เข้าเมืองตาหลิ่วต้องหลิ่วตาตาม
เข้าเมืองตาหลิ่วต้องหลิ่วตาตาม หวังว่าทุกท่านจะยังจำหนุ่มล้างจานได้ ผมเป็นหนุ่มล้างจาน ทำอาชีพล้างจานที่ร้านอาหารไทยแห่งหนึ่ง ในเมืองเพริช ประเทศออสเตรเลีย ซึ่งผมต้องไปที่นั่นอาทิตย์ละหกวัน ไม่เว้นแม่แต่วันเสาร์ที่ผ่านมา ปกติวันเสาร์เป็นวันที่ค่อนข้างยุ่งมาก จานกองพะเนินแทบติดเพดาน แต่วันเสาร์ที่ผ่านมา เป็นวันที่แปลกกว่า ซึ่งผมเริ่มเอะใจตั้งแต่ตอนแรกที่ขับรถบุโรทั่งมือสองซึ่งผมหาซื้อมาด้วยเงินที่ได้จากการล้างจานนี่ล่ะครับ ผมสังเกตว่ามันเป็นวันที่รถติดมาก ติดยาวออกมาจากตัวเมือง แต่ผมก็ยังทนต่อคิวจนกระดืบไปถึง แน่นอนผมไม่คิดว่าในเมืองจะแล่นฉิว แต่สิ่งที่เป็นมันเกินคาด เพราะอยู่ดีๆตำรวจก็โบกรถและบอกให้ผมจอดตรงที่จอดรถซึ่งทางการเตรียมไว้ให้และเดินเข้าเมือง ครับ เดินครับ ผมเดินเกือบกิโลกว่าก็มาถึงที่ทำงาน เรียกว่าถ้าผมไม่ได้ฝึกกำลังขาด้วยการยืนล้างจานติดต่อกันกว่าสี่ชั่วโมง คงเดินไม่ไหวเป็นแน่ และเมื่อมาถึงก็แทบจะเป็นลม เพราะโต๊ะล้างจานประจำตำแหน่งของผมมีจานสูงท่วมหัวกองอยู่...ห้ากอง! ผมล้าง ล้าง และล้าง หลังจากที่มีเวลาพักสั้นๆ ผมแอบชะโงกไปดูหน้าร้านด้วยความสงสัยว่าคนแห่มาจากไหนกันเยอะ แต่การชะโงกของผมต้องเป็นไปอย่างรวดเร็ว คือ มองได้แวบเดียวก็ต้องรีบดึงตัวกลับมาอยู่ในครัว เพราะร้านอาหารของเราเป็นภัตตาคารห้าดาว ซึ่งผมแต่งตัวไม่เหมาะสมอย่างแน่นอน ทว่าวันนี้ลูกค้าที่มาดูแปลกๆ พวกนั้นเป็นผู้ชายเกือบหมด ไม่เกือบละครับ หมดเลย ไม่มีลูกค้าผู้หญิงสักคน และทุกคนแต่งตัวปักเลื่อม ทาสีอะไรก็ไม่รู้ ระหว่างพักทานอาหารที่ทางร้านจัดให้ อาบุญรอดหัวหน้าแผนกงานครัวบอกกับผมว่าเลิกงานแล้วให้ไปเดินดูสาวๆกัน แน่นอนเรื่องสาวๆผมไม่พลาด และพอเลิกงานอาบุญรอดกับผมจึงมุ่งหน้าสู่ถนนสายหลักอย่างไม่รอช้า ความจริงถนนในตัวเมืองเพิร์ชที่เป็นสายหลักถูกปิด บนถนนไม่มีการสัญจรตามตามปกติ มีแต่ขบวนพาเรดติดไฟสีๆเต็มถนน มีทั้งที่เดินเท้า ยืนเต้นแร้งเต้นกาอยู่บนรถ อลังการยิ่งกว่านางสงกรานต์บ้านเราไม่รู้กี่เท่า เสียแต่ว่าคนแถวนั้น ไม่มีใครเป็นผู้หญิงเลย ! พวกที่เดินไปๆมาๆ มีแต่หนุ่มๆ ร่างอ้อนแอ้นบ้าง บึกบึนบ้าง แต่งตัวต่างๆกันไป มีทั้งที่แต่งชุดคล้ายๆคาบาเร่ ติดขนไก่หางยาวเฟื้อย หรือแม้แต่ที่แต่งเป็นผี ทาหน้าทาตาช้ำเลือดช้ำหนองก็ยังมี แต่ถ้ามากันเป็นคู่ มักจะแต่งตัวให้เหมือนกัน เดินกระหนุงกะหนิงกอดแขนกอดเอวกันไป แต่ไม่เห็นถึงขั้นจูจุ๊บหรอกนะครับ แค่จูงมือก็แสลงใจจะแย่อยู่แล้ว ถ้าเห็นถึงขั้นเขาจูจุ๊บกัน คงต้องรีบเข้าวัดหาน้ำมนต์มาล้างตาแก้ฝันร้าย และเมื่อผมหันไปถามอาบุญรอดว่านี่มันงานอะไรกันแน่ ท่านก็พูดออกมาว่า แฮปปี้เกย์เดย์ว่ะไอ้น้อง ! ผมจึงได้ถึงบางอ้อ ปกติวันเกย์จะจัดขึ้นที่เพิร์ชทุกปี สำหรับปีนี้กำหนดให้เป็นวันที่ 29 ตุลาคม และผมรู้สึกเป็นเกียรติ์มากที่ได้มาเดินดู แค่เป็นเกียรติ์นะครับ ยังไม่คิดเป็นเกย์ ถึงโบราณจะว่าไว้ว่าเข้าเมืองตาหลิ่วให้หลิ่วตาตามก็เถอะ ก่อนที่ผมจะกลับเห็นมีคนเอาแผงแขวนคอ คล้ายๆกับคนที่ขายขนมในสนามเบสบอล แต่ขนมของเขา คือ...ยังไงดี...มันเป็นอมยิ้ม เป็นแท่งยาวๆใหญ่ๆ ตัวแท่งเป็นช็อกโกแลตสีดำ ส่วนหัวเถิกติดลูกอมสีแดงไว้ ตรงโคนมีช็อกโกแลตเป็นก้อนสีดำอยู่สองตุ้ม ทั้งแท่งน่ะเสียบอยู่บนไม้เอาไว้ถือกิน ตอนนั้นไม่รู้คิดอุตริอะไรขึ้นมา ถึงได้ตัดสินใจซื้อมาแท่งหนึ่ง พอบอกคนขายว่าเอากลับบ้าน เขาก็จัดแจงห่อถุงพลาสติกใสให้ จับๆดูแล้วไม่รู้ว่าจะขำหรือจะขยักแขยงดี คิดจะปาทิ้งหลายที แต่จนแล้วจนรอดดันเอามันกลับมาบ้านจนได้ บ้านที่ผมอยู่เป็นบ้านเช่าหุ้นกันกับเพื่อนอีกสามคน ซึ่งก็คือลูกผู้น้องของผมสองคนและเจ้ากบ เด็กใหม่ที่เคยทำให้ผมต้องงมถังขยะหลังร้านมาแล้ว พอผมมาถึงบ้านและเปิดตู้เย็น โยนขนมหน้าตาพิเร๊นพิเรนเข้าไป ถึงได้สังเกตว่าตู้เย็นนี่แห้งเหมือนกับกระเป๋าของพวกเราเมื่อปลายเดือน ถ้าพูดให้ถูก ก่อนหน้าที่ผมจะมีงานทำ เรายังเคยใช้วิธีเอาน้ำลูบท้องมาแล้ว คือ เวลาหิว ก็กินน้ำเยอะๆ กินน้ำมันเข้าไป กินแต่น้ำจนกว่าที่บ้านจะส่งเงินมาให้ ฟังดูเหมือนมุกเก่า แต่ลองทำซิครับ แล้วจะซาบซึ้งในพระคุณของพระแม่คงคาเลยทีเดียว ขนมของผมดูเหมือนจะเป็นที่ถูกตาต้องใจของเพื่อนๆหนุ่มโสด เจ้ากบเป็นคนแรกที่โดดเข้าตะครุบ พี่ๆ นี่มันลูกอมรูปอะไรเนี่ยะ มันถามซึ่งผมรู้ว่ามันแกล้งถามแน่ๆ รูป...อะไรก็ช่างมันเถอะน่า ผมพูดแล้วแย่งมาใส่ตู้เย็น แล้วจะกินเมื่อไหร่ มันถามอีกแต่ผมไม่รู้จะพูดอะไรดีไปกว่า สิ้นเดือน เผื่อไม่มีอะไรกินจะได้ไม่ต้องเอาน้ำลูบท้อง ผมพูดมั่วๆ แล้วเข้าห้องนอนไป เช้าวันรุ่งขึ้นผมไปเรียนและทำงานตามปกติ กลับมาบ้านเจอไอ้กบกำลังถือขนมของผมวิ่งไล่แทงลูกผู้น้องผมอยู่ ผมต้องร้องด่า และไล่อัดก้น เอ๊ย ไล่เตะก้นมัน พักใหญ่จึงแย่งคืนมาได้ วันถัดมาผมตัดสินใจซ่อนลูกอมหน้าตาประหลาดนั่นไว้ที่ชั้นวางหนังสือ ให้กินน่ะ กินไม่ลงหรอกครับ จะเก็บไว้ถ่ายรูปส่งไปให้เพื่อนๆที่ทะลึ่งทะเล้นในเมืองไทยได้ดูเป็นขวัญตา สิ้นเดือนแล้ว ผมได้เงินจากที่ทำงานมาก้อนหนึ่ง จึงซื้อปลามาทำปลานึ่งบ๊วยให้น้องๆกิน โดยที่ผมแอบจำสูตรมาจากที่ร้าน เรียกว่าล้างจานไปชะเง้อมองพ่อครัวไป เพื่อเราจะได้มีอาหารไทยกินกันไม่ต้องมานั่งฝันเอาอย่างเมื่อก่อน กลับมาบ้านผมก็เข้าครัวเสียงดังโขมงโฉงเฉง ตั้งโต๊ะเรียกสมุนมากินกัน ยังไม่ทันได้นั่งดี ไอ้กบก็ชูอมยิ้มที่ผมซ่อนเอาไว้ขึ้นมา ไม่รู้ว่ามันหาเจอได้อย่างไรเหมือนกัน รู้แต่ว่ามันถามผมซ้ำๆอยู่แต่ว่าเมื่อไหร่จะกินขนม ผมทนไม่ไหวเลยตอบส่งๆไปให้หายรำคาญว่า หลังข้าว แล้วพวกเราก็ลงมือกินข้าวกัน ยังไม่ทันได้อิ่มดี ปรากฏว่าออดประตูดังติ๊งต่องขึ้น ผมเป็นผู้ใหญ่ที่สุดในบ้าน จึงเดินออกไป ตอนแรกที่ส่องดูตรงช่องมองคน ผมไม่เห็นใครเลย กำลังจะเดินกลับอยู่แล้ว ก็มีเสียงออดดังอีก ผมคว้าประตูเปิดออกและมีเงาตะคุ่มๆสองร่างกระโดดออกมาจากพุ่มไม้ ร้องขึ้นพร้อมกันเป็นภาษาอังกฤษว่า Trick or Treat ! ผมสะดุ้งโหยง เมื่อเห็นแดกกูล่าตัวเตี้ยสองตัว สูงเลยเข้าผมมาประมาณฟุตหนึ่ง ทั้งสองสวมชุดทักซิโด มีผ้าคลุม ตนหนึ่งทาหน้าซีดเซียว มีเขี้ยวพลาสติกโผล่ออกมา ส่วนอีกตนเห็นชัดๆว่าสวมหน้ากาก ผมทำหน้างง เด็กๆในชุดผีพยายามหลอกผมอีก แต่ผมก็ยังไม่เข้าใจมุก จนเด็กชายที่แต่งหน้าซีดๆ ต้องถามออกมาว่า What day is to day? - วันนี้วันอะไร เออ ถามแปลกๆ วันนี้วันจันทร์เพิ่งผ่านวันเกย์มาสองวัน มองๆดูเห็นเด็กสองคนสวมทักซิโดทั้งคู่ยืนจูงมือกันแล้ว ไม่รู้ว่าพวกเขาหลงวันหรือเปล่า จึงเลิกคิ้วตอบเป็นเชิงถามไปว่า Gays day? - วันเกย์ใช่ไหม Its Halloween day. วันนี้วันฮาโลวีน แดกกุล่าน้อยทั้งสองตัวตอบพร้อมกัน So? - แล้วไง ผมยักไหล่ คราวนี้พวกเด็กๆรุมทึ้งผมเกือบตาย พวกเขาพยายามอธิบายว่าวันนี้เป็นวันฮาโลวีนซึ่งที่เพิร์ชจะมีเด็กๆมาเดินเล่นหลอกชาวบ้านแบบนี้ในวันที่ 31 ตุลาคม หลายที่เล่นกันตั้งแต่ 29 -31 แต่ที่นี่เล่นวันเดียว ซึ่งผมดีใจมากที่เป็นแบบนั้น และเด็กคนที่สวมหน้ากากก็พูดกับผมว่า You suppose to give us some candy. Its traditional here. คุณควรจะให้ลูกกวาดกับพวกเรา มันเป็นประเพณีของที่นี่ ผมหันกลับไปกวาดสายตามองบนโต๊ะอาหารที่มีแต่ก้างปลากับข้าวเปล่า จนด้วยเกล้าไม่รู้จะเอาอะไรให้เด็กๆดี ว่าจะปิดประตูใส่หน้าอยู่แล้ว เด็กที่สวมหน้ากากก็ดึงชายเสื้อผมเบาๆ ถามผมว่า When in Rome, do as the Roman does. Right ? เข้าเมืองตาหลิ่วต้องหลิ่วตาตามจริงไหม ผมอึ้ง จริงครับ เข้าออสเตรเลียก็ต้องทำแบบชาวออสซี่ ทำไงได้ ผมรีบเข้าบ้านไปเปิดตู้เย็น แต่ในนั้นโล่ง มีแต่ของสดประทังชีวิตอยู่นิดหน่อย ไม่มีของฟุ่มเฟือยประเภทขนมหรือลูกอมเลย สุดท้ายผมต้องเดินคอตกกลับไปที่ประตู นึกถึงหน้าผีน้อยสองตนแล้วคิดไม่ออกว่าจะพูดอย่างไรถึงจะยอมไปจากหน้าบ้านผม ยังเดินไม่ทันถึงประตูก็พอดีได้ยินเสียงไอ้กบตะโกนมาว่า ใครมาน่ะพี่ เด็ก มาขอขนม ผมตะโกนตอบ ไม่รู้ว่ามันได้ยินว่าอะไรถึงได้ตอบมาว่า เฮ้ย ขอทานเหรอ เดี๋ยวผมไล่เอง ไอ้กบมันเดินอาจๆมาที่ประตู แต่สายตาของผมจ้องอยู่ที่ปากมัน มันเสียบอะไรไม่รู้ดำๆยาวๆไว้ในปาก อมเสียมิดด้าม โผล่พ้นปากออกมาแค่สองตุ้มกลมๆแบๆ ไอ้กบ! อมยิ้มกู ผมสุดจะฉุน จึงกระชากลูกอมสุดแพงออกมาจากปากมัน แต่ไอ้กบงับส่วนหัวไว้ได้ อมยิ้มผมเลยหักกลางลำ อะไรล่ะพี่ ไหนพี่บอกหลังข้าวจะให้กิน เปล่า พี่จะเก็บไว้ให้เด็กต่างหาก หูไม่ดีจริงๆเลย แกนี่ ผมมองดูตุ้มที่อยู่ในมือ แล้วรีบหักเดือยที่คาอยู่ในมือผมครึ่งหนึ่งคืนให้มัน จากนั้นจึงเปิดประตูออกไปส่งสองตุ้มช็อกโกแลตให้ปีศาจตัวเล็กที่ยืนถือถุงใส่ลูกกวาดใบเท่าถุงของซานตาครอส ยืนรออยู่ Whats that? - นั่นอะไร เด็กคนที่สวมหน้ากากถาม ผมกลืนน้ำลายอึกใหญ่ แล้วตอบอึกๆอักๆไปว่า Its a candy, a butterfly candy. Its two wings here, you see? มันเป็นลูกกวาด ลูกกวาดรูปผีเสื้อ ตรงนี้เป็นปีกสองข้างของมันนะ เห็นไหม ผมชี้ที่ก้อนกลมๆแบๆตอนที่อธิบายว่าเป็นปีก และไม่ว่าจะเห็นเป็นผีเสื้อหรือเปล่า เจ้าคนที่แต่งหน้าผีก็คว้ามันวิ่งนำไป เด็กคนที่สวมหน้ากากวิ่งตามได้สี่ห้าก้าว แล้วหันกลับมา ถอดหน้ากากสยายผมสีดำขลับ ประนมมือขึ้นไหว้พลางตะโกนเป็นภาษาไทยชัดแจ๋วออกมาว่า ขอบคุณค่ะ ผมเกือบช็อคคาประตู อยากจะวิ่งตามไปกระชากขนมคืนแล้วบอกว่า ที่บ้านตู วันฮาโลวีนเขาแจกมะเหงกกันเฟ้ย หน็อย เข้าเมืองตาหลิ่วต้องหลิ่วตาตาม เข้าออสเตรเลียต้องทำแบบชาวออสซี่ ถ้างั้นเข้ามายืนในรั้วบ้านข้า ก็ต้องรับมะเหงกตามธรรมเนียมข้าด้วยซิ
Free TextEditor
Create Date : 02 พฤษภาคม 2553 |
Last Update : 3 พฤษภาคม 2553 8:20:18 น. |
|
1 comments
|
Counter : 902 Pageviews. |
|
|
|