ก็ว่าจะขีดเขียนไปเรื่อยๆ
Group Blog
 
All blogs
 
Suikoden I story EP : 03 มนุษย์ยักษ์สีดิน

Suikoden I story EP 03 : มนุษย์ยักษ์สีดิน

คฤหาสน์แมคดอลยามดึกสงัด แลดูเงียบเชียบ วังเวงกว่าที่เคย มองดูคล้ายไร้ซึ่งการเคลื่อนไหวและสุ้มเสียงใดๆ

เวลานี้เป็นว่าเวลาที่ทุกคนยังอยู่ในห้วงนิทรา หากแต่กับผู้ที่จักต้องออกเดินทางไปปฏิบัติกิจในที่ห่างไกล เวลานี้กลับใกล้เวลาที่จักต้องเริ่มออกเดินทาง

จอมทัพเทโอในชุดเกราะเต็มยศค่อยๆ บรรจงผลักประตูห้องของบุตรชายเข้าไปเบาๆ เทโอไม่ได้ต้องการรบกวนบุตรชายหากแต่รู้สึกอาลัยอารณ์อย่างประหลาด เขาจึงต้องการที่จะเห็นมองดูภาพบุตรชายของเขาและเก็บภาพเหล่านั้นไว้ยามห่างไกลกัน

เทโอเดินมาที่ข้างเตียงโดยมีเกรมิโอ้คนรับใช้คนสนิทติดตามมาไม่ห่าง ทีลยังคงหลับสนิท ใบหน้าอิ่มเอม สดใสราวกับเด็กเล็ก เทโอหวนคิดถึงวันวานที่พ้นผ่าน จะดีเพียงใดหากวันนี้ภรรยาของเขายังมีชีวิตอยู่ เฝ้าดูการเติบใหญ่ของบุตรชาย คอยอบรมบ่มเพาะคุณธรรมอย่างที่เคยเมื่อครั้งยังมีชีวิต

"พ่อคงจะไม่มีโอกาสได้พบหน้าลูกอีกนาน" เทโอรำพึงกับตัวเองเบาๆ คำพูดนั้นเปล่งออกมาเบาพอที่จะไม่รบกวนนิทราของบุตรชาย แต่ก็เปล่งออกมาได้ดังพอที่คนสนิทจะได้ยิน

"ใต้เท้าต้องการจะให้ข้าน้อยปลุกนายน้อยหรือไม่ขอรับ??" เกรมิโอ้รีบเอ่ยคำ เขาทั้งเข้าใจ ทั้งสลดใจที่ทั้ง 2 ต้องห่างไกลกันอย่างมาก

เทโอเกิดครุ่นคิดอยู่อึดใจ จึงกล่าวต่อ
"ไม่ต้องหรอก ปล่อยให้เขาหลับไปเถอะ ไม่ได้หมายความว่าจะไม่ได้เจอกันตลอดไปเสียหน่อย"

สิ้นคำไปได้ครู่หนึ่ง เกรมิโอ้สัมผัสได้ถึงความห่วงหาอาทรที่นายเหนือหัวแสดงออกมาบนใบหน้า และแววตายามทอดสายตามองดูบุตรชายที่รักเกินกว่าใคร แม้นจักไม่เอ่ยคำทว่าความหมายมากมายยิ่งกว่าคำนับพันคำเสียอีก

ความเงียบยังครอบคลุมบรรยากาศอยู่เป็นเวลาหนึ่ง จนกระทั่งจอมทัพเปล่งวาจาขึ้น
"เกรมิโอ้ เธอจะดูแลทีลเป็นอย่างดี...ใช่มั้ย"

"แน่นอนขอรับใต้เท้า"
เกรมิโอ้รีบตอบ น้ำเสียงจริงใจ

ตะวันทอแสงจากขอบฟ้า สาดแสงลงมายังเบื้องล่าง สร้างสีสันและความสว่างไสวให้แก่ทุกสรรพสิ่ง อากาศยามเช้าช่างแช่มชื่น นกน้อยตัวเล็กๆ ส่งเสียงร้องทักทายเจื้อยแจ้ว วิถีชีวิตของชาวนครเกรกมินสเตอร์ได้เริ่มต้นอีกครั้ง ผู้คนเริ่มออกจากบ้านเพื่อทำกิจวัตรของตนไม่เว้นแม้แต่คฤหาสน์ตระกูลแมคดอล ที่ยามนี้เหล่าผู้ติดตามและพี่เลี้ยงของทีลเริ่มเคลื่อนไหวและเตรียมพร้อมสำหรับกิจธุระของนายน้อยในวันนี้

เสียงถ้วยชามกระทบกันลอยมาแต่ไกล เกรมิโอ้กำลังจัดเตรียมโต๊ะอาหารสำหรับนายน้อยของเขาเหมือนที่เคยหากแต่อาหารนั้นมีเพียงพอสำหรับนายน้อยเพียงคนเดียว โดยปกติแล้วการทานอาหารพร้อมหน้ามักจะกระทำกันอย่างเป็นทางการในเวลาค่ำเท่านั้น โดยเฉพาะกับพาห์นที่แทบจะเข้าครัวทั้งวันหรือเคลโอที่งดข้าวเช้าด้วยเหตุผลส่วนตัวที่เธอไม่ยอมบอกใคร

เกรมิโอ้ขยับผ้ากันเปื้อนสีขาวที่คาดปกปิดตั้งแต่ส่วนอกจนเกือบถึงเข่านั้นเล็กน้อย "ฟู่..... มื้อเช้าเรียบร้อย" เขากล่าวกับตนเอง ก่อนจะก้าวเท้าออกจากห้องรับประทานอาหารมุงหน้าไปยังห้องของนายน้อยของเขา

เขาผลักประตูเข้ามาในห้อง นายน้อยของเขายังไม่ตื่น แต่เขาเองก็ไม่อยากรบกวนเท่าใดนัก เขากวาดสายตาไปรอบห้องแลเห็นโต๊ะเขียนหนังสือมีกองหนังสือวางอยู่ไร้ระเบียบเหมือนเคย นายน้อยของเขามักจะติดนิสัยชอบศึกษาตำราเฉพาะเรื่องที่ตนเองสนใจมาจากบิดาเป็นแน่ เกรมิโอ้คิดพลางจัดเรียงกองหนังสือให้เข้าที่เขาเห็นหนังสือในมือเล่มหนึ่งเขียนว่า "ศิลปะการต่อสู้ประชิดตัวในเชิงดาบที่แท้ โดย คาซิม ฮาซิล" เขาพลิกดูในเล่มครึ่งต่อครึ่งเป็นภาพวาดประกอบท่าทางการต่อสู้ เกรมิโอ้คิด "เด็กผู้ชายก็อย่างนี้กันทุกคนละนะ" เรื่องประวัติศาสตร์ โบราณคดีหรือเรื่องภาษาศาสตร์อะไรนั่นเป็นสิ่งที่นายน้อยของเขาหลีกหนีมาตลอด แต่กับเรื่องโลดโผนโจนทะยานนายน้อยของเขามักให้ความสนใจเป็นพิเศษ

"อรุนสวัสดิ์...เกรมิโอ้...." เสียงของทีลลอยมาจากอีกด้านของห้อง ทีลยันตัวขึ้นด้วยศอกทั้ง 2 ข้างผ้าห่มยังคงอยู่บนตัวผมเผ้ายามตื่นนอนยุ่งเหยิงและยามนี้ดูยุ่งเป็นพิเศษเพราะทีลไม่เคยใส่ผ้าโพกหัวเวลาเข้านอน เกรมิโอ้สังเกตได้ว่านายน้อยเพิ่งตื่นนอนเดี๋ยวนี้เอง

"อรุนสวัสดิ์ขอรับนายน้อย โอ้...นี่ข้าน้อยทำให้นายน้อยตื่นรึเปล่าขอรับ"
เกรมิโอ้ส่งเสียงตอบทันใด แต่เขาก็รู้ว่านายน้อยตื่นขึ้นเพราะเสียงกุกกักที่เขากึ่งตั้งใจทำให้มันเกิด

ทีลงัวเงียอยู่ครู่หนึ่งก่อนเอ่ยปากถาม
"พ่อไปแล้วเหรอ"

"นายน้อยขอรับ ใต้เท้าได้ออกเดินทางไปขณะที่นายน้อยยังหลับอยู่น่ะขอรับ" เกรมิโอตอบคำถาม

ได้ยินอย่างนั้นทีลก็เริ่มตื่นตัวขึ้นเล็กน้อย
"ไม่เห็นรู้เรื่องเลย...." แม้จะทำใจได้แล้ว แต่ทีลก็ยังอยากจะเป็นผู้ที่ส่งบิดาออกเดินทางด้วยตัวเอง เขารู้สึกเสียดายเล็กๆ ที่ไม่ได้เห็นภาพพ่อออกปฏิบัติราชการอยู่เหมือนกัน

"คงเป็นเพราะนายน้อยนอนดึกมากกว่าปกติกระมังขอรับ"
"วันนี้นายน้อยจะได้เริ่มทำหน้าที่ของกองทัพในฐานะที่เป็นส่วนหนึ่งของกองกำลังแห่งจักรวรรดิสกาเล็ตมูนแล้วสินะขอรับ" เกรมิโอ้กล่าวต่อ

เหมือนเป็นคำพูดเตือนสติที่กล่าวออกมาได้ถูกเวลา แววตาของทีลเปลี่ยนไปทันทีที่ได้ยิน ในความคิดขณะนี้เขาแยกและเรียงลำดับความสำคัญของสิ่งต่างๆ ออกได้ในทันที คำว่าหน้าที่ก้องอยู่ในหัวของทีล เขาย่อมไม่ทำให้พ่อผิดหวัง การรับใช้องค์จักรพรรดิโดยไม่ขาดตกบกพร่องนับเป็นเกียรติสูงสุดของตระกูลแมคดอล

เกรมิโอ้สังเกตท่าทีแล้วยิ้มออกมาอย่างพึงใจ ดูท่าว่าเขาคงไม่ต้องห่วงนายน้อยคนเก่งของเขาให้มากอย่างที่หลายคนห่วงก็ได้กระมัง เพราะเขาเล็งเห็นแล้วว่านายน้อยซึมซับหลายสิ่งหลายอย่างมากจากบิดาของเขามากมายพอดู
"เรารีบเตรียมตัวกันดีกว่าขอรับ การเข้าพบหัวหน้าหน่วยองครักษ์ไม่อาจชักช้าได้ ข้าน้อยเกรงว่าหากทำอะไรให้เขาขุ่นมัวเราอาจจะมีปัญหาในภายภาคหน้าก็ได้นะขอรับ"

ทีลพยักหน้าเป็นเชิงว่าเห็นด้วยกับคำพูด เกรมิโอ้ยิ้มให้เล็กน้อยจากนั้นจึงเดินนอกจากห้องไป ทีลไม่รอช้าเขารีบเตรียมตัวอย่างรวดเร็วทั้งทำความชำระสะอาดร่างกายและผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าจากนั้นจึงรีบรุดไปรับประทานอาหารที่ถูกจัดเตรียมเอาไว้ ทั้งนี้เป็นเพราะเขามองเห็นว่าแดดสาดแสงแรงกล้าออกมามากกว่าจะเป็นยามเช้าเสียแล้ว

เกรมิโอ้รอคอยจนนายน้อยของเขารับประทานมื้อเช้าเสร็จสรรพแล้ว จึงหยิบยื่นของสิ่งหนึ่งให้นายน้อย ทีลมองเห็นในมือของเกรมิโอ้กำพลองยาวสีดำด้ามหนึ่ง ขนาดไม่ใหญ่โตสักเท่าใด บริเวณด้ามส่วนปลายแกะสลักลวดลายสีทองสวยสดงดงาม ปลายสุดของพลองแต่ละด้านมีสิ่งที่ดูเหมือนลูกแก้วกลมสีทองติดอยู่ คาดเดาจากน้ำหนักส่วนกลางและส่วนปลายแล้วคาดการณ์ว่าลูกแก้วทั้งสองลูกนี้คงมีน้ำหนักตามสมควรสำหรับถ่วงน้ำหนักและเพิ่มกำลังทำลายให้แก่กระบวนท่าโจมตี

ทีลยื่นมือออกไปรับมาพลางกล่าว "ขอบคุณนะ เกรมิโอ้" เขาหวนระลึกถึงอาจารย์เฒ่าผู้สอนสั่งฝีพลองให้เขาขึ้นมาทันใด อาจารย์เฒ่าหายตัวไปไม่บอกกล่าวทีลรู้สึกเป็นห่วงอาจารย์เฒ่าขึ้นมาจับใจ

ทั้งนายบ่าวเมื่อก้าวเท้าลงถึงชั้นล่างของบ้าน พลันได้ยินเสียงคุ้นหูลอยมา
"เอาล่ะ ได้เวลาทำงานของพวกเราหลังจากที่หยุดงานกันมานานกันแล้วละนะ" ทีลย่อมจดจำได้สุ้มเสียงทุ้มห้าวอันคุ้นหูนั่นคือเสียงของพาห์น 1 ในพี่เลี้ยงของเขาเป็นแน่

แลเห็นเคลโอ้ที่ยืนอยู่ห่างๆ แสดงสีหน้าละเหี่ยใจออกมาพร้อมพึมพำกับตนเองเบาๆ ว่า "ไอ้ที่หยุดงานของพี่เลี้ยงและผู้ติดตามมานานน่ะมันเจ้าต่างหากละ พวกข้าหรือต้องดูแลธุระ คอยอบรมสั่งสอน แล้วเจ้าละทำกิจอันใด นอกจากกินกับนอน??"

ขณะนั้นเขาหันไปพบนายน้อยในสภาพเตรียมพร้อมพอดิบพอดี "เฮ้.. เขามาแล้วละ" ดูเหมือนพาห์นจะไม่ได้ยินสิ่งใดในยามนั้น ซึ่งก็คงจะเสียเวลาไม่น้อยหากทีลต้องยืนรอพี่เลี้ยงทั้งสองโต้คารมกันเสร็จสิ้นเสียก่อน ทีลพบเห็นทั้งสองอยู่ในสภาพเตรียมพร้อมในชุดเกราะเช่นกัน จึงลอบยินดีขึ้นมาในใจคิดว่าให้แย่อย่างไรก็คงพึ่งพาพี่เลี้ยงของเขาได้

"นายน้อย....ท่านสายแล้วนะขอรับ นี่วันทำงานวันแรกของท่านเชียวนะขอรับ... ข้าพเจ้าละตื่นเต้นจริงขอรับ" พาห์นรู้สึกตื่นเต้นกับวันแรกในสังคมอังทรงเกียรติของนายน้อย ทีลเลิกคิ้วขึ้น แปลกใจวูบหนึ่ง น้อยครั้งนักที่เขาจะได้พบพี่เลี้ยงคนนี้ของเขาแสดงอาการตื่นเต้นอย่างนี้สักครา

"ไม่ว่าจะให้ไปสู้รบกับพวกโจรที่เขาเซฟู หรือสัตว์ร้ายแห่งทะเลสาปโทรัน พาห์นผู้นี้จะคอยออกหน้าพิฆาตเหล่าอุปสรรคที่ขวางทางเหล่านั้นเองขอรับ" พาห์นยังคงตื่นเต้น พรั่งพรูถ้อยคำไม่สิ้นสุด

เคลโอ้เริ่มเห็นว่าความตื่นเต้นนั้นเริ่มออกนอกลู่นอกทาง จึงปรามขึ้นว่า "น้อยๆ หน่อยเถอะพาห์น ในหัวของนายคิดได้แต่เรื่องต่อสู้หรือไรกัน??"

"งานของพวกเรานั้นสำคัญคืออารักขานายน้อยให้แคล้วคลาดรอดพ้นเท่านั้น ขออย่าเพิ่งคิดการณ์ไปไกลเกิน" เคลโอ้ ย้ำอีกครั้ง เมื่อถึงตรงนี้ทีลก็อดที่จะขำขันเสียไม่ได้

พาห์นได้ยินดังนั้น หันไปค้อนใส่เคลโอ้วูบหนึ่ง จากนั้นจึงกล่าว "ข้าพเจ้ารู้ ข้าพเจ้ารู้ เอาเป็นว่าตอนนี้เรารีบเดินทางไปยังพระราชวังกันเถอะ"

ทีลเหลียวซ้ายขวาไม่เห็นเท็ดแต่อย่างไร หากแต่ยามนี้เสียเวลามามากเกินไปแล้วจึงตัดสินใจผละจากคฤหาสน์ทันที แต่แล้วขณะจะปิดผนึกประตูทางเข้ากลับได้ยินเสียงตึงตังดังมาจากส่วนในของคฤหาสน์
เจ้าของเสียงเปิดประตูที่กั้นระหว่างส่วนในและส่วนนอกอย่างเร่งร้อน เจ้าของฝีเท้านั่นเป็นเท็ดนั่นเอง "เฮ้...รอฉันด้วยสิทีล นี่ตั้งใจจะไปกันโดยไม่มีฉันอย่างนั้นหรือ??"

เท็ดรีบวิ่งออกมาอยู่ข้างพลางยิ้มให้เกรมิโอ้ขณะรอปิดประตู จากนั้นจึงหันหน้าไปกล่าวกับทีล "นายก็รู้นี่ว่าถ้าฉันไม่อยู่ละก็นานต้องเหงาแน่" ทีลยิ้มรับ ขณะนี้เขากำลังปรับอารมณ์กำหนดความสำคัญของเรื่องราวจึงไม่ได้หยอกล้อสนทนากับเท็ดอย่างที่เคย เท็ดเห็นดังนั้นเข้าใจดีไม่กล่าวอันใดอีก ทั้งหมดจึงมุ่งหน้าสู่พระราชวังตามที่นัดหมายกับหัวหน้าหน่วยองครักษ์

พระราชวังในวันนี้มีผู้คนบางตากว่าเมื่อวานมากนัก โดยเฉพาะเหล่าทหารหาญที่จำเป็นต้องแบ่งกำลังส่วนหนึ่งซึ่งไม่น้อยเลยตามจอมทัพเทโอไปปฏิบัติหน้าที่ เท็ดเหลียวซ้ายแลขวาเหมือนตกตะลึงกับสถานที่โอ่อ่าประดับตกแต่งสวยงาม

ไม่นานนักทั้งหมดก็มาถึงที่หมาย ทีลหันมาปรายมือต่ำระดับเอวขวางเหล่าพี่เลี้ยงเอาไว้ เคลโอ้พบเห็นท่าทางดังนั้นก็เข้าใจทันทีพลางพงกหัวรับคำจากนั้นจึงรั้งเกรมิโอ้ที่พยายามจะเข้าไปด้วยเอาไว้ทันท่วงที

"ขออนุญาตขอรับ" ทีลกล่าวขออนุญาติจากเจ้าของห้องที่ขณะนี้กำลังจรดปากกาขนนกเขียนเอกสารอย่างเร่งร้อน

ชายเจ้าของห้อง ใช้นิ้วมือกดแว่นลงกับจมูกยาวของเขาก้มหน้ามองทีลเล็กน้อย ลอบถอนหายใจเฮือกหนึ่ง จากนั้นจึงเอ่ยว่า "เข้ามาได้"

ทีลก้าวเข้าไปในห้องอย่างสำรวม ตั้งใจว่าจะทำทุกสิ่งไม่ให้ผิดพลาดแม้แต่น้อย จากนั้นจึงยืนตรงที่เบื้องหน้าชายผู้เป็นขุนนางเจ้าของห้องนี้ ทีลจับพลองแนบข้างลำตัวในแนวตั้ง สองเท้าใกล้ชิดกัน สายตามองไปยังเบื้องหน้า วันนี้หัวหน้าหน่วยองครักษ์คราเซ่ก็ยังดูไม่มีไมตรีจิตเช่นเดิม

คราเซ่หยุดมือจากงานเอกสารของเขา พลางจับจ้องมาที่ทีล กวาดสายตามองดูทีลอย่างละเอียด
"เฮอะ.. บุตรแห่งเทโอนี่เอง เจ้ามาถึงตัวข้าเวลานี้ถือว่าชักช้า" คราเซ่กล่าวน้ำเสียงเย็นชา ค่อนเหยียดหยาม

ทีลได้ยินดังนั้นได้แต่กล่าวตำหนิตนเอง อย่างไรเสียก็เป็นตนเองเท่านั้นที่ไม่รักษาเวลา เพราะฉะนั้นย่อมมิผิดพลาดอันใดหากจะต้องถูกตำหนิ
คราเซ่เมื่อเห็นทีลไม่มีอาการโต้ตอบจึงกล่าวต่อ "เจ้าควรจะรู้ไว้อย่างหนึ่ง นั่นคือจะไม่มีผู้ใดคอยประคบประหงมเจ้าตลอดชีวิตหรอกนะ"

ทีลยังคงสงบนิ่งไม่ไหวติง รับคำสั้นๆ เพียงแค่กล่าวว่า "ขอรับท่านคราเซ่"
ทีลถูกสั่งสอนมาให้คิดการด้วยเหตุผล หวนคิดถึงคำสอนของอาจารย์ "คำลวงย่อมเสนาะหูอย่างไร คำจริงย่อมระคายหูยิ่งกว่า" หากคิดตามข้อเท็จจริงแล้วสิ่งที่เขาได้ยินจากคราเซ่อาจจะมาจากเจตนาที่ดีก็ได้

คราเซ่ลอบชมเชยเด็กหนุ่มอยู่ในใจ ด้วยวัยเพียงเท่านี้กลับหนักแน่นและเปี่ยมไปด้วยมารยาทดุจดั่งผู้มากประสบการณ์ เลิกคิดคุกคามเด็กหนุ่มอย่างไร้ประโยชน์ กล่าวว่า
"ต่อไปนี้สิ่งที่ข้าจะกล่าวล้วนหมายถึงงานแรกของเจ้าที่เจ้าจักได้รับมอบหมายจากองค์จักรพรรดิ จงตั้งใจรับรู้ให้ดียิ่ง ข้าจะกล่าวกับเจ้าเพียงหนึ่งครั้ง"

"ขอรับท่านคราเซ่" ประโยคเดิมถูกทีลเอ่ยขึ้นมาเป็นครั้งที่สอง

เมื่อเห็นเป็นเช่นนี้คราเซ่จึงกล่าวต่อไป "ทิศตะวันออกเฉียงเหนือของนครเกรกมินสเตอร์ อันเป็นที่ตั้งของเกาะอันเป็นที่อยู่ของผู้ทรงพลังเวท.... และผู้หยั่งรู้อนาคตเล็คนาร์ทย่อมอาศัยอยู่ที่นั่น" สิ้นประโยคจึงชายตามองทีลวูบหนึ่ง

ทีลยังคงสงบสำรวม ภายในสมองกำลังคิดถึงผู้หยั่งรู้ ถามตัวเองว่าเขาเคยได้ยินเรื่องของสตรีนางนี้มาก่อนหรือไม่ ย่อมต้องเคยได้ยินแน่ หากแต่เนิ่นนานมากแล้วความทรงจำจึงลางเลือน

คราเซ่สังเกตุเห็นคิ้วของทีลขมวดเล็กน้อย จับได้ว่าทีลไม่อาจรู้จักสตรีนางนี้ เพื่อให้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์กับการปฏิบัติภารกิจ คราเซ่ย่อมต้องบอกกล่าว
"สตรีนางนั้นมีหน้าที่เฝ้ามองดูเหล่าดวงดาวบนท้องฟ้า หยิบจับมาเป็นเครื่องมือบ่งบอกสิ่งที่จะเกิดขึ้น เจ้าจงเดินทางไปที่นั่นและนำสิ่งที่นางรู้มาส่งต่อแก่ข้า"

ทีลนึกภาพการทำนายของนางตามที่บอกเล่า หลงลืมไปว่าเผลอตัวไปชั่วครู่ ย่อมไม่อาจรอดพ้นสายตา
"เจ้าตั้งใจฟังข้าอยู่หรือไม่?? ไหนลองบอกกับข้าสักคราสิว่าที่ตั้งของเกาะแห่งนั้นอยู่แห่งหนใด??" คราเซ่กล่าวถามเสียงดุ ในใจเกลียดชังผู้ที่ไม่เคารพตนเองมากที่สุด ยามนี้เห็นทีลเหม่อลอยเพียงวูบเดียวแม้ไม่ทราบว่าเพราะเรื่องใด แต่เท่านี้ก็เพียงพอให้เดือลดาลแล้ว

ทีลได้สติ รีบตอบหนักแน่นชัดถ้อยชัดคำว่า
"ทิศตะวันออกเฉียงเหนือของนครเกรกมินสเตอร์ ขอรับท่านคราเซ่"

"เฮอะ.... ดูเหมือนเด็กน้อยอย่างเจ้าก็ยังรู้ภาษา เจ้าจงรอฟังสักครู่ข้าจะบอกเล่ารายละเอียดต่างๆ ให้เจ้าอีกสักเล็กน้อย" เมื่อเอาผิดไม่ได้ คราเซ่จึงเริ่มที่จะบอกกล่าวรายละเอียดต่อไป
"ไม่มีเรือสำหรับนำพาเจ้าไปยังเกาะนั้น หากแต่ข้าได้เตรียมการอัศวินมังกรจากกองทัพอัศวินแห่งถ้ำมังกรเอาไว้แล้วสำหรับนำพาพวกเจ้าไปยังจุดหมาย ซึ่งเจ้าสามารถพบเขาได้ที่บริเวณด้านหน้าของโรงนาที่ใกล้ที่สุด จากนั้นมังกรจักนำพาเจ้าสู่เกาะอันเป็นที่หมายเอง" กล่าวจบคราเซ่ก็เอื้อมมือไปคว้าปากกาขนนกมาจุ่มลงในขวดหมึก ดึงเอกสารออกมาจากกองบนโต๊ะเป็นสัญญาณให้ทีลออกไปได้แล้ว

ทีลก้มศีรษะให้อย่างนอบน้อม พลางเดินถอยหลังไปที่ทางออกอย่างสำรวม คราเซ่สังเกตเห็นจึงคิดแนะนำเพิ่มเติม แสร้งก้มหน้าเขียนเอกสารต่อกล่าวว่า
"ข้าขอบอกไว้อีกอย่าง สตรีผู้หยั่งรู้นามว่าเล็กนาร์ทเป็นน้องสาวร่วมสายเลือดกับมหาอำมาตย์วินดี้ ฉะนั้นการเจียมเนื้อเจียมตัวไม่ประพฤติผิดมารยาทนั้นย่อมฉลาดหลักแหลมกว่า"

ทีลถอยหลังมาถึงทางออก มองเห็นคราเซ่ก้มหน้าเขียนเอกสารดังเดิม ปากกาขนนกในมือเคลื่อนไหวอยู่เหนือกระดาษอย่างรวดเร็วบ่งบอกได้ชัดเจนว่าคราเซ่คุ้นเคยกับงานตรงหน้ามากเพียงใด ใบหน้าของคราเซ่ดูไม่มีอารมณ์อะไรมากไปกว่าความรู้สึกเคร่งเครียดกับจำนวนที่มากมายของงานเอกสารตรงหน้า ทีลโค้งคำนับครั้งหนึ่งก่อนจะกลับตัวเดินออกมาจากห้องช้าๆ

ขณะเดินตรงมายังทางออก ทีลเหลือบไปเห็นเกรมิโอ้กับพาห์นสองคนเอาหูแนบอยู่กับกำแพงอีกด้านของห้องที่เขาเพิ่งออกมา ทั้งสองหลับตาใบหน้าบิดเบี้ยวคล้ายกำลังใช้สมาธิทำอะไรสักอย่าง โดยมีเคลโอ้และเท็ดยืนรออยู่ใกล้ๆ

ทีลพบเห็นเช่นนั้นจึงครุ่นคิดขึ้นชั่วขณะ รู้ได้ทันทีว่าทั้งพาห์นและเกรมิโอ้กำลังพยายามจะดักฟังการสนทนาของเขากับคราเซ่อย่างตั้งใจ หากแต่การที่เขาออกมาด้านนอกแล้วเขายังไม่รู้ตัวนั้นย่อมหมายความว่าทั้งคู่คงไม่ได้ยินอะไรเลยมากกว่าหรือหากจะบังเอิญได้ยินก็คงจะเป็นเพียงส่วนเล็กส่วนน้อยเท่านั้น

เพียงชั่วครู่เคลโอ้และเท็ดก็พบว่าทีลเสร็จธุระได้ครู่หนึ่งแล้ว เวลานี้ทีลก็กำลังจ้องมองพาห์นและเกรมิโอ้อย่างงุนงงอยู่เบื้องหน้า เคลโอ้จึงแสร้งกระเอมขึ้นมา "อะ..แฮ่ม"

พี่เลี้ยงทั้งคู่ลืมตาขึ้น พบเห็นนายน้อยอยู่เบื้องหน้าถึงกับตะลึงลานทำตัวไม่ถูก ได้แต่ยิ้มแห้งๆ แก้เก้อกันเองสองคน
ทีลเห็นดังนั้นจึงหรี่ตาลงเล็กน้อย ทำทีว่าไม่เชื่อถืออย่างใด พลางก้าวเท้ามุ่งหน้าตรงไปยังทางออก พาห์นและเกรมิโอ้เห็นเช่นนั้นจึงรีบก้าวเท้าตามไปอย่างเร่งด่วน ส่วนเคลโอ้และเท็ดทั้งสองหันมายิ้มให้กันเล็กน้อยหัวเราะเบาๆ ยาวนานพลางก้าวเท้าตามทั้งหมดไปอย่างใจเย็น

เมื่อพาห์นและเกรมิโอ้ก้าวพ้นประตูทางเข้าพระราชวัง พบเห็นทีลยืนรออยู่ที่ลานกว้างหน้าพระราชวัง เวลานี้สายมากแล้วดวงตะวันทอแสงแรงขึ้นเรื่อยๆ จนทั้งคู่ต่างต้องหรี่ตาลงเล็กน้อย ทั้งคู่ต่างรู้ดีว่าสิ่งที่ตนทำนั้นเป็นการไม่สำรวมต่อสถานที่เป็นอย่างมาก หากแต่ที่ได้กระทำลงไปนั้นย่อมมีเหตุผลคนละหนึ่งประการ พาห์นมีเหตุผลประการหนึ่งคือต้องการสิ่งที่ตื่นเต้นเร้าใจฉะนั้นจึงอดไม่ได้ที่จะแอบฟังดูว่าสิ่งที่ต้องทำวันนี้คืออะไร เกรมิโอ้มีเหตุผลอีกประการหนึ่งคือเป็นห่วงนายน้อยมาตรว่ากลัวหัวหน้าหน่วยองครักษ์จะกลั่นแกล้งเอา เหตุผลนี้ดูจะสมควรอยู่แต่ยังไม่อาจลดโทษให้ได้ โชคยังดีที่ในวันนี้ผู้คนในพระราชวังมีน้อยนิด จึงไม่มีใครพบเห็น

ทีลยิ้มเล็กน้อยหากแต่ดูเย็นชา ถามขึ้นเสียงเรียบว่า
"เมื่อครู่พวกท่านทำอะไรกันอยู่หรือ??"

พาห์นรีบตอบว่า
"ชะ....ข้าพเจ้าตั้งใจจะมาติดตามภารกิจแรกของนายน้อยแท้ๆ แต่แล้วกลับกลายเป็นงานที่ใช้ให้ใครไปทำก็ได้นี่นะ"
พาห์นแกล้งกล่าวเปลี่ยนเรื่องเป็นเรื่องเนื้อหาของภารกิจที่เขาพยายามแอบฟังแล้วนำมาจับต้นชนปลายเอาเองเมื่อครู่ พลางชำเลืองดูทีล ยังคงเห็นทีลยิ้มอยู่เช่นเดิม เค้าเริ่มรู้สึกหนาววูบขึ้นมาแม้จะอยู่ท่ามกลางแสงแดดแรงกล้าก็ตาม หากเป็นจอมทัพเทโอละก็ทั้งสองคงไม่พ้นโดนลงโทษเป็นแน่

แต่กระนั้นพาห์นก็ยังกล่าวต่อ
"นี่หากข้าพเจ้ายังเป็นเยาว์วัยอยู่ละก็ ข้าพเจ้าคงหวังเป็นอย่างยิ่งให้ภารกิจแรกเต็มไปด้วยอะไรที่น่าตื่นเต้นเป็นแน่"

ทีลยังคงยิ้มเช่นเดิมหากแต่ความในใจผิดแผกไปจากที่พาห์นคิด เขาเพียงแค่อยากจะลองเลียนแบบพ่อของเขาดูบ้างเท่านั้นเองซึ่งดูประสบผลสำเร็จดี แม้ว่าเรื่องที่พี่เลี้ยงทั้งสองของเขาเพิ่งกระทำลงไปไม่ใช่เรื่องสมควรนัก แต่ทีลทราบดีว่าวันนี้ไม่มีใครหรอกที่จะพบเห็นได้ง่ายๆ ด้วยความที่เยาว์วัยจึงไม่คิดติดใจใดๆ อีก

เคลโอ้และเท็ดตามมาถึงพอดี เคลโอ้แลเห็นสีหน้าของทีลวูบหนึ่ง คิดอ่านได้ทันทีว่าทีลคิดสิ่งใดอยู่ในใจ พาห์นนั้นเป็นผู้ที่นิสัยหยาบกระด้าง ย่อมไม่ใช่เรื่องแปลกหากจะลืมสังเกตลึกลงไปในแววตาของนายน้อยที่แจ่มใสนัก แววตาเช่นนี้ย่อมไม่นำพาความขุ่นมัว

เคลโอ้จึงวางใจว่าทีลไม่ได้ถือสาหาความอันใดทั้งสิ้น กล่าวว่า
"เอาน่า...พาห์น"
เคลโอ้กล่าวขณะเดินมาตบไหล่ของพาห์นที่กำลังกระวนวายอยู่เบาๆ จากนั้นจึงกล่าวต่อว่า
"ผลทำนายจากดวงดาวอะไรนั่น น่าจะเป็นสิ่งที่สำคัญต่อจักรวรรดิพอดูเชียวล่ะ ฉันคิดว่ามันก็เป็นภารกิจที่ไม่เลวนักหรอกน่า... ฉันกล่าวได้ถูกต้องใช่ใหมคะ นายน้อย..."

ทีลได้ยินดังนั้นครุ่นคิดขึ้น "ไม่เคยมีอะไรตบตาเคลโอ้ได้เลยจริงๆ" แม้เธอจะไม่ได้คลุกคลีกับทีลเท่ากับเกรมิโอ้หากแต่เธอเป็นคนที่ละเอียดอ่อน รายละเอียดเพียงเล็กน้อยเธอกลับไม่มองข้าม คิดอ่านดังนั้นทีลก็หัวเราะเบาๆ พยักหน้าให้กับพี่เลี้ยงสาวของเขา ตอบว่า "ถูกต้องแล้ว เคลโอ้....ผมไม่เคยมีอะไรตบตาเคลโอ้ได้เลยจริงๆ"

ได้ยินดังนั้นพาห์นค่อยใจชื้นขึ้นมาบ้าง ลอบถอดถอนใจเฮือกใหญ่

เกรมิโอ้ที่อยู่ด้านข้างยิ้มเล็กน้อย รู้สึกยินดีที่บรรดาพี่เลี้ยงและคนติดตามของนายน้อยเป็นผู้ที่มีความละเอียดรอบคอบ เอาใจใส่กับนายน้อยได้มากมายถึงเพียงนี้ ส่วนตัวของเขานั้นย่อมรู้นิสัยนายน้อยดีแล้วจึงไม่ได้รู้สึกกระวนกระวายอันใด

เมื่อเท็ดเห็นว่าสถาณการณ์คลี่คลายลงได้ดีแล้วจึงร้องขึ้น
"เฮ้...ทีล นี่เรากำลังจะได้ขี่มังกรสินะ แถมยังได้พบกับอัศวินมังกรตัวจริงเสียงจริงด้วยนะ อัศวินมังกรน่ะจะต้องดูเท่ห์มากแน่ๆ เร็วเข้าเถอะ พวกเรารีบไปกันเถอะ"

ทีลยิ้มกว้าง ตอบว่า
"นั่นสินะ งั้นเรารีบไปกันเถอะ"

คณะเดินทางก้าวเท้าเดินไปตามทางแยกทางทิศตะวันออกของพระราชวังครู่หนึ่งพบเห็นสภาพพื้นดินแตกต่างกับลานหน้าพระราชวังที่ปูพื้นด้วยแผ่นหินมากมาย บริเวณนี้ไม่มีวัตถุใดปูพื้นเลย เห็นเป็นผืนดินสีทองสดใสยามต้องกับแสงแดดแรงกล้าเช่นเวลานี้ เมื่อมองไกลออกไปพบเห็นโรงนาที่มีฟางข้าวเก็บกักเอาใว้จนล้นออกมาด้านนอก มีผู้คนเดินไปมาอยู่เพียงไม่กี่คน คิดอ่านได้ว่าเวลานี้ไม่ใช่เวลาที่จะมีงานให้ใครทำในสถานที่นี้

ที่ลานกว้างหน้าโรงนานั้นมีมังกรสีดำเขื่องขนาดใหญ่ แลเห็นได้แต่ไกลอยู่ตัวหนึ่ง ใกล้ๆ นั้นสังเกตเห็นได้ว่าเป็นเด็กหนุ่มผู้หนึ่งยืนอยู่ข้างๆ อย่างสงบแลดูท่าทีคล้ายกับรอคอยอะไรสักอย่าง

เพียงชั่วอึดใจทั้งหมดก็เดินมาถึงมังกรตัวนั้น ทันทีที่เท็ดได้พบเห็นมังกรตัวนี้ในระยะใกล้ถึงกับตกตะลึงในความน่าเกรงขามของมัน เกล็ดสีดำแวววับส่งเสริมความคิดอ่านของเท็ดให้น่าฉงนสงสัย มังกรดำนั้นกลับดูสงบมากกว่าลักษณะภายนอกที่ดูน่ากลัว เมื่อทุกคนเดินเข้ามาใกล้มันเพียงชูคอขึ้นมองผู้คนเพียงเล็กน้อยเท่านั้น

เสียงเด็กหนุ่มดังสดใสเอ่ยว่า
"ท่านคือเหล่าองค์รักษ์อย่างนั้นหรือ ข้าชื่อฟุทช์ อัศวินมังกรฝึกหัดขอรับ และนี่คือมังกรของข้าเอง นามว่า แบล็คขอรับ"
เด็กหนุ่มกล่าวแนะนำตัวอย่างสุภาพ โค้งศีรษะคำนับให้คราหนึ่ง ท่าทางของเขาดูสำรวมอย่างมาก

เคลโอ้เพ่งดูฟุทช์อย่างพิเคราะห์ พบว่าเด็กน้อยผู้นี้อายุน่าจะอยู่ราวๆ 10 ขวบเท่านั้น จึงครุ่นคิดขึ้นชั่วขณะ เด็กอายุเพียงเท่านี้ยังได้เป็นถึงอัศวินมังกรเชียวหรือ?? แม้จะเป็นอัศวินมังกรฝึกหัดก็ตาม หากแต่รัดเกล้าสีเหลืองทองที่ด้านข้างมีลักษณะคล้ายปีกมังกรขณะสยายปีกอย่างเต็มที่นั้นย่อมเป็นสัญลักษณ์ของอัศวินมังกรไม่ผิดแน่ พลางชำเลืองมองดูต่ำลงมา พบเห็นฟุทช์สวมใส่เกราะลำตัวสีเงิน เกราะไหล่สีเทาเข้มแลดูแข็งแรงนั้นไม่น่าจะเป็นสิ่งที่เด็กๆ น่าจะสามารถเอามาใส่เล่นกันได้

ทุกคนตะลึงลานชั่วขณะ ไม่เคยคาดคิดมาก่อนว่างานในพระราชวังอันเป็นภารกิจสำคัญนั้น กลับปล่อยให้เป็นภาระของเด็กน้อยผู้หนึ่งซึ่งเป็นเพียงแค่อัศวินมังกรฝึกหัด หากแต่จำเป็นต้องยอมรับอย่างเลี่ยงไม่ได้ด้วยเหตุผลประการหนึ่ง กล่าวคือเมื่อนึกถึงชื่อเสียงของทัพอัศวินมังกรแล้วย่อมแน่ใจได้ว่าเด็กหนุ่มคนนี้นั้น ฝีมือย่อมเป็นที่ไว้วางใจได้อย่างแน่นอน

คิดอ่านดังนั้นเคลโอ้และเกรมิโอ้จึงโค้งศีรษะตอบรับฟุทช์คราหนึ่ง ประจวบเหมาะกับทีลที่กำลังโค้งศีรษะตอบอยู่ก่อนครู่หนึ่งจนแทบจะพร้อมกัน

ฟุทช์เห็นดังนั้นรู้สึกเบิกบานในใจ คลายความตึงเครียดลงได้หลายส่วน จึงกล่าวกับแบล็คว่า
"เฮ้...แบล็ค แนะนำตัวเองหน่อยสิ"

สิ้นคำของฟุทช์ แบล็คจึงอ้าปากกว้างกู่ร้องออกมาเสียงดังสดใส ครู่หนึ่งจึงสงบเสียงดังเดิม

ฟุทช์รอให้แบล็คสงบเสียงลงจนสิ้น จากนั้นหันมากล่าวคำกับทีลและพรรคพวกอย่างเบิกบานว่า
"เป็นไงละ เขาน่ารักมากใช่มั้ยละ แบล็คจะนำพาพวกท่านสู่เกาะของผู้ทรงเวทในเวลาเพียงไม่กี่อึดใจเท่านั้น"
พลางชำเลืองมองไปทางแบล็ค แบล็คพ่นลมออกมาทางจมูกบังเกิดเสียงเบาบางเป็นเชิงรับคำ

เท็ดที่ตะลึงลานตั้งแต่รับรู้ว่าอัศวินมังกรที่ตนใฝ่ฝันจะได้พบพานสักครากลายเป็นเด็กน้อยคนหนึ่ง พลันได้สติจากเสียงกู่ร้องของแบล็คเมื่อครู่ พลันก้าวเท้าตรงออกมายังฟุทช์ที่อยู่เบื้องหน้า ร้องว่า
"นายเป็นอัศวินมังกรจริงๆ น่ะเหรอ นายยังเป็นเด็กน้อยอยู่เลยนะ"

อัศวินมังกรทุกผู้คนยึดมั่นในเกียรติของตนเป็นอย่างมาก คำพูดเช่นนี้สร้างความเดือลดาลแก่ฟุทช์ไม่น้อย ฟุทช์ขมวดคิ้วตอบคำว่า
"ท่านกล่าวอะไรของท่านน่ะ ท่านเองก็ยังเด็กเหมือนกันมิใช่รึ"

เท็ดรีบตอบกลับอย่างเดือลดาลว่า
"ฉันเนี่ยนะเด็กน้อย...!? รู้ไว้ด้วยนะว่าวัยเด็กของฉันน่ะมันผ่านมาตั้งสามระ....."

ยังไม่ทันสิ้นคำของเท็ดเกรมิโอ้ก็เดินแทรกเข้ามาตรงกลางขวางคนทั้งสองไว้ เขายิ้มเล็กน้อยให้ทั้งคู่ พลางกล่าวว่า
"ไม่เอาน่าเท็ด พอได้แล้วละ รีบไปทำหน้าที่ให้เสร็จสิ้นกันดีกว่า"

ยามนี้เท็ดไม่สนใจอะไรแล้ว ไม่รู้ว่าทำไมเท็ดจึงโกรธเรื่องที่มีคนว่าเขาเป็นเด็กนักหนา ปัดมือเกรมิโอ้ออก พยายามจะพุ่งตัวเข้าไปหาฟุทช์ พลางตวาดว่า
"ปล่อยฉันนะเกรมิโอ้!! เขาเรียกฉันว่าเด็กน้อยนะ!!"

เคลโอ้เห็นท่าไม่ดี หากเสียเวลาด้วยเรื่องไม่เป็นเรื่องเช่นนี้เกรงจะเกิดผลเสียต่อส่วนร่วม ก้าวเท้าเดินเข้าไปหาเท็ด เอื้อมมือจับไหล่ กล่าวว่า
"โอ...หนุ่มน้อย นี่เรากำลังจะออกเดินทางกันนะ"
เสียงนั้นเรียบเฉยแต่เย็นเยียบ จนเท็ดรู้สึกสะท้านเข้าไปที่หัวใจ เขารู้สึกเหมือนกับว่าหากไม่ยอมตามคำพูดนี้ ย่อมไม่เป็นผลดีต่อตัวเองแน่ จึงผละมือออก ยืนกอดอกมองดูแบล็คอย่างขุ่นมัว

แม้จะเป็นอัศวินมังกรก็ตาม แต่ฟุทช์เองก็ยังเยาว์วัยมากนัก เมื่อเห็นเท็ดมีกริยาชวนทะเลาะเช่นนั้นไหนเลยที่ฟุทช์จะยอมได้ พาห์นเห็นว่าเคลโอ้เดินไปห้ามเท็ดแล้ว ตนเองจึงปราดเข้ามาขวางทางฟุทช์บ้าง กล่าวว่า
"ไม่เอาน่าท่านฟุทช์ เรารีบไปกันเถอะ"

ฟุทช์ขมวดคิ้วขึ้น กล่าวออกมาอย่างไม่เต็มใจนัก
"ตกลง ตกลง.... ขอทุกท่านโปรดปีนขึ้นกระเช้าที่ติดอยู่ด้านหลังของแบล็คเดี๋ยวนี้เลยขอรับ"
พลางชี้นิ้วไปบนหลังของแบล็ค พบเห็นเป็นที่นั่งขนาดพอดีกับพื้นที่บนหลังของแบล็ค สานด้วยหวายเส้นใหญ่ท่าทางแข็งแรง เชื่อมเข้าหากันและกันอย่างแน่นหนาผ่านลำตัวของแบล็คโดยรอบ เว้นช่องให้ปีกลอดออกไปได้อย่างสบาย ทำให้ไม่ส่งผลถึงการบินแต่อย่างใด

เกรมิโอ้หันหน้ามากล่าวกับทีลว่า
"ขอให้ข้าน้อยได้ขึ้นไปก่อนนะขอรับ จะได้ทดสอบความแข็งแรงไปในตัว"
พลางปีนขี้นไปก่อน เกรมิโอ้ทดลองดึงหวายเกือบทุกเส้นเพื่อตรวจสอบความแข็งแรงทนทาน พบว่าหวายเหล่านี้ผูกเอาไว้อย่างแน่นหนาและมีความเหนียวมากกว่าที่คาดเอาไว้มากมาย จึงโบกมือเป็นสัญญาณบอกมายังเบื้องล่างว่าไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง ทุกคนจึงทยอยปีนขึ้นไปบนหลังของแบล็คที่ยังคงนอนสงบนิ่งอยู่เช่นเดิม

เมื่อทุกคนขึ้นไปครบทุกคนแล้ว ฟุทช์จึงกระโดดขึ้นไปยืนที่หัวของแบล็ค เขาก้มลงไปตบหน้าผากของแบล็คเบาๆ แบล็คจึงเริ่มขยับตัวจากหมอบเป็นค่อยๆ ยันตัวขึ้นช้าๆ

ฟุทช์ที่ยังยืนอยู่บนศีรษะของแบล็คค่อยๆ ไต่ลงมายังส่วนคอของแบล็คพลางร้องว่า
"ทุกท่านพร้อมแล้วใช่หรือไม่ ยึดกับที่นั่งของท่านให้แน่นนะขอรับ มิเช่นนั้นพวกท่านอาจจะร่วงหล่นไปก็ได้"

ฟุทช์ชำเลืองมองเท็ดครู่หนึ่ง จึงกล่าวต่อ
"อย่าได้คิดว่าข้าจะใส่ใจหากหนึ่งในพวกท่านร่วงหล่นลงไปจริงๆ"

เท็ดเห็นฟุทช์ทำทีเช่นนั้นกลับรู้สึกเดือลดาลขึ้นมาอีกครา ตะโกนถามว่า
"เฮ้ย....!! นายหมายความว่าไง!!"

เสียงอันเย็นเฉียบของเคลโอ้ลอยมาอีกครา
"ฉันขอบอกไว้ก่อนนะ ห้ามนายทั้งสองคนกัดกันบนกระเช้านี้เด็ดขาด"

ทีลได้ยินเช่นนั้นก็ลอบหัวเราะในใจ นอกจากตัวเขาเองแล้วในที่สุดก็มีคนอื่นที่โดนเคลโอ้ว่ากล่าวแบบนี้สักที
หากแต่เท็ดและฟุทช์สะดุ้งเฮือก คิดอ่านทันทีว่าไม่ควรตอแยกันเองแบบเด็กๆ มากไปกว่านี้ พร้อมๆ กับคิดว่าผู้หญิงคนนี้ไม่สมควรตอแยด้วย จึงสะบัดหน้าหนีไปหาแบล็ค เอามือลูบส่วนคออยู่ครู่หนึ่งจากนั้นจึงกล่าวว่า
"ก็ได้....แบล็ค ไปกันเถอะ!!"

สิ้นคำของฟุทช์ ทุกคนรู้สึกได้รับแรงกระทบกระเทือนอย่างแรง จึงพยายามยึดตัวเองกับกระเช้าเอาไว้ให้ได้ เมื่อแรงกระเทือนนั่นจางหายไปก็พบว่าแบล็กได้นำพาพวกเขาออกสู่ท้องฟ้ามาไกลเสียแล้ว ทีลครุ่นคิดขึ้นชั่วขณะถึงสิ่งที่เกิดเมื่อครู่ เกรมิโอ้อธิบายว่าแรงสั่นสะเทือนเมื่อครู่มาจากการการเคลื่อนไหวที่ทรงพลังของปีกขนาดใหญ่โตของแบล็คคู่นี้เอง ซึ่งเมื่ออยู่บนท้องฟ้าปีกเหล่านี้กลับทำหน้าที่คล้ายเครื่องร่อนจึงไม่จำเป็นต้องขยับอย่างรุนแรงต่อไป

สายลมพัดผ่านใบหน้าอย่างรุนแรงอย่างที่ไม่เคยประสบก่อนจนอดคิดไม่ได้ว่า แบล็คกำลังทะยานออกไปด้วยความเร็วขนาดไหนกันแน่ เท็ดเหลือบไปเห็นฟุทช์ไม่มีทีท่าอันใดนอกจากนั่งตัวตรงอยู่ที่ส่วนคอของแบล็คดังเช่นก่อนที่แบล็กจะทะยานพุ่งออกมา นอกจากนั้นแล้วเท็ดก็ไม่สามารถมองเห็นอะไรได้อีกนอกจากทะเลหมอกสีขาวที่อยู่รอบตัว เมื่อสังเกตดูจึงทราบว่าได้ขึ้นมาอยู่เหนือหมู่เมฆเสียแล้ว

เพียงไม่กี่อึดใจทุกคนก็รู้สึกเหมือนกำลังร่วงหล่นอย่างรวดเร็ว ต่างไขว่คว้าหาที่ยึดจับเป็นการใหญ่ โดยเฉพาะเกรมิโอ้ที่นอกจากจะหาที่ยึดจับของตัวเองแล้วยังต้องคว้าตัวนายน้อยเอาไว้ไม่ให้ร่วงหล่นอีกด้วย หากแต่ไม่นานนักสภาวะร่วงหล่นก็เบาบางลงจนแทบเป็นปกติ นั่นเป็นเพราะแบล็กกำลังร่อนลงสู่พื้นเป็นที่เรียบร้อยแล้วนั่นเอง

ฟุทช์กระโดดลงมาจากส่วนคอของแบล็คก่อนใคร รอจนทุกคนค่อยๆ ปีนตามลงมาจนเป็นที่เรียบร้อยแล้วจึงกล่าวว่า
"ถึงแล้วละขอรับ ความเร็วขนาดนี้ทำให้พวกท่านเกิดอาการคลื่นเหียน คล้ายเมาเรือกันบ้างหรือไม่ขอรับ"

ทีลยิ้มให้ฟุทช์พลางส่ายหน้าแทนคำตอบ พลางสังเกตสีหน้าของฟุทช์มีสีแดงสั่นระริกคล้ายกำลังกลั้นหัวเราะอยู่
ทีลเอี้ยวตัวหันกลับไปพบว่า เคลโอ้กำลังก้มตัวเอามือยันกับต้นไม้เอาไว้ได้ยินเสียงอาเจียนลอยมาแต่ไกล ใกล้ๆ กันพาห์นกับเกรมิโอ้ก็มีสีหน้าซีดเซียวรู้สึกไม่สู้ดีนัก ส่วนเท็ดเองก็ยิ้มกว้างจ้องเขม็งมาทางฟุทช์ แสร้งยืนมั่นคงคล้ายไม่ประสบอะไร หากแต่ขานั้นสั่นระริกจนสังเกตได้

ทีลพบเห็นดังนั้นจึงต้องกลั้นหัวเราะเอาไว้เช่นกัน หันมากล่าวกับฟุทช์อย่างนอบน้อมว่า
"พวกเราทุกคนไม่เคยชินกับการเดินทางเช่นนี้ อาจจะแสดงกริยาไม่เหมาะสมไปบ้าง ขอท่านอัศวินมังกรโปรดอภัยด้วย"

ฟุทช์ยิ้มอย่างเบิกบานกล่าวตอบว่า
"ดี งานของข้าคือการนำพาพวกท่านมายังจุดหมาย เพราะฉะนั้นงานของข้าสิ้นสุดลงตรงนี้แล้วขอรับ ข้าจะรอจนพวกท่านเสร็จสิ้นภารกิจอยู่ตรงนี้ ขอพวกท่านระวังตัวด้วย"

เบื้องหน้าของทีลคือทางชายป่าที่มีแนวป่าเขียวขจีแผ่ออกไปอย่างไม่มีที่สิ้นสุด ยามนี้พวกเขาดูเหมือนยืนอยู่บริเวณหน้าผาสูงชันใจกลางเกาะแห่งนี้ อากาศแถบนี้สดชื่นยิ่งนัก ทีลรู้สึกสบายกายเป็นอย่างยิ่ง พื้นดินดูจะไม่แข็งมากนักคล้ายกับว่าฟ้าเพิ่งเทฝนลงมาที่นี่เมื่อไม่นานมานี้เอง เขาเหลียวหลังกลับไปตรวจสอบความพร้อมของคณะเดินทางพบว่าทุกคนมีสีหน้าที่ดีขึ้น แม้เคลโอ้จะยังดูมีท่าทีฝืนตนเองอยู่บ้างก็ตาม

เกรมิโอ้อาสาออกนำหน้าไปก่อน พลางหยิบขวานของเขาออกมาตวัดถางดงไม้ใบหญ้าตรงหน้าเพื่อสร้างทางเดิน แม้ว่ารอบข้างจะมีต้นไม้ขึ้นอยู่อย่างหนาแน่น แต่เกรมิโอ้ก็เจาะจงเลือกหนทางที่มีต้นไม้เบาบางที่สุด คาดว่าหนทางที่พวกเขากำลังจะผ่านไปนี้น่าจะเคยมีผู้คนผ่านไปมาบ้างแล้ว ทั้งหมดเดินทางตามหนทางที่เกรมิโอ้สร้างขึ้นเข้าไปลึกมากขึ้นเรื่อยๆ ยิ่งพบว่าป่าแห่งนี้แม้จะอุดมสมบูรณ์แต่กลับเงียบเชียบเหลือเกิน ทั้งๆ ที่ก่อนที่จะเดินทางเข้ามานั้นยังได้ยินเสียงนกแและแมลงร่ำร้องอันเป็นปกติของป่าอยู่

พาห์นเองรู้สึกเบื่อหน่ายเล็กน้อยที่การเดินทางครั้งนี้หาได้มีรสชาติอย่างที่เขาต้องการไม่ จึงไม่ได้รู้สึกตื่นเต้นอันใด กลับกันเท็ดเสียอีกที่ดูจะตื่นเต้นและสนุกสนานไปกับการมานอกบ้านครั้งนี้อย่างมาก ทีลเองก็เช่นกันเมื่อพบว่าตอนนี้ไม่ได้อยู่ภายใต้สายตาของใครแล้ว จึงร่วมเดินหยอกล้อกับเท็ดดังเช่นที่เคยเป็น เคลโอ้นั้นเมื่อได้รับอากาศบริสุทธิ์เข้าไปบ้างอาการคลื่นไส้ก็ดูจะดีขึ้นตามลำดับจนบัดนี้เป็นปกติแล้ว หากแต่ยังเดินรั้งอยู่ท้ายสุดเพื่อทำหน้าที่คอยระวังภัยที่ไม่อาจคาดคิด

ทุกคนเดินทางผ่านป่าได้ครู่หนึ่ง พบเห็นพื้นดินเป็นลานกว้างไม่มีต้นไม้ใบหญ้าขึ้นสูงรกลูกตา แต่เมื่อเกรมิโอ้สังเกตที่พื้นดีๆ พบเห็นร่องรอยต้นไม้ใบหญ้าที่โผล่ขึ้นมาเหนือดินเพียงเล็กน้อยเรียงรายอยู่เต็มพื้นที่ไปหมด พินิจจากความสดของลำต้นที่ถูกตัดออกไปแล้วมีสีขาวสะอาดไร้รอยสกปรก จึงคาดเดาว่าต้นไม้ใบหญ้าแถบนี้ทั้งหมดนั้นเพิ่งถูกตัดออกไปก่อนหน้าพวกเขามาถึงไม่นานนี้เอง

เกรมิโอ้รีบยกมือขวางลำตัวทีลที่ตามมาด้านหลังเอาไว้ โบกมือเป็นเชิงเตือนผู้ที่อยู่ด้านหลังเป็นเชิงให้ระวังตัว พลางกวาดสายตาโดยรอบเพื่อค้นหาสิ่งผิดปกติ

ทันใดนั้นก็มีเสียงดังออกมาจากทิศตรงข้าม
"ข้ารู้สึกแปลกใจอย่างยิ่ง ที่มีผู้มาเยือนยังเกาะแห่งนี้"

ทุกคนมองตามทิศทางหาที่มาของเสียงปริศนานั้น พบเห็นเป็นเด็กหนุ่มรุ่นราวคราวเดียวกับทีลหรืออาจเยาว์วัยกว่าเล็กน้อย ผมยาวประบ่า หน้าตาผ่องใส หน้าผากมีรัดเกล้าสีเหลืองทองเส้นบางดูสูงค่า สวมใส่ชุดขาวคลุมถึงข้อมือและส่วนล่าง คลุมด้วยชุดสีเขียวมรกตปักเย็บลวดลายสีขาว ทุกคนจดจำได้ว่านี่เป็นเครื่องแบบของทหารในพราะราชวัง ท่าทีของเขาดูเรียบเฉย แววตาดูเย็นเยียบกว่าใครในที่นี้

ทีลก้าวออกไปข้างหน้าอย่างสุภาพ ในใจคิดสลัดอาการเล่นสนุกกับเท็ดเมื่อครู่ออกให้หมด จากนั้นจึงกล่าวอย่างนอบน้อม
"พวกเราคือผู้นำสารณ์จากพระราชวังขอรับ ได้รับหน้าที่อัญเชิญคำพยากรณ์ของผู้หยั่งรู้ จึงเป็นเหตุให้ต้องมาที่นี่"

สีหน้าของเด็กหนุ่มนั้นยังคงเรียบเฉย หากแต่แววตาที่จ้องมองกลับดูไม่นึกเชื่อถืออันใด ในใจครุ่นคิดหาวิธีทดสอบผู้มาเยือน
"ข้าคิดว่าคงจะต้องเตรียมการต้อนรับพวกท่านเสียหน่อยแล้ว"

จากนั้นจึงยกมือขวาขึ้นเหนือศีรษะ
"ตราแห่งลม.....ข้าขอบัญชาเจ้า"

สิ้นคำ ทีลและผู้ติดตามต่างรู้สึกเหมือนมีลมพัดมาวูบใหญ่ จากนั้นจึงรู้สึกถึงแรงสั่นสะเทือนพื้นดิน เขารู้สึกว่ามีอะไรสักอย่างกำลังเคลื่อนไหวอยู่ไม่ไกล เมื่อทีลเหลียวกลับไปมองยังเด็กหนุ่มพบเห็นวัตถุขนาดใหญ่กำลังก่อตัวขึ้น แลดูคล้ายมนุษย์ยักษ์ก็ไม่ปาน หากแต่ยังไงก็ยังมองเห็นเป็นวัตถุคล้ายก้อนดินก้อนหินอยู่ดี

พาห์นลอบยินดีอยู่ในใจ
"การเดินทางที่ตื่นเต้นมันต้องเป็นเช่นนี้สิ"

เท็ดเองกลับตื่นเต้นมากขึ้นเป็นทวีคูณ เกรมิโอ้กำขวานในมือแน่นเตรียมพร้อมรับสถานการณ์

มนุษย์ยักษ์สีดินนั้น เคลื่อนตัวผ่านเด็กหนุ่มออกมาช้าๆ มุ่งเข้าหากลุ่มคนตรงหน้าอย่างมุ่งร้าย
พบเห็นดังนั้น พาห์นไม่รอช้ารีบวิ่งเข้าหามนุษย์ยักษ์สีดินเบื้องหน้าทันที เกรมิโอ้เห็นท่าไม่ดีจึงคิดร้องห้าม

หากแต่เคลโอ้ตะโกนมาว่า
"ไม่ต้องสนใจหมอนั่น นายแยกออกไปด้านข้าง เท็ดเธอรั้งท้ายอยู่กับฉัน ธนูในมือของเธอคงได้ใช้ประโยชน์กันละ"
เท็ดพยักหน้า พลางยกคันธนูขึ้นประทับศรลงตรงกลางเตรียมพร้อมที่จะง้างยิงทุกเมื่อ

มนุษย์ยักษ์สีดินยกมือทั้งสองขึ้น จากนั้นวาดมือลงมาที่พื้นดินโดยเร็ว พาห์นพบเห็นดังนั้นจึงทุ่มแรงสกัดเอาไว้ได้มือหนึ่ง แรงกระแทกผลักดันพาห์นถอยหลังไปเล็กน้อย
อีกมือหนึ่งมุ่งเข้าโจมตีทีลที่ยังดูเงอะงะในการต่อสู้ ทีลรู้สึกถึงอันตราย ตนเองมิใช่จอมหมัดที่ฝึกพลังกายเช่นพาห์นการจะรับฝ่ามือนี้ไว้ดูเป็นเรื่องโง่เขลายิ่ง จึงคว้าพลองของตนออกยันตัวเองลอยขึ้นสูงรอดพ้นจากการตวัดตบของมนุษย์ยักษ์สีดินทันท่วงที

เมื่อเคลโอ้เห็นว่าผิดท่าจึงคิดแนะนำนายน้อยในการต่อสู้ ตะโกนบอกว่า
"นายน้อย...ท่านวิ่งไปทางตรงข้ามกับเกรมิโอ้ รักษาขบวนไว้ด้วยค่ะ"

ทีลรีบวิ่งออกไปทางขวามือของตน บัดนี้เขาคุมเชิงมนุษย์ยักษ์สีดินทางด้านขวา เกรมิโอ้ทางด้านซ้าย และพาห์นคอยรับมืออยู่ตรงกลาง
หลังจากการโจมตีเมื่อครู่เกรมิโอ้พบเห็นช่องว่างทางมุมของตนจึงฟาดฟันขวานในมือลงไปที่ลำตัวด้านล่างเต็มแรง ทันทีที่ขวานกระทบกับเป้าหมายเขารู้สึกแปลก ไม่เหมือนกับการโจมตีด้วยของแข็งสู่ของแข็งอย่างไร แต่เสียงแน่นหนาที่ดังหลังจากกระทบนั้นเหมือนกับว่าแรงโจมตีนั้นหดหายไปสิ้น มองดูขวานจมเข้าไปในเนื้อมนุษย์ยักษ์สีดินนั้นครึ่งใบขวาน แต่กลับดึงออกมายากยิ่งนัก

เกรมิโอ้เร่งรีบดึงขวานออกมาอย่างตื่นตระหนก กระโดดหลบมือที่ย้อนกลับมาโจมตีเขาอย่างรวดเร็ว คิดจะตะโกนไปยังทุกคนในที่นี่ หากแต่เมื่อเหลียวมองไปทางเคลโอ้และเท็ดกลับเห็นคนทั้งสองกำลังเพ่งเล็งสายตาไปที่เด็กหนุ่มที่ตอนนี้ยืนอยู่บนกิ่งไม้เบื้องหลังมนุษย์ยักษ์สีดินนั้น

ลูกศรในมือเท็ด และมีดสั้นในมือของเคลโอ้ถูกปล่อยออกแทบพร้อมกัน วิ่งผ่านอากาศเป็นเส้นตรงอย่างรวดเร็วผ่านมนุษย์ยักษ์สีดินไปยังเด็กหนุ่มคนนั้น
เคลโอ้กล่าวบอกเด็กหนุ่มว่า
"ไม่ต้องห่วง ฉันไม่ทำจนถึงตายหรอก"

เด็กหนุ่มพบเห็นเหตุการณ์ดังนั้น พึมพำเบาบางว่า
"เป็นคำตอบที่ไม่เลวนัก หากแต่ยังไม่ถูกต้อง"
จากนั้นวาดมือขวาออกมาเบื้องหน้า บังเกิดลมวูบหนึ่งพัดพาเอาลูกศรและมีดสั้นหลุดลอยจากวิถีไป

พริบตานั้นมนุษย์ยักษ์สีดินหยุดเคลื่อนไหวอยู่ครู่หนึ่ง ทำให้ทีลและพาห์นโจมตีเข้าที่ส่วนหัวและบริเวณหัวไหล่ได้ครั้งหนึ่ง หากแต่ดูจะไม่มีผลอันใดนอกจากมนุษย์ยักษ์สีดินจะมีรอยบุบลงเล็กน้อยเท่านั้น

เคลโอ้ และเท็ดเห็นดังนั้นตะลึงลานวูบหนึ่งด้วยไม่คิดว่าเด็กหนุ่มจะมีปฏิกริยาตอบสนองที่รวดเร็วถึงเพียงนี้
จากนั้นเด็กหนุ่มจึงกล่าวต่อด้วยน้ำเสียงสุภาพว่า
"เพราะตัวข้าไม่ได้ถูกรวมเข้าไปกับการต่อสู้นี้ คู่มือของพวกท่านคือโกเลมของข้าต่างหาก"

ทันใดนั้นเสียงของเกรมิโอ้ก็ดังมาจากเบื้องหน้า
"เคลโอ้ !! เจ้านี่ไม่ใช่หินอย่างมนุษย์ยักษ์สีดินหรือโกเลมอื่นๆ หากแต่มันคือสิ่งที่ถูกสร้างมาจากดินแถวนี้ต่างหาก"
พูดจบจึงฉวยโอกาสหลบการโจมตี พร้อมกับฟาดฟันขวานจมลงไปที่ข้อมือของโกเลมโดยไม่ดึงกลับ เสียงดังทึบหนักแน่นและใบขวานจมลงไปครึ่งใบเช่นเดิม

เคลโอ้ครุ่นคิดขึ้น
"เบาะแสนี้จะนำไปสู่หนทางเอาชนะหรือไม่ เด็กหนุ่มคนนั้นทำทีคล้ายว่านี่เป็นการทดสอบ เช่นนั้นคำตอบคืออะไร??"

พลางหันไปกล่าวกับเท็ดว่า
"เธอยิงสนับสนุนไปเรื่อยๆ อย่างน้อยก็่น่าจะช่วยก่อกวนการโจมตีของมันได้"

ทีลเองก็รู้สึกสังเกตเห็นการเคลื่อนไหวแปลกๆ ของโกเลมเบื้องหน้าเมื่อครู่ ครุ่นคิดขึ้นชั่วขณะจากนั้นจึงร้องว่า
"ทุกคน โกเลมเบื้องหน้านี้ไม่ได้มีความคิดเป็นของตัวเอง หากแต่ถูกเด็กคนนั้นควบคุมเอาไว้"

โดยที่ไม่รอให้ผู้คนกล่าวอันใดต่อ โกเลมวาดมือออกโจมตีอย่างรวดเร็วขึ้น รุนแรงขึ้น และต่อเนื่องขึ้นจนคนทั้งสามไม่มีช่องทางสอดมือโจมตีสวนกลับไปเลย

เคลโอ้ได้ยินดังนั้นจึงค่อยๆ เรียบเรียงเหตุการณ์
"เด็กหนุ่มผู้นั้นใช้พลังจากตราแห่งลมควบคุมบังคับโกเลมขนาดใหญ่เพียงนี้ นับว่าเป็นเรื่องเหลือเชื่อ แต่ก็ใช่ว่าจะไม่มีผู้ใดทำได้ หากแต่การควบคุมการเคลื่อนไหวของวัตถุหาใช่แนวทางโดยตรงของตราแห่งลมไม่ การควบคุมนี้ต้องมีจุดอ่อนอย่างแน่นอน"

คิดอ่านเพียงครู่หนึ่ง ได้ยินเสียงทีลร้องเตือนว่า
"คำตอบแรกคือไฟไงละ เคลโอ้!!"

เคลโอ้พลันเข้าใจทันที นึกได้ว่าดินโดยรอบมีลักษณะเปียกชื้นและอุ้มน้ำ โกเลมตัวนี้มีสีคล้ายดินเหนียว เด็กหนุ่มผู้นี้คงสร้างมาจากดินแถบลำธารเป็นแน่

ลอบนึกชมเชยทีลในใจเข้าใจว่าทีลคงนึกถึงเครื่องปั้นดินเผาที่เมื่อดินเหนียวยังเปียกชื้นและอุ้มน้ำอยู่ทำอย่างไรก็ไม่อาจทำลายให้แตกหักได้ แต่เมื่อผ่านขั้นตอนการเผาแล้วกลับแตกสลายได้ง่ายดาย หากทำลายโกเลมเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยได้ พลังของตราแห่งลมย่อมมิอาจควบคุมเศษวัตถุจำนวนมหาศาลได้อย่างแน่นอน

คิดอ่านเสร็จสิ้นเคลโอ้จึงวาดมือขวาออกมาด้านหน้าเหนือศีรษะ ตะโกนเตือนว่า
"เกรมิโอ้ นายน้อยคะ กรุณาถอยห่างออกมาด้วยค่ะ"

ทั้งสองมีสีหน้างุนงงเล็กน้อย จึงค่อยหลบฉากออกมา คิดย้อนกลับมาหาเคลโอ้และเท็ด พาห์นเห็นดังนั้นจึงคิดจะละมือถอยออกมาด้วยคน แต่เคลโอ้ร้องว่า
"แต่นายยังต้องอยู่ที่เดิม เพื่อระวังไม่ให้โกเลมทำอะไรที่เราคาดไม่ถึง"

พาห์นทำหน้าเหยเก กลับไปตั้งท่าต่อสู้ตามเดิม พลางบ่นอุบว่า
"ทำไมต้องเป็นข้าทุกทีเลย ข้าไม่เห็นเกมิโอ้จะต้องรับหน้าที่แบบนี้เลยสักครั้ง"

เป็นดังที่เคลโอ้คาดไว้ โกเลมนั้นเอื้อมมือถอนต้นไม้ขนาดพอมือของตน แต่ใหญ่โตมากสำหรับมนุษย์มาต้นหนึ่ง คิดขว้างใส่เคลโอ้ผู้เตรียมการบางอย่างอยู่ แต่ยังไม่ทันได้ขว้างออกไป พาห์นที่ยังอยู่เบื้องหน้ากลับถลาขึ้นมาโจมตีใส่ส่วนข้อมือที่คว้าจับลำต้นด้วยฝ่ามือทั้งสองอย่างสุดเรี่ยวแรง ผลจากการคุกคามครั้งนี้ทำให้ไม้ใหญ่ในมือโกเลมนั้น ลอยผิดทางไปตกยังป่าข้างๆ แทน บังเกิดเป็นเสียงดังสนั่นหวั่นไหวในป่าที่เงียบเชียบนี้ยิ่งนัก

เวลาประจวบเหมาะกับที่เคลโอ้ลงมือพอดี เคลโอ้เอ่ยเบาๆ กับตนเองว่า
"ตราแห่งเปลวเพลิง....ข้าขอบัญชาเจ้า"

สิ้นเสียงใสของเคลโอ้ บนร่างของโกเลมบังเกิดเปลวไฟขนาดมหึมาลุกท่วมร่างกาย เปลวไฟแลบเลียไปทุกส่วน กระนั้นโกเลมยังคงเคลื่อนไหวอาละวาดไปทั่วเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
เด็กหนุ่มมองเห็นดังนั้นหรี่ตาลงเล็กน้อย กล่าวเบาบางว่า
"เป็นคำตอบที่ถูกต้อง แต่ยังข้ายังสงสัยว่าท่านจะตอบโจทย์นี้ได้ตลอดรอดฝั่งหรือเปล่า"

โกเลมมีขนาดใหญ่ เนื้อดินภายในย่อมอัดแน่นมากเป็นพิเศษ ส่วนที่ไหม้นั้นตอนนี้ดูจะมีเพียงส่วนนอกเท่านั้น ถึงกระนั้นเคลโอ้ก็ยังไม่ยอมหยุดมือ เธอขมวดคิ้วเม้มปากแน่น ส่งพลังเวทปลุกเปลวเพลิงให้ลุกฮือขึ้นอีก ด้านพาห์นที่ยังทำหน้าที่รั้งตัวโกเลมอยู่เบื้องหน้า ก็ยังคอยหลบหลีกการโจมตีทั้งยังคอยหาจังหวะโจมตีผ่านเปลวเพลิงเพื่อยันโกเลมกลับไปยังอีกฝั่งตลอดเวลา พลางบ่นอุบอิบว่าว่า
"ทำไมต้องเป็นข้าด้วยนะ"
"อู้ย....ร้อนๆๆๆ"
"ทำไมกัน....ทำไมกันเนี่ย"

เกรมิโอ้และทีลพบเห็นเช่นนั้นจึงรู้สึกวิตกกังวลยิ่ง การใช้พลังของตราที่สลักเอาไว้ในร่างกายนั้นย่อมสิ้นเปลืองพลังงานอย่างมาก หากไม่ใช่ว่าเคลโอ้เป็นผู้ช่ำชองการต่อสู้และฝึกปรือมานาน การใช้เปลวเพลิงที่รุนแรงต่อเนื่องยาวนานเช่นนี้หากเป็นคนทั่วไปคาดว่าป่านนี้คงต้องล้มลงหมดสติไปแล้ว

เวลาผ่านไปนานเข้า สีหน้าของเคลโอ้เริ่มซีดขาวขึ้นเรื่อยๆ ใบหน้าปรากฏหยาดเหงื่อไหลเป็นทาง มือขวาที่ส่องแสงสีแดงเพลิงเบื้องหน้าเริ่มสั่นระริกด้วยความเหนื่อยอ่อน ทีลและเกรมิโอ้เริ่มเป็นห่วงเคลโอ้หนักขึ้นทุกที

โกเลมยังคงดึงดันมุ่งหน้ามายังผู้ที่กำลังเผามันเช่นเดิม พริบตาที่หมัดของพาห์นปะทะเข้ากับส่วนไหล่ของโกเลมยักษ์นั้นเอง บังเกิดเสียงที่ผิดแปลก พบเห็นรอยร้าวใหญ่โต เศษดินแห้งๆ ค่อยๆ ร่วงหล่นสู่พื้น พาห์นจึงร้องว่า
"เคลโอ้ พอได้แล้วละ ตอนนี้มันกรอบไปหมดแล้ว"

เคลโอ้ได้ยินดังนั้นจึงคลายกำลังลง เปลวเพลิงค่อยๆ เบาบางลงไป เธอทรุดตัวลงอย่างเหน็ดเหนื่อย จนเท็ดต้องรี่เข้ามาพยุงเอาไว้ไม่ให้ล้มลงกับพื้น

ไม่มีใครคาดคิด โกเลมนั้นเหวี่ยงมือที่แห้งกรังและบอบช้ำจากการเผาไฟรวมถึงการโจมตีของพาห์นหลุดลอยออกจากแขนพุ่งเข้ามาทางเคลโอ้ เกรมิโอ้และทีลรู้สึกตัวแทบจะพร้อมกัน การจะหอบหิ้วเคลโอ้หลบไปนั้นดูจะไม่ทันการเสียแล้ว จึงพุ่งออกไปอย่างพร้อมเพรียง ฟาดอาวุธออกต้านทานด้วยท่าทีประสานกัน

เสียงอาวุธทั้งสองชิ้นและมือของโกเลมกระแทกกันดังสนั่น ทั้งสองรู้สึกได้ถึงความหนักหน่วงจนแขนแทบจะหลุดออกจากตัว หากสิ่งนี้มาถึงขณะที่ยังไม่ผ่านเปลวเพลิงรีดเร้นเอาน้ำภายในที่ดินนี้อุ้มอยู่ออกไปด้วยฝีมือของเคลโอ้มาก่อน ทั้งสองคงไม่อาจต้านทาน หากแต่ยามนี้น้ำหนักคาดว่าถูกลดทอนไปสามส่วน เช่นนั้นการผนึกกำลังกันเช่นนี้ย่อมมีเปรียบมากขึ้น

ทั้งสองกัดฟันออกแรงต้านทานอย่างเต็มที่ มือของโกเลมข้างนี้ค่อยๆ ปริแตกออกจากกัน จนแยกออกตามแนวอาวุธของทั้งสอง หมดสิ้นสภาวะพุ่งไปเบื้องหน้าอีกต่อไป คนทั้งสี่พบเห็นดังนั้นจึงโล่งใจอย่างยิ่ง เหลียวหลังกลับไปพบโกเลมที่แตกออกเป็นชิ้นๆ ร่วงหล่นอยู่บนพื้นดิน เป็นฝีมือของพาห์นนั่นเอง แม้อยู่ในสภาวะที่ไม่อาจจู่โจมให้เกิดผลได้ พาห์นยังไม่ตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบ เมื่อการโจมตีก่อเกิดผลตามมาพาห์นย่อมช่วงชิงชัยชนะได้โดยง่าย

ทีลยังคงรู้สึกตื่นเต้นอยู่ นี่นับเป็นการต่อสู้จริงครั้งแรกของเขา รวมถึงได้เห็นยอดฝีมือร่วมแรงกันชิงชัยในสถานการณ์จริงอีกด้วย
หากแต่เวลานี้เคลโอ้ดูอ่อนเพลียมาก ทุกคนจึงไม่มีเวลายินดีกับชัยชนะเท่าใดนัก

ขณะที่พาห์นกำลังจะหันไปเอาเรื่องกับเด็กหนุ่มปริศนานั่นเอง เคลโอ้ก็เอ่ยขึ้นมาเบาบางว่า
"หยุดก่อนเด็กคนนั้นเพียงทดสอบเราเท่านั้น"

End Of EP 03 : มนุษย์ยักษ์สีดิน


Create Date : 07 พฤษภาคม 2550
Last Update : 7 พฤษภาคม 2550 22:56:20 น. 2 comments
Counter : 539 Pageviews.

 
เข้ามาดูมหากาพย์ซุยหนึ่งต่อ
อ๊ะ เม้นท์ในนี้ไม่ได้ exp ไปเม้นท์ในบอร์ดดีกว่า


โดย: ชีริว วันที่: 17 พฤษภาคม 2550 เวลา:9:58:46 น.  

 
โอ้+++ ประสาทแข็งมาก เขียนได้ยาวมัก จินตนาการละเอียดละออ เขียนเรื่อยๆ นะ น่าจะเจ๋งก่านี้อีกเยอะถ้าเขียนไปเรื่อยๆ


โดย: six_sens IP: 125.27.210.130 วันที่: 24 ตุลาคม 2550 เวลา:21:59:35 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

sasarai
Location :
กรุงเทพ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




Friends' blogs
[Add sasarai's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.