเพิ่มกำลังทำลายให้แก่กระบวนท่าโจมตี

ทีลยื่นมือออกไปรับมาพลางกล่าว "ขอบคุณนะ เกรมิโอ้" เขาหวนระลึกถึงอาจารย์เฒ่าผู้สอนสั่งฝีพลองให้เขาขึ้นมาทันใด อาจารย์เฒ่าหายตัวไปไม่บอกกล่าวทีลรู้สึกเป็นห่วงอาจารย์เฒ่าขึ้นมาจับใจ

ทั้งนายบ่าวเมื่อก้าวเท้าลงถึงชั้นล่างของบ้าน พลันได้ยินเสียงคุ้นหูลอยมา
"เอาล่ะ ได้เวลาทำงานของพวกเราหลังจากที่หยุดงานกันมานานกันแล้วละนะ" ทีลย่อมจดจำได้สุ้มเสียงทุ้มห้าวอันคุ้นหูนั่นคือเสียงของพาห์น 1 ในพี่เลี้ยงของเขาเป็นแน่

แลเห็นเคลโอ้ที่ยืนอยู่ห่างๆ แสดงสีหน้าละเหี่ยใจออกมาพร้อมพึมพำกับตนเองเบาๆ ว่า "ไอ้ที่หยุดงานของพี่เลี้ยงและผู้ติดตามมานานน่ะมันเจ้าต่างหากละ พวกข้าหรือต้องดูแลธุระ คอยอบรมสั่งสอน แล้วเจ้าละทำกิจอันใด นอกจากกินกับนอน??"

ขณะนั้นเขาหันไปพบนายน้อยในสภาพเตรียมพร้อมพอดิบพอดี "เฮ้.. เขามาแล้วละ" ดูเหมือนพาห์นจะไม่ได้ยินสิ่งใดในยามนั้น ซึ่งก็คงจะเสียเวลาไม่น้อยหากทีลต้องยืนรอพี่เลี้ยงทั้งสองโต้คารมกันเสร็จสิ้นเสียก่อน ทีลพบเห็นทั้งสองอยู่ในสภาพเตรียมพร้อมในชุดเกราะเช่นกัน จึงลอบยินดีขึ้นมาในใจคิดว่าให้แย่อย่างไรก็คงพึ่งพาพี่เลี้ยงของเขาได้

"นายน้อย....ท่านสายแล้วนะขอรับ นี่วันทำงานวันแรกของท่านเชียวนะขอรับ... ข้าพเจ้าละตื่นเต้นจริงขอรับ" พาห์นรู้สึกตื่นเต้นกับวันแรกในสังคมอังทรงเกียรติของนายน้อย ทีลเลิกคิ้วขึ้น แปลกใจวูบหนึ่ง น้อยครั้งนักที่เขาจะได้พบพี่เลี้ยงคนนี้ของเขาแสดงอาการตื่นเต้นอย่างนี้สักครา

"ไม่ว่าจะให้ไปสู้รบกับพวกโจรที่เขาเซฟู หรือสัตว์ร้ายแห่งทะเลสาปโทรัน พาห์นผู้นี้จะคอยออกหน้าพิฆาตเหล่าอุปสรรคที่ขวางทางเหล่านั้นเองขอรับ" พาห์นยังคงตื่นเต้น พรั่งพรูถ้อยคำไม่สิ้นสุด

เคลโอ้เริ่มเห็นว่าความตื่นเต้นนั้นเริ่มออกนอกลู่นอกทาง จึงปรามขึ้นว่า "น้อยๆ หน่อยเถอะพาห์น ในหัวของนายคิดได้แต่เรื่องต่อสู้หรือไรกัน??"

"งานของพวกเรานั้นสำคัญคืออารักขานายน้อยให้แคล้วคลาดรอดพ้นเท่านั้น ขออย่าเพิ่งคิดการณ์ไปไกลเกิน" เคลโอ้ ย้ำอีกครั้ง เมื่อถึงตรงนี้ทีลก็อดที่จะขำขันเสียไม่ได้

พาห์นได้ยินดังนั้น หันไปค้อนใส่เคลโอ้วูบหนึ่ง จากนั้นจึงกล่าว "ข้าพเจ้ารู้ ข้าพเจ้ารู้ เอาเป็นว่าตอนนี้เรารีบเดินทางไปยังพระราชวังกันเถอะ"

ทีลเหลียวซ้ายขวาไม่เห็นเท็ดแต่อย่างไร หากแต่ยามนี้เสียเวลามามากเกินไปแล้วจึงตัดสินใจผละจากคฤหาสน์ทันที แต่แล้วขณะจะปิดผนึกประตูทางเข้ากลับได้ยินเสียงตึงตังดังมาจากส่วนในของคฤหาสน์
เจ้าของเสียงเปิดประตูที่กั้นระหว่างส่วนในและส่วนนอกอย่างเร่งร้อน เจ้าของฝีเท้านั่นเป็นเท็ดนั่นเอง "เฮ้...รอฉันด้วยสิทีล นี่ตั้งใจจะไปกันโดยไม่มีฉันอย่างนั้นหรือ??"

เท็ดรีบวิ่งออกมาอยู่ข้างพลางยิ้มให้เกรมิโอ้ขณะรอปิดประตู จากนั้นจึงหันหน้าไปกล่าวกับทีล "นายก็รู้นี่ว่าถ้าฉันไม่อยู่ละก็นานต้องเหงาแน่" ทีลยิ้มรับ ขณะนี้เขากำลังปรับอารมณ์กำหนดความสำคัญของเรื่องราวจึงไม่ได้หยอกล้อสนทนากับเท็ดอย่างที่เคย เท็ดเห็นดังนั้นเข้าใจดีไม่กล่าวอันใดอีก ทั้งหมดจึงมุ่งหน้าสู่พระราชวังตามที่นัดหมายกับหัวหน้าหน่วยองครักษ์

พระราชวังในวันนี้มีผู้คนบางตากว่าเมื่อวานมากนัก โดยเฉพาะเหล่าทหารหาญที่จำเป็นต้องแบ่งกำลังส่วนหนึ่งซึ่งไม่น้อยเลยตามจอมทัพเทโอไปปฏิบัติหน้าที่ เท็ดเหลียวซ้ายแลขวาเหมือนตกตะลึงกับสถานที่โอ่อ่าประดับตกแต่งสวยงาม

ไม่นานนักทั้งหมดก็มาถึงที่หมาย ทีลหันมาปรายมือต่ำระดับเอวขวางเหล่าพี่เลี้ยงเอาไว้ เคลโอ้พบเห็นท่าทางดังนั้นก็เข้าใจทันทีพลางพงกหัวรับคำจากนั้นจึงรั้งเกรมิโอ้ที่พยายามจะเข้าไปด้วยเอาไว้ทันท่วงที

"ขออนุญาตขอรับ" ทีลกล่าวขออนุญาติจากเจ้าของห้องที่ขณะนี้กำลังจรดปากกาขนนกเขียนเอกสารอย่างเร่งร้อน

ชายเจ้าของห้อง ใช้นิ้วมือกดแว่นลงกับจมูกยาวของเขาก้มหน้ามองทีลเล็กน้อย ลอบถอนหายใจเฮือกหนึ่ง จากนั้นจึงเอ่ยว่า "เข้ามาได้"

ทีลก้าวเข้าไปในห้องอย่างสำรวม ตั้งใจว่าจะทำทุกสิ่งไม่ให้ผิดพลาดแม้แต่น้อย จากนั้นจึงยืนตรงที่เบื้องหน้าชายผู้เป็นขุนนางเจ้าของห้องนี้ ทีลจับพลองแนบข้างลำตัวในแนวตั้ง สองเท้าใกล้ชิดกัน สายตามองไปยังเบื้องหน้า วันนี้หัวหน้าหน่วยองครักษ์คราเซ่ก็ยังดูไม่มีไมตรีจิตเช่นเดิม

คราเซ่หยุดมือจากงานเอกสารของเขา พลางจับจ้องมาที่ทีล กวาดสายตามองดูทีลอย่างละเอียด
"เฮอะ.. บุตรแห่งเทโอนี่เอง เจ้ามาถึงตัวข้าเวลานี้ถือว่าชักช้า" คราเซ่กล่าวน้ำเสียงเย็นชา ค่อนเหยียดหยาม

ทีลได้ยินดังนั้นได้แต่กล่าวตำหนิตนเอง อย่างไรเสียก็เป็นตนเองเท่านั้นที่ไม่รักษาเวลา เพราะฉะนั้นย่อมมิผิดพลาดอันใดหากจะต้องถูกตำหนิ
คราเซ่เมื่อเห็นทีลไม่มีอาการโต้ตอบจึงกล่าวต่อ "เจ้าควรจะรู้ไว้อย่างหนึ่ง นั่นคือจะไม่มีผู้ใดคอยประคบประหงมเจ้าตลอดชีวิตหรอกนะ"

ทีลยังคงสงบนิ่งไม่ไหวติง รับคำสั้นๆ เพียงแค่กล่าวว่า "ขอรับท่านคราเซ่"
ทีลถูกสั่งสอนมาให้คิดการด้วยเหตุผล หวนคิดถึงคำสอนของอาจารย์ "คำลวงย่อมเสนาะหูอย่างไร คำจริงย่อมระคายหูยิ่งกว่า" หากคิดตามข้อเท็จจริงแล้วสิ่งที่เขาได้ยินจากคราเซ่อาจจะมาจากเจตนาที่ดีก็ได้

คราเซ่ลอบชมเชยเด็กหนุ่มอยู่ในใจ ด้วยวัยเพียงเท่านี้กลับหนักแน่นและเปี่ยมไปด้วยมารยาทดุจดั่งผู้มากประสบการณ์ เลิกคิดคุกคามเด็กหนุ่มอย่างไร้ประโยชน์ กล่าวว่า
"ต่อไปนี้สิ่งที่ข้าจะกล่าวล้วนหมายถึงงานแรกของเจ้าที่เจ้าจักได้รับมอบหมายจากองค์จักรพรรดิ จงตั้งใจรับรู้ให้ดียิ่ง ข้าจะกล่าวกับเจ้าเพียงหนึ่งครั้ง"

"ขอรับท่านคราเซ่" ประโยคเดิมถูกทีลเอ่ยขึ้นมาเป็นครั้งที่สอง

เมื่อเห็นเป็นเช่นนี้คราเซ่จึงกล่าวต่อไป "ทิศตะวันออกเฉียงเหนือของนครเกรกมินสเตอร์ อันเป็นที่ตั้งของเกาะอันเป็นที่อยู่ของผู้ทรงพลังเวท.... และผู้หยั่งรู้อนาคตเล็คนาร์ทย่อมอาศัยอยู่ที่นั่น" สิ้นประโยคจึงชายตามองทีลวูบหนึ่ง

ทีลยังคงสงบสำรวม ภายในสมองกำลังคิดถึงผู้หยั่งรู้ ถามตัวเองว่าเขาเคยได้ยินเรื่องของสตรีนางนี้มาก่อนหรือไม่ ย่อมต้องเคยได้ยินแน่ หากแต่เนิ่นนานมากแล้วความทรงจำจึงลางเลือน

คราเซ่สังเกตุเห็นคิ้วของทีลขมวดเล็กน้อย จับได้ว่าทีลไม่อาจรู้จักสตรีนางนี้ เพื่อให้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์กับการปฏิบัติภารกิจ คราเซ่ย่อมต้องบอกกล่าว
"สตรีนางนั้นมีหน้าที่เฝ้ามองดูเหล่าดวงดาวบนท้องฟ้า หยิบจับมาเป็นเครื่องมือบ่งบอกสิ่งที่จะเกิดขึ้น เจ้าจงเดินทางไปที่นั่นและนำสิ่งที่นางรู้มาส่งต่อแก่ข้า"

ทีลนึกภาพการทำนายของนางตามที่บอกเล่า หลงลืมไปว่าเผลอตัวไปชั่วครู่ ย่อมไม่อาจรอดพ้นสายตา
"เจ้าตั้งใจฟังข้าอยู่หรือไม่?? ไหนลองบอกกับข้าสักคราสิว่าที่ตั้งของเกาะแห่งนั้นอยู่แห่งหนใด??" คราเซ่กล่าวถามเสียงดุ ในใจเกลียดชังผู้ที่ไม่เคารพตนเองมากที่สุด ยามนี้เห็นทีลเหม่อลอยเพียงวูบเดียวแม้ไม่ทราบว่าเพราะเรื่องใด แต่เท่านี้ก็เพียงพอให้เดือลดาลแล้ว

ทีลได้สติ รีบตอบหนักแน่นชัดถ้อยชัดคำว่า
"ทิศตะวันออกเฉียงเหนือของนครเกรกมินสเตอร์ ขอรับท่านคราเซ่"

"เฮอะ.... ดูเหมือนเด็กน้อยอย่างเจ้าก็ยังรู้ภาษา เจ้าจงรอฟังสักครู่ข้าจะบอกเล่ารายละเอียดต่างๆ ให้เจ้าอีกสักเล็กน้อย" เมื่อเอาผิดไม่ได้ คราเซ่จึงเริ่มที่จะบอกกล่าวรายละเอียดต่อไป
"ไม่มีเรือสำหรับนำพาเจ้าไปยังเกาะนั้น หากแต่ข้าได้เตรียมการอัศวินมังกรจากกองทัพอัศวินแห่งถ้ำมังกรเอาไว้แล้วสำหรับนำพาพวกเจ้าไปยังจุดหมาย ซึ่งเจ้าสามารถพบเขาได้ที่บริเวณด้านหน้าของโรงนาที่ใกล้ที่สุด จากนั้นมังกรจักนำพาเจ้าสู่เกาะอันเป็นที่หมายเอง" กล่าวจบคราเซ่ก็เอื้อมมือไปคว้าปากกาขนนกมาจุ่มลงในขวดหมึก ดึงเอกสารออกมาจากกองบนโต๊ะเป็นสัญญาณให้ทีลออกไปได้แล้ว

ทีลก้มศีรษะให้อย่างนอบน้อม พลางเดินถอยหลังไปที่ทางออกอย่างสำรวม คราเซ่สังเกตเห็นจึงคิดแนะนำเพิ่มเติม แสร้งก้มหน้าเขียนเอกสารต่อกล่าวว่า
"ข้าขอบอกไว้อีกอย่าง สตรีผู้หยั่งรู้นามว่าเล็กนาร์ทเป็นน้องสาวร่วมสายเลือดกับมหาอำมาตย์วินดี้ ฉะนั้นการเจียมเนื้อเจียมตัวไม่ประพฤติผิดมารยาทนั้นย่อมฉลาดหลักแหลมกว่า"

ทีลถอยหลังมาถึงทางออก มองเห็นคราเซ่ก้มหน้าเขียนเอกสารดังเดิม ปากกาขนนกในมือเคลื่อนไหวอยู่เหนือกระดาษอย่างรวดเร็วบ่งบอกได้ชัดเจนว่าคราเซ่คุ้นเคยกับงานตรงหน้ามากเพียงใด ใบหน้าของคราเซ่ดูไม่มีอารมณ์อะไรมากไปกว่าความรู้สึกเคร่งเครียดกับจำนวนที่มากมายของงานเอกสารตรงหน้า ทีลโค้งคำนับครั้งหนึ่งก่อนจะกลับตัวเดินออกมาจากห้องช้าๆ

ขณะเดินตรงมายังทางออก ทีลเหลือบไปเห็นเกรมิโอ้กับพาห์นสองคนเอาหูแนบอยู่กับกำแพงอีกด้านของห้องที่เขาเพิ่งออกมา ทั้งสองหลับตาใบหน้าบิดเบี้ยวคล้ายกำลังใช้สมาธิทำอะไรสักอย่าง โดยมีเคลโอ้และเท็ดยืนรออยู่ใกล้ๆ

ทีลพบเห็นเช่นนั้นจึงครุ่นคิดขึ้นชั่วขณะ รู้ได้ทันทีว่าทั้งพาห์นและเกรมิโอ้กำลังพยายามจะดักฟังการสนทนาของเขากับคราเซ่อย่างตั้งใจ หากแต่การที่เขาออกมาด้านนอกแล้วเขายังไม่รู้ตัวนั้นย่อมหมายความว่าทั้งคู่คงไม่ได้ยินอะไรเลยมากกว่าหรือหากจะบังเอิญได้ยินก็คงจะเป็นเพียงส่วนเล็กส่วนน้อยเท่านั้น

เพียงชั่วครู่เคลโอ้และเท็ดก็พบว่าทีลเสร็จธุระได้ครู่หนึ่งแล้ว เวลานี้ทีลก็กำลังจ้องมองพาห์นและเกรมิโอ้อย่างงุนงงอยู่เบื้องหน้า เคลโอ้จึงแสร้งกระเอมขึ้นมา "อะ..แฮ่ม"

พี่เลี้ยงทั้งคู่ลืมตาขึ้น พบเห็นนายน้อยอยู่เบื้องหน้าถึงกับตะลึงลานทำตัวไม่ถูก ได้แต่ยิ้มแห้งๆ แก้เก้อกันเองสองคน
ทีลเห็นดังนั้นจึงหรี่ตาลงเล็กน้อย ทำทีว่าไม่เชื่อถืออย่างใด พลางก้าวเท้ามุ่งหน้าตรงไปยังทางออก พาห์นและเกรมิโอ้เห็นเช่นนั้นจึงรีบก้าวเท้าตามไปอย่างเร่งด่วน ส่วนเคลโอ้และเท็ดทั้งสองหันมายิ้มให้กันเล็กน้อยหัวเราะเบาๆ ยาวนานพลางก้าวเท้าตามทั้งหมดไปอย่างใจเย็น

เมื่อพาห์นและเกรมิโอ้ก้าวพ้นประตูทางเข้าพระราชวัง พบเห็นทีลยืนรออยู่ที่ลานกว้างหน้าพระราชวัง เวลานี้สายมากแล้วดวงตะวันทอแสงแรงขึ้นเรื่อยๆ จนทั้งคู่ต่างต้องหรี่ตาลงเล็กน้อย ทั้งคู่ต่างรู้ดีว่าสิ่งที่ตนทำนั้นเป็นการไม่สำรวมต่อสถานที่เป็นอย่างมาก หากแต่ที่ได้กระทำลงไปนั้นย่อมมีเหตุผลคนละหนึ่งประการ พาห์นมีเหตุผลประการหนึ่งคือต้องการสิ่งที่ตื่นเต้นเร้าใจฉะนั้นจึงอดไม่ได้ที่จะแอบฟังดูว่าสิ่งที่ต้องทำวันนี้คืออะไร เกรมิโอ้มีเหตุผลอีกประการหนึ่งคือเป็นห่วงนายน้อยมาตรว่ากลัวหัวหน้าหน่วยองครักษ์จะกลั่นแกล้งเอา เหตุผลนี้ดูจะสมควรอยู่แต่ยังไม่อาจลดโทษให้ได้ โชคยังดีที่ในวันนี้ผู้คนในพระราชวังมีน้อยนิด จึงไม่มีใครพบเห็น

ทีลยิ้มเล็กน้อยหากแต่ดูเย็นชา ถามขึ้นเสียงเรียบว่า
"เมื่อครู่พวกท่านทำอะไรกันอยู่หรือ??"

พาห์นรีบตอบว่า
"ชะ....ข้าพเจ้าตั้งใจจะมาติดตามภารกิจแรกของนายน้อยแท้ๆ แต่แล้วกลับกลายเป็นงานที่ใช้ให้ใครไปทำก็ได้นี่นะ"
พาห์นแกล้งกล่าวเปลี่ยนเรื่องเป็นเรื่องเนื้อหาของภารกิจที่เขาพยายามแอบฟังแล้วนำมาจับต้นชนปลายเอาเองเมื่อครู่ พลางชำเลืองดูทีล ยังคงเห็นทีลยิ้มอยู่เช่นเดิม เค้าเริ่มรู้สึกหนาววูบขึ้นมาแม้จะอยู่ท่ามกลางแสงแดดแรงกล้าก็ตาม หากเป็นจอมทัพเทโอละก็ทั้งสองคงไม่พ้นโดนลงโทษเป็นแน่

แต่กระนั้นพาห์นก็ยังกล่าวต่อ
"นี่หากข้าพเจ้ายังเป็นเยาว์วัยอยู่ละก็ ข้าพเจ้าคงหวังเป็นอย่างยิ่งให้ภารกิจแรกเต็มไปด้วยอะไรที่น่าตื่นเต้นเป็นแน่"

ทีลยังคงยิ้มเช่นเดิมหากแต่ความในใจผิดแผกไปจากที่พาห์นคิด เขาเพียงแค่อยากจะลองเลียนแบบพ่อของเขาดูบ้างเท่านั้นเองซึ่งดูประสบผลสำเร็จดี แม้ว่าเรื่องที่พี่เลี้ยงทั้งสองของเขาเพิ่งกระทำลงไปไม่ใช่เรื่องสมควรนัก แต่ทีลทราบดีว่าวันนี้ไม่มีใครหรอกที่จะพบเห็นได้ง่ายๆ ด้วยความที่เยาว์วัยจึงไม่คิดติดใจใดๆ อีก

เคลโอ้และเท็ดตามมาถึงพอดี เคลโอ้แลเห็นสีหน้าของทีลวูบหนึ่ง คิดอ่านได้ทันทีว่าทีลคิดสิ่งใดอยู่ในใจ พาห์นนั้นเป็นผู้ที่นิสัยหยาบกระด้าง ย่อมไม่ใช่เรื่องแปลกหากจะลืมสังเกตลึกลงไปในแววตาของนายน้อยที่แจ่มใสนัก แววตาเช่นนี้ย่อมไม่นำพาความขุ่นมัว

เคลโอ้จึงวางใจว่าทีลไม่ได้ถือสาหาความอันใดทั้งสิ้น กล่าวว่า
"เอาน่า...พาห์น"
เคลโอ้กล่าวขณะเดินมาตบไหล่ของพาห์นที่กำลังกระวนวายอยู่เบาๆ จากนั้นจึงกล่าวต่อว่า
"ผลทำนายจากดวงดาวอะไรนั่น น่าจะเป็นสิ่งที่สำคัญต่อจักรวรรดิพอดูเชียวล่ะ ฉันคิดว่ามันก็เป็นภารกิจที่ไม่เลวนักหรอกน่า... ฉันกล่าวได้ถูกต้องใช่ใหมคะ นายน้อย..."

ทีลได้ยินดังนั้นครุ่นคิดขึ้น "ไม่เคยมีอะไรตบตาเคลโอ้ได้เลยจริงๆ" แม้เธอจะไม่ได้คลุกคลีกับทีลเท่ากับเกรมิโอ้หากแต่เธอเป็นคนที่ละเอียดอ่อน รายละเอียดเพียงเล็กน้อยเธอกลับไม่มองข้าม คิดอ่านดังนั้นทีลก็หัวเราะเบาๆ พยักหน้าให้กับพี่เลี้ยงสาวของเขา ตอบว่า "ถูกต้องแล้ว เคลโอ้....ผมไม่เคยมีอะไรตบตาเคลโอ้ได้เลยจริงๆ"

ได้ยินดังนั้นพาห์นค่อยใจชื้นขึ้นมาบ้าง ลอบถอดถอนใจเฮือกใหญ่

เกรมิโอ้ที่อยู่ด้านข้างยิ้มเล็กน้อย รู้สึกยินดีที่บรรดาพี่เลี้ยงและคนติดตามของนายน้อยเป็นผู้ที่มีความละเอียดรอบคอบ เอาใจใส่กับนายน้อยได้มากมายถึงเพียงนี้ ส่วนตัวของเขานั้นย่อมรู้นิสัยนายน้อยดีแล้วจึงไม่ได้รู้สึกกระวนกระวายอันใด

เมื่อเท็ดเห็นว่าสถาณการณ์คลี่คลายลงได้ดีแล้วจึงร้องขึ้น
"เฮ้...ทีล นี่เรากำลังจะได้ขี่มังกรสินะ แถมยังได้พบกับอัศวินมังกรตัวจริงเสียงจริงด้วยนะ อัศวินมังกรน่ะจะต้องดูเท่ห์มากแน่ๆ เร็วเข้าเถอะ พวกเรารีบไปกันเถอะ"

ทีลยิ้มกว้าง ตอบว่า
"นั่นสินะ งั้นเรารีบไปกันเถอะ"

คณะเดินทางก้าวเท้าเดินไปตามทางแยกทางทิศตะวันออกของพระราชวังครู่หนึ่งพบเห็นสภาพพื้นดินแตกต่างกับลานหน้าพระราชวังที่ปูพื้นด้วยแผ่นหินมากมาย บริเวณนี้ไม่มีวัตถุใดปูพื้นเลย เห็นเป็นผืนดินสีทองสดใสยามต้องกับแสงแดดแรงกล้าเช่นเวลานี้ เมื่อมองไกลออกไปพบเห็นโรงนาที่มีฟางข้าวเก็บกักเอาใว้จนล้นออกมาด้านนอก มีผู้คนเดินไปมาอยู่เพียงไม่กี่คน คิดอ่านได้ว่าเวลานี้ไม่ใช่เวลาที่จะมีงานให้ใครทำในสถานที่นี้

ที่ลานกว้างหน้าโรงนานั้นมีมังกรสีดำเขื่องขนาดใหญ่ แลเห็นได้แต่ไกลอยู่ตัวหนึ่ง ใกล้ๆ นั้นสังเกตเห็นได้ว่าเป็นเด็กหนุ่มผู้หนึ่งยืนอยู่ข้างๆ อย่างสงบแลดูท่าทีคล้ายกับรอคอยอะไรสักอย่าง

เพียงชั่วอึดใจทั้งหมดก็เดินมาถึงมังกรตัวนั้น ทันทีที่เท็ดได้พบเห็นมังกรตัวนี้ในระยะใกล้ถึงกับตกตะลึงในความน่าเกรงขามของมัน เกล็ดสีดำแวววับส่งเสริมความคิดอ่านของเท็ดให้น่าฉงนสงสัย มังกรดำนั้นกลับดูสงบมากกว่าลักษณะภายนอกที่ดูน่ากลัว เมื่อทุกคนเดินเข้ามาใกล้มันเพียงชูคอขึ้นมองผู้คนเพียงเล็กน้อยเท่านั้น

เสียงเด็กหนุ่มดังสดใสเอ่ยว่า
"ท่านคือเหล่าองค์รักษ์อย่างนั้นหรือ ข้าชื่อฟุทช์ อัศวินมังกรฝึกหัดขอรับ และนี่คือมังกรของข้าเอง นามว่า แบล็คขอรับ"
เด็กหนุ่มกล่าวแนะนำตัวอย่างสุภาพ โค้งศีรษะคำนับให้คราหนึ่ง ท่าทางของเขาดูสำรวมอย่างมาก

เคลโอ้เพ่งดูฟุทช์อย่างพิเคราะห์ พบว่าเด็กน้อยผู้นี้อายุน่าจะอยู่ราวๆ 10 ขวบเท่านั้น จึงครุ่นคิดขึ้นชั่วขณะ เด็กอายุเพียงเท่านี้ยังได้เป็นถึงอัศวินมังกรเชียวหรือ?? แม้จะเป็นอัศวินมังกรฝึกหัดก็ตาม หากแต่รัดเกล้าสีเหลืองทองที่ด้านข้างมีลักษณะคล้ายปีกมังกรขณะสยายปีกอย่างเต็มที่นั้นย่อมเป็นสัญลักษณ์ของอัศวินมังกรไม่ผิดแน่ พลางชำเลืองมองดูต่ำลงมา พบเห็นฟุทช์สวมใส่เกราะลำตัวสีเงิน เกราะไหล่สีเทาเข้มแลดูแข็งแรงนั้นไม่น่าจะเป็นสิ่งที่เด็กๆ น่าจะสามารถเอามาใส่เล่นกันได้

ทุกคนตะลึงลานชั่วขณะ ไม่เคยคาดคิดมาก่อนว่างานในพระราชวังอันเป็นภารกิจสำคัญนั้น กลับปล่อยให้เป็นภาระของเด็กน้อยผู้หนึ่งซึ่งเป็นเพียงแค่อัศวินมังกรฝึกหัด หากแต่จำเป็นต้องยอมรับอย่างเลี่ยงไม่ได้ด้วยเหตุผลประการหนึ่ง กล่าวคือเมื่อนึกถึงชื่อเสียงของทัพอัศวินมังกรแล้วย่อมแน่ใจได้ว่าเด็กหนุ่มคนนี้นั้น ฝีมือย่อมเป็นที่ไว้วางใจได้อย่างแน่นอน

คิดอ่านดังนั้นเคลโอ้และเกรมิโอ้จึงโค้งศีรษะตอบรับฟุทช์คราหนึ่ง ประจวบเหมาะกับทีลที่กำลังโค้งศีรษะตอบอยู่ก่อนครู่หนึ่งจนแทบจะพร้อมกัน

ฟุทช์เห็นดังนั้นรู้สึกเบิกบานในใจ คลายความตึงเครียดลงได้หลายส่วน จึงกล่าวกับแบล็คว่า
"เฮ้...แบล็ค แนะนำตัวเองหน่อยสิ"

สิ้นคำของฟุทช์ แบล็คจึงอ้าปากกว้างกู่ร้องออกมาเสียงดังสดใส ครู่หนึ่งจึงสงบเสียงดังเดิม

ฟุทช์รอให้แบล็คสงบเสียงลงจนสิ้น จากนั้นหันมากล่าวคำกับทีลและพรรคพวกอย่างเบิกบานว่า
"เป็นไงละ เขาน่ารักมากใช่มั้ยละ แบล็คจะนำพาพวกท่านสู่เกาะของผู้ทรงเวทในเวลาเพียงไม่กี่อึดใจเท่านั้น"
พลางชำเลืองมองไปทางแบล็ค แบล็คพ่นลมออกมาทางจมูกบังเกิดเสียงเบาบางเป็นเชิงรับคำ

เท็ดที่ตะลึงลานตั้งแต่รับรู้ว่าอัศวินมังกรที่ตนใฝ่ฝันจะได้พบพานสักครากลายเป็นเด็กน้อยคนหนึ่ง พลันได้สติจากเสียงกู่ร้องของแบล็คเมื่อครู่ พลันก้าวเท้าตรงออกมายังฟุทช์ที่อยู่เบื้องหน้า ร้องว่า
"นายเป็นอัศวินมังกรจริงๆ น่ะเหรอ นายยังเป็นเด็กน้อยอยู่เลยนะ"

อัศวินมังกรทุกผู้คนยึดมั่นในเกียรติของตนเป็นอย่างมาก คำพูดเช่นนี้สร้างความเดือลดาลแก่ฟุทช์ไม่น้อย ฟุทช์ขมวดคิ้วตอบคำว่า
"ท่านกล่าวอะไรของท่านน่ะ ท่านเองก็ยังเด็กเหมือนกันมิใช่รึ"

เท็ดรีบตอบกลับอย่างเดือลดาลว่า
"ฉันเนี่ยนะเด็กน้อย...!? รู้ไว้ด้วยนะว่าวัยเด็กของฉันน่ะมันผ่านมาตั้งสามระ....."

ยังไม่ทันสิ้นคำของเท็ดเกรมิโอ้ก็เดินแทรกเข้ามาตรงกลางขวางคนทั้งสองไว้ เขายิ้มเล็กน้อยให้ทั้งคู่ พลางกล่าวว่า
"ไม่เอาน่าเท็ด พอได้แล้วละ รีบไปทำหน้าที่ให้เสร็จสิ้นกันดีกว่า"

ยามนี้เท็ดไม่สนใจอะไรแล้ว ไม่รู้ว่าทำไมเท็ดจึงโกรธเรื่องที่มีคนว่าเขาเป็นเด็กนักหนา ปัดมือเกรมิโอ้ออก พยายามจะพุ่งตัวเข้าไปหาฟุทช์ พลางตวาดว่า
"ปล่อยฉันนะเกรมิโอ้!! เขาเรียกฉันว่าเด็กน้อยนะ!!"

เคลโอ้เห็นท่าไม่ดี หากเสียเวลาด้วยเรื่องไม่เป็นเรื่องเช่นนี้เกรงจะเกิดผลเสียต่อส่วนร่วม ก้าวเท้าเดินเข้าไปหาเท็ด เอื้อมมือจับไหล่ กล่าวว่า
"โอ...หนุ่มน้อย นี่เรากำลังจะออกเดินทางกันนะ"
เสียงนั้นเรียบเฉยแต่เย็นเยียบ จนเท็ดรู้สึกสะท้านเข้าไปที่หัวใจ เขารู้สึกเหมือนกับว่าหากไม่ยอมตามคำพูดนี้ ย่อมไม่เป็นผลดีต่อตัวเองแน่ จึงผละมือออก ยืนกอดอกมองดูแบล็คอย่างขุ่นมัว

แม้จะเป็นอัศวินมังกรก็ตาม แต่ฟุทช์เองก็ยังเยาว์วัยมากนัก เมื่อเห็นเท็ดมีกริยาชวนทะเลาะเช่นนั้นไหนเลยที่ฟุทช์จะยอมได้ พาห์นเห็นว่าเคลโอ้เดินไปห้ามเท็ดแล้ว ตนเองจึงปราดเข้ามาขวางทางฟุทช์บ้าง กล่าวว่า
"ไม่เอาน่าท่านฟุทช์ เรารีบไปกันเถอะ"

ฟุทช์ขมวดคิ้วขึ้น กล่าวออกมาอย่างไม่เต็มใจนัก
"ตกลง ตกลง.... ขอทุกท่านโปรดปีนขึ้นกระเช้าที่ติดอยู่ด้านหลังของแบล็คเดี๋ยวนี้เลยขอรับ"
พลางชี้นิ้วไปบนหลังของแบล็ค พบเห็นเป็นที่นั่งขนาดพอดีกับพื้นที่บนหลังของแบล็ค สานด้วยหวายเส้นใหญ่ท่าทางแข็งแรง เชื่อมเข้าหากันและกันอย่างแน่นหนาผ่านลำตัวของแบล็คโดยรอบ เว้นช่องให้ปีกลอดออกไปได้อย่างสบาย ทำให้ไม่ส่งผลถึงการบินแต่อย่างใด

เกรมิโอ้หันหน้ามากล่าวกับทีลว่า
"ขอให้ข้าน้อยได้ขึ้นไปก่อนนะขอรับ จะได้ทดสอบความแข็งแรงไปในตัว"
พลางปีนขี้นไปก่อน เกรมิโอ้ทดลองดึงหวายเกือบทุกเส้นเพื่อตรวจสอบความแข็งแรงทนทาน พบว่าหวายเหล่านี้ผูกเอาไว้อย่างแน่นหนาและมีความเหนียวมากกว่าที่คาดเอาไว้มากมาย จึงโบกมือเป็นสัญญาณบอกมายังเบื้องล่างว่าไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง ทุกคนจึงทยอยปีนขึ้นไปบนหลังของแบล็คที่ยังคงนอนสงบนิ่งอยู่เช่นเดิม

เมื่อทุกคนขึ้นไปครบทุกคนแล้ว ฟุทช์จึงกระโดดขึ้นไปยืนที่หัวของแบล็ค เขาก้มลงไปตบหน้าผากของแบล็คเบาๆ แบล็คจึงเริ่มขยับตัวจากหมอบเป็นค่อยๆ ยันตัวขึ้นช้าๆ

ฟุทช์ที่ยังยืนอยู่บนศีรษะของแบล็คค่อยๆ ไต่ลงมายังส่วนคอของแบล็คพลางร้องว่า
"ทุกท่านพร้อมแล้วใช่หรือไม่ ยึดกับที่นั่งของท่านให้แน่นนะขอรับ มิเช่นนั้นพวกท่านอาจจะร่วงหล่นไปก็ได้"

ฟุทช์ชำเลืองมองเท็ดครู่หนึ่ง จึงกล่าวต่อ
"อย่าได้คิดว่าข้าจะใส่ใจหากหนึ่งในพวกท่านร่วงหล่นลงไปจริงๆ"

เท็ดเห็นฟุทช์ทำทีเช่นนั้นกลับรู้สึกเดือลดาลขึ้นมาอีกครา ตะโกนถามว่า
"เฮ้ย....!! นายหมายความว่าไง!!"

เสียงอันเย็นเฉียบของเคลโอ้ลอยมาอีกครา
"ฉันขอบอกไว้ก่อนนะ ห้ามนายทั้งสองคนกัดกันบนกระเช้านี้เด็ดขาด"

ทีลได้ยินเช่นนั้นก็ลอบหัวเราะในใจ นอกจากตัวเขาเองแล้วในที่สุดก็มีคนอื่นที่โดนเคลโอ้ว่ากล่าวแบบนี้สักที
หากแต่เท็ดและฟุทช์สะดุ้งเฮือก คิดอ่านทันทีว่าไม่ควรตอแยกันเองแบบเด็กๆ มากไปกว่านี้ พร้อมๆ กับคิดว่าผู้หญิงคนนี้ไม่สมควรตอแยด้วย จึงสะบัดหน้าหนีไปหาแบล็ค เอามือลูบส่วนคออยู่ครู่หนึ่งจากนั้นจึงกล่าวว่า
"ก็ได้....แบล็ค ไปกันเถอะ!!"

สิ้นคำของฟุทช์ ทุกคนรู้สึกได้รับแรงกระทบกระเทือนอย่างแรง จึงพยายามยึดตัวเองกับกระเช้าเอาไว้ให้ได้ เมื่อแรงกระเทือนนั่นจางหายไปก็พบว่าแบล็กได้นำพาพวกเขาออกสู่ท้องฟ้ามาไกลเสียแล้ว ทีลครุ่นคิดขึ้นชั่วขณะถึงสิ่งที่เกิดเมื่อครู่ เกรมิโอ้อธิบายว่าแรงสั่นสะเทือนเมื่อครู่มาจากการการเคลื่อนไหวที่ทรงพลังของปีกขนาดใหญ่โตของแบล็คคู่นี้เอง ซึ่งเมื่ออยู่บนท้องฟ้าปีกเหล่านี้กลับทำหน้าที่คล้ายเครื่องร่อนจึงไม่จำเป็นต้องขยับอย่างรุนแรงต่อไป

สายลมพัดผ่านใบหน้าอย่างรุนแรงอย่างที่ไม่เคยประสบก่อนจนอดคิดไม่ได้ว่า แบล็คกำลังทะยานออกไปด้วยความเร็วขนาดไหนกันแน่ เท็ดเหลือบไปเห็นฟุทช์ไม่มีทีท่าอันใดนอกจากนั่งตัวตรงอยู่ที่ส่วนคอของแบล็คดังเช่นก่อนที่แบล็กจะทะยานพุ่งออกมา นอกจากนั้นแล้วเท็ดก็ไม่สามารถมองเห็นอะไรได้อีกนอกจากทะเลหมอกสีขาวที่อยู่รอบตัว เมื่อสังเกตดูจึงทราบว่าได้ขึ้นมาอยู่เหนือหมู่เมฆเสียแล้ว

เพียงไม่กี่อึดใจทุกคนก็รู้สึกเหมือนกำลังร่วงหล่นอย่างรวดเร็ว ต่างไขว่คว้าหาที่ยึดจับเป็นการใหญ่ โดยเฉพาะเกรมิโอ้ที่นอกจากจะหาที่ยึดจับของตัวเองแล้วยังต้องคว้าตัวนายน้อยเอาไว้ไม่ให้ร่วงหล่นอีกด้วย หากแต่ไม่นานนักสภาวะร่วงหล่นก็เบาบางลงจนแทบเป็นปกติ นั่นเป็นเพราะแบล็กกำลังร่อนลงสู่พื้นเป็นที่เรียบร้อยแล้วนั่นเอง

ฟุทช์กระโดดลงมาจากส่วนคอของแบล็คก่อนใคร รอจนทุกคนค่อยๆ ปีนตามลงมาจนเป็นที่เรียบร้อยแล้วจึงกล่าวว่า
"ถึงแล้วละขอรับ ความเร็วขนาดนี้ทำให้พวกท่านเกิดอาการคลื่นเหียน คล้ายเมาเรือกันบ้างหรือไม่ขอรับ"

ทีลยิ้มให้ฟุทช์พลางส่ายหน้าแทนคำตอบ พลางสังเกตสีหน้าของฟุทช์มีสีแดงสั่นระริกคล้ายกำลังกลั้นหัวเราะอยู่
ทีลเอี้ยวตัวหันกลับไปพบว่า เคลโอ้กำลังก้มตัวเอามือยันกับต้นไม้เอาไว้ได้ยินเสียงอาเจียนลอยมาแต่ไกล ใกล้ๆ กันพาห์นกับเกรมิโอ้ก็มีสีหน้าซีดเซียวรู้สึกไม่สู้ดีนัก ส่วนเท็ดเองก็ยิ้มกว้างจ้องเขม็งมาทางฟุทช์ แสร้งยืนมั่นคงคล้ายไม่ประสบอะไร หากแต่ขานั้นสั่นระริกจนสังเกตได้

ทีลพบเห็นดังนั้นจึงต้องกลั้นหัวเราะเอาไว้เช่นกัน หันมากล่าวกับฟุทช์อย่างนอบน้อมว่า
"พวกเราทุกคนไม่เคยชินกับการเดินทางเช่นนี้ อาจจะแสดงกริยาไม่เหมาะสมไปบ้าง ขอท่านอัศวินมังกรโปรดอภัยด้วย"

ฟุทช์ยิ้มอย่างเบิกบานกล่าวตอบว่า
"ดี งานของข้าคือการนำพาพวกท่านมายังจุดหมาย เพราะฉะนั้นงานของข้าสิ้นสุดลงตรงนี้แล้วขอรับ ข้าจะรอจนพวกท่านเสร็จสิ้นภารกิจอยู่ตรงนี้ ขอพวกท่านระวังตัวด้วย"

เบื้องหน้าของทีลคือทางชายป่าที่มีแนวป่าเขียวขจีแผ่ออกไปอย่างไม่มีที่สิ้นสุด ยามนี้พวกเขาดูเหมือนยืนอยู่บริเวณหน้าผาสูงชันใจกลางเกาะแห่งนี้ อากาศแถบนี้สดชื่นยิ่งนัก ทีลรู้สึกสบายกายเป็นอย่างยิ่ง พื้นดินดูจะไม่แข็งมากนักคล้ายกับว่าฟ้าเพิ่งเทฝนลงมาที่นี่เมื่อไม่นานมานี้เอง เขาเหลียวหลังกลับไปตรวจสอบความพร้อมของคณะเดินทางพบว่าทุกคนมีสีหน้าที่ดีขึ้น แม้เคลโอ้จะยังดูมีท่าทีฝืนตนเองอยู่บ้างก็ตาม

เกรมิโอ้อาสาออกนำหน้าไปก่อน พลางหยิบขวานของเขาออกมาตวัดถางดงไม้ใบหญ้าตรงหน้าเพื่อสร้างทางเดิน แม้ว่ารอบข้างจะมีต้นไม้ขึ้นอยู่อย่างหนาแน่น แต่เกรมิโอ้ก็เจาะจงเลือกหนทางที่มีต้นไม้เบาบางที่สุด คาดว่าหนทางที่พวกเขากำลังจะผ่านไปนี้น่าจะเคยมีผู้คนผ่านไปมาบ้างแล้ว ทั้งหมดเดินทางตามหนทางที่เกรมิโอ้สร้างขึ้นเข้าไปลึกมากขึ้นเรื่อยๆ ยิ่งพบว่าป่าแห่งนี้แม้จะอุดมสมบูรณ์แต่กลับเงียบเชียบเหลือเกิน ทั้งๆ ที่ก่อนที่จะเดินทางเข้ามานั้นยังได้ยินเสียงนกแและแมลงร่ำร้องอันเป็นปกติของป่าอยู่

พาห์นเองรู้สึกเบื่อหน่ายเล็กน้อยที่การเดินทางครั้งนี้หาได้มีรสชาติอย่างที่เขาต้องการไม่ จึงไม่ได้รู้สึกตื่นเต้นอันใด กลับกันเท็ดเสียอีกที่ดูจะตื่นเต้นและสนุกสนานไปกับการมานอกบ้านครั้งนี้อย่างมาก ทีลเองก็เช่นกันเมื่อพบว่าตอนนี้ไม่ได้อยู่ภายใต้สายตาของใครแล้ว จึงร่วมเดินหยอกล้อกับเท็ดดังเช่นที่เคยเป็น เคลโอ้นั้นเมื่อได้รับอากาศบริสุทธิ์เข้าไปบ้างอาการคลื่นไส้ก็ดูจะดีขึ้นตามลำดับจนบัดนี้เป็นปกติแล้ว หากแต่ยังเดินรั้งอยู่ท้ายสุดเพื่อทำหน้าที่คอยระวังภัยที่ไม่อาจคาดคิด

ทุกคนเดินทางผ่านป่าได้ครู่หนึ่ง พบเห็นพื้นดินเป็นลานกว้างไม่มีต้นไม้ใบหญ้าขึ้นสูงรกลูกตา แต่เมื่อเกรมิโอ้สังเกตที่พื้นดีๆ พบเห็นร่องรอยต้นไม้ใบหญ้าที่โผล่ขึ้นมาเหนือดินเพียงเล็กน้อยเรียงรายอยู่เต็มพื้นที่ไปหมด พินิจจากความสดของลำต้นที่ถูกตัดออกไปแล้วมีสีขาวสะอาดไร้รอยสกปรก จึงคาดเดาว่าต้นไม้ใบหญ้าแถบนี้ทั้งหมดนั้นเพิ่งถูกตัดออกไปก่อนหน้าพวกเขามาถึงไม่นานนี้เอง

เกรมิโอ้รีบยกมือขวางลำตัวทีลที่ตามมาด้านหลังเอาไว้ โบกมือเป็นเชิงเตือนผู้ที่อยู่ด้านหลังเป็นเชิงให้ระวังตัว พลางกวาดสายตาโดยรอบเพื่อค้นหาสิ่งผิดปกติ

ทันใดนั้นก็มีเสียงดังออกมาจากทิศตรงข้าม
"ข้ารู้สึกแปลกใจอย่างยิ่ง ที่มีผู้มาเยือนยังเกาะแห่งนี้"

ทุกคนมองตามทิศทางหาที่มาของเสียงปริศนานั้น พบเห็นเป็นเด็กหนุ่มรุ่นราวคราวเดียวกับทีลหรืออาจเยาว์วัยกว่าเล็กน้อย ผมยาวประบ่า หน้าตาผ่องใส หน้าผากมีรัดเกล้าสีเหลืองทองเส้นบางดูสูงค่า สวมใส่ชุดขาวคลุมถึงข้อมือและส่วนล่าง คลุมด้วยชุดสีเขียวมรกตปักเย็บลวดลายสีขาว ทุกคนจดจำได้ว่านี่เป็นเครื่องแบบของทหารในพราะราชวัง ท่าทีของเขาดูเรียบเฉย แววตาดูเย็นเยียบกว่าใครในที่นี้

ทีลก้าวออกไปข้างหน้าอย่างสุภาพ ในใจคิดสลัดอาการเล่นสนุกกับเท็ดเมื่อครู่ออกให้หมด จากนั้นจึงกล่าวอย่างนอบน้อม
"พวกเราคือผู้นำสารณ์จากพระราชวังขอรับ ได้รับหน้าที่อัญเชิญคำพยากรณ์ของผู้หยั่งรู้ จึงเป็นเหตุให้ต้องมาที่นี่"

สีหน้าของเด็กหนุ่มนั้นยังคงเรียบเฉย หากแต่แววตาที่จ้องมองกลับดูไม่นึกเชื่อถืออันใด ในใจครุ่นคิดหาวิธีทดสอบผู้มาเยือน
"ข้าคิดว่าคงจะต้องเตรียมการต้อนรับพวกท่านเสียหน่อยแล้ว"

จากนั้นจึงยกมือขวาขึ้นเหนือศีรษะ
"ตราแห่งลม.....ข้าขอบัญชาเจ้า"

สิ้นคำ ทีลและผู้ติดตามต่างรู้สึกเหมือนมีลมพัดมาวูบใหญ่ จากนั้นจึงรู้สึกถึงแรงสั่นสะเทือนพื้นดิน เขารู้สึกว่ามีอะไรสักอย่างกำลังเคลื่อนไหวอยู่ไม่ไกล เมื่อทีลเหลียวกลับไปมองยังเด็กหนุ่มพบเห็นวัตถุขนาดใหญ่กำลังก่อตัวขึ้น แลดูคล้ายมนุษย์ยักษ์ก็ไม่ปาน หากแต่ยังไงก็ยังมองเห็นเป็นวัตถุคล้ายก้อนดินก้อนหินอยู่ดี

พาห์นลอบยินดีอยู่ในใจ
"การเดินทางที่ตื่นเต้นมันต้องเป็นเช่นนี้สิ"

เท็ดเองกลับตื่นเต้นมากขึ้นเป็นทวีคูณ เกรมิโอ้กำขวานในมือแน่นเตรียมพร้อมรับสถานการณ์

มนุษย์ยักษ์สีดินนั้น เคลื่อนตัวผ่านเด็กหนุ่มออกมาช้าๆ มุ่งเข้าหากลุ่มคนตรงหน้าอย่างมุ่งร้าย
พบเห็นดังนั้น พาห์นไม่รอช้ารีบวิ่งเข้าหามนุษย์ยักษ์สีดินเบื้องหน้าทันที เกรมิโอ้เห็นท่าไม่ดีจึงคิดร้องห้าม

หากแต่เคลโอ้ตะโกนมาว่า
"ไม่ต้องสนใจหมอนั่น นายแยกออกไปด้านข้าง เท็ดเธอรั้งท้ายอยู่กับฉัน ธนูในมือของเธอคงได้ใช้ประโยชน์กันละ"
เท็ดพยักหน้า พลางยกคันธนูขึ้นประทับศรลงตรงกลางเตรียมพร้อมที่จะง้างยิงทุกเมื่อ

มนุษย์ยักษ์สีดินยกมือทั้งสองขึ้น จากนั้นวาดมือลงมาที่พื้นดินโดยเร็ว พาห์นพบเห็นดังนั้นจึงทุ่มแรงสกัดเอาไว้ได้มือหนึ่ง แรงกระแทกผลักดันพาห์นถอยหลังไปเล็กน้อย
อีกมือหนึ่งมุ่งเข้าโจมตีทีลที่ยังดูเงอะงะในการต่อสู้ ทีลรู้สึกถึงอันตราย ตนเองมิใช่จอมหมัดที่ฝึกพลังกายเช่นพาห์นการจะรับฝ่ามือนี้ไว้ดูเป็นเรื่องโง่เขลายิ่ง จึงคว้าพลองของตนออกยันตัวเองลอยขึ้นสูงรอดพ้นจากการตวัดตบของมนุษย์ยักษ์สีดินทันท่วงที

เมื่อเคลโอ้เห็นว่าผิดท่าจึงคิดแนะนำนายน้อยในการต่อสู้ ตะโกนบอกว่า
"นายน้อย...ท่านวิ่งไปทางตรงข้ามกับเกรมิโอ้ รักษาขบวนไว้ด้วยค่ะ"

ทีลรีบวิ่งออกไปทางขวามือของตน บัดนี้เขาคุมเชิงมนุษย์ยักษ์สีดินทางด้านขวา เกรมิโอ้ทางด้านซ้าย และพาห์นคอยรับมืออยู่ตรงกลาง
หลังจากการโจมตีเมื่อครู่เกรมิโอ้พบเห็นช่องว่างทางมุมของตนจึงฟาดฟันขวานในมือลงไปที่ลำตัวด้านล่างเต็มแรง ทันทีที่ขวานกระทบกับเป้าหมายเขารู้สึกแปลก ไม่เหมือนกับการโจมตีด้วยของแข็งสู่ของแข็งอย่างไร แต่เสียงแน่นหนาที่ดังหลังจากกระทบนั้นเหมือนกับว่าแรงโจมตีนั้นหดหายไปสิ้น มองดูขวานจมเข้าไปในเนื้อมนุษย์ยักษ์สีดินนั้นครึ่งใบขวาน แต่กลับดึงออกมายากยิ่งนัก

เกรมิโอ้เร่งรีบดึงขวานออกมาอย่างตื่นตระหนก กระโดดหลบมือที่ย้อนกลับมาโจมตีเขาอย่างรวดเร็ว คิดจะตะโกนไปยังทุกคนในที่นี่ หากแต่เมื่อเหลียวมองไปทางเคลโอ้และเท็ดกลับเห็นคนทั้งสองกำลังเพ่งเล็งสายตาไปที่เด็กหนุ่มที่ตอนนี้ยืนอยู่บนกิ่งไม้เบื้องหลังมนุษย์ยักษ์สีดินนั้น

ลูกศรในมือเท็ด และมีดสั้นในมือของเคลโอ้ถูกปล่อยออกแทบพร้อมกัน วิ่งผ่านอากาศเป็นเส้นตรงอย่างรวดเร็วผ่านมนุษย์ยักษ์สีดินไปยังเด็กหนุ่มคนนั้น
เคลโอ้กล่าวบอกเด็กหนุ่มว่า
"ไม่ต้องห่วง ฉันไม่ทำจนถึงตายหรอก"

เด็กหนุ่มพบเห็นเหตุการณ์ดังนั้น พึมพำเบาบางว่า
"เป็นคำตอบที่ไม่เลวนัก หากแต่ยังไม่ถูกต้อง"
จากนั้นวาดมือขวาออกมาเบื้องหน้า บังเกิดลมวูบหนึ่งพัดพาเอาลูกศรและมีดสั้นหลุดลอยจากวิถีไป

พริบตานั้นมนุษย์ยักษ์สีดินหยุดเคลื่อนไหวอยู่ครู่หนึ่ง ทำให้ทีลและพาห์นโจมตีเข้าที่ส่วนหัวและบริเวณหัวไหล่ได้ครั้งหนึ่ง หากแต่ดูจะไม่มีผลอันใดนอกจากมนุษย์ยักษ์สีดินจะมีรอยบุบลงเล็กน้อยเท่านั้น

เคลโอ้ และเท็ดเห็นดังนั้นตะลึงลานวูบหนึ่งด้วยไม่คิดว่าเด็กหนุ่มจะมีปฏิกริยาตอบสนองที่รวดเร็วถึงเพียงนี้
จากนั้นเด็กหนุ่มจึงกล่าวต่อด้วยน้ำเสียงสุภาพว่า
"เพราะตัวข้าไม่ได้ถูกรวมเข้าไปกับการต่อสู้นี้ คู่มือของพวกท่านคือโกเลมของข้าต่างหาก"

ทันใดนั้นเสียงของเกรมิโอ้ก็ดังมาจากเบื้องหน้า
"เคลโอ้ !! เจ้านี่ไม่ใช่หินอย่างมนุษย์ยักษ์สีดินหรือโกเลมอื่นๆ หากแต่มันคือสิ่งที่ถูกสร้างมาจากดินแถวนี้ต่างหาก"
พูดจบจึงฉวยโอกาสหลบการโจมตี พร้อมกับฟาดฟันขวานจมลงไปที่ข้อมือของโกเลมโดยไม่ดึงกลับ เสียงดังทึบหนักแน่นและใบขวานจมลงไปครึ่งใบเช่นเดิม

เคลโอ้ครุ่นคิดขึ้น
"เบาะแสนี้จะนำไปสู่หนทางเอาชนะหรือไม่ เด็กหนุ่มคนนั้นทำทีคล้ายว่านี่เป็นการทดสอบ เช่นนั้นคำตอบคืออะไร??"

พลางหันไปกล่าวกับเท็ดว่า
"เธอยิงสนับสนุนไปเรื่อยๆ อย่างน้อยก็่น่าจะช่วยก่อกวนการโจมตีของมันได้"

ทีลเองก็รู้สึกสังเกตเห็นการเคลื่อนไหวแปลกๆ ของโกเลมเบื้องหน้าเมื่อครู่ ครุ่นคิดขึ้นชั่วขณะจากนั้นจึงร้องว่า
"ทุกคน โกเลมเบื้องหน้านี้ไม่ได้มีความคิดเป็นของตัวเอง หากแต่ถูกเด็กคนนั้นควบคุมเอาไว้"

โดยที่ไม่รอให้ผู้คนกล่าวอันใดต่อ โกเลมวาดมือออกโจมตีอย่างรวดเร็วขึ้น รุนแรงขึ้น และต่อเนื่องขึ้นจนคนทั้งสามไม่มีช่องทางสอดมือโจมตีสวนกลับไปเลย

เคลโอ้ได้ยินดังนั้นจึงค่อยๆ เรียบเรียงเหตุการณ์
"เด็กหนุ่มผู้นั้นใช้พลังจากตราแห่งลมควบคุมบังคับโกเลมขนาดใหญ่เพียงนี้ นับว่าเป็นเรื่องเหลือเชื่อ แต่ก็ใช่ว่าจะไม่มีผู้ใดทำได้ หากแต่การควบคุมการเคลื่อนไหวของวัตถุหาใช่แนวทางโดยตรงของตราแห่งลมไม่ การควบคุมนี้ต้องมีจุดอ่อนอย่างแน่นอน"

คิดอ่านเพียงครู่หนึ่ง ได้ยินเสียงทีลร้องเตือนว่า
"คำตอบแรกคือไฟไงละ เคลโอ้!!"

เคลโอ้พลันเข้าใจทันที นึกได้ว่าดินโดยรอบมีลักษณะเปียกชื้นและอุ้มน้ำ โกเลมตัวนี้มีสีคล้ายดินเหนียว เด็กหนุ่มผู้นี้คงสร้างมาจากดินแถบลำธารเป็นแน่

ลอบนึกชมเชยทีลในใจเข้าใจว่าทีลคงนึกถึงเครื่องปั้นดินเผาที่เมื่อดินเหนียวยังเปียกชื้นและอุ้มน้ำอยู่ทำอย่างไรก็ไม่อาจทำลายให้แตกหักได้ แต่เมื่อผ่านขั้นตอนการเผาแล้วกลับแตกสลายได้ง่ายดาย หากทำลายโกเลมเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยได้ พลังของตราแห่งลมย่อมมิอาจควบคุมเศษวัตถุจำนวนมหาศาลได้อย่างแน่นอน

คิดอ่านเสร็จสิ้นเคลโอ้จึงวาดมือขวาออกมาด้านหน้าเหนือศีรษะ ตะโกนเตือนว่า
"เกรมิโอ้ นายน้อยคะ กรุณาถอยห่างออกมาด้วยค่ะ"

ทั้งสองมีสีหน้างุนงงเล็กน้อย จึงค่อยหลบฉากออกมา คิดย้อนกลับมาหาเคลโอ้และเท็ด พาห์นเห็นดังนั้นจึงคิดจะละมือถอยออกมาด้วยคน แต่เคลโอ้ร้องว่า
"แต่นายยังต้องอยู่ที่เดิม เพื่อระวังไม่ให้โกเลมทำอะไรที่เราคาดไม่ถึง"

พาห์นทำหน้าเหยเก กลับไปตั้งท่าต่อสู้ตามเดิม พลางบ่นอุบว่า
"ทำไมต้องเป็นข้าทุกทีเลย ข้าไม่เห็นเกมิโอ้จะต้องรับหน้าที่แบบนี้เลยสักครั้ง"

เป็นดังที่เคลโอ้คาดไว้ โกเลมนั้นเอื้อมมือถอนต้นไม้ขนาดพอมือของตน แต่ใหญ่โตมากสำหรับมนุษย์มาต้นหนึ่ง คิดขว้างใส่เคลโอ้ผู้เตรียมการบางอย่างอยู่ แต่ยังไม่ทันได้ขว้างออกไป พาห์นที่ยังอยู่เบื้องหน้ากลับถลาขึ้นมาโจมตีใส่ส่วนข้อมือที่คว้าจับลำต้นด้วยฝ่ามือทั้งสองอย่างสุดเรี่ยวแรง ผลจากการคุกคามครั้งนี้ทำให้ไม้ใหญ่ในมือโกเลมนั้น ลอยผิดทางไปตกยังป่าข้างๆ แทน บังเกิดเป็นเสียงดังสนั่นหวั่นไหวในป่าที่เงียบเชียบนี้ยิ่งนัก

เวลาประจวบเหมาะกับที่เคลโอ้ลงมือพอดี เคลโอ้เอ่ยเบาๆ กับตนเองว่า
"ตราแห่งเปลวเพลิง....ข้าขอบัญชาเจ้า"

สิ้นเสียงใสของเคลโอ้ บนร่างของโกเลมบังเกิดเปลวไฟขนาดมหึมาลุกท่วมร่างกาย เปลวไฟแลบเลียไปทุกส่วน กระนั้นโกเลมยังคงเคลื่อนไหวอาละวาดไปทั่วเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
เด็กหนุ่มมองเห็นดังนั้นหรี่ตาลงเล็กน้อย กล่าวเบาบางว่า
"เป็นคำตอบที่ถูกต้อง แต่ยังข้ายังสงสัยว่าท่านจะตอบโจทย์นี้ได้ตลอดรอดฝั่งหรือเปล่า"

โกเลมมีขนาดใหญ่ เนื้อดินภายในย่อมอัดแน่นมากเป็นพิเศษ ส่วนที่ไหม้นั้นตอนนี้ดูจะมีเพียงส่วนนอกเท่านั้น ถึงกระนั้นเคลโอ้ก็ยังไม่ยอมหยุดมือ เธอขมวดคิ้วเม้มปากแน่น ส่งพลังเวทปลุกเปลวเพลิงให้ลุกฮือขึ้นอีก ด้านพาห์นที่ยังทำหน้าที่รั้งตัวโกเลมอยู่เบื้องหน้า ก็ยังคอยหลบหลีกการโจมตีทั้งยังคอยหาจังหวะโจมตีผ่านเปลวเพลิงเพื่อยันโกเลมกลับไปยังอีกฝั่งตลอดเวลา พลางบ่นอุบอิบว่าว่า
"ทำไมต้องเป็นข้าด้วยนะ"
"อู้ย....ร้อนๆๆๆ"
"ทำไมกัน....ทำไมกันเนี่ย"

เกรมิโอ้และทีลพบเห็นเช่นนั้นจึงรู้สึกวิตกกังวลยิ่ง การใช้พลังของตราที่สลักเอาไว้ในร่างกายนั้นย่อมสิ้นเปลืองพลังงานอย่างมาก หากไม่ใช่ว่าเคลโอ้เป็นผู้ช่ำชองการต่อสู้และฝึกปรือมานาน การใช้เปลวเพลิงที่รุนแรงต่อเนื่องยาวนานเช่นนี้หากเป็นคนทั่วไปคาดว่าป่านนี้คงต้องล้มลงหมดสติไปแล้ว

เวลาผ่านไปนานเข้า สีหน้าของเคลโอ้เริ่มซีดขาวขึ้นเรื่อยๆ ใบหน้าปรากฏหยาดเหงื่อไหลเป็นทาง มือขวาที่ส่องแสงสีแดงเพลิงเบื้องหน้าเริ่มสั่นระริกด้วยความเหนื่อยอ่อน ทีลและเกรมิโอ้เริ่มเป็นห่วงเคลโอ้หนักขึ้นทุกที

โกเลมยังคงดึงดันมุ่งหน้ามายังผู้ที่กำลังเผามันเช่นเดิม พริบตาที่หมัดของพาห์นปะทะเข้ากับส่วนไหล่ของโกเลมยักษ์นั้นเอง บังเกิดเสียงที่ผิดแปลก พบเห็นรอยร้าวใหญ่โต เศษดินแห้งๆ ค่อยๆ ร่วงหล่นสู่พื้น พาห์นจึงร้องว่า
"เคลโอ้ พอได้แล้วละ ตอนนี้มันกรอบไปหมดแล้ว"

เคลโอ้ได้ยินดังนั้นจึงคลายกำลังลง เปลวเพลิงค่อยๆ เบาบางลงไป เธอทรุดตัวลงอย่างเหน็ดเหนื่อย จนเท็ดต้องรี่เข้ามาพยุงเอาไว้ไม่ให้ล้มลงกับพื้น

ไม่มีใครคาดคิด โกเลมนั้นเหวี่ยงมือที่แห้งกรังและบอบช้ำจากการเผาไฟรวมถึงการโจมตีของพาห์นหลุดลอยออกจากแขนพุ่งเข้ามาทางเคลโอ้ เกรมิโอ้และทีลรู้สึกตัวแทบจะพร้อมกัน การจะหอบหิ้วเคลโอ้หลบไปนั้นดูจะไม่ทันการเสียแล้ว จึงพุ่งออกไปอย่างพร้อมเพรียง ฟาดอาวุธออกต้านทานด้วยท่าทีประสานกัน

เสียงอาวุธทั้งสองชิ้นและมือของโกเลมกระแทกกันดังสนั่น ทั้งสองรู้สึกได้ถึงความหนักหน่วงจนแขนแทบจะหลุดออกจากตัว หากสิ่งนี้มาถึงขณะที่ยังไม่ผ่านเปลวเพลิงรีดเร้นเอาน้ำภายในที่ดินนี้อุ้มอยู่ออกไปด้วยฝีมือของเคลโอ้มาก่อน ทั้งสองคงไม่อาจต้านทาน หากแต่ยามนี้น้ำหนักคาดว่าถูกลดทอนไปสามส่วน เช่นนั้นการผนึกกำลังกันเช่นนี้ย่อมมีเปรียบมากขึ้น

ทั้งสองกัดฟันออกแรงต้านทานอย่างเต็มที่ มือของโกเลมข้างนี้ค่อยๆ ปริแตกออกจากกัน จนแยกออกตามแนวอาวุธของทั้งสอง หมดสิ้นสภาวะพุ่งไปเบื้องหน้าอีกต่อไป คนทั้งสี่พบเห็นดังนั้นจึงโล่งใจอย่างยิ่ง เหลียวหลังกลับไปพบโกเลมที่แตกออกเป็นชิ้นๆ ร่วงหล่นอยู่บนพื้นดิน เป็นฝีมือของพาห์นนั่นเอง แม้อยู่ในสภาวะที่ไม่อาจจู่โจมให้เกิดผลได้ พาห์นยังไม่ตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบ เมื่อการโจมตีก่อเกิดผลตามมาพาห์นย่อมช่วงชิงชัยชนะได้โดยง่าย

ทีลยังคงรู้สึกตื่นเต้นอยู่ นี่นับเป็นการต่อสู้จริงครั้งแรกของเขา รวมถึงได้เห็นยอดฝีมือร่วมแรงกันชิงชัยในสถานการณ์จริงอีกด้วย
หากแต่เวลานี้เคลโอ้ดูอ่อนเพลียมาก ทุกคนจึงไม่มีเวลายินดีกับชัยชนะเท่าใดนัก

ขณะที่พาห์นกำลังจะหันไปเอาเรื่องกับเด็กหนุ่มปริศนานั่นเอง เคลโอ้ก็เอ่ยขึ้นมาเบาบางว่า
"หยุดก่อนเด็กคนนั้นเพียงทดสอบเราเท่านั้น"

End Of EP 03 : มนุษย์ยักษ์สีดิน




 

Create Date : 07 พฤษภาคม 2550    
Last Update : 7 พฤษภาคม 2550 22:56:20 น.
Counter : 538 Pageviews.  

Suikoden I story EP : 02 ครอบครัว

EP : 02 ครอบครัว

ภายในคฤหาสน์หลังใหญ่ทางตะวันออกเฉียงใต้ของพระราชวัง ชายผู้หนึ่งกำลังง่วนอยู่กับการเตรียมอาหารจำนวนมากพอสำหรับคน 4-5 คนอยู่ในครัวที่กว้างขวางเกินกว่าที่จะมีพ่อครัวทำธุระทั้งหมดเพียงคนเดียว จานชามถูกจัดวางอย่างเป็นระเบียบ เครื่องครัวที่ครบครัน บริเวณโดยรอบดูสะอาดสะอ้าน เชื่อได้ว่าหากมีโอกาสละก็ พ่อครัวส่วนใหญ่จะต้องอยากเข้ามาทำหน้าที่ในที่แห่งนี้แน่


ชายผู้นี้อยู่ในชุดคลุมสีเขียวอ่อน ผมยาวมัดเอาไว้ให้ดูเรียบร้อย เนื้อตัวสะอาดสะอ้าน หากแต่บนแก้มซ้ายของเขามีรอยแผลเป็นรูปกากบาทขนาดใหญ่ เสื้อผ้าที่เขาใส่แม้จะดูออกว่าไม่ได้มาจากชนชั้นสูงเหมือนดั่งสถานที่ที่เขาอยู่ในเวลานี้ แต่ด้วยบุคลิคที่ดูเรียบร้อยและดูสุขุมนั้นทำให้ดูไม่แปลกตาเท่าใดนักหากจะคิดว่าเขาใช้ชีวิตอยู่ในคฤหาสน์แห่งนี้


ทว่า.....แลดูเขาในตอนนี้ช่างร้อนรนอย่างบอกไม่ถูก การจัดเตรียมอาหารของเขาดูไม่คืบหน้าเอาเสียเลย อาหารที่ไม่ได้ความไม่มีสิทธินำพาไปให้ผู้เป็นนายได้ลิ้มลอง นี่เป็นกฏเหล็กสำหรับผู้เป็นบ่าวเช่นเขาซึ่งเขาตั้งขึ้นเองเพื่อเตือนสติตนเองอยู่เสมอเพื่อไม่ให้หย่อนยานจนเผลอรับใช้นายบกพร่อง เขาเริ่มตั้งต้นเตรียมวัตถุดิบใหม่อีกครั้ง พยายามทำให้เป็นเหมือนดังที่เคยเป็น อาหารที่ผู้เป็นนายของเขาชมชอบอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน หากแต่ขณะนี้ภายในใจเขานั้นเป็นกังวลถึงนายน้อยของเขาว่าป่านนี้จะเป็นอย่างไรบ้าง การเข้าเฝ้าองค์จักรพรรดิจะสร้างความลำบากอะไรให้นายน้อยของเขาหรือไม่ สำหรับพี่เลี้ยงแล้วนายน้อยของเขายังเด็กนัก


ไม่ทันที่เขาจะเริ่มปรุงอาหารจานใหม่ เสียงเปิดประตูหน้าของคฤหาสน์ก็ดังขึ้น แม้บานประตูจะไม่ได้ส่งเสียงดังนักก็ตาม แต่ราวกับว่าเขารอคอยเวลานี้มาตลอดทั้งวันตั้งแต่เช้า เขาทิ้งวัตถุดิบสำหรับปรุงอาหารเอาไว้ที่เดิม แต่ลืมยกหม้อที่ตั้งค้างไว้อยู่อีกใบบนเตาลง


เขามุ่งหน้าไปยังเป้าหมายอย่างรวดเร็ว เขาลืมไปซะสนิทเลยว่าที่คฤหาสน์แห่งนี้ต้องสำรวมและห้ามวิ่งไปมาหรือก่อให้เกิดเสียงอึกทึก เขาวิ่ง....วิ่งจากห้องครัวใหญ่ผ่านทางเดินและมาถึงประตูที่กั้นระหว่างประตูด้านหน้าและประตูด้านใน


จอมทัพเทโอและบุตรชายเพิ่งจะย่างก้าวผ่านประตูหน้าเข้าถึงตัวบ้าน เขารู้สึกอยากจะพักและหาอะไรทานสักหน่อย เพราะเขารู้ว่าคนรับใช้ที่ควบงานพี่เลี้ยงของทีลจะต้องเตรียมอาหารเอาไว้ให้นายใหญ่และนายน้อยของตนอย่างแน่นอน ในขณะที่เทโอเอื้อมมือออกไปผลักประตูในที่จะนำพาทั้งคู่สู่คฤหาสน์ชั้นในนั้นเอง


ผลั๊วะ.... ประตูถูกดึงออกจากด้านใน มือของเทโอคว้าอากาศธาตุก่อนที่สสารเบื้องหน้าจะหายไปเพียงชั่วเสี้ยววินาที เงาสีเขียวอมเหลืองลอยผ่านหน้าจอมทัพไปสู่บุตรแห่งเทโออย่างรวดเร็ว


"ยินดีต้อนรับกลับบ้านขอรับนายน้อย..... ละ...แล้ววันนี้เป็นยังไงบ้างขอรับ ท..ะ...ท....ทุกอย่างเรียบร้อยดีมั้ยขอรับ ??" พี่เลี้ยงหน้าบากระล่ำระลั่กเอ่ยคำต้อนรับ และถามไถ่ด้วยความเป็นห่วงจนลิ้นของเขาเหมือนจะพันกันเสียแล้ว


"แล้วเวลาอยู่ต่อหน้าพระพักตร์นายน้อยเกร็งรึเปล่าขอรับ ??" ยังไม่ทันได้คำตอบใดๆ คำถามชุดใหม่ก็ถูกยิงออกมาเสียแล้ว


ทีลยิ้มออกมาอย่างเบิกบาน ทุกครั้งที่เขาต้องจากบ้านไปกับบิดาหรือแอบหนีออกไปเล่นกับเพื่อนครั้งใด หากไม่มีพี่เลี้ยงของเขา "เกรมิโอ้" ผู้นี้ติดตามไปด้วยแล้วละก็ เมื่อเขากลับบ้านก็เกรมิโอ้ก็จะมีอาการอย่างนี้ทุกครั้ง และแน่นอนทีลเองก็มีความสุขอยู่เหมือนกันเพราะนั่นหมายความว่าเกรมิโอ้ที่เขาถือเป็นผู้ปกครองคนหนึ่งยังรักและเป็นห่วงเขาเสมอเหมือนเขาเป็นลูกเป็นบุตรของตนเองเสียอีก พลางชูนิ้วโป้งขึ้นสูงเหนือศีรษะ เป็นนัยว่า "ไม่มีปัญหา"


พอเห็นอย่างนั้นแล้ว เกรมิโอ้ค่อยโล่งใจขึ้นมาได้บ้าง "ข้าน้อยละเป็นห่วงนายน้อยมากมายจนเหลือคณา ทว่าข้าน้อยก็เชื่อว่าทุกอย่างจะต้องไปได้สวยแน่ๆ เลยละขอรับ"


"เจ้าน่ะไม่เห็นจะต้องเป็นห่วงอะไรมากมายขนาดนั้นเลยนะ เกรมิโอ้" เทโอปรามพี่เลี้ยงที่แสนดีที่แสดงออกจนเกินหน้าเกินตา


"เฮือก......ใต้เท้าเทโอ ข้าน้อยมิทันได้สังเกตเลยว่าท่านอยู่ด้วย...??" เกรมิโอ้ได้ยินดังนั้นก็หันมาทางต้นเสียงเมื่อสักครู่ พลางรีบพยกหัวขอโทษขอโพยเป็นการใหญ่ แต่ด้วยความซื่อเลยตอบคำไปตามความจริง


"ไม่ทันสังเกตว่าข้าอยู่ด้วยอย่างนั้นหรือ ?? ข้าละซึ้งใจจริงๆ" เทโอกล่าว สีหน้าเรียบเฉย "ท่าทางคนที่เจ้าเป็นห่วงเป็นใยจะมีเพียงแค่ทีลคนเดียวสินะ" จะมีอะไรเอาผิดผู้ที่ห่วงใยลูกของตนได้ยังกับเป็นลูกตัวเองเล่า เทโอคิด พลางยิ้มมุมปากเล็กน้อย เพราะเขารู้ดีว่าเมื่อเขาไม่อยู่คนที่ไว้ใจได้ที่สุดจะเป็นใครไปไม่ได้นอกจากพี่เลี้ยงที่แสนซื่อคนนี้ ที่สำคัญเขาเคยช่วยชีวิตทีลรอดพ้นจากความตายมาแล้วด้วย


"ขอประทานอภัย ขอรับใต้เท้า" ยังไม่ทันขาดคำเกรมิโอ้ก็หันกลับไปหาทีลต่อโดยลืมไปว่านายใหญ่ยังยืนอยู่เหมือนเดิม "จริงสิ...นายน้อย เท็ดเองก็รอแสดงความยินดีอยู่ด้วยนะขอรับ"

ทีลคิดถึงเพื่อนที่เหมือนพี่ชายคนนี้ขึ้นมาทันที นั่นสิ....วันนี้เขายังไม่พบหน้าเท็ดเลย ตั้งแต่เล็กจนโตทีลเองไม่ได้มีเพื่อนมากนัก อาจจะเรียกว่าไม่มีเลยก็ได้ แต่วันหนึ่งพ่อของเขากลับจากการทำศึกได้พาเด็กหนุ่มคนหนึ่งมาอาศัยอยู่ด้วย ซึ่งก็คือเท็ดนั่นเอง แรกๆ เท็ดไม่ค่อยสุงสิงอะไรกับใครเท่าไหร่ สีหน้าเหงาๆ และดวงตาที่ดูโหยหานั้นทำให้ทีลรู้สึกเหมือนกับพบคนที่เหมือนกันขึ้นมาทันที ทีลพยายามเข้าหา ปรับตัวให้เข้ากับเท็ดทุกอย่าง เขาพยายามตามประสาเด็กๆ ที่ขาดแม่คอยให้ความอบอุ่น และเพื่อนเล่นคลายความเหงาที่วัยไล่เลี่ยกัน ทีลพยายามอยู่แต่เขาก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเพราะอะไรแต่จู่ๆ เท็ดก็ยอมแพ้ให้กับความพยายามของเขา จากนั้นเป็นต้นมาทั้ง 2 ก็เป็นดั่งพี่น้องที่มีสายเลือดเดียวกัน ทำอะไรด้วยกัน เรียนรู้ด้วยกัน เล่นด้วยกัน ผิดพลาดด้วยกัน และเท็ดจะอยู่เบื้องหน้าเขายามที่มีปัญหาเสมอ


วันนี้เป็นวันที่ทีลได้รับเกียรติให้ทำหน้าที่รับใช้องค์จักรพรรดิ และมีเกียรติเทียบเท่าอัศวินแล้ว เท็ดจึงเป็นคนที่เขาอยากพบมากที่สุดในวันนี้ ทีลตั้งใจว่าสักวันหนึ่งเขาจะกราบเรียนองค์จักรพรรดิเพื่อนำเท็ดเข้ารับราชการด้วย


"โอ้ว.....พระเจ้า แย่ละสิ.....สตูว์ที่ตั้งไว้" ท่าทางเกรมิโอ้จะเพิ่งนึกออกว่าทำอะไรค้างไว้ อาหารที่เขาตั้งใจจะทิ้งยังคงอยู่บนเตาและส่งกลิ่นเหม็นไหม้ออกมาอย่างร้ายกาจ เขารีบวิ่งจ้ำอ้าวกลับไปยังที่ที่จากมา เพราะถ้าไม่รีบละก็นายใหญ่จะลงโทษอะไรเขาบ้างก็ไม่รู้ แน่นอนว่าเมื่อถึงตอนนั้นเขาต้องโดนเพิ่มข้อหา "ไม่ทันสังเกตว่าใต้เท้าอยู่ด้วย" เข้าไปแน่ๆ


"พ่อว่าพ่อมีธุระที่จะต้องปรึกษากับจอมทัพคนอื่นๆ อีกสักเล็กน้อยนะ ถ้ายังไงเดี๋ยวพ่อกลับมานะ ทีล....." เมื่อเห็นพี่เลี้ยงแสนซื่อจนเกินงามรีบกุลีกุจอกลับไปทำหน้าที่ของตนต่ออย่างเร่งด่วน เทโอจึงขอตัวออกไปทำธุระบ้าง ยังไงซะการขึ้นเหนือไปทำหน้าที่ของจอมทัพก็ไม่ใช่เรื่องที่จะกระทำการได้โดยง่ายและปราศจากการวางแผนให้ดีเสียก่อน


"ได้ครับพ่อ พ่อคิดว่าผมอายุเท่าไหร่กันแล้วเหรอครับ" ทีลตอบ ยืดตัวตรงขึ้นสูงที่สุดเท่าที่จะทำได้ ดูจะภูมิใจมากทีเดียวที่ได้รับเกียรติให้เข้าเฝ้าแถมยังได้รับความไว้วางใจจากพระองค์ในการปฏิบัติหน้าที่อีก อย่างน้อยเขาก็รู้สึกว่าตัวเองเป็นผู้ใหญ่มากกว่าเมื่อวานเยอะ


เทโอยิ้มให้พลางลูบหัวบุตรชายอย่างเอ็นดู
"พ่อผมไม่ใช่เด็กแล้วนะ" ทีลโวยวายขึ้น พยายามเอามือที่ลูบหัวออก
"พ่อนั่นแหละ ระวังไว้เถอะ เดี๋ยวผมจะตามขึ้นไปเป็นจอมทัพอยู่ข้างๆ เข้าสักวัน ฮิฮิ" ตั้งแต่ก้าวเข้าคฤหาสน์มาทีลเองดูจะผ่อนคลายและกลับมาเป็นปกติอย่างที่เด็กทั่วไปควรจะเป็นสักที


เทโอหัวเราะอย่างพึงใจ เวลาที่เขาจะได้เล่นหัวกับบุตรชายมีเพียงเวลาที่พักผ่อนอยู่ที่คฤหาสน์แห่งนี้เท่านั้น ถ้าทำได้ไอ้เรื่องทางเหนืออะไรนั่นเขาเองก็ไม่ได้อยากไปเลยสักนิด เพียงแต่หน้าที่ต้องมาก่อนเรื่องส่วนตัวเสมอทำให้เขาไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้


พอผู้เป็นบิดาคล้อยหลังออกจากคฤหาสน์ไปแล้ว ทีลก็เริ่มซุกซนก้าวเท้าออกวิ่งไปยังที่หมายหลังบานประตูชั้นในทีลวิ่งเข้ามาที่หน้าห้องด้านในสุดทางฝั่งตะวันตก เขามองหาเท็ดภายในห้องแต่ไม่พบผู้ใดเลย จึงนึกขึ้นได้ว่าไหนๆ ก็ไหนๆ แล้วห้องของพี่เลี้ยงอีก 2 คนก็อยู่ตรงนี้เองจะไปอวดทั้ง 2 ก่อนก็ไม่เสียหาย


ทีลมุ่งหน้ามาที่ห้องฝั่งตรงข้ามกับที่เขาอยู่ เขาไม่รอช้าผลักประตูเข้าไปเต็มแรงโดยไม่รู้ว่าจะมีคนอยู่ข้างในอย่างที่หวังหรือเปล่า


สตรีนางหนึ่งทะลึ่งพรวดขึ้นมาจากโต๊ะเครื่องแป้งที่อยู่ด้านใน "นายน้อยคะ ดิฉันบอกนายน้อยกี่ครั้งแล้วคะ ว่าช่วยกรุณาเคาะประตูก่อนจะเข้าห้องของสุภาพสตรีน่ะค่ะ" สตรีนางนี้ดูเป็นชายชาตรีมากกว่าคำพูดที่นางพูดนักแต่นางก็ยังดูอ่อนวัย.. นางไว้ผมสั้นแทบจะสั้นติดหนังหัว สวมเกราะเบาป้องกันลำตัวกับส่วนไหล่ มีสนับแข้งเข้าชุดกับเกราะที่สวม เสื้อผ้าสีน้ำตาลและกางเกงยาวสีม่วงเข้มนั้นดูรัดกุมยิ่ง บนศีรษะคาดเกราะกำบังส่วนหน้าผากมีผ้าสีเข้าคู่กับชุดห้อยลงมาปิดส่วนหูถึงท้ายทอย


"เฮ่อ.....เอาเถอะๆ ถ้าเป็นห้องของดิฉันละก็คงไม่มีปัญหาอะไรหรอก แต่ระวังอย่าเผลอไปทำกับห้องของผู้หญิงคนอื่นเชียวนะคะ เอ่อ...ดิฉันสมมุติน่ะค่ะ" เคลโอเป็นผู้ที่เข้มงวดกับนายน้อยของเธอเสมอมา ไม่เหมือนกับเกรมิโอ้ที่ตามใจนายน้อยของเธอตลอด และพี่เลี้ยงอีกคนที่ไม่ค่อยจะสนใจอะไรเท่าไหร่


เธอมองดูนายน้อยที่ยืนยิ้มแล้วส่งสายตาแวววาวเหมือนเด็กที่กำลังอยากจะอวดของเล่นเธอก็นึกขึ้นได้ว่านายน้อยอยากให้เธอทำอะไร "แล้วเข้าเฝ้าองค์จักรพรรดิเป็นอย่างไรบ้างคะ" เธอถามขึ้นเรียบๆ
"เป็นอะไรที่ยิ่งใหญ่มากเลยละครับ แล้วตั้งแต่พรุ่งนี้เป็นต้นไปผมก็จะได้รับหน้าที่ให้กระทำภารกิจด้วยละ" ทีลยืดอกอย่างภูมิใจ
"ตื่นเต้นหรือเปล่าคะ??" เคลโอถามต่อเสียงเรียบยังกะท่องบทเอาไว้นานแล้ว


"ตอนแรกๆ ก็มีนิดหน่อยละครับ แต่พออยู่ๆ ไปอาการที่ว่ามันก็หายไปเอง"
เคลโอนึกชื่นชมอยู่เล็กๆ มีไม่มากนักที่เด็กอายุเท่านี้จะออกงานใหญ่ขนาดนี้ได้โดยไม่ประหม่า แต่ก็ไม่แปลกใจเท่าใดนักเพราะยังไงซะทีลก็สมควรคุ้นเคยกับบรรยากาศแบบนี้อยู่แล้ว
"ก็อยากจะเล่าให้ฟังต่อนะครับ แต่ว่ายังมีคิวรอฟังเรื่องของผมอีกเพียบเลย" ทีลตัดบท พลางจ้ำอ้าวออกจากห้องไปยังห้องที่อยู่ข้างๆ


"ผลัวะ" เสียงผลักประตูดังขึ้น แต่ไม่มีปฏิกริยาตอบรับใดๆ สะท้อนกลับมาเลย
"คร่อก...ก........ก...ฟรี้......." เสียงนั้นดังมาจากบนเตียง ชายร่างกายกำยำคนหนึ่งกำลังนอนสลบไสลไม่ได้สติในชุดที่แลดูเหมือนจะเป็นนักสู้มือเปล่ามากกว่านักรบคาดผ้าคาดหัวสีแดงยาวเกราะหนังถูกวางไว้ข้างเตียงเวลานี้มีเพียงเสื้อผ้าสไตล์จีนสีแดงดำเท่านั้นที่สวมใส่อยู่บนร่างกาย ทีลรู้ได้ทันทีว่าเป็นเสียงใคร เสียงของ "พาห์น" พี่เลี้ยงอีกคนของเขานั่นเอง ห้องนี้เป็นห้องส่วนตัวของพาห์นจะดูไม่ค่อยเป็นระเบียบนักถ้าเทียบกับห้องของคนอื่นๆ ในบ้าน


ทีลกอดอกดูพี่เลี้ยงของเขาอย่างพินิจ จากนั้นก็ตะโกนที่ข้างหูของเขาด้วยเสียงอันดัง
"ว้า......า........า...ก..ก !!!!"


"แว้ก.......อ....อะไรกัน โธ่ นายน้อยเองน่ะหรือ ถึงบ้านแล้วหรือขอรับ" พาห์นรีบลุกขึ้นมาอย่างตระหนก ในใจคงคิดว่าศัตรูบุกเสียแล้ว แต่เมื่อพบว่าไม่ใช่ก็ลดตัวลงทำตาปรือเหมือนยังไม่ตื่นเต็มที่


"นี่ข้าพเจ้ารออาหารเย็นเพลินจนหลับไปเลยรึนี่.....??" พาห์นยังคงสะลึมสะลือต่อไป ทว่าตอนนี้ใบหน้าของทีลเริ่มส่อแววหงุดหงิดเพราะพี่เลี้ยงสนใจอาหารมากกว่าอนาคตของเขา


"จะว่าไปแล้ว ไปเข้าเฝ้าองค์จักรพรรดิวันนี้เป็นอย่างไรบ้างขอรับ" พาห์นเพิ่งนึกได้ แต่ช้าไปแล้ว.... นายน้อยของเขาเดินกระทืบเท้าออกไปที่ทางเดินด้วยความน้อยใจเรียบร้อยแล้ว


ทีลเดินมาที่ครัวสุดทางฝั่งตะวันออกได้กลิ่นหอมฉุยโชยมาแต่ไกล เลยโผล่หน้าเข้าไปกะขอชิมก่อนสักคำให้หายหิว


"ตอนนี้ข้าน้อยกำลังงานล้นมือเลยล่ะขอรับ นี่เป็นขั้นตอนสำคัญที่สุดเวลาปรุงสตูว์เลยนะขอรับ" เกรมิโอ้เหลือบมาเห็นนายน้อยเดินเข้ามาพอดี เขารู้ว่านายน้อยเดินเข้ามาในสภาพท้องร้องน้ำลายสอเพื่ออะไร แต่เขาจำใจต้องปฏิเสธไปเพราะยังทำอาหารไม่เสร็จ ในมือทั้ง 2 ของเขาเต็มไปด้วยเครื่องปรุงและวัตถุดิบที่พร้อมจะลงหม้อเมื่อถึงเวลาที่พอเหมาะ


"อาหารเย็นกำลังจะเตรียมเสร็จในไม่ช้านี่แล้วขอรับ ขอนายน้อยพักผ่อนจนกว่าจะถึงเวลาเถอะขอรับ เมื่อนั้นข้าน้อยจะเป็นคนไปตามเองขอรับ" เกรมิโอ้ปลอบใจเมื่อเห็นนายน้อยทำท่าทางเสียดายที่ไม่ได้ทานอะไรรองท้องก่อนมื้อค่ำ


"เอาน่า.....ฉันยังมีเท็ดอยู่นี่นา" ทีลรู้จักหาทางออกให้ตัวเองเสมอ เขารีบวิ่งขึ้นไปชั้นบนเพราะถ้าเท็ดไม่อยู่ในห้องตัวเองก็ต้องอยู่ชั้นบนแน่ๆ ทีลมาถึงชั้นบนแล้วหันซ้ายหันขวาพลางตัดสินใจว่าจะไปตามหาเท็ดที่ไหนก่อนดี ทันใดนั้นเองก็มีเด็กชายผมน้ำตาลสั้น สวมชุดสีน้ำตาล เสื้อนอกสีฟ้าอ่อน ดูภายนอกแล้วอายุคงใกล้เคียงกับทีล หากแต่ดูแล้วน่าจะมีอายุมากกว่า ก้าวเข้ามาหาทีลอย่างเร่งด่วน


"ปล่อยให้หาซะแทบแย่เลย" ทีลทักขึ้น


"ฉันรู้ข่าวแล้วล่ะ ทีล" ยังไม่ทันที่ทีลจะถามอะไรต่อมากกว่านั้นเท็ดก็ยิงคำถามออกมาก่อน "นายไปพบองค์จักรพรรดิมาใช่มั้ย เล่าให้ฟังหน่อยสิ ขอร้องละ...." แม้จะรู้ว่าเท็ดต้องอยากรู้จากใจอยู่แล้ว แต่ก็ไม่คิดว่าจะมาแบบไม่ตั้งตัวแบบนี้


"แต่ฉันเพิ่งกลับมานะ ขอนั่งพักสักครู่ได้มั้ยเนี่ย" ถึงจะอยากเล่ารายละเอียดให้เพื่อนซี้ได้รับรู้ใจจะขาด แต่ทีลก็ยังมีการเล่นตัวเสมอ


"นั่นสิมายืนเล่าแถวนี้คงไม่สะดวก ไปที่ห้องนายกันดีกว่ามั้ย??" เท็ดไม่ยอมแพ้ เขารู้ว่าทีลเล่นตัวไปงั้นเอง แต่เขาก็ฉลาดพอที่จะเอาใจทีลด้วยการคะยั้นคะยอให้เล่าต่อไป
"แล้วก็เล่าให้ฟังทั้งหมดเลยนะ นะๆๆๆ"


"นายน้อยขอรับ ข้าน้อยรบกวนช่วยไปบอกนายใหญ่สักหน่อยได้รึไม่ขอรับว่ามื้อค่ำกำลังจะเสร็จในไม่ช้านี้แล้ว" เสียงของเกรมิโอแทรกขึ้นมาจากครัวด้านล่าง ทีลรู้ได้ทันทีว่าเพราะอะไรเกรมิโอ้จึงร้องขอเช่นนี้ เวลาที่บิดาออกไปหารือกันเองกับจอมทัพด้วยกันนั้นย่อมใช้เวลานานกว่าทำธุระอย่างอื่น แน่นอนว่าการได้สนทนาปราศรัยกับเหล่าสหายนั้นย่อมเพลิดเพลิน การเพลิดเพลินย่อมทำให้ลืมกาลเวลา แต่วันพรุ่งนี้มีภารกิจที่มิอาจเพลี้ยงพล้ำได้ ถ้าจะทำเพื่อรักษาเวลาก็สมควรอยู่


"จะไปเดี๋ยวนี้ล่ะ เกรมิโอ้" ทีลตะโกนกลับไปยังชั้นล่าง
"โทษทีนะ เท็ด นายช่วยไปตามพ่อกับฉันก่อนได้มั้ย วันนี้พ่อไม่ควรกลับบ้านดึกน่ะ" ทีลหันไปบอกเท็ด ที่ยืนอยู่ข้างๆ
เท็ดเองก็รู้ว่าสิ่งที่จำเป็นต้องทำนั้นจะต้องเริ่มที่สิ่งใด สิ่งที่เขาอยากรู้ก็สำคัญ แต่ ณ เวลานี้สิ่งสำคัญที่สุดคือทีลเพื่อนของเขาและจอมทัพเทโอบรุษผู้มีพระคุณอย่างยิ่งต่อตนเอง เขายิ้มเล็กน้อยก่อนจะออกเดินนำทีลลงไปทางออก


"อืม....ฉันเองก็ไม่รู้ว่าพ่อจะไปหาจอมทัพคนไหนกันนะ แล้วนายคิดว่ายังไงล่ะ เท็ด" ทีลพึมพำ ขณะที่กำลังตัดสินใจว่าจะเริ่มต้นที่ตามหาบิดาที่เคหะของจอมทัพคนไหนก่อน


"ฉันว่าเริ่มที่คฤหาสน์ของจอมทัพมิลิชทางตะวันตกเฉียงเหนือดีกว่านะ เพราะเขาเป็นคนที่เรามีโอกาสพบเขาอยู่ที่คฤหาสน์มากที่สุด" เท็ดเสนอ เพราะไม่ว่าเขาจะผ่านละแวกนั้นสักกี่ครั้ง มักจะเห็นจอมทัพมิลิชนั่งจิบชาชมวิวอยู่บนชั้น 2 ของคฤหาสน์ผ่านกระจกบานใหญ่นั่นเสมอ


"ดีละ งั้นเรารีบไปกันเถอะ จะได้มีเวลาก่อนมื้อค่ำ" ว่าแล้วทีลก็ก้าวเท้าออกไปยังจุดหมายอย่างรวดเร็ว โดยมีเท็ดตามไปติดๆ


"ได้ยินว่าจอมทัพคนนี้เป็นคนแปลกๆ" เท็ดถามขึ้นระหว่างเลี้ยวเข้าไปยังถนนทางแยกตรงหัวมุมที่จะตัดผ่านคฤหาสน์ของจอมทัพมิลิช


"ไม่รู้สินะ ฉันเองก็ยังไม่เคยได้พบเขาด้วยตัวเองสักที แต่พ่อเล่าว่าฝีมือของเขาน่ะเป็นของจริง เชิงดาบของเขาแม้แต่พ่อก็ยังอ่านทางยากมาก" แม้จะตอบไม่ได้แต่ทีลก็พยายามให้ข้อมูลด้านอื่นแทน


"หืม??....ยาก??....ยังไงเหรอ หรือว่าท่านเทโอจะเพลี้ยงพล้ำ??" เท็ดตีหน้ายุ่ง ท่าทางเขาไม่ค่อยเข้าใจความหมายเท่าไหร่ และยังนึกภาพจอมทัพเทโอต้องตกที่นั่งลำบากในการต่อสู้ไม่ออกซะด้วย


"ไม่หรอกนายก็รู้ว่าในการประลองน่ะ พ่อไม่เคยแพ้ใคร พ่อเล่าให้ฟังแค่เพียงว่าเชิงดาบของมิลิชนั้นมักล่อลวง กลับกลอก จริงเท็จยากรู้ เอ่อ.....จากนั้นจึงช่วงชิงความได้เปรียบจากจุดอ่อนของตนมิใช่คู่ต่อสู้ อืม....ที่เล่าๆ มาก็ประมาณนี้ละมั้ง" ทีลพยายามนึกหาคำตอบให้ แม้จะไม่ครบถ้วนนักแต่ก็ปะติดปะต่อเอาจนจบเรื่องได้ "แต่ฉันเองก็ไม่เข้าใจที่พ่อพูดเลยสักอย่างนะ"


"ฉันเองก็ไม่ค่อยเข้าใจเหมือนกัน แต่ก็ช่างเถอะ ตอนนี้เราถึงแล้วนี่" เบื้องหน้าทั้ง 2 คือคฤหาสน์หลังไม่ใหญ่มากนัก แต่ก็ดูโอ่อ่า ที่นี่ต่างจากที่พำนักของจอมทัพเทโอตรงที่มีรั้วสูงล้อมรอบ ประตูเหล็กขนาดใหญ่ด้านหน้าถูกเปิดทิ้งไว้เหมือนกำลังรอคอยอะไรสักอย่าง เขามองเห็นเงาคนรับใช้เดินไปมาภายในบ้านที่บริเวณทางเข้า


"เขาอาจจะช่วยอะไรเราได้นะ" ว่าแล้วเขาทั้ง 2 ก็ก้าวเท้าเข้าไปในเขตบ้าน มองดูเห็นต้นไม้ที่ถูกปลูกอยู่รายรอบเขตบ้าน แลดูสวยงามอย่างยิ่ง ไม้นานาพันธุ์ถูกปลูกขึ้นอย่างบรรจงมีระเบียบและดูสวยงาม ทีลเองก็อยากให้ที่บ้านมีต้นไม้ได้สักครึ่งของที่นี่ก็ดูจะสดใสขึ้นไม่น้อย แต่คงยากเพราะที่บ้านไม่ค่อยมีใครรู้เรื่องการดูแลพันธุ์ไม้เท่าไหร่ โดยเฉพาะไม้สวยงามเช่นนี้


"เอ่อ...ขอโทษนะครับ เรามาหาจอมทัพ...." ทีลเอ่ยถามคนรับใช้แห่งคฤหาสน์โอพเพนไฮม์เมอร์ที่ถูกตั้งชื่อตามชื่อเรียกตระกูลของจอมทัพมิลิช แต่ยังไม่ทันจะพูดจบประโยคคนรับใช้ก็โพล่งขึ้นมาโดยมิได้หันมาทางทั้ง 2 เลย
"ท่านมิลิชทำอะไรของท่านอยู่นะ ถ้าไม่รีบเร่งเข้าละก็ งานนี้ต้องพลาดเข้าเฝ้าองค์จักรพรรดิแน่ๆ เลย" จากนั้นเขาก็เดินไปทางบันไดขึ้นชั้นบนอย่างร้อนรน "ท่านมิลิชขอรับ ได้เวลาแล้วนะขอรับ" เขาตะโกน ท่าทางจะร้อนใจมากทีเดียว สังเกตได้จากเหงื่อที่ชุ่มเต็มไปหมด


"พวกเธอมาหาจอมทัพอย่างนั้นหรือ ฉันแปลกใจมากทีเดียวที่เด็กอย่างพวกเธอจะเป็นแขกของจอมทัพ แต่กับจอมทัพบุปผามิลิชอะไรก็เป็นไปได้เสมอสินะ ถ้าเธอเป็นแขกของเขาละก็ช่วยเร่งเขาให้หน่อยได้หรือไม่" คนรับใช้หันมากล่าวคำกับทั้ง 2 อย่างรวดเร็ว จนทำให้ทั้ง 2 ได้แต่รับคำ


"ตอนนี้เขาอยู่ที่ชั้น 2 นั่นละ ยังไงก็รีบๆ หน่อยแล้วกัน" คนรับใช้ดันหลังทั้ง 2 ไปทางบันไดแกมบังคับให้เร่งด่วนที่สุด


ทั้ง 2 ก้าวขึ้นมาบนชั้น 2 บริเวณที่คนรับใช้บอกแล้ว แต่ไม่พบอะไรเลยนอกจากตู้ไม้ขนาดใหญ่เต็มไปหมด "ถ้าเล็กกว่านี้สัก 2-3 เท่าและมีอยู่แค่ตู้เดียวนะ ฉันจะคิดว่าเป็นตู้เสื้อผ้าละ" เท็ดหันมากระซิบกับทีล ด้วยความแปลกใจที่มีตู้ขนาดใหญ่เรียงรายกันอยู่มากขนาดนี้ ซึ่งจะว่าไปแล้วตอนที่ขึ้นมาก็สังเกตเห็นตู้แบบนี้เรียงอยู่มากมายที่ชันล่างเช่นเดียวกัน


"ฮืม......ชุดนี้ละ แหม....เข้ากับฉันซะจริง แต่ว่าแย่จังสีดันไม่เข้ากับอีกชิ้นซะได้" เสียงของชายวัยกลางคนดังขึ้นมาเบื้องหลังทั้งคู่ ถ้าข่าวลือที่เท็ดได้ยินมาเป็นจริงละก็แน่นอนว่าชายผู้นี้คือ จอมทัพบุปผา มิลิช โอพเพนไฮม์เมอร์ อย่างแน่นอน


จอมทัพผู้แปลกคนกำลังอยู่ในขณะเปลี่ยนเสื้อผ้า หากแต่เสื้อผ้าที่รายล้อมอยู่ตรงหน้านั้นมีจำนวนเหลือคณา และมีสีสันที่สดใส รวมถึงการออกแบบที่ดูไม่เหมือนชุดของชายชาตรี หรือชุดของผู้ใดเลยแต่กลับใกล้เคียงกับชุดของหญิงสาวมากกว่า "พ่อหนุ่มน้อย พวกเธอว่าชุดไหนดีละ" มิลิชหันมาถามทั้ง 2 อย่างอารมณ์ดี


ยังไม่ทันที่ทั้ง 2 จะตอบคำใดออกไป มิลิชก็เหมือนจะคิดอะไรออกเมื่อได้มองดูทีลถนัดตา "..............นั่นบุตรแห่งเทโอมิใช่หรือ โอ้....ใช่แล้ว เธอคือทีลสินะ" เขาจำทีลได้ แน่นอนว่าในฐานะสหายเขาย่อมเคยเห็นบุตรของสหายอยู่แล้ว


"เอ่อ.....ผมคิดว่าท่านน่าจะมีธุระด่วนมิใช่หรือครับ ขอประทานอภัยด้วยนะครับถ้าผมเสียมารยาท" ทีลแน่ใจแล้วว่าเขาไม่เห็นบิดาอยู่ในละแวกนี้แต่อย่างใด แต่ยังไงซะเขาก็ควรจะเตือนจอมทัพมิลิชเสียหน่อยสำหรับเรื่องเข้าเฝ้าองค์จักรพรรดิ


มิลิชยิ้มและหันไปดึงเสื้อผ้าสีสันสดใสชุดใหม่มาทาบไว้กับหน้าอก "โอ้....ฉันได้รับคำสั่งให้ไปเข้าเฝ้าองค์จักรพรรดิน่ะ และแน่นอนว่าฉันจะต้องนำรสนิยมอันแสนจะล้ำเลิศในเรื่องการแต่งกายของฉันไปให้พระองค์ได้ชม"


"พวกเธอไม่ต้องเป็นห่วงไปหรอกนะ เพราะฉันกำลังจะเลือกได้แล้วล่ะ ตอนนี้ปัญหาของฉันก็มีแค่เรื่องสี..... ว่าแต่พวกเธอจะลองดูสักชุดมั้ยละ เรื่องรสนิยมนี่ต้องหัดตั้งแต่ยังเยาว์วัยนะ" มิลิชบอกอย่างอารมณ์ดีพลางโยนชุดที่เพิ่งหยิบมาเมื่อกี้ไปที่กองเสื้อผ้าสูงพะเนินใกล้ๆ เขาพร้อมกับไปหยิบตัวใหม่มาจากในตู้


"งั้นพวกเราไม่รบกวนแล้วนะครับ" จบคำทั้ง 2 ก็รีบรุดออกมาจากคฤหาสน์ตระกูลโอพเพนไฮม์เมอร์ทันที เพราะถ้าขืนอยู่ต่ออาจจะต้องกลายเป็นหุ่นลองเสื้อให้จอมทัพบุปผาแน่ๆ


"จากนี้เอาไงกันต่อดีละ" เท็ดถาม จากเหตุการณ์ที่ผ่านมาดูเหมือนว่าเขาจะมีข้อมูลของจอมทัพอยู่น้อยเกินกว่าจะแนะนำซะแล้ว


"ไปบ้านคุณโซเนียกัน" ทีลบอก โซเนีย ชูเลนคือจอมทัพหญิงเพียงคนเดียวใน 5 คน นอกจากฝีมือเชิงดาบและเพลงทวนที่เกรี้ยวกราดรุนแรงแต่งดงามแล้ว โซเนียยังเป็นหนึ่งในแง่ของผู้ทรงเวทย์แห่ง 5 จอมทัพอีกด้วยจะเป็นรองก็เพียงจอมทัพบุปผามิลิชเท่านั้น และสาเหตุเดียวที่ทีลนึกออกในตอนนี้ก็คือคฤหาสน์ชูเลนใกล้คฤหาสน์ตระกูลแมคดอลที่สุด


ทีลหยุดเท้าที่หน้าคฤหาสน์ไม่ใหญ่โตนัก ไม่ไกลจากคฤหาส์ตระกูลแมคดอลเท่าไหร่ "ทำไมฉันไม่มาที่นี่ก่อนนะ" เขาถามตัวเอง
ก่อนจะเคาะประตูบานใหญ่ที่หน้าบ้าน โดยมีเท็ดยืนอยู่ไม่ห่าง


ประตูบานนั้นถูกเปิดออกในเวลาไม่นานนัก เขาเห็นสาวใช้หน้าตาสละสลวยรอคอยต้อนรับแขกอยู่ด้านใน
"สวัสดีค่ะ ที่นี่คฤหาสน์ตระกูลชูเลน ไม่ทราบว่าท่านมีกิจอันใดหรือเจ้าคะ" เสียงใสๆ เอ่ยถามขึ้น


"เอ่อ...ขอโทษที่รบกวนนะครับ ไม่ทราบว่าพ่อของผม...ผมหมายถึงจอมทัพเทโอน่ะครับ ท่านอยู่ที่นี่หรือเปล่าครับ" ทีลตอบ
"งั้นท่านคงเป็นบุตรแห่งเทโอ ทีล แมคดอล สินะเจ้าคะ"
ทีลยิ้มพลางพยักหน้าเป็นคำตอบ "เช่นนั้นท่านคงมีกิจสินะเจ้าคะ.........ใช่แล้วเจ้าคะ จอมทัพอยู่ด้านในนี้เองเจ้าคะ"
"ถ้าเช่นนั้นก็ขอเชิญท่านเข้ามาด้านในก่อนนะเจ้าคะ" สาวใช้ก้มหัวเล็กน้อย และกล่าวเชื้อเชิญอย่างนอบน้อม


ทีลกับเท็ดก้าวเท้าตามสาวใช้ไปยังห้องรับแขกที่อยู่ไม่ไกลจากทางเข้ามากนัก ทีลรู้สึกคุ้นเคยกับที่นี่อย่างประหลาด อาจเป็นเพราะที่นี่ตกแต่งและมีบรรยากาศเหมือนที่คฤหาสน์ของเขาก็ได้กระมัง


"ขอประทานอภัยเจ้าคะ คุณหนูแห่งตระกูลแมคดอลมาขออนุญาตพบท่านจอมทัพเทโอเจ้าค่ะ" สาวใช้เอ่ยขึ้นหลังจากเคาะประตูไม้บานใหญ่ที่อยู่ตรงหน้า
จอมทัพมีสีหน้าแปลกใจเล็กน้อย ก่อนที่โซเนียจะเชื้อเชิญทั้ง 2 เข้ามา


เขาเห็นจอมทัพสาวสวยนั่งอยู่ที่โต๊ะกลางห้องนั่งจิบชาฝรั่งอย่างสงวนท่าที หล่อนดูสวยงามและดูน่าเกรงขามในเวลาเดียวกัน ผมสีทองยาวสละสลวยในชุดเต็มยศมีเสื้อเกราะ เกราะไหล่และผ้าคลุม สวมที่ป้องกันส่วนหน้าผาก ดูจากท่าทีแล้วหล่อนคงเพิ่งกลับจากเข้าเฝ้าได้ไม่นานนัก
ข้างๆ นั้นบิดาของเขาก็อยู่ด้วย ดูสงบนิ่ง แต่ก็ครุ่นคิด ดูเหมือนทั้ง 2 กำลังสนทนาในเรื่องที่ยากแก่การตัดสินใจยิ่ง


"ลูกมีธุระอะไรอย่างนั้นหรือ ถึงขนาดออกมาตามพ่อแบบนี้" เทโอถามขึ้น
ทีลเหลียวซ้ายแลขวา รู้สึกเกรงใจที่จะบอกพ่อว่าพี่เลี้ยงควบตำแหน่งคนครัวให้มาตาม แถมยังอยู่ต่อหน้าจอมทัพที่เขาไม่ค่อยคุ้นเคยเอาเสียด้วย


"ไม่ต้องเกรงใจฉันหรอกจ้ะ เรื่องของท่านเทโอก็เหมือนเรื่องของฉัน ถ้าเป็นเรื่องสำคัญละก็ฉันยินดีเสมอจ้ะ" กริยาของทีลไม่อาจพ้นสายตาของจอมทัพหญิงหนึ่งเดียวแห่งพระราชวังไปได้ แต่ด้วยน้ำเสียงกังวานใสอย่างมิตรของโซเนียทำให้ทีลรู้สึกคลายความตื่นเต้นลง


"พ่อครับมื้อค่ำเตรียมใกล้จะเสร็จแล้วครับ และผมคิดว่าพ่ออาจจะต้องการเวลาสำหรับการพักผ่อนและเตรียมตัวมากกว่าที่เคย" ทีลเรียบเรียงคำพูดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยออกมา
เทโอรู้สึกเห็นด้วย เพียงแต่เขายังคุยธุระกับโซเนียไม่เสร็จดี จริงๆ แล้วต้องเรียกว่าเพิ่งจะเริ่มต้นด้วยซ้ำ


"ทีล...พ่อมีเรื่องจะพูดกับจอมทัพโซเนีย ลูกช่วยกลับบ้านไปก่อนได้มั้ย" จอมทัพเอ่ยถึงความจำเป็นต้องอยู่ที่นี่ต่อ
"พ่อรับรองว่าไม่นานหรอก"
ทีลได้ยินดังนั้นก็โล่งใจ เขารู้ว่าพ่อของเขาไม่เคยโกหกอยู่แล้ว


ขณะที่เขากำลังจะขออนุญาตกลับที่พัก โซเนียก็ส่งเสียงเรียกเขาเอาไว้
"ทีลจ้ะ...ตั้งแต่พรุ่งนี้เป็นต้นไป เธอคงจะไม่ได้พบพ่อของเธอสักระยะ"
"ฉันแนะนำว่าเธอน่าจะใช้เวลาที่มีอยู่นี่กับคุณพ่อที่รักเธอมากกว่าใครของเธอให้มากๆ นะจ้ะ" โซเนียกล่าวออกมาเรียบๆ ยังไงซะจอมทัพที่เธอรู้จักเป็นคนปากแข็งอยู่แล้ว เธอเลยขอเป็นคนพูดแทนความในใจเขาเสียเลย


"โซเนียเธออย่าล้อเล่นจะได้มั้ย" เทโอโพล่งออกมาแทบจะทันทีที่ได้ยิน
"ทีล....ลูกเองก็คงไม่ได้จริงจังนักหรอกนะ" เขาหันมาทางทีล ใบหูของเขาดูจะมีสีแดงกว่าที่เคย ถึงเขาจะรักบุตรชายมากขนาดไหนก็ไม่เคยพูดออกมาตรงๆ แบบที่โซเนียทำมาก่อน
เขาเองก็รู้ดีว่าจอมทัพสาวมีความสนิทสนมกับผู้เป็นพ่อมากถึงขนาดที่พี่เลี้ยงที่บ้านยังหยิบยกเรื่องนี้มาพูดถึงบ่อยๆ ว่าถ้าท่านจอมทัพจะมีความรักให้แก่หญิงใดนอกจากมารดาของนายน้อยก็คงไม่พ้นจอมทัพสาวที่ท่านได้อบรมสอนสั่งมานานนั่นแหละ
ทีลเองไม่ได้รังเกียจโซเนีย กลับชื่นชอบเสียด้วยซ้ำ หากแต่เขาไม่เคยคิดไปไกลถึงขนาดนั้น อาจเพราะเขายังเด็กเกินไปกระมัง ดังนั้นเมื่อเหล่าพี่เลี้ยงหยิบเรื่องนี้มาล้อเล่นทีลย่อมฉุนเฉียวเพราะเข้าใจว่าพ่อจะหาใครอื่นมาแทนที่แม่ของเขา
บรรยากาศภายในห้องรับแขกดูสดใสขึ้นไปถนัดตา ทีลยิ้มหัวเราะเบาๆ เท็ดยิ้ม โซเนียยิ้ม แม้แต่สาวใช้ก็ยังอดยิ้มตามในเรื่องนิสัยปากแข็งของจอมทัพไม่ได้
วินาทีนั้นเด็กกำพร้าอย่างเท็ดก็นึกขึ้นมาในใจว่า "ถ้าเวลาแห่งความสุขแบบนี้มีอยู่ตลอดไปก็คงดีสินะ.........ครอบครัวของฉัน"


ทีลรีบลาจอมทัพโซเนียกลับ เพราะกลัวว่าจะโดนพ่อของเขาดุเอา
ระหว่างทางกลับบ้านทีลเดินยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ตลอดทางจนเท็ดผิดสังเกต แต่ก็พอจะเดาออกว่าทีลกำลังมีความสุขที่ได้รู้ว่าพ่อของเขารักเขาเพียงใดหรืออาจจะเพราะได้เห็นอีกมุมหนึ่งของพ่อที่ไม่เคยเห็นในยามปกติ


"เกรมิโอ้ ผมบอกพ่อให้แล้วนะครับ พ่อบอกว่าเดี๋ยวมานะครับ" ทีลตะโกนบอกพี่เลี้ยงขณะเดินขึ้นไปชั้น 2 เขารู้สึกว่าได้ยินเสียงพี่เลี้ยงขานรับลอยตอบกลับมาเหมือนกัน


ทันทีที่ก้าวถึงห้องของทีล เท็ดก็เอ่ยขึ้นมา "เอาละ มาเข้าเรื่องของเรากันได้รึยัง??"
"ทำอย่างกับฉันจะหนีไปไหนอย่างนั้นแหละ" ทีลนั่งลงบนเตียงนอนของเขา โดยที่เท็ดเดินไปลากเก้าอี้สำหรับอ่านหนังสือมานั่งใกล้ๆ "จะให้ฉันเริ่มตรงไหนดีละ"


"เดี๋ยวก่อนนะ" เท็ดเอ่ยขึ้น ดูเหมือยเขาจะนึกอะไรออก
"แต่ก่อนอื่นนายช่วยรับฉันเข้าเป็น 1 ในคนติดตามนายเหมือนกับพี่เลี้ยงของนายได้มั้ย??"


ทีลนิงไปเล็กน้อย เขาไม่เคยคิดว่าเท็ดจะเอ่ยปากมาขอเป็นผู้ติดตามเขาเลย เขาคิดว่าเท็ดคือพี่น้องคนนึงเสมอ และไม่มีใครสูงกว่าหรือต่ำกว่า
"ฉันน่ะเป็นหนี้บุญคุณท่านเทโออยู่มาก เขาเก็บฉันมาเลี้ยงตั้งแต่ตอนที่ฉันเป็นเด็กกำพร้าอยู่เลย" เท็ดรู้ว่าทีลต้องคาดไม่ถึงแน่ๆ จึงรีบอธิบาย
"และฉันก็ต้องการตอบแทน เข้าใจใช่มั้ย" เท็ดเสริม น้ำเสียงหนักแน่นและสีหน้าของเท็ดก็ดูจริงจังกว่าทุกครั้ง


ทีลครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ยังไงซะพ่อก็คงอนุญาตอยู่แล้ว และถ้าอย่างนั้นเวลาไปไหนมาไหนเขาก็จะมีเท็ดไปด้วยตลอดเวลา ถึงจะได้ชื่อว่าผู้ติดตามแต่ยังไงเขาก็ปฏิบัติกับเท็ดเสมือนพี่น้องได้อยู่แล้วนี่
"ได้แน่นอนอยู่แล้ว" เมื่อเห็นว่าไม่มีอะไรเสียหายหรือกระทบกระเทือนถึงความสัมพันธ์ทีลจึงตอบตกลง


"เยี่ยมไปเลย ฉันรู้อยู่แล้วว่านายเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดเสมอ" เท็ดหัวเราะอย่างร่าเริง


"แล้วที่สำคัญกว่าสิ่งอื่น ผู้เป็นองค์จักรพรรดิเป็นคนแบบไหนกันเหรอ" เท็ดเริ่มถามถึงเรื่องที่อยากรู้ทันทีที่ได้คำตอบ
เท็ดนิ่งไปครู่หนึ่ง ดูสงบแต่ก็ดูลึกลับก่อนจะเอ่ยถามต่อ "แล้วก็ช่วยเล่าเกี่ยวกับผู้ทรงเวทย์แห่งราชวัง วินดี้ ด้วยนะ......ว่าเธอสวยสมคำร่ำลือรึเปล่า"
"เอาเลย เล่ามาให้หมดเลยนะเพื่อนเกลอ"


จากนั้นทีลจึงเริ่มเล่าเรื่องตั้งแต่ก้าวเท้าออกจากบ้านผ่านเมืองตอนเช้าตรู่ รอในห้องรับรองอยู่ครึ่งค่อนวัน เหล่าทหารที่เรียงราย ขุนนางที่ทรงเกียรติ จักรพรรดิผู้ยิงใหญ่ มหาอำมาตย์ผู้เลอโฉม ทุกอย่างที่เขาเจอมาทั้งหมดแม้แต่เรื่องที่ไม่ค่อยชอบใจนักอย่างเรื่องของหัวหน้าหน่วยองครักษ์ "คราเซ่"


"ฉันไม่รู้จริงๆ นะว่าจะบอกกับนายยังไงดี แต่ว่า.....อืม........ม...ม.ม......." หลังจากฟังเรื่องทั้งหมดจบ เท็ดก็เริ่มมีสีหน้าที่เคร่งเครียดอีกครั้ง ดูเหมือนว่าเรื่องที่ทีลเล่ามานั้นจะมีบางสิ่งที่ทำให้เขาแน่ใจในบางอย่าง
"ฉันมีบางอย่างอยากจะบอกกับนายนะ แต่ไม่รู้ว่านายจะยอมเก็บเรื่องนี้เป็นความลับหรือเปล่า" เท็ดเอ่ยถามเสียงเข้ม
"นายสัญญากับฉันได้ไหม ว่าจะไม่เอาเรื่องที่ฉันจะบอกกับนายตรงนี้ไปบอกกับใคร" ทีลเริ่มเป็นกังวลกับท่าทีของเท็ด แต่สิ่งที่เขาทำได้ในเวลานี้คือรับปากเท่านั้น


"นายน้อยขอรับ แล้วก็เท็ดด้วยนะ มื้อค่ำเตรียมเรียบร้อยแล้วนะขอรับ" ยังไม่ทันที่ทีลจะได้เอ่ยคำใดๆ ออกมา เกรมิโอ้ก็ส่งเสียงเรียกตามไปทานมื้อค่ำตามที่รับปากนายน้อยของเขาเสียก่อน


ทีลจ้องมองไปยังเท็ดเหมือนจะค้นหาคำตอบจากเรื่องที่เท็ดได้เอ่ยกับเขาเมื่อครู่นี้ เขารู้สึกใจหายขึ้นมาอย่างประหลาด รู้สึกเหมือนมีอะไรบางอย่างเตือนเขาอยู่ว่าจะมีเรื่องร้ายๆ เกิดขึ้นจนคำพูดของเท็ดดูจะกลายเป็นคำสั่งเสียไปสำหรับเขา จะติดก็ตรงที่เขายังไม่ได้ฟังจากปากของเท็ดเองเท่านั้น


ความเงียบก่อตัวขึ้นหลังจากที่เสียงของเกรมิโอ้เงียบไปเพียงครู่เดียว เท็ดยิ้มละไมให้เขาอย่างอบอุ่นแทนคำตอบพลางลุกขึ้นจากเก้าอี้ เขาเดินไปที่ประตูแล้วหันมายิ้มอีกครั้ง "เฮ้....ได้เวลามื้อค่ำกันแล้ว ไปกันเถอะทีลแล้วเราค่อยคุยกันเวลาอื่นก็ได้"


"เข้าใจละ ไปกันเถอะ" เมื่อเห็นสีหน้าของเท็ดกลับมาร่าเริงอีกครั้ง ทีลเองก็รู้สึกดีขึ้นมาบ้างเล็กน้อย แต่เขาไม่อาจสลัดเอาความกังวลใจที่มีอยู่ออกไปได้โดยง่ายเลย ก่อนจะยันตัวขึ้นมาก้าวเท้าตามเท็ดมุ่งหน้าไปยังห้องรับประทานอาหารซึ่งอยู่ไม่ไกลจากที่นี่มากนัก


ขณะที่มุ่งหน้าไปยังจุดหมายทีลพยายามครุ่นคิดหาคำตอบถึงสิ่งที่ค้างคาและสิ่งที่คอยรบกวนจิตใจของเขาอันเกิดจากการสนทนาเมื่อครู่ แต่อีกใจหนึ่งเขาพยายามจะลืมสิ่งเหล่านั้นให้สิ้น เขารู้ว่ามันจะต้องกระทบถึงส่วนรวมแน่ โดยเฉพาะเมื่อเขาได้รับหน้าที่ให้ปฏิบัติงานในพระราชวังในวันพรุ่งนี้ การมีเรื่องรบกวนจิตใจนั้นไม่อาจจะนำมาเป็นข้ออ้างใดๆ สำหรับความผิดพลาดโดยเด็ดขาด


ทั้งคู่เดินเข้ามาในห้องโถงใหญ่ที่อยู่ส่วนในของบ้าน ภายในห้องถูกตบแต่งไปด้วยพรมปูพื้นขนาดใหญ่ครอบคลุมพื้นที่ใช้สอยภายในห้องเกือบทั้งหมด พื้นถูกปูด้วยแผ่นหินสีน้ำตาลที่มีลวดลายแตกต่างจากที่ใช้ตกแต่งส่วนอื่นของบ้านซึ่งลวดลายดูมีความละเอียดน้อยกว่าแต่กลับดูงดงามกว่า แม้จะเป็นเวลาพลบค่ำแล้ว แต่ภายในห้องยังดูสว่างสดใสด้วยเชิงเทียนนับสิบที่เรียงตัวกันอยู่บนผนังทั้ง 4 ทิศ ทำให้ชุดเกราะอัศวินสีเงินเงางามทั้ง 2 ชุดดุจมีชีวิตในยามที่ต้องแสงเทียนเหล่านั้น


ทีลทอดสายตาผ่านไปยังโต๊ะตัวใหญ่ที่อยู่กลางห้อง โต๊ะตัวนี้เคยนำมาใช้งานที่หลากหลาย เขาเคยร่วมเรียนหนังสือกับเท็ดที่โต๊ะตัวนี้ พ่อของเขาเคยจัดประชุมจอมทัพและใช้โต๊ะตัวนี้เป็นโต๊ะประชุมและเขายังเคยหนีอาจารย์ฝึกการต่อสู้ของเขามาหลบใต้โต๊ะตัวนี้อีกด้วย แต่โดยหลักๆ แล้วครอบครัวแมคดอลมักจะใช้ห้องและโต๊ะตัวนี้ในการทานอาหารและใช้เวลาร่วมกันระหว่างสมาชิกภายในบ้านบ่อยกว่าสิ่งอื่น


อาหารถูกจัดลงจาน เครื่องดื่มถูกเตรียมไว้ในแก้วเรียงรายอยู่บนโต๊ะโดยฝีมือของเกรมิโอ้นั่นเอง แจกันดอกไม้ และของหวานถูกจัดเรียงเอาไว้ต่างหากที่หัวโต๊ะ สมาชิกทุกคนมากันครบแล้ว ตำแหน่งบนโต๊ะแบ่งแยกนายบ่าวอย่างชัดเจนฝั่งหนึ่งมีเก้าอี้อยู่เพียง 2 ตัวและหนึ่งในนั้นพ่อของเขาก็นั่งรอคอยการมาของเขาอยู่สีหน้าของพ่อดูเรียบเฉย พ่อมักเป็นเช่นนี้เสมอเมื่ออยู่ต่อหน้าเหล่าคนติดตามหรือเวลาที่ต้องออกไปพบปะผู้อื่นอย่างเป็นทางการ อีกฝั่งหนึ่งมีเก้สอี้อยู่ 4 ตัวและบรรดาเจ้าของเก้าอี้แต่ละตัวก็มาครบกันทุกคนแล้ว


ทีลรู้สึกว่าเขาได้ยินเสียงท้องร้องเบาๆ ดังขึ้น เขาหันไปมองหน้าพาห์นที่จ้องอาหารที่อยู่ข้างหน้าตาไม่กระพริบ ที่นั่งด้านข้างนั้นท่ามกลางแสงเทียนใบหน้าของเคลโอดูสดใสแต่ก็ลึกลับน่าค้นหากว่าที่เคยเห็นยามกลางวัน


"นายน้อยขอรับ รีบไปนั่งที่เถอะขอรับ ประเดี๋ยวมื้อค่ำของเราจะเย็นซะหมด" เกรมิโอ้กระซิบเมื่อทีลค่อยๆ เดินผ่านหัวโต๊ะไปอย่างช้าๆ


เหมือนทีลจะเพิ่งรู้สึกตัว เขารีบก้าวเข้าไปที่นั่งของตนเองที่อยู่ข้างพ่อของตน เขาเหลือบไปมองเท็ดที่นั่งอยู่เกือบจะหัวโต๊ะ เท็ดยิ้มให้ แต่เขายังไม่รู้สึกสบายใจกับเรื่องที่รบกวนจิตใจอยู่เท่าใดนัก แต่ก็คลายลงไปกว่าเมื่อครั้งได้ยินและได้เห็นสีหน้าของเท็ดในตอนนั้นมากทีเดียว


เมื่อเห็นทีลนั่งลงตรงที่ของตัวเองแล้ว เทโอก็เอ่ยขึ้น
"เมื่อทุกคนมาพร้อมกันหมดแล้ว ฉันเองก็มีอะไรจะกล่าวสักเล็กน้อย ขอให้ฟังอย่างตั้งใจด้วย" เทโอกล่าวเสียงเรียบแต่ก้องกังวานทั่วห้อง สีหน้าเรียบเฉย


ทุกคนนิ่งเงียบลงไปถนัดตาแม้แต่พาห์นเองก็ตาม ดวงตาทุกคู่จับจ้องไปยังนายใหญ่ของบ้านอย่างสนใจใคร่รู้ เพราะตามปกติแล้วการพูดคุยนั้นนายใหญ่มักจะกระทำเวลาหลังอาหารเสียส่วนใหญ่ ถ้าจำเป็นต้องบอกก่อนอาหารนั่นหมายความว่าเป็นเรื่องที่สำคัญยิ่ง


เมื่อเทโอเห็นว่าทุกคนพร้อมที่จะรับฟังสิ่งที่ตนจะกล่าวแล้ว จึงเอ่ยต่อว่า "พรุ่งนี้เช้าฉันจะต้องขึ้นเหนือ...." เทโอเว้นคำ พลางชำเลืองมองทีลเล็กน้อยก่อนจะเอ่ยต่อว่า "และทีลจะเป็นคนรับผิดชอบเรื่องทุกอย่างภายในและภายนอกที่เกี่ยวข้องกับตระกูลแมคดอลยามที่ฉันไม่อยู่" เทโอกล่าวหนักแน่น


ยามนี้หาได้เหมือนที่ผ่านมา ทีลโตขึ้นมากแล้วมากพอที่จะได้รับเกียรติเทียบเท่าอัศวินเพราะฉะนั้นจะฝากความรับผิดชอบให้บรรดาผู้ติดตามอย่างที่เคยนั้นย่อมเป็นไปไม่ได้ ทีลได้ยินดังนั้นใจของเขาก็เต้นระทึกแม้จะรู้อยู่แก่ใจแล้วว่าเมื่อพ่อไม่อยู่ภาระทั้งหมดก็จะต้องตกมาอยู่กับเขา แต่เมื่อได้ยินจากปากของพ่อของเขาเองเช่นนี้ ทีลกลับรู้สึกว่ามันเป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่และดูหนักอึ้งจนยากที่เขาจะจินตนาการออก "คำของจอมคน แม้เรียบง่าย ทว่าหนักดั่งขุนเขา" ทีลคิด สิ่งที่รบกวนจิตใจของเขาอยู่จนถึงเมื่อครู่มลายหายไปสิ้น เพียงแค่ความรับผิดชอบที่พ่อฝากไว้เท่านั้น ทีลก็แทบจะไม่มีที่ว่างไปสนใจเรื่องอื่นอีก


เทโอกวาดสายตาไปโดยรอบ เขามองบรรดาคนติดตามไปทีละคนจนถึงเท็ด จากนั้นก็เอ่ยขึ้นด้วยเสียงหนักแน่น "และฉันอยากจะให้พวกเธอทุกคนสนับสนุนเขาอย่างเต็มกำลัง" บรรดาผู้ติดตามลุกขึ้นและก้มหัวให้นายใหญ่ของพวกเขาเล็กน้อย


"เกรมิโอ้...." เทโอหันมาพูดกับพี่เลี้ยงหน้าบากเสียงเข้ม


"ขะ...ขอรับใต้เท้า" เกรมิโอ้ละล่ำละลั่กตอบอย่างไม่ทันตั้งตัว เขาไม่คิดว่านายใหญ่ของบ้านจะมีอะไรที่ต้องกล่าวพิเศษกับเขาจึงไม่ทันเตรียมตัว


"เธอ...เป็นคนที่คอยดูแลทีลมาอย่างดีตั้งแต่ทีลยังเด็ก ฉันขอขอบคุณในความช่วยเหลือของเธอจริงๆ" เสียงของเทโอดูอบอุ่นกว่าที่เคย รวมถึงแววตาที่อ่อนโยนจนทีลที่นั่งอยู่เคียงข้างรู้สึกได้ แต่...เขารู้สึกใจหายอย่างบอกไม่ถูก อาจจะเป็นเพราะพ่อของเขาไม่เคยพูดอะไรแบบนี้ต่อหน้าเขาก็ได้กระมัง


"ทีลเติบโตจนเป็นหนุ่มได้ขนาดนี้ก็เพราะเธอ.... ฉันเป็นหนี้บุญคุณของเธอจริงๆ" เทโอกล่าวต่อ น้ำเสียงแสดงออกให้รู้ว่าเขาตื้นตันใจอย่างยิ่ง


เกรมิโอ้รู้สึกตื้นตันใจไม่น้อยไปกว่ากัน ใบหน้าแดงเรื่อ
"หามิได้ใต้เท้าขอรับ ข้าน้อย....มันเป็นหน้าที่ของข้าน้อยน่ะขอรับ แล้วก็อีกอย่างการได้รับใช้นายน้อยก็ถือว่าเป็นเกียรติอย่างยิ่งสำหรับข้าน้อยเช่นกันนะขอรับ" เขารีบเอ่ยออกมา คำพูดดูจะสะดุดไปบ้าง อาจเป็นเพราะเขากำลังตื้นตันจนแทบเก็บไม่อยู่ หากแต่เขาก็รู้สึกเช่นเดียวกับทีลคือรู้สึกใจหายอย่างบอกไม่ถูก


เคลโอและพาห์นก็รู้สึกตื้นตันอย่างยิ่ง พาห์นแทบจะปล่อยโฮออกมาแล้วแต่เคลโอที่ดวงตาของเธอออกจะแดงๆ ห้ามไว้เสียก่อน ทุกคนย่อมรู้สึกเช่นเดียวกันหมด เพราะทุกคนก็รักและเอ็นดูนายน้อยเหมือนกันหมด แม้แต่เท็ดที่มาทีหลังก็ยังพลอยตื้นตันใจไปกับบรรยากาศครอบครัวเหล่านี้ไปด้วย


"ฉันซาบซึ้งมากที่ได้ยินเช่นนั้น ฉันหวังว่าเธอจะยังคอยดูแลเขาต่อไปนะ" เทโอยิ้มเล็กน่อย เขารู้สึกพึงใจในคำตอบของเกรมิโอ้อย่างยิ่ง การขึ้นเหนือของเขาในครั้งนี้คงไม่มีอะไรน่าห่วง แม้ว่าหนนี้บุตรชายจะต้องออกไปเผชิญกับโลกกว้างของผู้ใหญ่ก็ตาม


"เคลโอ พาห์น ฉันเองเชื่อใจเธอ 2 คนมากนะ ขอพวกเธอช่วยคอยช่วยเหลือเขาเวลาเขาเดือดร้อน คอยคุ้มครองเขาเวลาเขามีภัย คอยดูแลเขาเมื่อเขาต้องการ เธอจะทำให้ฉันได้หรือไม่" เทโอหันมากล่าวกับพี่เลี้ยงอีก 2 คนบ้าง


"ค่ะ ท่านเทโอ" เคลโอก้มศีรษะรับคำสั่งยาวนาน เธอคงไม่อยากให้ใครแลเห็นดวงตาที่แดงก่ำของเธอกระมัง
"ขอรับนายท่าน ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของเราเองขอรับ" พาห์นลุกขึ้นเสียงสั่นตอบคำตัวตรง น้ำตาตาซึมอยู่เต็มดวงตา ที่เขาไม่ค่อยสนใจผู้อื่นอาจจะเป็นเพราะว่าเขาเป็นคนที่อ่อนไหวเกินไปก็ได้


ทีลนั่งฟังตัวสั่น เขากลั้นน้ำตาเอาไว้แทบไม่อยู่ เขาอยากจะโถมกายเข้าไปกอดพ่อของเขาจริงๆ แต่สิ่งที่คล้ายลางสังหรณ์มันกลับมาอีกครั้ง เขายังรู้สึกเหมือนภายใจอกมีรอยโหว่อยู่ คำพูดแต่ละคำของคนในพ่อแม้จะชวนให้ปลื้มปิติ แต่เขากลับรู้สึกเศร้าใจอย่างประหลาดและเขาก็หาคำตอบให้ตนเองในเรืองนี้ไม่ได้เสียด้วย


"แล้วก็เธอ...เท็ด ฉันหวังว่าเธอจะเป็นเพื่อนที่ดีของทีลตลอดไปนะ.." เทโอหันมากล่าวกับเท็ดบ้าง เท็ดเป็นเด็กที่ถูกทิ้งไว้ในสงคราม เขาไปพบเข้าโดยบังเอิญ ยามที่เขาตัดสินใจพาเท็ดมาด้วยเพราะวินาทีที่ได้เห็นเท็ดเขารู้สึกเหมือนได้เห็นทีล ซึ่งอาจจะเป็นความรู้สึกของคนเป็นพ่อก็ได้กระมัง


เท็ดที่กำลังซาบซึ้งใจกับความเป็นครอบครัวของตระกูลแมคดอลอยู่สะดุ้งโหยง ลนลานอยู่ครู่นึงก่อนจะสูดลมหายใจเข้าลึกๆ และตอบกลับไปอย่างมั่นใจว่า "แม้ว่าท่านจะสั่งให้ผมทำในสิ่งที่ตรงกันข้ามแต่ผมก็ยังจะเป็นเพื่อนที่ดีต่อกันอยู่ดี จริงมั้ยทีล...??" พลางหันหน้าไปขอคำตอบจากทีล


เหมือนปลุกให้ทีลตื่นจากภวังค์ทีลมองหันกลับมาที่เท็ดอย่างงงๆ แต่ก็พอจะรับรู้เรื่องราวได้ตลอดแม้ว่าสมาธิจะไม่ได้อยู่บนโต๊ะก็ตาม
"แน่นอนสิ ยังไงเราก็เป็นเพื่อนกันนี่" ทีลยิ้มเล็กน้อย


เทโอพึงใจในสมาชิกครอบครัวทุกคนอย่างมาก เขายิ้มออกมาอย่างที่ไม่เคยยิ้มตั้งแต่ภรรยาของเขาจากไปเมื่อนานมาแล้ว


"คุยกันพอได้แล้วละ ทานกันก่อนเถอะ เดี๋ยวอาหารมันจะเย็นชืดไปซะหมด" เทโอกล่าวอย่างอารมณ์ดี


เทโอหยิบแก้วเครื่องดื่มขึ้นมาชูข้างหน้า ทุกคนเห็นดังนั้นก็รีบทำตามทันที "แด่บุตรแห่งข้า... แด่จักรวรรดิ" เทโอเอ่ยเสียงดัง
ทุกคนขานรับพร้อมกัน เมื่อสิ้นเสียงทุกคนจึงดื่มเครื่องดื่มในแก้วจนหมด จากนั้นจึงเริ่มรับประทานอาหาร บรรยากาศในวันนี้ดูอบอุ่นกว่าทุกๆ วัน มีการหยอกล้อเล่นกัน พูดคุยเรื่องเก่าๆ ของแต่ละคน ทีลเองก็ดูจะลืมเรื่องที่คอยกวนใจลงไปมากเมื่อเจอเรื่องขายหน้าของบรรดาพี่เลี้ยงของเขาที่เกรมิโอ้มักจะงัดเอาเรื่องใหม่ๆ มาเล่าในวงสนทนาเสมอ เทโอและเท็ดเองก็ดูจะมีความสุขมาก แต่จะมีใครเลยที่รู้ว่าสิ่งที่คอยรบกวนใจของทีลนั้นมันจะเป็นจริงขึ้นมาในอีกไม่นาน

End of EP : 02 ครอบครัว




 

Create Date : 05 เมษายน 2550    
Last Update : 5 เมษายน 2550 22:08:00 น.
Counter : 405 Pageviews.  

Suikoden I story Ep : 01 ก้าวสู่เกียรติยศ

ในปราสาทที่ดูยิ่งใหญ่และหรูหราแห่งนั้น สถานที่ซึ่งถูกรังสรรค์ขึ้นมาด้วยความปรานีตปูพื้นด้วยหินอ่อนที่ให้ความรู้สึกอบอุ่นและมีลวดลายในตัวของมันเอง โครงสร้างส่วนใหญ่ของปราสาทแห่งนี้ประกอบไปด้วยการนำก้อนหินมาตัดให้เป็นก้อนสี่เหลี่ยมผืนผ้าเหมือนอิฐบล็อก และนำมาใช้ในการก่อสร้าง และตามจุดที่สำคัญๆ เช่นในห้องต่างๆ หรือก็ทางเดินสู่ที่ๆ มีความสำคัญก็จะมีของตกแต่งแตกต่างกันไป บ้างก็ปูพรมยาวไปถึงด้านในของห้อง บ้างก็มีแจกันดอกไม้ช่วยเพิ่มความอ่อนโยนให้แก่ปราสาทที่ดูกร้าวแกร่งนี้ แม้แต่ผนังกั้นระหว่างด้านในปราสาทกับพื้นที่ภายนอกบางจุดก็ได้รับการตัดเจาะให้เป็นช่องระบายอากาศและแสงสว่างเป็นอย่างดี โดยเป็นช่องตามยาวแนวตั้งเว้นระยะออกเป็นช่วงๆ ช่วงละ 2-3 ช่องโดยประมาณ


เหล่าข้าราชบริพาร ขุนนางต่างๆ ในวันนี้ดูจะสงบเสงี่ยมเรียบร้อยกว่าปกติ ด้วยว่าทุกคนต่างรับรู้ถึงความพิเศษในวันนี้ ความพิเศษในวันนี้ย่อมเกี่ยวข้องกับองค์จักรพรรดิแน่นอน สิ่งใดที่เกี่ยวข้องกับองค์จักรพรรดิสิ่งนั้นย่อมพิเศษสุดสำหรับทุกชีวิตในปราสาทแห่งนี้เสมอ แต่มิใช่เพียงเช่นนั้นวันนี้ยังมีบุคคลที่น่าเกรงขามที่ทุกคนรู้จักดีมาเกี่ยวข้องกับเรื่องในวันนี้ด้วย หากแต่หลายๆ คนยังไม่รู้เรื่องอะไรมากมายเท่าใดนัก แต่ทุกคนก็เชื่อว่าจะต้องเป็นเรื่องที่น่ายินดีอย่างแน่นอน


ห้องรับรองขนาดไม่ใหญ่ไม่โตเท่าใดนัก แต่สำหรับ 2 พ่อลูกตระกูลแมคดอลแล้วห้องรับรองนี้ก็ไม่ถือว่าเล็กไปนักสำหรับคน 2 คน


"ทีล แมคดอล" เด็กหนุ่มอายุราว 15 ปีในชุดสุภาพสีขาวสะอาดทับด้วยเสื้อนอกที่ทอด้วยผ้าที่สูงค่าสีแดงเข้มสวมกางเกงขายาวคลุมถึงข้อเท้าและสวมรองเท้าสีดำ จุดเด่นของเด็กหนุ่มคงไม่พ้นผ้าโพกหัวสีเขียวที่เขามักจะโพกติดอยู่เกือบตลอดเวลา สีหน้าของเด็กหนุ่มดูไม่สู้ดีนัก เขาไม่เคยต้องพบเจอบรรยากาศอย่างนี้มาก่อนในชีวิต เขาเคยติดตามบิดาของเขามาในวังอยู่บ้าง หากแต่การเข้าเฝ้าองค์จักรพรรดิสำหรับเขาถือเป็นเรื่องที่น่าหวาดหวั่นอย่างยิ่ง และที่สำคัญเป็นการเข้าเฝ้าองค์จักรพรรดิที่เกี่ยวข้องกับเขาโดยตรงเสียด้วย เขาเคยได้ยินมาว่าองค์จักรพรรดิทรงเป็นราชาที่ดุดันยิ่ง แข็งแกร่ง และเข้มงวด เขาหวาดวิตกว่าตัวเองอาจจะทำอะไรผิดพลาดจนทำให้องค์จักรพรรดิต้องขุ่นพระทัย ทว่าเขาไม่มีทางเลือกมากนักด้วยที่เขาเป็นบุตรชายของจอมทัพแห่งสหราชอาณาจักรแห่งนี้ จะช้าหรือเร็วเขาก็ต้องมีวันนี้อยู่ดีไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง เขาดูกระวนกระวายกว่าปกติมากพอที่ผู้เป็นบิดาของเขาจะสังเกตเห็น


"เทโอ แมคดอล" ชายวัยกลางคนในชุดเกราะดูน่าเกรงขามยิ่งนัก ชุดเกราะของเขาดูไม่เหมือนกับทหารที่เฝ้ายามอยู่ภายนอก ชุดของเขาถูกออกแบบมาให้ดูแข็งกร้าวและดุดัน ประดุจว่านอกจากจะคอยคุ้มกันตัวของเขาแล้วยังคอยข่มขู่ขวัญของคู่ต่อสู้อยู่ในที หากแต่สายตาที่เขามองดูบุตรชายช่างอ่อนโยนและเต็มไปด้วยความรัก เขาไม่ค่อยมีเวลาอยู่กับบุตรชายมากเท่าไหร่นักแต่เขาก็พยายามเอาใจใส่บุตรชายอย่างมาก เขาพยายามทดแทนความอบอุ่นที่บุตรชายไม่ได้รับจากบิดาอย่างเต็มที่ด้วยการหาผู้ปกครองหรือพี่เลี้ยงมาช่วยเลี้ยงดูเขา รับเด็กที่มองดูว่าอยู่ในวัยที่ใกล้เคียงกันที่เขาเจอมาให้เป็นเพื่อนเล่นตั้งแต่เด็ก ทั้งยังพยายามส่งเสริมบุตรชายด้วยการเฟ้นหาอาจารย์ทางด้านศิลปะการต่อสู้ที่เก่งกาจมาฝึกให้จนบุตรชายมีฝีมือเก่งกาจที่สุดในหมู่เด็กวัยเดียวกันที่เขาเคยพบมาทั้งหมด


"ลูกมีธุระสำคัญอะไรอย่างนั้นหรือ..?? ทีล" ผู้เป็นบิดากล่าวขึ้นเมื่อเห็นบุตรชายทำท่าเงอะงะเหมือนอยากจะถามจากอะไรเขา "ลูกดูท่าทางประหม่านะ ไม่ต้องเป็นกังวลไปหรอกลูกพ่อ เราจะใช้เวลาไม่นานนักหรอก"
แม้จะได้ยินเช่นนั้น แต่ทีลก็ไม่ได้ใจเย็นลงเท่าไหร่ ถึงจะใช้เวลาไม่นานแต่โอกาสที่สิ่งที่เขากลัวจะบังเกิดก็ยังมีอยู่
"ก็เป็นในอย่างที่ลูกเป็นนั่นแหละ องค์จักรพรรดิทรงเข้มงวดก็จริง ทว่าหาได้มีสิ่งใดที่ลูกต้องหวั่นเกรงไม่" เทโอ กล่าวย้ำกับบุตรชาย


ไม่ทันที่เทโอจะได้กล่าวอะไรกับบุตรชายต่อ หญิงสาวที่แต่งกายเป็นคนรับใช้สวมชุดยาวสีม่วงและทับด้วยผ้าคลุมกันเปื้อนสีขาวก็เดินตรงเข้ามาหาทั้ง 2 "ท่านเทโอ ท่านทีล องค์จักรพรรดิมีรับสั่งให้นำพาท่านทั้งสองไปพบได้ในขณะนี้ ได้โปรดตามข้ามาทางด้านนี้เถิด"


ทั้ง 2 เดินออกห่างจากห้องรับรองไม่ไกลนักก็มาถึงจุดหมายเป็นทางที่ปูด้วยพรมสีแดงยาวเข้าไปถึงด้านใน ที่ทางเข้ามีทหารยามที่ไร้เกราะสวมอยู่ภายนอก 2 นาย ทหารยามทั้ง 2 นายทำความเคารพทันทีที่ทั้ง 2 เดินทางมาถึง


"เทโอ แมคดอล แม่ทัพแห่งกองทัพแห่งสหราชอานาจักร และบุตรชาย ทีล แมคดอล" ทั้ง 2 กล่าวขึ้นด้วยเสียงอันดังแทบจะพร้อมกัน "อยู่ ณ ที่นี้แล้วเพื่อเข้าเฝ้าองค์จักรพรรดิ !!"


ทั้ง 2 เดินตรงเข้าไปตามเส้นทางที่พรมสีแดงเข้มได้ทอดยาวไปสู่ห้องโถงที่กว้างขวางอย่างสำรวม ทีลกวาดสายตาไปรอบๆ พบเห็นนายทหารชั้นน้อยใหญ่ยืนเรียงแถวกันอยู่ทั้ง 2 ข้างทางเป็นทางยาวไปจนถึงบัลลังก์ ที่ซึ่งองค์จักรพรรดิแห่งนครเกร็กมินสเตอร์แห่งนี้ประทับอยู่อย่างสงบนิ่ง ผู้ซึ่งทรงชุดเกราะทองคำอยู่กับพระวรกายเสมอ ผ้าคลุมสีม่วงสดปกขาวที่มีลวดลายสวยงามผืนที่พระองค์ทรงอยู่นั้นเป็นสัญลักษณ์ของจักรพรรดิและเชื้อสายเท่านั้น นอกจากพระองค์แล้วผู้ที่สามารถคลุมตัวด้วยผ้าคลุมที่หรูหราและสวยงามนั้น มีเพียงคนสนิทและเหล่าขุนนางที่มีเกียรติสูงส่งเพียงไม่กี่คนเท่านั้น


พระองค์ทรงมีนามว่า "บัลบารอสซ่า รักเนอร์" จักรพรรดิชาตินักรบผู้เกรียงไกรผู้ได้รับสมญาว่า "จักรพรรดิทองคำ" ผู้นี้ คำร่ำลือต่างๆ นาๆ ดูจะไม่ใช่สิ่งเกินเลยแม้แต่น้อยเมื่อได้ยืนอยู่ตรงหน้าองค์จักรพรรดิผู้นี้ แม้ว่าพระองค์จะมีพระชนมายุล่วงเลยไปเกือบ 60 พรรษาและเกศาของพระองค์เริ่มมีสีขาวโพลนผุดขึ้นมาบ้างแล้วก็ตาม แต่กระนั้นพระองค์ยังทรงดูน่าเกรงขาม เข้มแข็ง เด็ดขาด สุขุมและรอบรู้อยู่ในที และหากมีคนมากระซิบบอกทีล ณ เวลานี้ว่าพระองค์จะทรงเป็นผู้พิชิตทุกประเทศที่อยู่ในใต้หล้า ทีลเองก็ดูจะเชื่อคำกล่าวนั้นโดยไม่ลังเลเลยแม้แต่น้อย


"พระองค์ทรงสมกับเป็นองค์จักรพรรดิอย่างแท้จริง" แม้ว่าจะไม่เคยประจักษ์วีรกรรมของพระองค์กับตาตนเอง แต่ทีลก็รู้สึกเลื่อมใสและศรัทธาในองค์เหนือหัวอย่างจับใจ ความตื่นเต้นของเขาเริ่มมลายหายไป ความตั้งใจแน่วแน่และฮึกเหิมยิ่งกลับเข้ามาแทนที่ "เรากำลังได้รับโอกาสที่มีเกียรติที่สุดในชีวิต" เขากระซิบบอกตัวเองเบาๆ ความตื่นเต้นเมื่อครู่ดูจะเป็นเรื่องโกหกไป เพราะตอนนี้เขารู้สึกสงบนิ่งอย่างยิ่ง


จอมทัพเทโอ มองเห็นด้านขวามือของพระที่นั่งนั้นมีหญิงสาวยืนอยู่เคียงข้างไม่ห่างจากบัลลังก์มากนักนางมีใบหน้าที่แสนงามยิ่งชุดคลุมยาวสีอ่อนที่นางใส่นั้นดูรุ่มร่ามแต่ดูสูงศักดิ์นั้นเป็นเสื้อผ้าสำหรับสตรีชั้นสูงเท่านั้น ผมยาวสลวยที่ถูกมัดไว้อย่างปรานีตและผ้าคลุมที่แสนจะดูงดงามนั้นเป็นคำยืนยันถึงสถานะของนางได้เป็นอย่างดี เขาจำนางได้นางคือ "เวนดี้" มหาอำมาตย์ที่มีความรอบรู้และความสามารถในแขนงต่างๆ อย่างน่าอัศจรรย์ใจ จอมทัพไม่เคยพบพานสตรีนางใดที่เพียบพร้อมด้วยความสามารถเช่นนี้มาก่อนและเขาเป็นผู้ที่มีนิสัยชื่นชมบุคคลผู้มีความสามารถอย่างล้นเหลือ ดังนั้นจึงไม่น่าแปลกใจเลยที่เขาจะให้เกียรติมหาอำมาตย์นางนี้อย่างสูงสุดโดยไม่ถือเอาความเป็นชายหญิงมาแบ่งแยกความสามารถ


จอมทัพและบุตรชายหยุดเดินด้านหน้าห่างจากบัลลังก์ในระยะที่สมควรและทำความเคารพองค์จักรพรรดิด้วยการก้มศีรษะอย่างอ่อนน้อม


"ยินดีต้อนรับนะ เทโอ การศึกครั้งนี้เป็นอย่างไรบ้างละ" องค์จักรพรรดิกล่าวทักทายเทโออย่างสนิทชิดเชื้อ แน่นอนว่าทั้ง 2 ย่อมเคยผ่านสนามรบน้อยใหญ่และผ่านความเป็นความตายมาด้วยกันนับครั้งไม่ถ้วน


"หาได้มีอะไรมากมายไปกว่าเมื่อครั้งที่กำชัยชนะในสงครามแห่งความสำเร็จของพระองค์หรอกพะยะค่ะ" จอมทัพตอบนายเหนือหัวอย่างสุภาพและอ่อนโยน


"วาจาของเจ้าฟังดูเสนาะหูยิ่งนัก เจ้าเห็นด้วยหรือไม่ วินดี้" บัลบารอสซ่ายิ้มอย่างอารมณ์ดีพลางหันไปเชิญมหาอำมาตย์คู่ใจมาร่วมวงสนทนาด้วย


"โดยแท้จริงแล้ว ข้าเห็นว่าวาจาเช่นนั้นย่อมเหมาะสมแล้วที่จะกล่าวโดยจอมทัพผู้ยิ่งใหญ่เช่นท่าน" นางกล่าวอย่างเรียบง่าย แต่อ่อนโยน หากแต่คำตอบดูไม่ประสงค์จะร่วมวงสนทนาต่อแต่อย่างใด โดยที่ไม่มีใครสังเกตุสายตาของนางก็จับจ้องไปยังบุตรแห่งเทโออย่างพินิจพิเคราะห์


เมื่อเห็นเช่นนั้นบัลบารอสซ่าจึงเริ่มเข้าธุระของตน "เทโอ ข้าแน่ใจว่าเจ้าย่อมตระหนักและรู้ซึ้งกว่าใครว่าชายแดนทางทิศเหนือเริ่มมีอะไรไม่ชอบมาพากลเกิดขึ้นเสียแล้ว"
"เจ้าจะออกเดินทางเพื่อปกป้องที่มั่น ณ เขตชายแดนของเราได้หรือไม่"


ตรงข้ามกับฝั่งของวินดี้อีกด้านหนึ่งของบัลลังก์ก็มีชายคนหนึ่งยืนอยู่ในระยะห่างพอกับมหาอำมาตย์ แน่นอนว่าเขาต้องเป็นขุนนางที่ได้รับเกียรติอันสูงส่งจึงมีสิทธิมายืนเคียงจักรพรรดิ ณ ที่นี้ได้ เขาก้าวออกมาทิศที่จอมทัพยืนอยู่ เขาก้มหัวให้จอมทัพเล็กน้อย ดูท่าว่าเขาจะให้ความเคารพจอมทัพผู้นี้อย่างเหลือแสน "แม้ว่าปัญหาเรื่องความขัดแย้งกับประเทศอาณาจักรโจวสตันยังไม่ได้รับการคลี่คลาย ทว่าหากท่านจอมทัพแมคดอลตกลงจะกรีฑาทัพไปด้วยตนเองแล้วละก็ พวกเราก็คงจะรอฟังข่าวดีได้อย่างสบายใจเป็นแน่แท้" เทโอยิ้มและก้มหัวเล็กน้อยเป็นเชิงรับคำ


บัลบารอสซ่าหยิบดาบที่อยู่ข้างตัวยื่นออกมาให้จอมทัพ "ดาบที่รักยิ่งของข้า แพรกค์ ดาบเล่มนี้นำพาโชคมาสู่ข้านับครั้งไม่ถ้วน ข้าอยากให้เจ้านำมันติดตัวไปด้วย" ดาบเล่มโปรดของบัลบารอสซ่าแทบจะเป็นสิ่งล้ำค่าที่สุดในนครแห่งนี้ ว่ากันว่าดาบเล่มนี้มีค่าควรเมืองเลยทีเดียว


"เป็นพระกรุณาอันล้นพ้นองค์จักรพรรดิ ข้า....เทโอ ขอสาบานว่าจะไม่มีวันทำให้พระองค์ผิดหวังเป็นอันขาด" จอมทัพคุกเข่าและยื่นมือออกไปรับดาบมาแนบไว้กับตัวอย่างสุภาพ และเขาก็หมายความตามที่พูดด้วย เขารู้สึกว่าแม้ว่าอะไรจะเกิดขึ้นเขาก็คงไม่มีทางหักหลังองค์จักรพรรดิเด็ดขาด
"ข้าขออำนวยพรให้เจ้าประสบแต่โชคลาภ เทโอ"


จอมทัพรู้ว่าธุระของเขาหมดลงแล้ว เขาขยับตัวออกด้านข้างให้พ้นเบื้องหน้าขององค์จักรพรรดิ และบัดนี้ผู้ที่ยืนอยู่ตรงหน้าองค์จักรพรรดิคือบุตรของเขาเอง


บัลบารอสซ่าเพิ่งพินิจดูหนุ่มน้อยอย่างช้าๆ เขาไม่พบอาการตื่นเต้นหรือหวาดหวั่นของคนทั่วไปเมื่ออยู่ต่อหน้าจักรพรรดิในตัวของทีลเลย กลับกันในแววตาของหนุ่มน้อยพระองค์ทรงเห็นประกายแห่งความมุ่งมั่น กระตือรือร้น แต่กลับดูอ่อนโยนอย่างประหลาด
"เจ้าคือทีล บุตรแห่งเทโอสินะ เจ้าดูควบคุมอารมณ์ได้ดีจนน่าประทับใจทีเดียว"
"ฟังนะ ทีล เจ้าจะสามารถให้จักรวรรดิได้หยิบยืมความช่วยเหลือสักเล็กน้อยในยามที่บิดาของเจ้ากำลังพิทักษ์ชายแดนทางทิศเหนือได้หรือไม่"


"พะยะค่ะ องค์จักรพรรดิ" ทีลย่อตัวและก้มศีรษะลงจนเข่าติดพื้นเพ่อรับคำจากองค์จักรพรรดิอย่างไม่มีความลังเล


บัลบารอสซ่าเห็นเช่นนั้นก็รู้สึกประทับใจมาก นานแล้วที่พระองค์มิได้พบพานเด็กหนุ่มที่น่าสนใจเยี่ยงนี้ นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่พระองค์ทรงได้เห็นทีล พระองค์ทรงเคยเห็นทีลมาแล้วไม่ว่าจะเป็นตอนที่ทีลซ้อมศิลปะการต่อสู้ที่ลานข้างๆ ปราสาท รวมถึงเคยเห็นทีลแอบมาชมการประลองฝีมือระหว่างจอมทัพกับเพื่อนของเขาอีกคนเมื่อนานมาแล้ว "เจ้าแลดูเหมือนกับบิดาของเจ้ามากกว่าที่เจ้าคิดเสียอีกรู้มั้ย ข้าอยากจะมองดูเจ้าเติบโตเป็นชายหนุ่มด้วยตาของข้าเองจริงๆ"


"เป็นพระกรุณาอันล้นพะยะค่ะ สำหรับวาจาอันอ่อนโยน อบอุ่นที่ประทานให้กับบุตรแห่งข้า" จอมทัพกล่าวขอบคุณแทนหนุ่มน้อย อาจเป็นเพราะเขารู้สึกตื่นตันแทนบุตรชายมากก็เป็นได้


"ผู้บัญชาการ คราเซ่ แห่งหน่วยองครักษ์จะเป็นผู้บังคับบัญชาของท่านทีลเอง" ชายผู้อยู่เคียงอีกด้านของจักรพรรดิเอ่ยขึ้นเมื่อแลเห็นว่าการสนทนาที่เป็นธุระสำคัญนั้นจบลงแล้ว


วินดี้ก้าวออกมาอย่างช้าๆ ทางทิศที่ทีลยืนอยู่ เมื่อเข้ามาใกล้เข้าทีลจึงได้สังเกตุเห็นว่ามหาอำมาตย์ช่างมีรูปโฉมที่งดงามยิ่งนัก "เจ้ามีสเน่ห์ดึงดูดคนรอบข้างอย่างน่าประหลาด จงอย่าวิตกไป ขอโชคจงสถิตย์อยู่เคียงเจ้าหนุ่มน้อย" องค์จักรพรรดิรู้สึกพอใจที่ได้ยินเช่นนั้น เพราะอย่างน้อยพระองค์ก็ได้รู้ว่าพระองค์ทรงมองคนไม่ผิดและที่สำคัญมหาอำมาตย์นั้นชำนาญเรื่องการพิจารณาคนมากกว่าพระองค์เองเสียอีก


"องค์จักรพรรดิ หากพระองค์จะทรงอนุญาต ข้าคิดว่าเราคงจะได้เวลาไปเตรียมตัวแล้วพะยะค่ะ" เทโอกล่าวขึ้น


"ข้าคงทำให้เจ้าเสียเวลาอันมีค่าที่ไม่ควรจะเสียไปมากแล้วสินะ เทโอ" พระองค์เพิ่งรู้สึกตัวว่าเพลิดเพลินไปกับการสนทนานี้มากเกินกว่าจะเป็นธุระของบ้านเมืองแล้วจึงจำต้องกล่าวตัดบท "และทีล ข้าหวังว่าความมุ่งมั่น ความพยายามอันไม่ย่อท้อของเจ้าจะทำให้เจ้าก้าวข้ามบิดาได้ในสักวันหนึ่ง" ประดุจหนึ่งฟ้าผ่าลงกลางใจของทีล ภาพของบิดานั้นยิ่งใหญ่มากในความคิดของทีล เขาจะยิ่งใหญ่กว่าบิดาที่เป็นยอดคนไปได้อย่างไร แต่กระนั้นแล้วเขาก็ซ่อนความปิติเอาไว้ไม่ได้เมื่อมีคนที่เชื่อมั่นและประเมินค่าของเขาสูงเช่นนี้ โดยเฉพาะคนผู้นั้นคือองค์จักรพรรดิที่เขาคิดว่ายิ่งใหญ่ที่สุดนั่นเอง


ทั้ง 2 คำนับองค์เหนือหัวอย่างนอบน้อม แล้วจึงค่อยเดินทางออกจากท้องพระโรงด้วยท่าทีไม่ต่างจากเมื่อย่างก้าวเข้ามา


ท้องพระโรงของปราสาทแห่งนี้ถูกกำหนดให้อยู่บนชั้น 2 การเข้าพบองค์จักรพรรดินั้นดูไม่ใช่เรื่องง่ายเอาเสียเลย เพราะจำเป็นจะต้องทำเรื่องผ่านหัวหน้าหน่อยองครักษ์อย่างคราเซ่ที่ทีลเองจะต้องรับคำสั่งจากเขา ทีลเคยได้ยินว่าคนผู้นี้เย่อหยิ่ง จองหอง และถือตนเองเป็นใหญ่ขุนนางชั้นน้อยใหญ่ไม่เคยอยู่ในสายตาของเขา แม้แต่จอมทัพอย่างบิดาของทีล คราเซ่เองก็ดูจะแกล้งสุภาพด้วยไปอย่างนั้นเองแต่เชื่อว่าในใจนั้นหาได้มีความจริงใจไม่ ผู้ที่คราเซ่ยอมก้มหัวให้อย่างแท้จริงนั้นดูจะมีเพียง 2 คนเท่านั้นคือองค์จักรพรดิทองคำบัลบารอสซ่า และมหาอำมาตย์วินดี้


ระหว่างที่กำลังมุ่งหน้าไปที่บันไดเพื่อลงสู่ทางออกชั้นล่างนั้นเอง ก็มีชายสูงอายุผู้หนึ่งกำลังเดินสวนทางมาพอดี การแต่งกายของเขาแตกต่างแต่ให้ความรู้สึกคล้ายคลึงกับผู้เป็นบิดาของเขาอย่างประหลาด


"ต้องเป็น 1 ในเหล่าจอมทัพแน่ๆ" ทีลคิด พลางเพ่งพินิจไปยังเป้าหมายที่กำลังก้าวเข้ามาใกล่ทั้ง 2 เรื่อยๆ เขาโพกหัวด้วยผืนผ้าสีขาวบดบังศรีษะด้านหลังและด้านข้างจนมองเห็นแต่เพียงใบหน้าเท่านั้น ใบหน้าของเขาดูชราเกินกว่าที่จะเป็นจอมทัพ รอยเหี่ยวย่นบนใบหน้า และหนวดที่ขาวโพลน แต่เขาไม่เคยได้ยินว่ามีจอมทัพคนไหนมีอายุเกินกว่า 50 ปีเลย เสื้อผ้าที่สวมใส่แลดูมิดชิด เสื้อเกราะสีดำสนิท คอปกสีขาวมีลวดลายสีทองที่แกะอย่างปราณีตซึ่งพินิจดูแล้วน่าจะเป็นแบบที่ตีขึ้นแตกต่างจากของบิดา อย่างน้อยๆ ก็น่าจะมีน้ำหนักเบากว่า ชายแก่มิได้สวมใส่ชุดเกราะเต็มตัวอย่างบิดาสิ่งที่เขาสวมนอกจากเสื้อผ้าที่มิดชิดและเกราะส่วนบนแล้ว เกราะทองแดงบนบ่าคือเกราะชิ้นสุดท้ายที่พึงมี อาจจะเป็นเพราะความจำเป็นบางอย่างชายผู้นี้จึงไม่ได้สวมชุดเกราะเต็มตัว


ทีลไม่คุ้นกับใบหน้าของเขาเท่าไหร่นัก แต่ก็จำได้ว่าเขาต้องเคยเห็นชายคนนี้แน่ๆ เพียงแต่ทีลไม่ทราบว่าเขาเป็นใคร


เมื่อเดินเข้ามาใกล้กันมากขึ้น ทั้งบิดาและชายแปลกหน้าผู้นี้ต่างก้มหัวให้เกียรติกันรวมถึงส่งยิ้มให้ทีลอย่างเป็นมิตรด้วย ทั้ง 2 ต่างหยุดเท้าลงชั่วขณะ "โอ....ท่านเทโอ ท่านได้มีโอกาสนำบุตรก้าวเข้าสู่โลกแห่งเกียรติยศใบนี้แล้วหรือนี่" ชายผู้นั้นเว้นช่วงสีหน้าของเขาสลดลงเล็กน้อย "ข้าละรู้สึกริษยาท่านนัก" ทีลจับได้ว่าทั้ง 2 ต้องรู้จักเป็นอย่างดีจากคำพูดที่ดูล้อเล่นแต่เปิดเผยถึงความรู้สึกในใจเช่นนี้ และผู้ที่กล้าล้อเล่นกับจอมทัพในปราสาทแห่งนครเกร็กมินสเตอร์ได้มีเพียงสหายเท่านั้น และบิดาของทีลก็มีเพียงจอมทัพด้วยกันเท่านั้นที่ถือเป็นสหายมาหลายปีแล้ว


"ท่านมิได้ทำให้ข้ารู้สึกแปลกใจเลย ท่านสมควรรู้สึกเช่นนั้นแล้ว" เทโอ ตอบกลับอย่างสุภาพ เทโอรู้จักนิสัยของสหายดีกว่าจอมทัพคนอื่นและรู้ว่าสหายของเขาไม่มีครอบครัว การปลอบใจทำได้เพียงหมิ่นเกียรติฝ่ายตรงข้าม วาจาที่แท้นั้นย่อมมีเกียรติมากกว่าและคาซิมก็เป็นผู้พิสมัยความจริงใจโดยแท้แม้จะไม่เสนาะหูนักก็ตาม แต่กระนั้นขณะพูดออกไปจอมทัพก็ก้มหัวให้เล็กน้อยเป็นเชิงขออภัย


สหายของจอมทัพสังเกตเห็นทีลยังคงจับจ้องสายตามาที่เขา ราวกับจะเฟ้นหาความจริงบางอย่าง และเขาก็กำลังนึกเรื่องที่จะทักทายเด็กหนุ่มอยู่พอดี
"หืม....ข้าน่ะหรือ?? ในสายตาผู้อื่นนั้นข้าคือ คาซิม ฮาซิล 1 ใน 5 จอมทัพสูงสุด ดำรงตำแหน่งนี้มานานจนน่าวิตกเชียวละ" แม้แต่คำแนะนำตัวคาซิมยังคงมีคำพูดล้อเล่นแฝงไว้เสมอ


คาซิม ฮาซิล......ผู้นี้เองน่ะหรือ?? ทีลเคยได้ยินเรื่องของจอมทัพทั้งหมดมาแล้วคาซิมเป็นจอมทัพที่มีจุดเด่นตรงที่เพลงดาบของเขานั้นยากที่จะหาผู้ใดเทียมทานไว้ได้ มีคนเคยกล่าวไว้ว่าเพลงดาบของเขาไม่ได้มีความน่ากลัวอยู่ที่ใดเลย แต่จอมทัพคาซิมผู้มากประสบการณ์ในการอ่านทางและวิเคราะห์นิสัยคู่ต่อสู้จนทะลุปรุโปร่งจนดูราวกับว่าคู่ต่อสู้วาดดาบตามที่เขาสั่งต่างหากคือสิ่งที่น่ากลัวที่สุด และสิ่งที่บิดาเคยเล่าให้ฟังมีมากกว่านั้นนั่นคือเมื่อก่อนจอมทัพนั้นมี 6 คนหาได้มี 5 คนอย่งทุกวันนี้ไม่


"ท่านไปทำธุระของท่านเถิด แม้ว่าองค์จักรพรรดิจะทรงเป็นกันเองและถือตนเป็นสหายกับพวกเราเหล่าจอมทัพ แต่เราจะปล่อยให้พระองค์ทรงต้องคอยมิได้หรอกนะ" เทโอ รู้ดีว่าการที่คาซิมกำลังมุ่งหน้าไปยังห้องรับรองเพื่อที่จะรอคนมาเชิญไปเข้าเฝ้าองค์จักรพรรดิเหมือนที่เขาและบุตรเพิ่งจะเสร็จธุระไปเมื่อไม่นานมานี้ ทั้งยังรู้ทันด้วยว่าหากปล่อยไปละก็สหายเขาจะต้องจ้อไม่หยุดจนส่งผลเสียถึงงานหลวงอย่างแน่นอน


คาซิมยิ้มอย่างอารณ์ดี พลางโบกมือเป็นเชิงอำลา และก้าวเท้าหายไปยังห้องรับรองที่อยู่ไม่ไกลหากแต่เป็นคนละห้องกับที่ทั้ง 2 เคยนั่งรอเรียกตัวไปเข้าเฝ้าเมื่อสักครู่นี้ แน่นอนว่าเหล่าจอมทัพย่อมมีห้องรับรองส่วนตัวเสมอคาซิมและเทโอเองก็เช่นกัน


2 พ่อลูกเดินลงมาถึงชั้นล่างเบื้อหน้าของทั้ง 2 ประตูทางออกที่ทำขึ้นจากไม้ดูยิ่งใหญ่และแข็งแกร่งมาก ประตูบานนี้จะถูกถอดเปลี่ยนทุก 5 ปีเพื่อคงความแข็งแกร่งอยู่เสมอ องค์จักรพรรดิทรงรอบคอบเสมอวันที่เปลี่ยนบานประตูปราสาทแห่งนี้จะเป็นวันที่จอมทัพทั้งหมดและกำลังทหารมาพร้อมหน้ากันอย่างที่สุด เพราะอย่างนั้นจนถึงปัจจุบันยังไม่เคยมีผู้ใดหาญกล้าเข้าโจมตีนครเกร็กมินสเตอร์ในวันนั้นเลยแม้แต่สักผู้เดียว


ผู้เป็นพ่อหยุดเท้าอีกครั้งที่หน้าห้องๆ หนึ่งไม่ห่างจากทางออกเท่าใดนัก
"นี่คือห้องของท่านคราเซ่ ซึ่งลูกจะต้องติดต่อเรื่องราวต่างๆ รวมถึงรายงานผลของภารกิจที่ได้รับมาที่นี่ละ" เขาเอ่ยแนะนำแก่บุตรชาย
"เข้าไปสิ แล้วก็แนะนำตัวเองซะด้วยละ" การแนะนำตนแก่ผู้บังคับบัญชาทันทีถือเป็นการให้เกียรติและเป็นมารยาทที่ไม่ควรละเลยเป็นที่สุดเมื่ออยู่ในวังหลวง เขาต้องการให้บุตรชายของเขาเรียนรู้ไว้


ทีลพยักหน้าแล้วก้าวเข้าไปในห้องนั้นทันที ในห้องนั้นไม่มีอะไรมากไปกว่าโต๊ะไม้สีน้ำตาลตัวใหญ่ กองเอกสารบนโต๊ะ ขุนนางคนหนึ่งที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ไม้สีน้ำตาลเข้าชุดกับโต๊ะที่มีอยู่เพียงคู่เดียวในห้อง "ท่าทางคนๆ นี้จะไม่ชอบรับแขกเป็นแน่แท้ มิฉะนั้นก็เป็นผู้ถือตนอย่างร้ายกาจเพราะเขาไม่ได้เตรียมเก้าอี้สำหรับหย่อนกายให้แก่ผู้มาเยือนเลย นั่นหมายความว่าจะไม่มีผู้ใดได้รับเกียรติจากเขาเมื่ออยู่ในห้องนี้" ทีลคิดตามสิ่งที่เขาเห็น


"ขออนุญาตขอรับ" ทีลส่งเสียงขออนุญาตเมื่อก้าวเข้ามาในห้องนี้ได้เพียงเล็กน้อย เป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้จริงๆ เพราะองค์จักรพรรดิไม่ได้อนุญาตให้ห้องทำงานมีบานประตูซะด้วยสิ เหตุเพราะพระองค์ต้องการให้เกิดความโปร่งใสในการปฏิบัติราชการมากที่สุด


"เฮอะ.....ท่างทางเจ้าจะเป็นบุตรแห่งเทโอสินะ" น้ำเสียงของคราเซ่เปล่งออกมาอย่างไม่น่าฟังนัก พลางชำเลืองมองทีล "แล้วนามของเจ้านั้นหรือคือ...??"
"นามที่ผู้เป็นบิดามอบให้คือ ทีล ขอรับ ทีลแห่งแมคดอล" ทีลตอบอย่างสงบนิ่งและมีมารยาทที่สุดเท่าที่จะทำได้ เขามองเห็นคราเซ่ไม่ต่างจากที่ได้ยินคำร่ำลือเท่าใดนัก ใบหน้าของเขาดูชั่วร้ายและถือตนอย่างยิ่ง จมูกที่ยาวแหลม สายตาที่ดูเจ้าเล่ห์ ท่าทางที่ดูไม่ให้เกียรติผู้อื่นเท่าใดนักทำให้ทีลรู้สึกไม่สู้ดีกับหัวหน้าหน่วยองครักษ์ผู้นี้เลย จะว่าไปแล้วทีลไม่เห็นแววของความเป็นองครักษ์ในตัวตนของคราเซ่เลยแม้แต่น้อย


"ข้าไม่สนใจหรอกนะว่าเจ้าจะเป็นลูกของจอมทัพสูงสุดรึไม่ เจ้าจะไม่ได้รับการปฏิบัติที่พิเศษไปกว่าคนอื่นๆ แม้แต่นิด ขอให้จงเข้าใจไว้ด้วย" ในสายตาของคราเซ่แล้วเขาถือว่าคนอื่นไม่มีความหมายมากกว่าผู้ใต้บังคับบัญชาไปได้ อีกเหตุผลหนึ่งคือเขาไม่ชอบให้ผู้ใดมาทำให้เขารู้สึกต่ำต้อยกว่าโดยเฉพาะกับเหล่าจอมทัพ
"ตอนนี้ให้เจ้ากลับไปพักผ่อน ณ คฤหาสน์ของเจ้าก่อน ภารกิจที่เจ้าต้องรับผิดชอบข้าจะส่งต่อให้เจ้าในวันพรุ่งนี้ เมื่อรุ่งอรุณมาถึงเจ้าจะต้องมารายงานตัวกับข้าก่อนกระทำสิ่งใด" คราเซ่รู้ว่าวันนี้ทีลเพิ่งได้รับมอบหมายงานในพระราชวัง และแน่นอนว่าเทโอจะต้องยืนรออยู่ไม่ไกลจากห้องนี้แน่ การให้จอมทัพอันทรงเกียรติต้องรอไม่ส่งผลดีกับเขาแน่ จึงจำต้องมอบหมายงานในวันอื่นแม้ว่าจะไม่ชอบใจนักก็ตาม


"ลูกแนะนำตัวเองเสร็จเรียบร้อยแล้วใช่มั้ย??" เทโอเอ่ยถามเมื่อเห็นทีลก้าวออกมาจากห้องของหัวหน้าหน่วยองครักษ์
".....ครับพ่อ" ทีลตอบคำ เพียงแต่สีหน้าของทีลดูเคร่งเครียด บางทีเขาอาจะนึกถึงสิ่งที่เขาต้องเจอผ่านบรุษผู้ไม่เคยให้เกียรติผู้อื่นเฉกเช่นคราเซ่ ในวันพรุ่งนี้ก็เป็นได้


"พ่อต้องยอมรับจริงๆ ว่าค่อนข้างจะแปลกใจทีเดียวที่ลูกถูกกำหนดให้มาอยู่ภายใต้การบังคับบัญชาของคนแบบนี้ แต่ทว่า....." เทโอรับรู้ความรู้สึกของบุตรได้ก่อนใครเสมอ ถ้าจะมีใครที่ไวกว่าก็คงจะเป็นพี่เลี้ยงที่เคยช่วยชีวิตทีลมาแล้วในเวลาที่เทโอไม่อยู่เพียงคนเดียวเท่านั้นกระมัง
"เอาเถอะ.....พ่อว่าเราไปกันดีกว่านะ เกรมิโอ้คงจะเป็นห่วงลูกจนแทบคลั่งแล้วละ"


พ่อลูกตะกูลแมคดอลขยับเท้าเริ่มออกเดินทางกลับสู่คฤหาสน์แมคดอลอันเป็นที่พำนักของจอมทัพอันเกรียงไกรและบุตรชายซึ่งที่พำนักของเหล่าจอมทัพจะอยู่ในเขตเมืองไม่ไกลจากพระราชวังเท่าใดนัก เนื่องจากอาจมีความจำเป็นในยามศึกหรือยามมีเหตุฉุกเฉินเหล่าจอมทัพจะได้รับมือได้ทันท่วงที ขณะที่ออกจากปราสาทนั้นทีลสังเกตเห็นว่าวันนี้มีเหล่าทหารหาญเดินไปมาที่บริเวณลานน้ำพุหน้าพระราชวังน้อยผิดปกติ แต่ก็ฉุกใจคิดขึ้นมาได้ทันทีว่านายทหารส่วนใหญ่คงจะขึ้นไปรวมตัวกันที่ห้องโถงและบริเวณรอบๆ ห้องโถงกันหมดแล้ว


แม้ว่าจะเป็นเขตเมือง แต่ก็เป็นเมืองที่อยู่ในอาณาเขตของพระราชวัง เพราะฉะนั้นบรรยากาศภายในเมืองจึงแลดูแตกต่างจากเมืองอื่นพอสมควร ไม่ว่าจะมองไปทางใดก็จะเจอแต่บ้านที่อยู่อาศัยที่ถูกสร้างจากหินที่ตัดออกมาเป็นก้อนอย่างปราณีตเช่นเดียวกันกับในปราสาท ว่ากันว่าผู้ที่จะได้มีสิทธิอาศัยอยู่ในเขตเมืองเกร็กมินสเตอร์นั้นในอดีตจะต้องเป็นอัศวินหรือขุนนางที่มีเกียรติหรือเป็นผู้ที่มีส่วนร่วมในสงครามเท่านั้น สิ่งก่อสร้างน้อยใหญ่เรียงตัวกันอย่างเป็นระเบียบแต่แตกต่างกันออกไปตามขนาดและผู้อยู่อาศัย บางครัวเรือนเปลี่ยนที่พักของตนเป็นร้านค้า บ้างก็เป็นที่พักแรมสำหรับคนจร ผู้คนที่อาศัยอยู่แถบนี้มักจะมาหาซื้อสิ่งของจำเป็นกันที่นี่ เพราะถือกันว่าที่เมืองแห่งนี้เป็นจุดศูนย์รวมพ่อค้าที่มีสินค้ามารวมตัวกันอยู่มากมายและใหญ่ที่สุดสมเป็นเมืองหลวงของดินแดนนี้จริงๆ


เขตเมืองในเวลาสายเช่นนี้ดูคึกคักเป็นพิเศษ แม่บ้านที่จับกลุ่มคุยกัน พวกผู้ชายที่ออกมาทำธุระ พ่อค้าจากต่างถิ่นที่เข้ามาทำการค้าขาย แม้กระทั่งเด็กๆ ที่วิ่งเล่นกันอย่างสนุกสนาน ถึงแม้จะเป็นเขตเมืองหลวงแต่ก็ใช่ว่าจะมีทหารหรือเวรยามแน่นหนามากมายจนน่าอึดอัด เป็นเพราะการวางกำลังอย่างชาญฉลาดที่ถูกกำหนดเอาไว้อย่างดีตามจุดต่างๆ ภายในเมืองทำให้ไม่จำเป็นต้องวางกำลังทหารมากมายเกินความจำเป็น ว่ากันว่าจุดวางเวรยามต่างๆ เหล่านี้ เสนาธิการผู้ที่เป็นกำลังสำคัญในการศึกครั้งสำคัญของจักรพรรดิบัลบารอสซ่าเป็นผู้คิดค้นขึ้น


แต่เวลานี้ไม่ใช่เวลาที่ทีลจะมาเดินชมเมืองเหมือนที่เคยมากับเพื่อนและพี่เลี้ยงของเขาเช่นทุกวัน ทีลรู้สึกเหนื่อยและต้องการกลับบ้านมากที่สุดในตอนนี้ เขาก้าวเท้าตามพ่อของเขาไปติดๆ มุ่งหน้าสู่บ้านอันเป็นที่พักพิงของเขา ในใจเขานึกถึงครอบครัวที่เหลืออยู่ซึ่งตอนนี้คงจะเป็นห่วงและรอเขากลับไปหาเหมือนเช่นทุกครั้งที่เขาจากบ้านมาแน่ๆ เมื่อคิดได้อย่างนั้นทีลก็ยิ้มออกมาเล็กๆ ที่มุมปากอาจะเป็นเพราะเขารู้ว่าอะไรจะต้องพบอะไรเมื่อกลับถึงบ้านกระมัง

END of EP. 01 : ก้าวสู่เกียรติยศ




 

Create Date : 17 มีนาคม 2550    
Last Update : 5 เมษายน 2550 22:08:14 น.
Counter : 443 Pageviews.  


sasarai
Location :
กรุงเทพ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




Friends' blogs
[Add sasarai's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.