โกมุท...อัญมณีแห่งสายน้ำ
 
 

เข้าเมืองตาหลิ่วต้องหลิ่วตาตาม

เข้าเมืองตาหลิ่วต้องหลิ่วตาตาม


            หวังว่าทุกท่านจะยังจำหนุ่มล้างจานได้ ผมเป็นหนุ่มล้างจาน ทำอาชีพล้างจานที่ร้านอาหารไทยแห่งหนึ่ง ในเมืองเพริช ประเทศออสเตรเลีย ซึ่งผมต้องไปที่นั่นอาทิตย์ละหกวัน ไม่เว้นแม่แต่วันเสาร์ที่ผ่านมา


            ปกติวันเสาร์เป็นวันที่ค่อนข้างยุ่งมาก จานกองพะเนินแทบติดเพดาน แต่วันเสาร์ที่ผ่านมา เป็นวันที่แปลกกว่า ซึ่งผมเริ่มเอะใจตั้งแต่ตอนแรกที่ขับรถบุโรทั่งมือสองซึ่งผมหาซื้อมาด้วยเงินที่ได้จากการล้างจานนี่ล่ะครับ ผมสังเกตว่ามันเป็นวันที่รถติดมาก ติดยาวออกมาจากตัวเมือง แต่ผมก็ยังทนต่อคิวจนกระดืบไปถึง แน่นอนผมไม่คิดว่าในเมืองจะแล่นฉิว แต่สิ่งที่เป็นมันเกินคาด เพราะอยู่ดีๆตำรวจก็โบกรถและบอกให้ผมจอดตรงที่จอดรถซึ่งทางการเตรียมไว้ให้และเดินเข้าเมือง


            ครับ เดินครับ ผมเดินเกือบกิโลกว่าก็มาถึงที่ทำงาน เรียกว่าถ้าผมไม่ได้ฝึกกำลังขาด้วยการยืนล้างจานติดต่อกันกว่าสี่ชั่วโมง คงเดินไม่ไหวเป็นแน่ และเมื่อมาถึงก็แทบจะเป็นลม เพราะโต๊ะล้างจานประจำตำแหน่งของผมมีจานสูงท่วมหัวกองอยู่...ห้ากอง!


            ผมล้าง ล้าง และล้าง หลังจากที่มีเวลาพักสั้นๆ ผมแอบชะโงกไปดูหน้าร้านด้วยความสงสัยว่าคนแห่มาจากไหนกันเยอะ แต่การชะโงกของผมต้องเป็นไปอย่างรวดเร็ว คือ มองได้แวบเดียวก็ต้องรีบดึงตัวกลับมาอยู่ในครัว เพราะร้านอาหารของเราเป็นภัตตาคารห้าดาว ซึ่งผมแต่งตัวไม่เหมาะสมอย่างแน่นอน ทว่าวันนี้ลูกค้าที่มาดูแปลกๆ พวกนั้นเป็นผู้ชายเกือบหมด ไม่เกือบละครับ หมดเลย ไม่มีลูกค้าผู้หญิงสักคน และทุกคนแต่งตัวปักเลื่อม ทาสีอะไรก็ไม่รู้


            ระหว่างพักทานอาหารที่ทางร้านจัดให้ อาบุญรอดหัวหน้าแผนกงานครัวบอกกับผมว่าเลิกงานแล้วให้ไปเดินดูสาวๆกัน แน่นอนเรื่องสาวๆผมไม่พลาด และพอเลิกงานอาบุญรอดกับผมจึงมุ่งหน้าสู่ถนนสายหลักอย่างไม่รอช้า


            ความจริงถนนในตัวเมืองเพิร์ชที่เป็นสายหลักถูกปิด บนถนนไม่มีการสัญจรตามตามปกติ มีแต่ขบวนพาเรดติดไฟสีๆเต็มถนน มีทั้งที่เดินเท้า ยืนเต้นแร้งเต้นกาอยู่บนรถ อลังการยิ่งกว่านางสงกรานต์บ้านเราไม่รู้กี่เท่า เสียแต่ว่าคนแถวนั้น ไม่มีใครเป็นผู้หญิงเลย !


            พวกที่เดินไปๆมาๆ มีแต่หนุ่มๆ ร่างอ้อนแอ้นบ้าง บึกบึนบ้าง แต่งตัวต่างๆกันไป มีทั้งที่แต่งชุดคล้ายๆคาบาเร่ ติดขนไก่หางยาวเฟื้อย หรือแม้แต่ที่แต่งเป็นผี ทาหน้าทาตาช้ำเลือดช้ำหนองก็ยังมี แต่ถ้ามากันเป็นคู่ มักจะแต่งตัวให้เหมือนกัน เดินกระหนุงกะหนิงกอดแขนกอดเอวกันไป แต่ไม่เห็นถึงขั้นจูจุ๊บหรอกนะครับ แค่จูงมือก็แสลงใจจะแย่อยู่แล้ว ถ้าเห็นถึงขั้นเขาจูจุ๊บกัน คงต้องรีบเข้าวัดหาน้ำมนต์มาล้างตาแก้ฝันร้าย และเมื่อผมหันไปถามอาบุญรอดว่านี่มันงานอะไรกันแน่ ท่านก็พูดออกมาว่า


            แฮปปี้เกย์เดย์ว่ะไอ้น้อง !


            ผมจึงได้ถึงบางอ้อ ปกติวันเกย์จะจัดขึ้นที่เพิร์ชทุกปี สำหรับปีนี้กำหนดให้เป็นวันที่ 29 ตุลาคม และผมรู้สึกเป็นเกียรติ์มากที่ได้มาเดินดู แค่เป็นเกียรติ์นะครับ ยังไม่คิดเป็นเกย์ ถึงโบราณจะว่าไว้ว่าเข้าเมืองตาหลิ่วให้หลิ่วตาตามก็เถอะ


             ก่อนที่ผมจะกลับเห็นมีคนเอาแผงแขวนคอ คล้ายๆกับคนที่ขายขนมในสนามเบสบอล แต่ขนมของเขา คือ...ยังไงดี...มันเป็นอมยิ้ม เป็นแท่งยาวๆใหญ่ๆ ตัวแท่งเป็นช็อกโกแลตสีดำ ส่วนหัวเถิกติดลูกอมสีแดงไว้ ตรงโคนมีช็อกโกแลตเป็นก้อนสีดำอยู่สองตุ้ม ทั้งแท่งน่ะเสียบอยู่บนไม้เอาไว้ถือกิน ตอนนั้นไม่รู้คิดอุตริอะไรขึ้นมา ถึงได้ตัดสินใจซื้อมาแท่งหนึ่ง พอบอกคนขายว่าเอากลับบ้าน เขาก็จัดแจงห่อถุงพลาสติกใสให้ จับๆดูแล้วไม่รู้ว่าจะขำหรือจะขยักแขยงดี คิดจะปาทิ้งหลายที แต่จนแล้วจนรอดดันเอามันกลับมาบ้านจนได้  


            บ้านที่ผมอยู่เป็นบ้านเช่าหุ้นกันกับเพื่อนอีกสามคน ซึ่งก็คือลูกผู้น้องของผมสองคนและเจ้ากบ เด็กใหม่ที่เคยทำให้ผมต้องงมถังขยะหลังร้านมาแล้ว พอผมมาถึงบ้านและเปิดตู้เย็น โยนขนมหน้าตาพิเร๊นพิเรนเข้าไป ถึงได้สังเกตว่าตู้เย็นนี่แห้งเหมือนกับกระเป๋าของพวกเราเมื่อปลายเดือน ถ้าพูดให้ถูก ก่อนหน้าที่ผมจะมีงานทำ เรายังเคยใช้วิธีเอาน้ำลูบท้องมาแล้ว คือ เวลาหิว ก็กินน้ำเยอะๆ กินน้ำมันเข้าไป กินแต่น้ำจนกว่าที่บ้านจะส่งเงินมาให้ ฟังดูเหมือนมุกเก่า แต่ลองทำซิครับ แล้วจะซาบซึ้งในพระคุณของพระแม่คงคาเลยทีเดียว  


            ขนมของผมดูเหมือนจะเป็นที่ถูกตาต้องใจของเพื่อนๆหนุ่มโสด เจ้ากบเป็นคนแรกที่โดดเข้าตะครุบ


            “พี่ๆ นี่มันลูกอมรูปอะไรเนี่ยะ” มันถามซึ่งผมรู้ว่ามันแกล้งถามแน่ๆ


            “รูป...อะไรก็ช่างมันเถอะน่า” ผมพูดแล้วแย่งมาใส่ตู้เย็น


            “แล้วจะกินเมื่อไหร่”


            มันถามอีกแต่ผมไม่รู้จะพูดอะไรดีไปกว่า


            “สิ้นเดือน เผื่อไม่มีอะไรกินจะได้ไม่ต้องเอาน้ำลูบท้อง”


            ผมพูดมั่วๆ แล้วเข้าห้องนอนไป เช้าวันรุ่งขึ้นผมไปเรียนและทำงานตามปกติ กลับมาบ้านเจอไอ้กบกำลังถือขนมของผมวิ่งไล่แทงลูกผู้น้องผมอยู่ ผมต้องร้องด่า และไล่อัดก้น เอ๊ย ไล่เตะก้นมัน พักใหญ่จึงแย่งคืนมาได้ 


            วันถัดมาผมตัดสินใจซ่อนลูกอมหน้าตาประหลาดนั่นไว้ที่ชั้นวางหนังสือ ให้กินน่ะ กินไม่ลงหรอกครับ จะเก็บไว้ถ่ายรูปส่งไปให้เพื่อนๆที่ทะลึ่งทะเล้นในเมืองไทยได้ดูเป็นขวัญตา  


            สิ้นเดือนแล้ว ผมได้เงินจากที่ทำงานมาก้อนหนึ่ง จึงซื้อปลามาทำปลานึ่งบ๊วยให้น้องๆกิน โดยที่ผมแอบจำสูตรมาจากที่ร้าน เรียกว่าล้างจานไปชะเง้อมองพ่อครัวไป เพื่อเราจะได้มีอาหารไทยกินกันไม่ต้องมานั่งฝันเอาอย่างเมื่อก่อน


            กลับมาบ้านผมก็เข้าครัวเสียงดังโขมงโฉงเฉง ตั้งโต๊ะเรียกสมุนมากินกัน ยังไม่ทันได้นั่งดี ไอ้กบก็ชูอมยิ้มที่ผมซ่อนเอาไว้ขึ้นมา ไม่รู้ว่ามันหาเจอได้อย่างไรเหมือนกัน รู้แต่ว่ามันถามผมซ้ำๆอยู่แต่ว่าเมื่อไหร่จะกินขนม ผมทนไม่ไหวเลยตอบส่งๆไปให้หายรำคาญว่า “หลังข้าว”


            แล้วพวกเราก็ลงมือกินข้าวกัน ยังไม่ทันได้อิ่มดี ปรากฏว่าออดประตูดังติ๊งต่องขึ้น ผมเป็นผู้ใหญ่ที่สุดในบ้าน จึงเดินออกไป ตอนแรกที่ส่องดูตรงช่องมองคน ผมไม่เห็นใครเลย กำลังจะเดินกลับอยู่แล้ว ก็มีเสียงออดดังอีก ผมคว้าประตูเปิดออกและมีเงาตะคุ่มๆสองร่างกระโดดออกมาจากพุ่มไม้ ร้องขึ้นพร้อมกันเป็นภาษาอังกฤษว่า


            “Trick or Treat !”


            ผมสะดุ้งโหยง เมื่อเห็นแดกกูล่าตัวเตี้ยสองตัว สูงเลยเข้าผมมาประมาณฟุตหนึ่ง ทั้งสองสวมชุดทักซิโด มีผ้าคลุม ตนหนึ่งทาหน้าซีดเซียว มีเขี้ยวพลาสติกโผล่ออกมา ส่วนอีกตนเห็นชัดๆว่าสวมหน้ากาก   


            ผมทำหน้างง เด็กๆในชุดผีพยายามหลอกผมอีก แต่ผมก็ยังไม่เข้าใจมุก จนเด็กชายที่แต่งหน้าซีดๆ ต้องถามออกมาว่า


            “What day is to day? - วันนี้วันอะไร”


            เออ ถามแปลกๆ วันนี้วันจันทร์เพิ่งผ่านวันเกย์มาสองวัน มองๆดูเห็นเด็กสองคนสวมทักซิโดทั้งคู่ยืนจูงมือกันแล้ว ไม่รู้ว่าพวกเขาหลงวันหรือเปล่า จึงเลิกคิ้วตอบเป็นเชิงถามไปว่า


            “Gay’s day? - วันเกย์ใช่ไหม”


            “It’s Halloween day. – วันนี้วันฮาโลวีน” แดกกุล่าน้อยทั้งสองตัวตอบพร้อมกัน


            “So? - แล้วไง” ผมยักไหล่


            คราวนี้พวกเด็กๆรุมทึ้งผมเกือบตาย พวกเขาพยายามอธิบายว่าวันนี้เป็นวันฮาโลวีนซึ่งที่เพิร์ชจะมีเด็กๆมาเดินเล่นหลอกชาวบ้านแบบนี้ในวันที่ 31 ตุลาคม หลายที่เล่นกันตั้งแต่ 29 -31 แต่ที่นี่เล่นวันเดียว ซึ่งผมดีใจมากที่เป็นแบบนั้น และเด็กคนที่สวมหน้ากากก็พูดกับผมว่า


            “You suppose to give us some candy. It’s traditional here. – คุณควรจะให้ลูกกวาดกับพวกเรา มันเป็นประเพณีของที่นี่”


            ผมหันกลับไปกวาดสายตามองบนโต๊ะอาหารที่มีแต่ก้างปลากับข้าวเปล่า จนด้วยเกล้าไม่รู้จะเอาอะไรให้เด็กๆดี ว่าจะปิดประตูใส่หน้าอยู่แล้ว เด็กที่สวมหน้ากากก็ดึงชายเสื้อผมเบาๆ ถามผมว่า


            “When in Rome, do as the Roman does. Right ? – เข้าเมืองตาหลิ่วต้องหลิ่วตาตามจริงไหม”


            ผมอึ้ง จริงครับ เข้าออสเตรเลียก็ต้องทำแบบชาวออสซี่ ทำไงได้ ผมรีบเข้าบ้านไปเปิดตู้เย็น แต่ในนั้นโล่ง มีแต่ของสดประทังชีวิตอยู่นิดหน่อย ไม่มีของฟุ่มเฟือยประเภทขนมหรือลูกอมเลย สุดท้ายผมต้องเดินคอตกกลับไปที่ประตู นึกถึงหน้าผีน้อยสองตนแล้วคิดไม่ออกว่าจะพูดอย่างไรถึงจะยอมไปจากหน้าบ้านผม ยังเดินไม่ทันถึงประตูก็พอดีได้ยินเสียงไอ้กบตะโกนมาว่า


            “ใครมาน่ะพี่”   


            “เด็ก มาขอขนม” ผมตะโกนตอบ ไม่รู้ว่ามันได้ยินว่าอะไรถึงได้ตอบมาว่า


            “เฮ้ย ขอทานเหรอ เดี๋ยวผมไล่เอง”


            ไอ้กบมันเดินอาจๆมาที่ประตู แต่สายตาของผมจ้องอยู่ที่ปากมัน มันเสียบอะไรไม่รู้ดำๆยาวๆไว้ในปาก อมเสียมิดด้าม โผล่พ้นปากออกมาแค่สองตุ้มกลมๆแบๆ


            “ไอ้กบ! อมยิ้มกู”


            ผมสุดจะฉุน จึงกระชากลูกอมสุดแพงออกมาจากปากมัน แต่ไอ้กบงับส่วนหัวไว้ได้ อมยิ้มผมเลยหักกลางลำ


            “อะไรล่ะพี่ ไหนพี่บอกหลังข้าวจะให้กิน”


            “เปล่า พี่จะเก็บไว้ให้เด็กต่างหาก หูไม่ดีจริงๆเลย แกนี่”


ผมมองดูตุ้มที่อยู่ในมือ แล้วรีบหักเดือยที่คาอยู่ในมือผมครึ่งหนึ่งคืนให้มัน จากนั้นจึงเปิดประตูออกไปส่งสองตุ้มช็อกโกแลตให้ปีศาจตัวเล็กที่ยืนถือถุงใส่ลูกกวาดใบเท่าถุงของซานตาครอส ยืนรออยู่


“What’s that? - นั่นอะไร” เด็กคนที่สวมหน้ากากถาม


ผมกลืนน้ำลายอึกใหญ่ แล้วตอบอึกๆอักๆไปว่า


“It’s a candy, a butterfly candy. Its two wings here, you see? – มันเป็นลูกกวาด ลูกกวาดรูปผีเสื้อ ตรงนี้เป็นปีกสองข้างของมันนะ เห็นไหม”


ผมชี้ที่ก้อนกลมๆแบๆตอนที่อธิบายว่าเป็นปีก และไม่ว่าจะเห็นเป็นผีเสื้อหรือเปล่า เจ้าคนที่แต่งหน้าผีก็คว้ามันวิ่งนำไป เด็กคนที่สวมหน้ากากวิ่งตามได้สี่ห้าก้าว แล้วหันกลับมา ถอดหน้ากากสยายผมสีดำขลับ ประนมมือขึ้นไหว้พลางตะโกนเป็นภาษาไทยชัดแจ๋วออกมาว่า


“ขอบคุณค่ะ”


ผมเกือบช็อคคาประตู อยากจะวิ่งตามไปกระชากขนมคืนแล้วบอกว่า


ที่บ้านตู วันฮาโลวีนเขาแจกมะเหงกกันเฟ้ย หน็อย เข้าเมืองตาหลิ่วต้องหลิ่วตาตาม เข้าออสเตรเลียต้องทำแบบชาวออสซี่ ถ้างั้นเข้ามายืนในรั้วบ้านข้า ก็ต้องรับมะเหงกตามธรรมเนียมข้าด้วยซิ






Free TextEditor




 

Create Date : 02 พฤษภาคม 2553   
Last Update : 3 พฤษภาคม 2553 8:20:18 น.   
Counter : 899 Pageviews.  


What a great Idea

What a great Idea!


            หากท่านได้อ่านเรื่องของผมในฉบับที่แล้วๆมา คงพอจะจำได้ว่าผมคือหนุ่มล้างจาน ซึ่งผมเองก็อยากเล่าเรื่องที่ทำงานของผมให้ทุกท่านได้ฟังอีกสักเจ็ดวันเจ็ดคืน แต่มาคิดๆแล้วเจ็ดคืนก็คงไม่จบ ผมจึงตัดสินใจจะเล่าเรื่องอื่นแทน


            พ่อแม่ผมส่งผมมาออสเตรเลีย นอกจากจะเพื่อให้ผมได้มีความรับผิดชอบ ดูแลตัวเองได้ และรู้จักค่าของเงินแล้ว แน่นอน พวกท่านยังหวังอยากให้ผมได้รับบางอย่างที่มากกว่าการเรียนปริญญาโทในประเทศไทย นั่นก็คือ ภาษาอังกฤษ  


            ผมอยู่ในบ้านเช่าขนาดสี่ห้องนอน มีเพื่อนคนไทยหนึ่งคน ลูกพี่ลูกน้องผมซึ่งเป็นคนไทยอีกหนึ่งคน และอีกคน เพื่อนสนิทผม ชื่อ เช็ง เขาเป็นคนจีนและ แน่นอน ที่บ้านส่งเขามาโดยคาดหวังจะให้มาเรียนภาษาอังกฤษ แต่กลับได้ภาษาไทยกลับไปเพี้ยบ โดยเฉพาะคำด่า ก็เล่นอยู่บ้านที่มีรูมเมทเป็นคนไทยถึงสามคนนี่ครับ


            ผมเองเป็นหนุ่มล้างจานในร้านอาหารไทยมาเกือบปีแล้วและพอจะเรียกได้ว่ากว้างขวางในวงการล้างจานพอสมควร จึงฝากงานให้เช็งทำงานในร้านอาหารไทยแห่งหนึ่งได้สำเร็จ


            ตามธรรมเนียมคนเอเชียตะวันออกครับ จะเฉียงใต้เฉียงเหนือก็แล้วแต่ สิ่งหนึ่งที่เหมือนกันก็คือ...ผมไม่รู้จะเรียกว่า น้ำใจ หรือ ความรู้คุณคนดี เอาเป็นว่าผมฝากงานให้ไอ้เช็งและมันก็พาผมไปเลี้ยงโต๊ะจีน โต๊ะจีนจริงๆครับ เพราะอยู่ในร้านอาหารจีนน่ะครับ


            ตอนแรกเช็งถามผมว่าจะกินอะไร ทำท่าจะหน้าใหญ่สั่งกับข้าวสี่ห้าอย่าง ผมเองสงสารมัน เพราะงานมันยังไม่ได้เริ่มทำ เงินก็ยังไม่ได้ เอาแต่ฉลองประเดี๋ยวก็หมดตัวเสียก่อนได้งานเท่านั้น ผมจึงบอกมันว่าสั่งแค่สามอย่างก็พอ กินสองคนเดี๋ยวไม่หมด เท่านั้นละครับ มันตบเข่าผาง ร้องออกมาว่า


            เก๋าเจี้ยง!


            ผมโมโหเลือดขึ้นหน้า เลยด่าสวนเป็นภาษาไทยสุดจะหยาบไปสองคำ ซึ่งผมรู้ว่ามันฟังออก เพราะผมสอนคำนี้ให้มันเอง คำหลังคือคำว่าแม่ คำหน้าคืออะไรคิดเอาเองนะขอรับ


            ไอ้เช็งมันก็งงว่าผมด่ามันทำไม ผมก็งงว่ามันด่าผมก่อนทำไม เกือบจะวางมวยกันอยู่แล้ว โชคยังดีที่ไอ้เช็งมันยอมประสานสัมพันธุ์ด้วยการเอ่ยปากถามขึ้นมาก่อนว่าลื้อมาด่าอั๊วะทำไม


            ผมกัดฟันกรอด แค่นี้ลื้อนึกว่าอั๊วฟังไม่ออกหรือ คนไทยรู้ทั้งนั้นว่าเก๋าเจ้งเป็นคำด่า มันงงครับ คุยกันตั้งนานกว่าจะรู้ว่า เก๋าเจี้ยง ที่บ้านมันแปลว่า do well หรือว่า great Idea! แปลอังกฤษเป็นไทยอีกทีว่า เป็นการกระทำที่ดี หรือว่า ความคิดดี เป็นคำชมไม่ใช่คำด่า


            ไม่มีทางที่ผมจะเชื่อหรอกครับ ผมเองหลอกด่าไอ้เช็งมาหลายที คราวนี้สงสัยว่ามันจะหลอกด่าผมกลับบ้าง สุดท้ายมันก็เลยท้าผม ให้ผมพูดคำนี้กับเด็กเสิร์ฟ ถ้าโดนด่า หรือเขาทำหน้าบึ้งใส่ มันจะกราบผมงามๆที่กลางร้าน กราบกับพื้น ทั้งแบบจีนแบบไทย เรื่องทำให้เพื่อนขายหน้าผมไม่พลาดอยู่แล้ว ทีนี้นั่งจ้องไว้เลย พอเด็กเสิร์ฟมาปุ๊บ วางอาหารลงปั๊บ ผมรีบพูดใส่หน้าชัดๆ ออกเสียงถูกต้องทุกประการว่า เก๋าเจี้ยง!  แม่น้องยิ้มแป้น ตอบกลับมาว่า Thank you sir  อะเหอ งง ครับ ไม่แน่ไอ้เช็งมันอาจจะไปเตี๊ยมกับเด็กเสิร์ฟไว้ก็ได้


            เอาใหม่ คราวนี้ผมเดินไปที่แคชเชียร์เลย ไปถึงก็ชี้หน้าบอก Your restaurant is เก๋าเจี้ยง แคชเชียร์ก็ Thank you sir กลับมาอีก คราวนี้ชักจะเชื่อว่าไอ้เช็งมันไม่ได้หลอกด่าผมเล่นแล้ว


            มาถึงตรงนี้บางทีผมเองอาจจะออกเสียงผิดเองก็ได้ จึงพยายามออกเสียงหลายๆแบบให้เช็งฟัง เก๋า แปลว่า do หรือทำ เก๋าเจี้ยงเป็นคำชม เก๋าจิ้งนี่พระเอกเรื่องคนตัดเซียนที่ โจว เหวิน ฟะ เล่น นอกนั้นจะเก๋าจ้ง เก๋าจั้ง เก๋าจุ้ย เก๋าจ๊ง เก๋าจ๊วย ล้วนไม่มีความหมายทั้งนั้น แล้วคนไทยมันเอาคำด่าว่าเก๋าเจ้งมาจากไหน ผมยังมึนตึบ


            ข้อสันนิษฐานเดียวที่อาจจะเป็นไปได้คือ คนไทยเราเป็นคนที่พูดจานิ่มๆ เวลาออกเสียงพูดนี่จะนุ่มนวล แต่คนจีนออกจะโฉ่งฉ่าง วันหนึ่งมีคนไทยไปทานอาหารร้านจีน เจออาแปะพูดกระแทกน้ำเสียงชมว่า เก๋าเจี้ยง! ซึ่งโทษอาแปะไม่ได้ เพราะเขาพูดด้วยน้ำเสียงหนักๆแบบนี้เป็นปกติของเขา ส่วนคนไทยที่ถูกพูดกระแทกเสียงใส่หน้าด้วยคำที่ฟังไม่เข้าใจ ก็คิดไปเองว่าเขาด่า ถึงได้แปลกันเรื่อยเปื่อยมาจนทุกวันนี้ ฝันมาถึงตรงนี้ ผมละอยากพาไอ้เช็งมันย้อนเวลาไปเจอตัวต้นเรื่องจริงๆ


            ระหว่างที่เราทานอาหาร ไอ้เช็งมันก็เล่าให้ผมฟังอีกว่า เก๋าเจี้ยงไม่ใช่ใช้ชมคนทั่วไปอย่างเดียว เวลาที่จะชมปราชญ์ว่าฉลาด มีความคิดดี ก็จะชมว่าเก๋าเจี้ยง อย่างขงเบ้งนี่ ก็เรียกว่าเป็นเก๋าเจี้ยงคนหนึ่งเหมือนกัน คำนี้ยังใช้ชมไปถึงพวกผู้นำประเทศที่วางแผนบริหารดีๆเสียอีกด้วย แหม ผมละอยากจะจดหมายไปบอกนักจัดรายการโทรทัศน์บางท่านในบ้านเรา ให้ลองชมผู้นำรัฐบาลว่าเก๋าเจี้ยงดูซักทีจริงๆ จะได้รู้กันไปว่าจะถูกฟ้องอีกสักกี่สิบล้าน


            ขาขับรถกลับบ้านผมเล่าให้ไอ้เช็งฟัง ว่าที่เมืองไทยนี่คำนี้เป็นคำด่า คราวนี้ไอ้เช็งเป็นฝ่ายไม่เชื่อผมบ้าง จึงต้องพิสูจน์อีกแล้วครับท่าน


              พอกลับถึงบ้านเห็นเจ้ากิม ลูกพี่ลูกน้องผมนั่งทำการบ้านอยู่ จึงลองกับมันคนแรก ไอ้เช็งเดินเข้าไปพูดเลย กิม you are เก๋าเจี้ยง เจ้ากิมทำหน้าเหวอ หันมาถามผมว่า ผมทำไรผิดครับพี่ ไอ้เช็งกับผมถึงกับปล่อยหัวร่อออกมาก๊ากใหญ่ ชมก็คิดว่าด่าได้ด้วยนะ คนเรา


            หลังจากที่อาบน้ำอาบท่าแล้วไอ้เช็งมันก็ขอยืมรถบุโรทั่งที่ผมซื้อมาด้วยค่าจ้างล้างจานของผม เพื่อจะขับไปทำงานเป็นหนุ่มล้างจานในร้านอาหารไทยที่ผมฝากให้ ส่วนผมรีบเข้าเอ็มเอสเอ็นคุยกับแม่ พอเล่าให้ฟังเรื่อง เก๋าเจี้ยง แม่ไม่ยอมเชื่อว่าไม่ใช่คำด่า ยังไงๆก็ไม่ยอมเชื่อ ส่วนยายผมยิ่งหนักข้อเข้าไปใหญ่ ตรงที่ยายผมบอกว่าเก๋าเจ้งเป็นคำย่อของ กู๋โบ้เก๋าเจ้ง ผมเองไม่รอช้ารีบโทรไปหาไอ้เช็ง


            Chang, I am wrong. It’s กู๋โบ้เก๋าเจ้ง ผมกรอกเสียงลงไปในโทรศัพท์ บอกมันว่าผมออกเสียงผิดที่จริงต้องกู๋โบ้เก๋าเจ้ง แล้วก็ได้ยินเสียงไอ้เช็งเกาหัวดังแกรกๆ รู้แต่คำว่า กู๋ เอาไว้เรียกนับญาติ ส่วนกู๋โบ้เก๋าเจ้งนี่ ไอ้เช็งมันเอาแต่พูดซ้ำๆว่า มันเป็นคำไทยน่ะซิ ลื้อเอาคำไทยมาหลอกด่าอั๊วอีกแล้วใช่ไหม


            จนแล้วจนรอดเราก็คุยกันไม่รู้เรื่อง เพราะเช็งมันต้องรีบเข้างานก่อน ผมอยู่บ้านไม่เป็นอันทำอะไร เอาแต่จดหมายไปบอกแทบทุกคนที่รู้จัก ว่าเก๋าเจี้ยงไม่ใช่คำด่า แต่น้อยคนนักจะเชื่อ


            ผมนั่งเล่นอินเตอร์เน็ตจนดึก ได้ยินเสียงรถมาจอดหน้าบ้าน เยี่ยมหน้าออกดูทางหน้าต่างเห็นเป็นรถมือสองที่ผมซื้อมาด้วยเงินเก็บจากการล้างจาน ก็รู้ทันทีว่าไอ้เช็งมันกลับมาแล้ว แต่พอมันเปิดประตูเข้ามาซิครับ หน้าตามันปูดบวมเขียว เรียกว่าหมดหล่อไปเลย ผมรีบเอาน้ำแข็งห่อผ้ามาประคบให้มัน ซักไซ้ไล่เรียงว่ามันไปโดนอะไรมาอยู่พักใหญ่ ถึงได้รู้ว่าตอนที่เจ้าของร้านเรียกให้หนุ่มๆล้างจานพักกินข้าว ไอ้เช็งมันเห็นพ่อครัวยกกั้งแก้วทอดพริกเกลือสุดหรูมาให้กิน ชีวิตมันไม่เคยรู้มาก่อนว่ากั้งเอามาทอดพริกเกลือแล้วจะน่ากินขนาดนี้ มันก็เลยเผลอตัวตบเข่าผาง ร้องไปว่า


เก๋าเจี้ยง!


เท่านั้นละครับ ทั้ง ศอก เข่า อัปปะคัด จระเข้ฟาดหง ฟาดหาง มาหมดทุกแม่ไม้มวยไทย






Free TextEditor




 

Create Date : 02 พฤษภาคม 2553   
Last Update : 3 พฤษภาคม 2553 8:20:27 น.   
Counter : 1771 Pageviews.  


ล้างจานกับการมองโลกในแง่ดี

ล้างจานกับการมองโลกในแง่ดี


ผมเป็นหนุ่มล้างจาน ยังชีพด้วยการล้างจานแลกอาหารหนึ่งมื้อและเงินอีกเล็กน้อย


            เมื่อก่อนตอนที่อยู่เมืองไทย ผมมักจะได้ยินเรื่องของนักเรียนไทยที่ไปอยู่เมืองนอก ไม่รู้ว่าทำไมถึงได้ยึดอาชีพเดียวกันเกือบหมด นั่นก็คือล้างจาน


แต่ตอนนี้รู้แล้วว่ามันเป็นงานหนัก ไม่ค่อยมีคนอยากจะทำ จึงมีตำแหน่งว่างเหลือเฟือให้นักศึกษาอย่างผม


            ที่จริงผมมาถึงเพิร์ชด้วยสภาพที่แทบจะเรียกได้ว่าเสื่อผืนหมอนใบ ทรัพย์สมบัติที่ติดตัวมามีแค่กระเป๋าเดินทางใบหนึ่งกับเงินจำนวนไม่มาก นั่นทำให้ผมต้องใช้ชีวิตแตกต่างจากตอนที่อยู่เมืองไทยอย่างสุดขั้ว จากขับรถต้องมาใช้บริการรถเมล์ ส่วนรถไฟใต้ดิน ต้องกลับไปใช้บริการที่เมืองไทยครับ ที่นี่ไม่มี และเพราะครอบครัวของผมไม่ได้รวยล้นฟ้า แค่พอมีพอใช้เท่านั้น ผมจึงออกหางานทำ เพื่อแบ่งเบาค่าใช้จ่ายทางบ้าน


            แต่งานทุกงานต้องมีการลงทุน วีซ่าของผมเป็นวีซ่านักเรียน มันจะเขียนไว้ชัดเจนว่า NO WORK ต้องไปขอเวิร์คเพอมิตที่อิมิเกรชั่น ตรงนี้ต้องเสียค่าธรรมเนียม 50 เหรียญ เห็นเลขน้อยๆ เอา 31 คูณเข้าไป คิดเป็นเงินไทยแล้วก็อ่วมอยู่เหมือนกันครับ


ในช่วงแรกบอกได้เลยว่าผมไม่รู้จะสมัครงานที่ไหน เพราะยังไม่รู้เลยว่าตัวเองมีความสามารถอะไรบ้าง แต่บังเอิญมีเพื่อนมาชวนไปสมัครงานบาร์เทนเดอร์ในร้านอาหารไทยแห่งหนึ่ง  ผมผสมเหล้าไม่เป็นหรอกครับ ดื่มเป็นอย่างเดียว แต่ก็ลองไปกับเขาดู คิดว่าอย่างไรเสียทางร้านต้องสอนอยู่แล้ว เหตุผลอีกอย่างหนึ่งก็คือ ใกล้อบายมุขดี ผมชอบ


“อยากเป็นบาร์เทนเดอร์ก็ได้ แต่ต้องเริ่มต้นจากล้างจานก่อน” ผู้จัดการร้านบอก


ผมเงียบ คิดอยู่ว่าจะทำดีไหม


“ล้างจานวันละห้าชั่วโมง ระหว่างงานพักสิบห้านาที มีข้าวและกับข้าวไทยให้กินฟรีมื้อหนึ่งด้วยนะ” ผู้จัดการพูด


ผมเงียบอีก


“13.46 เหรียญต่อชั่วโมง จะทำก็มาหลังร้าน” เสียงเจ้าของร้านตะโกนมาจากในครัว


คราวนี้ผมอ้าปากค้าง รีบตะเกียกตะกายเข้าไปหลังร้าน และถ้าเป็นการ์ตูนฝรั่งผมคงมีสัญลักษณ์ $ ขึ้นมาในดวงตาทั้งสองข้างไปแล้ว 


ผมคิดเสมอว่าการล้างจานไม่ใช่งานเลวร้ายอะไร เพียงแต่ตอนเย็นหลังเลิกเรียน ผมต้องมาจมอยู่กับภูเขาจานขนาดมหึมา ที่ถูกสุมไว้ตั้งแต่เช้า เพราะไม่มีคนล้าง หลังจากเคลียจานที่หมักหมมมาทั้งวันสำเร็จ ก็จะมีจานใหม่ๆทยอยเข้ามาเรื่อยๆจนปิดร้านเท่านั้นเอง แต่ในความเป็นจริงแล้ว การยืนอยู่หน้าซิงค์ล้างจานห้าชั่วโมง เป็นเรื่องทรมานที่สุด ขาของผมทั้งสองข้างปวดล้าไปหมด มือทั้งสองข้างแม้จะสวมถุงมือเอาไว้ ก็ถูกน้ำยาล้างจานกัดจนเปื่อยและแสบ


ช่วงนั้นเองที่ท้อที่สุดในชีวิต และก็มีคนๆหนึ่งก้าวเข้ามาในชีวิตผม เขาคืออาบุญรอด หัวหน้าแผนกงานในครัว


“งานเราหนัก อารู้ แต่คิดแง่ดีไว้ซิลูก อย่างน้อย 13.46 เหรียญ ก็เป็นค่าจ้างที่สูงกว่าที่อื่น”


อาบุญรอดบอกกับผมในเย็นวันหนึ่ง และผมก็ยึดมันเป็นคติประจำใจตลอดมา ไม่ว่าผมจะเจอเรื่องเลวร้ายแค่ไหน ผมจะพยายามมองมุมบวกเสมอ


วิธีล้างจานที่นี่ คือ เขี่ยอาหารทิ้งถังขยะ ล้างน้ำยาล้างจาน ล้างน้ำเปล่า และนำจานไป เข้าเครื่องอบ เครื่องอบที่ว่านี่เป็นเครื่องเป่าลมร้อน คล้ายๆที่เป่ามือในห้องน้ำ เพียงแต่เอาจานใส่ตระกร้า วางลงไปใต้เครื่องเป่า มันจะเป่าทั้งหมดสามครั้ง ครั้งแรก เป็นการลวกน้ำร้อนเพื่อฆ่าเชื้อ ครั้งที่สองก็ยังใช้น้ำร้อนอีกเพื่อขจัดฟอง ส่วนครั้งที่สามใช้ไอน้ำร้อนอบจานให้ร้อน อันนี้ก็ไม่ทราบว่าเจ้าของร้านกลัวพวกสาวๆจะแอบเอาหน้าไปอังแทนการอบไอน้ำหรืออย่างไร ถึงได้จ้างแต่เด็กล้างจานผู้ชายไม่จ้างผู้หญิง เอาละครับ หลังจากเครื่องล้างจานหยุดทำงานก็นำจานออกจากเครื่องอบรอให้แห้ง แค่นี้ก็เป็นอันเสร็จเรียบร้อย


ที่กล่าวมาข้างต้นนี่เป็นแบบครบสูตรครับ แต่ถ้าวันไหนลูกค้าเยอะงานยุ่งมาก ผมก็ต้องใช้วิธีย่นย่อซึ่งผมคิดค้นและตั้งชื่อว่าวิธี “หมุนแล้วจุ่ม” คือ เอาจานแช่น้ำยา จากนั้นหมุนข้อมือที่ถือฟองน้ำบนจานสักสองปืดแล้วจุ่มน้ำเปล่าเอาไปวางให้เครื่องมันอบ คราวนี้ลูกค้าก็จะได้รับจานที่อุ่นๆ ให้ความรู้สึกสะอาด ทั้งที่ไม่รู้เลยว่าไอ้คนล้าง มันล้างแบบเอาเร็วเข้าว่า ก็ผมมีหน้าที่แค่ทำอย่างไรก็ได้ให้ในครัวมีจานเมื่อต้องการใช้นี่ครับ


นั่นแน่ คุณต้องมองโลกในแง่ดีไว้ กินเชื้อโรคเข้าไปเสียบ้าง จะได้มีภูมิต้านทานไม่ต้องวิ่งแจ้นไปฉีดเชื่อโรคเข้าตัว แล้วเรียกกันให้โก้ว่าวัคซีน เสียเงินเสียเวลาอีก จริงไหมครับ


แต่ถึงจะล้างลวกๆได้ ก็ยังมีขีดจำกัด คือ สิ่งที่มองไม่เห็น สัมผัสไม่ได้อย่างเชื้อโรคนี่ไม่เป็นไร แต่สิ่งที่มองเห็นสัมผัสได้ จะยอมให้ติดอยู่บนจานไม่ได้เป็นอันขาด ผมเองเพิ่งได้บทเรียนในเย็นวันหนึ่ง วันนั้นจานเยอะมาก ผมล้างส่งๆไปหวังจะให้เสร็จทันใช้ แต่ไม่รู้ทำไม พออบเสร็จแล้วกลับเกิดคราบมันบนจาน ผมถูกอาบุญรอดเรียกไปดุ และต้องนำจานทั้งหมดที่ล้างเสร็จแล้วมาล้างเสียใหม่ ครับมองโลกในแง่ดีไว้ ถ้าอาบุญรอดไม่ให้ผมล้างใหม่ ไม่แน่แขกอาจจะโมโห บุกเข้ามาเอาจานขว้างหัวก็ได้


ที่เล่ามาทั้งหมดนี้เป็นจานชามกระเบื้อง แต่ในร้านยังมีจานอีกชนิดเรียกว่าจานรีไซเคิ้ล จานรีไซเคิ้ลนี่มีสองแบบ แบบแรกคือเป็นสัปปะรดผ่ากลางใช้เป็นภาชนะใส่ข้าวอบสัปปะรด แบบที่สองเป็นมะพร้าวผ่าด้านบนสำหรับใส่แกงมะพร้าว พอจัดให้ดีแล้วอลังการจนน้ำลายไหล แต่ถ้าใครมาเห็นตอนล้างจะรับประทานไม่ลง


ผมคนหนึ่งล่ะ ที่จะไม่กินไปตลอดชีวิต !?!


เศษข้าวผสมน้ำผัดสีเหลืองอ๋อย พร้อมชิ้นเละๆของสัปปะรดสับติดกรังอยู่ที่ก้นผลสัปปะรดที่ใช้เป็นจาน ของพรรค์อย่างนี้ถูกลำเลียงมาถึงมือผมทุกวัน สิ่งที่ผมต้องทำก็คือ เขี่ยเศษที่เหลือทิ้งลงในถังขยะ เอาผลสัปปะรดที่ใช้เป็นจานไปแกว่งในน้ำเปล่า และแช่เย็น !


แค่นั้นจริงๆ แกว่งในน้ำเปล่าแล้วแช่เย็น เอาไปล้างในน้ำยาล้างจานไม่ได้เด็ดขาดเพราะผลสัปปะรดจะเหี่ยว ส่วนมะพร้าวค่อยยังชั่วหน่อยที่ล้างด้วยน้ำยาล้างจานได้ แต่พอเสร็จแล้วก็ต้องแช่เย็นเหมือนกัน     


หลังจากที่ผมทำงานอย่างหนักในตำแหน่งพนักงานล้างจานคนเดียวของร้านมานาน ในที่สุดสวรรค์ก็เข้าข้างผม อยู่ดีๆมีหนุ่มน้อยหน้ามนเพิ่งมาจากเมืองไทยหมาดๆ มาช่วยงานผม เขาชื่อกบ


กบไม่ได้มาสมัครเป็นเด็กล้างจานหรอกครับ ตั้งใจสมัครเป็นเด็กอ่านรายการกับข้าว หน้าที่คืออ่านชื่อกับข้าวที่ลูกค้าสั่งให้พ่อครัวฟัง แล้วพ่อครัวจะทำตามที่สั่ง


“อยากเป็นเด็กอ่านออร์เดอร์ก็ได้ แต่ต้องล้างจานด้วยนะ” เสียงผู้จัดการแว่วมา พร้อมเสียงรับคำอ้อมแอ้มในลำคอของกบ ส่วนผม...ยิ้มแป้น


และวันมหาวินาศสันตะโร ก็มาถึง ปกติทุกเสาร์จะเป็นวันที่งานหนักมากอยู่แล้ว ลูกค้าชาวไทยและออสซี่ไม่รู้แห่มาจากไหนกันแน่นขนัดไปหมด แต่วันมหาวินาศที่ผมพูดถึง แย่กว่านั้นอีก เพราะนอกจากจะเป็นวันเสาร์แล้ว ยังเป็นวันเปิดร้านวันแรก หลังจากปิดกลางปีไปเกือบสองอาทิตย์ สัปปะรดและมะพร้าวปอกไม่ทัน เราจึงมีอยู่แค่อย่างละสามใบ และทุกครั้งที่ได้ยินคำว่า “สัปปะรดด่วน” หรือ “มะพร้าว ด่วน” ของที่เรียกหาต้องไปถึงมืออาบุญรอด อย่างไม่มีข้ออ้างใดๆทั้งนั้น


เจ้ากบหนุ่มน้อยที่มาสมัครเป็นเด็กอ่านออร์เดอร์เข้ามาช่วยผมล้างจาน ผมเห็นกบเก็บสัปปะรดและมะพร้าวเข้ามาวางที่โต๊ะข้างซิงค์ล้างจาน ผมบอกให้เขาเขี่ยเศษอาหารทิ้ง ในขณะที่ตัวเองกำลังจดจ่ออยู่กับงานล้างและล้าง


“สัปปะรดด่วน ! ” เสียงอาบุญรอดตะเบ็งขึ้นมา


ผมหันหาสัปปะรด แต่มันหายไปแล้ว !


“เห็นสัปปะรดไหมกบ” ผมรีบหันไปถามเด็กใหม่ทันที


เด็กใหม่ทำหน้า งง แล้วเดินไปที่ประตู ผมเดินตามไป เห็นกบใช้เท้าเหยียบคันเหยียบของถังขยะ จนฝาเผยอออก ในนั้นมีแต่เศษอาหารเต็มไปหมด ไม่รู้ว่ามันจะพามาดูขยะทำไม ผมจึงพยายามอธิบายอีกว่าผมต้องการจานสัปปะรดรีไซเคิล หมอนั่นชี้ไปที่เศษขยะที่สูงเกือบศอกแล้วบอกว่า


“อยู่ก้นถังนี่ละพี่”


ผมหน้าเสีย รีบเปิดตู้เย็นเพื่อจะหาสัปปะรดใบใหม่ แต่ในนั้นว่างเปล่า ไม่มีสัปปะรดที่แกว่งน้ำแล้วเหลืออยู่เลย ทางอาบุญรอดก็ตะโกนเร่งไม่ขาดปาก ทำอย่างไรได้ละครับ ผมกลั้นใจล้วงมือลงไปควานก้นถัง เจออะไรแหยะๆเย็นๆก็รีบล้วงผ่านไป แต่ถ้าเจออะไรใหญ่ๆแข็งๆก็คลำอยู่นานหน่อยเผื่อว่าจะใช่ สุดท้ายผมก็จิกหัวจุกสัปปะรดลากมันขึ้นมาได้ รีบแกว่งๆในน้ำเปล่าแล้วหลับหูหลับตาส่งให้อาบุญรอด     


            ต้องมองโลกในแง่ดีอีกแล้ว...อย่างน้อยตูก็ไม่ได้กินไอ้ใบนั้นละวะ


            “มะพร้าว ด่วนเสียงอาบุญรอดตะโกนมาอีก


            ผมพุ่งไปที่โต๊ะเตรียมรีไซเคิ้ลมะพร้าว มะพร้าวก็หายไปด้วยเหมือนกัน ผมรีบหันไปมองที่ถังขยะ แต่มันว่างเปล่า ถุงสำหรับใส่ขยะก็ไม่อยู่ในถังแล้ว ผมหันหาเจ้ากบแต่มันไม่อยู่แถวนั้น พักเดียวกบเดินเข้ามาทางประตูหลัง หยิบถุงขยะใบใหม่มาใส่ลงในถังพร้อมกับปัดมือแปะๆ เหมือนกับเพิ่งทำงานเสร็จเรียบร้อย ผมรีบถามมันว่ามะพร้าวหายไปไหน


            แล้วผมก็มายืนหน้าซีดที่ถังขยะใบใหญ่นอกร้าน


            ถ้าใครเคยดูหนังฝรั่งคงจะนึกออก มันเป็นถังขยะสีเขียวมหึมา กว้างและยาวพอให้คนลงไปนอนได้สักสามคน สูงเกือบท่วมหัวผม ทำยังไงได้ละครับ ในเมื่อมันเป็นหน้าที่ของผมที่จะทำอย่างไรก็ได้ให้ในครัวมีจานใช้


            ผมตัดสินใจกระโดดลงไปแหวกว่ายในทะเลขยะ ที่มีเศษข้าวของสูงถึงอก กลิ่นเหม็นหึ่งไปหมด ถ้าคุณคิดจะใช้วิธีกลั้นหายใจ ผมขอบอกว่ามันเป็นวิธีที่ผิดอย่างใหญ่หลวง เพราะหลังจากที่กลั้นหายใจจนเต็มกลืน คุณก็ต้องฮุบลมเฮือกใหญ่เข้าปอด สูดกลิ่นเน่าเข้าไปเต็มรักละครับทีนี้ ผมจึงต้องทนสูดกลิ่นคาวขยะไปเรื่อยๆ


ในที่สุดผมก็โผล่หน้าขึ้นมาเกาะขอบถังหอบหายใจแฮกๆ พร้อมกับส่งมะพร้าวให้เจ้ากบที่ยืนอุดจมูกรออยู่ข้างถัง


            “ผมขอโทษนะพี่”


            ผมจ้องมันแล้วกัดฟันดังกรอดๆ อยากจะชกให้หน้าหงายสักที...แต่ไม่ได้ครับ คนเราต้องคิดในแง่ดีไว้


            ก็ยังดี ที่รถขยะไม่มาเก็บไปเสียก่อน ไม่อย่างนั้นผมคงต้องวิ่งหน้าตั้งตามรถขยะไปเก็บมะพร้าวกลับมารีไซเคิ้ลแน่ๆ


ลองถ้าถึงขั้นนั้นแล้ว ผมคงจะคิดในแง่ดีไม่ออกละครับ






Free TextEditor




 

Create Date : 02 พฤษภาคม 2553   
Last Update : 3 พฤษภาคม 2553 8:20:39 น.   
Counter : 4412 Pageviews.  


Kangaroo, ผมไม่รู้, จิงโจ้มีไข่

เห็นหัวข้อ “หนุ่มไทยในแดนออสซี่” ท่านทั้งหลายคงคาดหวังว่าจะได้อ่านการจับพลัดจับผลูมาเรียนที่ออสเตรเลียของหนุ่มไทยคนหนึ่ง ผมก็อยากเขียนครับ แต่เพราะผมกำลังเสาะหาไข่จิงโจ้ เอาไปฝากพี่สาวบังเกิดเกล้าที่เมืองไทย ผมจึงไม่มีใจจะคิดหรือเขียนถึงอะไร นอกจาก “ไข่จิงโจ้”


            อ่านไม่ผิดหรอกครับ ถึงแม้ท่านทั้งหลายจะทราบดีว่าจิงโจ้เป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม และสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมทุกชนิดในโลกนี้ออกลูกเป็นตัว นอกจากตุ่นปากเป็ดเท่านั้นที่ออกลูกเป็นไข่ แต่ผมก็ยังยืนยันว่า “จิงโจ้” มี “ไข่”


            ก่อนอื่นผมคงต้องถามทุกท่านก่อนว่าจิงโจ้ภาษาอังกฤษเรียกว่าอะไร นั่นๆ หลายท่านยกมือแย่งกันตอบว่า “Kangaroo”


            ไม่ถูกครับ ไม่ผิดด้วย เพราะที่จริงแล้วคำว่า Kangaroo เป็นภาษาอะบอริจิน คนอะบอริจินเป็นชาวพื้นเมืองออสเตรเลีย เหมือนที่อินเดียแดงเป็นชาวพื้นเมืองอเมริกา แต่ความหมายของคำว่า Kangaroo ในภาษาอะบอริจินนี่ซิครับ มันแปลว่าอะไร มีเรื่องตลกออสซี่ที่เล่าสู่กันฟังอย่างนี้ครับ


            กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว เมื่อชาวอังกฤษคนแรกเดินทางรอนแรมมาถึงออสเตรเลีย เขาเห็นสัตว์หน้าตาประหลาด สองขาหน้าเล็ก สองขาหลังใหญ่ มีกระเป๋าหน้าท้อง กระโดดหย็องแหย็งอยู่ในทุ่ง คนขาวเกิดมาจากท้องพ่อท้องแม่ไม่เคยเห็นสัตว์ชนิดนี้มาก่อนเลย จึงหันไปถามชาวอะบอริจินที่เพิ่งพบกันเป็นครั้งแรกว่า


            “What is that thing? นั่นมันตัวอะไร”


            ชาวอะบอริจินไม่เคยเรียนภาษาอังกฤษมาก่อน ได้ยินแล้วคิดว่าคนขาวร้องอุ้มบ้า อุ้มบ้า ฟังไม่ได้ศัพท์ จึงตอบเป็นภาษาอะบอริจินไปว่า


            “Kangaroo! ผมไม่รู้ว่าคุณพูดอะไร”   


            นับแต่นั้นมาจึงมีสัตว์ที่ชื่อ “ผมไม่รู้ว่าคุณพูดอะไร” กระโดดไปมาในสวนสัตว์เกือบทั่วโลก


            เอาล่ะครับ ถ้าท่านบังเอิญหลงไปอยู่ในดงอะบอริจิน ก็พูดว่า kangaroo ไปก่อนแล้วกัน เผื่อเขาจะจัดหาล่ามให้ท่านได้ทันท่วงที ไม่คุยกันเลยเถิดไปถึงไหนต่อไหนเสียก่อน แต่ถ้าท่านต้องการจะพูดถึงจิงโจ้ บอกอะบอริจินไปว่า “วาลลาบี” (Wallabee) นะครับ ชาวอะบอริจินเรียกตัวกระโดดสองขาชนิดนี้ว่าวาลลาบีมาตั้งแต่รุ่นปู่ย่าตาทวดแล้ว


            นิทานเรื่องนี้ยังไม่จบครับ เพราะพอคนขาวตาสว่างรู้ความจริงว่าคนอะบอริจินเรียกจิงโจ้ว่า Wallabee จึงต้องแก้เก้อด้วยการจำแนกสายพันธุ์ไปเลยว่า Kangaroo คือจิงโจ้พันธุ์ใหญ่ เวลายืนสูงเกือบเท่าคน ที่จริงตัวที่สูงกว่าคนผมก็เห็นมาแล้วในคณะละครสัตว์แห่งหนึ่ง ส่วน Wallaby ใช้เรียกจิงโจ้พันธุ์เล็กมีขนาดประมาณสองฟุตครึ่ง ไม่โตไปกว่านี้ เป็นเหตุให้ภาษาอังกฤษมีคำเรียกจิงโจ้ถึงสองคำจวบจนปัจจุบัน


            ถ้าถามผมว่าเรื่องนี้มีเค้าความจริงมากน้อยแค่ไหน คิดว่าคงจะเหมือนกับเรื่องแมงโกสตีนของไทย ที่เล่าว่าทูตอังกฤษมาเมืองไทยสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช เห็นมังคุดก็เลยถามแม่ค้าว่านี่คืออะไร แม่ค้าตอบว่ามังคุด ฝรั่งออกเสียงอย่างไรก็ออกไม่ได้ ออกเสียงเป็นแมงโกทุกทีไป ป้าแกโมโหเลยด่าเอาว่า แมงโกส้งตีงเอ็งน่ะซิ จากนั้นมาฝรั่งจึงเรียกมังคุดว่า Mangos teen มุกนี้เล่ากี่ทีก็ขำครับ เพื่อนร่วมชั้นเรียนของผม จะไทย จีน เกาหลี ออสซี่ รู้กันหมดแล้วว่า Mangos teen มีรากศัพท์มาจากภาษาไทย


เอาเป็นว่าผมเชื่อครับว่า “Kangaroo” เป็นคำพ้องเสียงของ “ผมไม่รู้” ในภาษาอะบอริจิน เพียงแต่นิทานเรื่องนี้อาจจะเกิดขึ้นจากความคิดของคนปากเหงาในวงเหล้าเท่านั้นเอง    


            ถึงกระนั้นมันก็ยังกระตุกต่อมสงสัยของผมต่อไปอีกว่า อะบอริจินเรียกสัตว์ชนิดนี้ว่าวาลลาบี ฝรั่งเรียกแกงการูบ้าง วาลลาบีบ้าง แล้วคำว่า “จิงโจ้” มันมาจากไหน


            ความจริงคนไทยเรียกสัตว์ชนิดหนึ่งว่าจิงโจ้มานานแล้ว มันเป็นแมลงครับ ไม่ใช่สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม และเพราะมันมีความสามารถพิเศษเดินบนผิวน้ำได้ จึงมีคำว่าน้ำต่อท้ายชื่อ


            แมลงจิงโจ้น้ำ ภาษาอังกฤษเรียกว่า Water Strider แปลว่า ผู้ก้าวกระโดดบนน้ำ ลักษณะของมันจะมีขาหกขา คู่หน้าสุดจะสั้นกว่าคู่กลางและคู่หลัง สั้นขนาดที่ดูเผินๆนึกว่าหนวด


แต่จิงโจ้น้ำก็ไม่ได้มีหน้าตาคล้ายวาลลาบี ว่ากันว่าเพราะจิงโจ้น้ำมีขาหน้าสั้นกว่าขาหลังเหมือนขาของวาลลาบี คนไทยจึงเรียกวาลลาบีและแกงการูว่าจิงโจ้ไปด้วย ถ้าพี่ไทยเรียกสัตว์ที่ขาหน้าสั้นกว่าขาหลังว่าจิงโจ้เสียหมด ทำไมไม่เรียกที – เร็กซ์ (T-Rex) ว่าจิงโจ้ไดโนเสาร์ล่ะครับ


คำว่าจิงโจ้ทำให้ผมนึกถึงคุณย่า ตอนเด็กๆผมยืนอยู่บนที่วางเท้าของเก้าอี้โยก ใช้เข่ายันที่นั่ง เอามือแตะไว้กับพนัก แล้วโล้เล่นไปมา ได้ยินเสียงคุณย่าตะโกนว่า


“เฮ้ย ทำอะไร ไอ้จิงโจ้”


ยังไม่ทันขาดคำ เก้าอี้โยกก็คว่ำโครมลงมาคอบหัวผม คุณย่าวิ่งตาลีตาเหลือกมายกเก้าอี้ขึ้น พอเห็นหลานชายไม่เป็นอะไร ท่านก็บอกว่า


“เป็นอย่างไรล่ะไอ้จิงโจ้ ยงโย่ยงหยกดีนัก”


แน่นอนครับผมไม่ได้ชื่อโจ้ และผมก็ไม่ได้ถามท่านกลับว่าทำไมถึงเรียกผมว่าจิงโจ้ สิบห้าปีหลังจากที่คุณย่าเสียชีวิตลง ผมเพิ่งจะมาคิด ว่าที่จริงคนไทยโบราณคงจะเรียกอาการยงโย่ยงหยกว่าจิงโจ้ เพราะเวลาวาลลาบีกระโดด หรือหย่งตัวหยิบโน่นหยิบนี่ใส่ปากมันยงโย่พิลึก


อย่าเพิ่งกล่าวหาว่าผมพูดลอยๆนะครับ ความจริงเคยมีเพลงที่เด็กๆร้องเล่นกันในเมืองไทยมาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้วว่า


“จิงโจ้มาโล้สำเภา หมาไล่เห่าจิงโจ้ตกน้ำ หมาไล่ซ้ำจิงโจ้ดำหนี ให้กล้วยสองหวีทำขวัญจิงโจ้”


จิงโจ้ทำไมมาโล้สำเภา แล้วถ้าสุนัขเห่าน่าจะถูกจิงโจ้กระโดดเตะมากกว่าหนี เวลาเตะจิงโจ้จะเอาหางที่ทั้งแบนและใหญ่ยืนกับพื้นแทนขา แล้วดีดสองขายันเปรี้ยงไปข้างหน้า เรี่ยวแรงที่มันถีบ รับรองว่าทำให้สุนัขไทยกระเด็นไปเป็นวาได้สบายๆ


ก่อนจะมาออสเตรเลียคุณพ่อบอกผมเสมอว่าอยู่ที่นี่ถ้าเจอจิงโจ้ตัวใหญ่ ที่เรียกกันว่าแกงการู อย่าเข้าใกล้ อย่าเอ็นดูให้อาหารมัน เพราะถ้าถูกมันเตะทีเดียว กระเด็นกลับบ้านมาได้ง่ายๆ อ้อ แกงการูนี่มันชกด้วยนะครับ เวลาจวนตัวใช้ขาหลังถีบไม่ได้ มันจะเอาขาหน้าทิ่ม ผมเคยเห็นจิงโจ้ชกมวยแล้วลมจะจับ ทารุณยิ่งกว่าตีไก่บ้านเสียอีก


ด้วยศิลปะการต่อสู้ชั้นสูงของจิงโจ้จึงไม่มีเหตุผลที่มันจะตกน้ำหรือดำหนีสุนัข เพราะฉะนั้นเพลงนี้คงไม่ได้พูดถึงวาลลาบีหรือแกงการูแน่นอน


จะว่าเพลงนี้พูดถึงแมลงจิงโจ้น้ำก็คงไม่ใช่เพราะท่อนที่ว่าหมาไล่เห่าจิงโจ้ตกน้ำ แมลงชนิดนี้เดินบนผิวน้ำอยู่แล้ว จะตกน้ำได้อย่างไร ส่วนท่อนที่ว่าให้กล้วยสองหวีทำขวัญจิงโจ้ แมลงตัวนิดเดียวกินกล้วยสองหวีไหวหรือครับ


ทีนี้เหลือข้อสันนิษฐานอยู่ทางเดียว จิงโจ้ในเพลงนี้คือ “คน” ครับ แต่เป็นคนที่โล้สำเภาเหมือนผมโล้เก้าอี้โยกน่ะครับ อย่าเพิ่งค้านว่าคนจะโล้เรือได้อย่างไร เพราะสำเภาในที่นี้ไม่ได้หมายถึงเรือครับ หมายถึงใบเรือต่างหาก ถ้าสำเภาแปลว่าเรือ เราคงไม่เรียก เรือสำเภา ให้มีความหมายว่า เรือเรือ หรอกครับ แต่คงเรียกสำเภาใบ สำเภาหางยาว สำเภาตังเก สำเภาเอี้ยมจุ๊น ฟังแล้ววิปริตดีเหมือนกัน


การโล้ใบเรือนี่เป็นอากัปกิริยาของคนเท่านั้น คือโยกโย้ตัวเองไปกับเชือกผูกใบเรือเพื่อลดใบเรือลงหรือกางออก แต่ถ้ามีสุนัขมาเห่าคนๆนี้ เขาคงจะตกใจปล่อยเชือกจนตัวเองตกน้ำได้ไม่ยาก พอตกน้ำปุ๊บ สุนัขกระโดดลงน้ำไล่กัดซ้ำ คนๆนี้ก็ดำหนี พอกลับขึ้นมาได้ เจ้าของสุนัขจึงต้องให้กล้วยสองหวีเป็นการทำขวัญเขา เป็นอย่างนี้น่าจะถูกต้องกว่า


ดังนั้นผมมั่นใจว่าจิงโจ้เป็นคำเรียกผู้ที่มีอาการหย่งตัวทำโยกไปเยกมา คนไทยเห็นวาลลาบีมันยงโย่ยงหยกจึงเรียกว่าจิงโจ้ อันนี้ฟังดูมีเหตุผลที่สุดครับ   


แต่จิงโจ้ก็มีไข่ และคนออสเตรเลียเชื่อว่าถ้าใครครอบครองไข่จิงโจ้แล้วจะโชคดีมีลาภ พี่สาวผมเกิดโลภอยากได้ลาภ จึงโทรมารบเร้าเอากับผมให้ซื้อไข่จิงโจ้มาฝาก


ว่าแต่หน้าตามันเป็นอย่างไรล่ะ “ไข่จิงโจ้” นี่


ความจริงจิงโจ้ที่กระโดดหย็องแหย็งเต็มออสเตรเลีย ชาวออสซี่ไม่ได้ปล่อยให้มันวิ่งเล่นรกทวีปเฉยๆหรอกครับ แต่เปลี่ยนมันเป็นสินค้าทั้งแบบเป็นและแบบตาย แบบเป็น คือ ส่งออกให้สวนสัตว์ที่อยากมีจิงโจ้ไว้ดูเล่น แบบตาย คือ ถลกหนังมาทำเครื่องใช้ อย่างเช่นรองเท้า แถมยังถืออีกด้วยว่ารองเท้าหนังจิงโจ้นี่รองรับกระชับเท้าได้ดีที่สุด   


เอาตัวมาทำรองเท้าเสียแล้ว เหลือพวงมันไว้ทำไมล่ะครับ อ่านไม่ผิดครับ พวงครับ ถุงไข่จิงโจ้ที่ผมพูดถึง คือ หนังผืนน้อยของจิงโจ้ตัวผู้ คนที่ถลกหนังจะควักลูกอัณฑะข้างในออก เหลือแต่หนังด้านนอก แล้วฟอกจนเรี่ยมแล้ นำมาใส่กล่องวางขาย ผมไม่ได้เป็นโรคจิตที่เอามือไปลูบดู แค่อยากรู้เฉยๆว่ามันต่างจากหนังอื่นอย่างไร


มันมีลักษณะเป็นถุงขนาดเล็กกว่าฝ่ามือ ดูเหมือนจะหนากว่าหนังส่วนนั้นของสัตว์อื่น สีออกน้ำตาลแดง นวลผ่องเสียด้วย กลิ่นก็เป็นกลิ่นหนังธรรมดา ไม่ได้เหม็นตุๆเป็นพิเศษครับ ไม่ต้องเอามืออุดจมูก


คนที่มีถุงไข่จิงโจ้มักจะนำอุปกรณ์การพนัน เช่น ลูกเต๋า ใส่ไว้ข้างในแล้วใช้หนังผูกปากถุง พกติดตัวถือเป็นเครื่องรางให้โชคให้ลาภ แต่ถ้าจะเอาสลากกินแบ่งรัฐบาลไปใส่แทนลูกเต๋าให้ตรงกับความนิยมของคนไทยเราก็คงจะไม่ผิดอะไร


ทั้งนี้ทั้งนั้นต้องนับว่าเป็นความฉลาดของชาวออสซี่ ที่พยายามขายทุกอย่าง ไม่เหลือทิ้งให้เปล่าประโยชน์ ขนาดถุงหุ้มลูกอัณฑะของสัตว์พื้นเมืองยังทำกำไรให้ประเทศปีๆหนึ่งไม่รู้เท่าไหร่


            สุดท้ายนี้ ขอย้ำว่าผมไม่ได้โรคจิต ถ้าท่านผู้อ่านอยากจะเรียกใครสักคนว่าไอ้โรคจิต กรุณาเรียกคนที่คิดทำถุงไข่จิงโจ้มาขายผมเถอะครับ






Free TextEditor




 

Create Date : 02 พฤษภาคม 2553   
Last Update : 3 พฤษภาคม 2553 8:20:52 น.   
Counter : 4963 Pageviews.  


ข้อความเบื้องต้น

เนื่องจากน้องชายของฉัน มีโอกาสได้ไปเรียนต่อปริญญาโทที่ออสเตรเลีย ทำให้มีเรื่องมากมายมาเล่าให้ฟัง และฉันแค่อยากแบ่งปันให้ทุกคนได้อ่าน จึงนำมาเขียนเป็นบทความ 'หนุ่มไทยในแดออสซี่'






Free TextEditor




 

Create Date : 02 พฤษภาคม 2553   
Last Update : 3 พฤษภาคม 2553 8:21:02 น.   
Counter : 307 Pageviews.  



โกมุท
 
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




แม้นหลับใหลไปกว่าพันปี เธอก็ฟื้นขึ้นมาเป็น "ราชินีแห่งสายน้ำ" ...ดังเดิม...
[Add โกมุท's blog to your web]

 
pantip.com pantipmarket.com pantown.com