สังขตธรรม-อสังขตธรรม เป็นอนัตตาจริงล่ะหรือ ?
เมื่อพูดถึง สังขตธรรม และ อสังขตธรรม มักมีการถกเถียงข้อธรรมนี้กัน เพื่อค้นหาความจริง โดยต่างฝ่ายต่างก็หาหลักฐานอ้างอิงที่น่าเชื่อถือ ทั้งตัวบุคคลและตำรามาสนับสนุนกัน ต่างคนต่างมีความเชื่อของตน และมักลงกันไม่ได้ เพราะต่างนำเอาทิฐิของตนเป็นตัวตั้ง ไม่ได้คิดพิจารณาโดยแยบคาย โดยเอาพระพุทธพจน์เป็นตัวหลัก จึงลงกันไม่ได้นั่นเอง

ฝ่ายที่เห็นว่า สังขตธรรมและอสังขตธรรมเป็นอนัตตา เพราะมีพระดำรัสของสมเด็จพระสังฆราชฯ ค้ำไว้ ส่วนฝ่ายที่ไม่เห็นด้วยนั้น มีพระพุทธวจนะและพระผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบคอยค้ำไว้เช่นกัน

เมื่อถามว่าตกลงใครที่น่าเชื่อถือกว่ากัน ขอตอบแบบเต็มปากเต็มคำว่า "น่าเชื่อถือทั้งคู่" และอันไหนหละที่ถูกต้อง ก็ตอบได้เต็มปากว่า "ถูกต้องกันคนละด้าน"


ขอน้อมนำพระพุทธพจน์ที่มีมาใน "ปสาทสูตร" ที่ทรงตรัสไว้ดีแล้ว มาให้เปรียบเทียบ

"ดูกรภิกษุทั้งหลาย สังขตธรรมก็ดี อสังขตธรรมก็ดี มีประมาณเท่าใด

วิราคะ คือ ธรรม เป็นที่บรรเทาความเมา นำเสียซึ่งความกระหาย
ถอนขึ้นด้วยดีซึ่งอาลัย ตัดซึ่งวัฏฏะ สิ้นไปแห่งตัณหา สิ้นกำหนัด ดับ นิพพาน
บัณฑิตกล่าวว่าเลิศกว่าสังขตธรรมและอสังขตธรรมเหล่านั้น

ดูกรภิกษุทั้งหลาย ชนเหล่าใดเลื่อมใสในวิราคธรรม
ชนเหล่านั้นชื่อว่าเลื่อมใสในธรรมอันเลิศ
ก็ผลอันเลิศย่อมมีแก่บุคคลผู้เลื่อมใสในธรรมอันเลิศ ฯ"


(พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๕ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๑๗)

เมื่อดูจากพระพุทธวจนะแล้ว เราสามารถแบ่งออกมาเป็น ๓ ข้อธรรมด้วยกัน คือ
๑.สังขตธรรม
๒.อสังขตธรรม
๓.วิราคธรรม

ที่น่าสงสัย คือวิราคธรรมนั้นมาจากไหน? เก็บความสงสัยนั้นไว้ แต่อย่าปล่อยให้สงสัยนานเกินไป


๑.สังขตธรรม นั้น คือ ธรรมที่เกิดจากเหตุปัจจัยมาปรุงแต่งให้เกิดขึ้นให้มีขึ้น

๒.อสังขตธรรม นั้น คือ ธรรมที่เป็นแม่ธาตุทั้งหลาย ที่มีอยู่ก่อนแล้ว โดยไม่มีเหตุปัจจัยใดๆ มาปรุงแต่งให้เกิดขึ้นให้มีขึ้น เพราะมีอยู่มาก่อนนานแล้ว

อสังตธรรมนั้น ได้แก่ ธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุลม ธาตุไฟ อากาศธาตุ และวิญญาณธาตุ หรือก็คือ ธาตุ ๖ ที่มาประชุมคุมตัวกันเป็นรูป-นาม กาย-ใจ รูปร่างกายของคนเรานั่นเอง

แม่ธาตุทั้ง ๖ เหล่านี้ ไม่สามารถอยู่เป็นเอกเทศเฉพาะตัวได้ มักต้องคุมตัวเข้าด้วยกันอยู่ กลายเป็นธาตุผสมหรือสังขตธรรมธาตุไป เมื่อเข้ามาอยู่ในวัฏฏะ โดยเฉพาะมหาภูตรูป ๔ คือ รูป-นาม (ขันธ์๕) จัดเป็นอนัตตา เพราะเข้าหลักเกณฑ์ที่พระพุทธองค์ได้ทรงบัญญัติไว้ คือ ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา (ไม่ใช่ตน)

ส่วนที่มีการจัดเอา "อสังขตธรรม" ให้เป็น "วิสังขารธรรม" นั้น จึงเป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้องนัก เพราะเหตุว่า

๓.วิราคธรรม "วิสังขารธรรม" นั้นคือความสิ้นไปแห่งการปรุงแต่ง แสดงว่าต้องมีการปรุงแต่งอยู่ก่อนแล้ว และได้มีการทำให้การปรุงแต่งที่มีอยู่นั้นสิ้นสุดลงไป เมื่อการปรุงแต่งนั้นได้สิ้นสุดลงไป จึงเกิด "วิราคธรรม" ขึ้น ในข้อที่สาม

เพราะ อสังขตธรรมนั้น เป็นเพียงแม่ธาตุที่มีอยู่ก่อนนานมาแล้ว ไม่มีการปรุงแต่งใดๆที่เป็นปัจจัยให้เกิดขึ้นมีขึ้น แต่มาประชุมปรุงแต่งคุมตัวกันเข้าเป็นรูป-นาม กาย-ใจ ในภายหลัง


ฉะนั้น คำว่า "สัพเพ ธัมมา อนัตตา ธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา" จึงครอบคลุมเพียงแค่สังขตธรรม (ข้อ ๑) และอสังขตธรรม (ข้อ ๒) ที่ยังไม่ได้รับความบริสุทธิ์เท่านั้น

เมื่อไดัรับความบริสุทธิ์หมดจดจากการปฏิบัติธรรม เพราะได้แยกแล้วจากธรรมทั้งหลาย คือวิราคธรรม (ธรรมที่แยกแล้ว) (ข้อ ๓) จึงจัดเป็นวิสังขารธรรม จะเป็นอนัตตาธรรมไม่ได้อีกต่อไป


มาสรุปกันอีกที่ เพื่อป้องกันความสับสนที่จะเกิดขึ้นได้

๑.สังขตธรรม ธรรมที่ต้องอาศัยเหตุปัจจัยปรุงแต่งให้เกิดขึ้นมีขึ้น

๒.อสังขตธรรม ธรรมที่มีอยู่ก่อนแล้วโดยไม่ต้องอาศัยเหตุปัจจัยใดๆมาปรุงแต่งทำให้เกิดขึ้น มีขึ้นเลย คือไม่มีการปรุงแต่งมาตั้งแต่ต้น จึงจัดเป็นวิสังขารไม่ได้

๓.วิราคธรรม เพราะวิสังขารนั้น ต้องมีการปรุงแต่งอยู่ก่อนแล้ว และมีการกระทำให้การปรุงแต่งนั้นสิ้นไปสุดลงไป จึงเรียกว่า "วิสังขาร" หรือ "วิราคธรรม" ในข้อ ๓


และควรเข้าใจเสียใหม่ด้วยว่า "อสังขตธรรม" นั้นไม่ใช่มีเฉพาะ "พระนิพพาน" เพียงอย่างเดียว มีการเพิ่มเติมเสริมแต่งขึ้นมากันเองในภายหลัง พระพุทธพจน์ทรงตรัสไว้ชัดเจนอยู่แล้วว่า "สังขตธรรมก็ดี อสังขตธรรมก็ดี มีประมาณเท่าใด" ชัดๆนะว่ามีมากกว่าหนึ่งแน่นอน จากคำว่า "มีประมาณเท่าใด" และ "วิราคธรรม บัณฑิตกล่าวว่าเลิศกว่าสังขตธรรมและอสังขตธรรมเหล่านั้น"


การศึกษาธรรม หรือ ถกธรรม ควรเป็นไปเพื่อค้นหาสัจธรรมความจริง ที่สามารถตริตรองตามและนำไปปฏิบัติได้จริง ไม่ใช่เป็นการเอาชนะคะค้านกันด้วยความเชื่อที่มีตามๆกันมาเท่านั้น เพราะชนะไปทำให้เข้าใกล้มรรคผลนิพพานก็ไม่ใช่ ควรยืนบนหลักเหตุผลในการสนทนา ตรวจสอบ สอบสวน เทียบเคียงให้ชัดเจนหมดข้อสงสัย


ข้อสังเกตที่ควรรู้ในพระไตรปิฎก

เมื่อมีการกล่าวถึง "สัพเพ ธัมมา อนัตตา" นั้น จะต้องมีบริบทก่อนหน้าทุกครั้งที่กล่าวถึง ว่า "สัพเพ สังขารา อนิจจา สัพเพ สังขารา ทุกขา" แต่ไม่เคยมีปรากฎว่ากล่าวถึง "สัพเพ วิสังขาร" มาก่อนเลย เพราะ สังขาร กับ วิสังขาร นั้น เป็นธรรมที่ตรงข้ามกัน โดยสิ้นเชิงนั่นเอง


เจริญในธรรมที่เป็นสัจธรรมความจริงทุกๆท่าน
ธรรมภูต





Create Date : 17 มิถุนายน 2556
Last Update : 19 มกราคม 2558 16:05:28 น.
Counter : 1069 Pageviews.

จิตเป็นต้นนั้น ล้วนเป็นจิตสังขารทั้งสิ้น
ในปัจจุบันนี้ การศึกษาเรื่องจิตของตน ที่เราเรียกกันว่า จิตบ้าง มโนบ้าง วิญญาณบ้าง ฯลฯ จิตเป็นต้นนั้น ล้วนเป็นจิตสังขารทั้งสิ้น ไม่ใช่สภาพเดิมของจิตที่เป็นเพียง "ธาตุรู้" หรือแม่ธาตุ

จิตสังขาร ก็คือ จิตที่ได้ผสมปรุงแต่ง(ยึดเอา) อารมณ์ความรู้สึกนึกคิดต่างๆ ที่เกิดขึ้นที่จิตมาเป็นของๆตน เมื่อมีอารมณ์ความรู้สึกนึกคิดมาปรุงแต่ง(เป็นของๆตน) จิตย่อมแสดงอาการตอบสนองต่ออารมณ์นั้นๆ จนเป็นที่เข้าใจผิดๆ ไปว่าจิตของตนที่ไปยึดอารมณ์ความรู้สึกนึกคิดเหล่านั้นเกิด-ดับ ซึ่งแท้ที่จริงแล้วเป็นเพียงอารมณ์ความรู้สึกที่จิตไปยึดเข้ามา เกิดขึ้นและดับไปจากจิตของตนเท่านั้น


เปรียบ "จิต" เป็นต้นนั้น เหมือน"น้ำ" เป็นต้นนั้น เมื่อพูดถึงอาหารที่เป็น "น้ำๆ" เราก็จะนึกถึง แกงส้ม ต้มมะระ แกงเขียวหวาน ต้มยำ ฯลฯ ที่ยกมานั้น ล้วนเป็น "น้ำ" ทั้งนั้น แต่เป็น "น้ำ" ที่ถูกผสมปรุงแต่งจนหารูปเดิมไม่พบเลย เช่นเดียวกับจิต ที่ผสมปรุงแต่งกับอารมณ์จนหารูปเดิมไม่เจอ จนกลายเป็น มโนบ้าง วิญญาณบ้าง ฯลฯ เช่นกัน

จิตนั้นสามารถฝึกฝนอบรมชำระ จนบริสุทธิ์หมดจดหลุดพ้นจากเครื่องหมองได้ ฉันใด น้ำก็เช่นกันสามารถกลั่นกรอง จนบริสุทธิ์หมดจดจากสิ่งปลอมปนได้ ฉันนั้น



ยุวชนคนรุ่นใหม่ ที่เป็นนักตำรานิยมผสมกลมกลืนด้วยวิปัสสนึกคิดเอาเอง มักเชื่อตามๆ กันไว้ก่อน จากตำรา(ปิฎก) ที่มีการเพิ่มเติมเสริมแต่งขึ้นมาในภายหลัง บ้างก็ถูกบังคับให้ต้องเชื่อตามๆกันบ้าง ทำให้เกิดมีความเข้าใจผิดๆ กันไปอย่างมากมายถึงขั้นสับสนต่อการปฏิบัติ

เนื่องจากตำรา(ปิฎก) ที่รจนาเพิ่มเติ่มเสริมแต่งขึ้นมาในภายหลัง มักกล่าวถึง เรื่อง "จิตหรือธาตุรู้" ที่เป็นหัวใจของพระพุทธศาสนา ซึ่งเป็นเสาหลักสำคัญในทางปฏิบัติธรรมว่า "จิตหรือธาตุรู้" เป็นเรื่องเหลวไหลไร้สาระ ไม่สามารถอบรมฝึกฝนบังคับบัญชาให้เป็นไปดั่งใจหวังได้ เพราะเป็นอนัตตาธรรม ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นที่พึ่งที่อาศัยไม่ได้ (อนัตตา) แถมยังเหมารวมเอาพระนิพพานเป็นอนัตตาธรรมไปด้วย (ทั้งที่พระนิพพานนั้นเป็นวิสังขารธรรม)

และมีการสอนจนผู้ศึกษาธรรมเข้าใจผิดไปว่า เมื่อฝึกฝนอบรมจิตด้วยความพากเพียร เหนื่อยยากลำบาก จนได้รับผลแห่งความสำเร็จ กระทั่งเกิดนิพพิทาญาณขึ้นที่จิตของตน จิตหลุดพ้น หรือจิตพ้นวิเศษจากอุปธิทั้งหลายได้ จิตจำเป็นอย่างยิ่งต้องหลุดพ้น หรือ พ้นวิเศษคือ "หายวับไปกับตา" ไม่เหลืออะไรเลย (มีตำราว่าไว้เช่นนั้น) คงเหลือไว้แต่คุณลักษณะที่พิเศษจำเพาะ (พระนิพพาน) คือความหลุดพ้น พ้นวิเศษ หรือความสิ้นไปแห่งราคะ โทสะ โมหะ ไว้เท่านั้น

และยังเข้าใจว่า "ผู้" ที่ปฏิบัติธรรมจนจิตหลุดพ้น พ้นวิเศษ หรือ สิ้นไปจากกามสวะ ภาวาสวะ อวิชชาสวะ นั้น "ผู้" ที่หลุดพ้นไม่มี คงมีแต่การหลุดพ้น พ้นวิเศษ หรือ การสิ้นไปแห่งกามาสวะ ภาวาสวะ อวิชชาสวะเท่านั้น "ที่ตั้งอยู่ลอยๆ" หาผู้รับผลไม่ได้

ซึ่งขัดแย้งกับหลักเหุตผล ที่จะตริตรองตามความเป็นจริงได้ เพื่อให้เกิดการรู้ยิ่งเห็นจริงอย่างยิ่ง


ตัวอย่างอื่นๆ ที่มีปรากฏ เช่น อริยมรรค ๘ เป็นทางเดินของจิต แต่ผู้เดินตามหนทางนั้นไม่มี ซึ่งทำให้ไม่เข้าใจว่า แล้วเราจะมาเสียเวลาอบรมฝึกฝนพัฒนา (ปฏิบัติ) จิตของเราไปเพื่อวัตถุประสงค์อะไร ในเมื่อเห็นว่าจิตเป็นของเหลวไหล ไร้สาระ ไม่เที่ยง เป็นทุกข์...

เมื่อมีอริยมรรค ๘ (ทางไปสู่ความเป็นอริยะบุคคล) ทางเดินของจิต ย่อมต้องมีผู้เดินตามหนทางนั้น หากไม่มีผู้เดินตามหนทางนั้นแล้วไซร้ พระพุทธองค์จะตรัสได้อย่างไรว่า "นี้คือหนทางเดินที่จะนำไปสู่ความบริสุทธิ์หลุดพ้นของสัตว์ (จิตผู้ติดข้องในอารมณ์) จากอุปกิเลสเครื่องเศร้าหมองหมักดองทั้งหลายได้"

และพระพุทธพจน์ยังกล่าวรับรองว่า "ตราบใดที่ยังมีผู้ปฏิบัติอริยมรรคมีองค์ ๘ ตราบนั้นโลกจะไม่ว่างเว้นจากพระอรหันต์" ก็กลับกลายเป็นว่าพระพุทธองค์ทรงตรัสไว้ผิดสิ ที่ยัง "มีผู้ปฏิบัติ" อยู่


เมื่อกล่าวถึงอริยมรรค ๘ แล้ว ผู้ปฏิบัติย่อมรู้ดีว่า อริยมรรค ๘ เป็นเลิศในฝ่ายสังขตธรรม เป็นหนทางเดินที่จะนำจิตไปสู่ความหลุดพ้น หรือก็คือ หนทางที่จะนำจิตไปสู่การสิ้นการปรุงแต่ง หรือวิสังขารอย่างสื้นเชิง

แต่มักมีการเข้าใจผิดๆไปว่า ตัวอริยมรรค ๘ นั้นเอง คือตัวปัจจัยปรุงแต่งเพราะเป็นสังขตธรรม แท้ที่จริงแล้วอริยมรรค ๘ นั้นเป็นหนทางเดินอันเอกของจิตเพื่อความหลุดพ้นของจิต จิตนำอริยมรรคมาปรุงแต่งให้เกิดขึ้นที่จิต เพื่อนำไปสู่ความสิ้นไปแห่งการปรุงแต่งทั้งหลาย เป็นวิราคธรรม


มีพระพุทธพจน์กล่าวไว้อย่างชัดเจนว่า

ดูกรภิกษุทั้งหลาย สังขตธรรมก็ดี อสังขตธรรมก็ดี มีประมาณเท่าใด
(คำว่าอสังขตธรรมก็ดี มีประมาณเท่าใดนั้น แสดงว่าอสังขตธรรมมีมากกว่าหนึ่งแน่นอน)

วิราคะ คือ ธรรมเป็นที่บรรเทาความเมา นำเสียซึ่งความกระหาย ถอนขึ้นด้วยดีซึ่งอาลัย ตัดซึ่งวัฏฏะ สิ้นไปแห่งตัณหา สิ้นกำหนัด ดับ นิพพาน บัณฑิตกล่าวว่าเลิศกว่าสังขตธรรมและอสังขตธรรมเหล่านั้น

ดูกรภิกษุทั้งหลาย ชนเหล่าใดเลื่อมใสในวิราคธรรม ชนเหล่านั้นชื่อว่าเลื่อมใสในธรรมอันเลิศ ก็ผลอันเลิศย่อมมีแก่บุคคลผู้เลื่อมใสในธรรมอันเลิศ ฯ


*

ดูกรภิกษุทั้งหลาย เมื่อภิกษุไม่ประกอบภาวนานุโยค(สัมมาสมาธิ)อยู่
จะพึงเกิดความปรารถนาอย่างนี้ว่า
ไฉนหนอขอให้จิตของเราพึงพ้นจากอาสวะ เพราะไม่ถือมั่น ดังนี้
ก็จริงอยู่ถึงอย่างนั้น จิตของเธอย่อมไม่พ้นไปจากอาสวะเพราะไม่ถือมั่นได้เลย.
ข้อนั้นเพราะเหตุไร

ข้อนั้นพึงกล่าวได้ว่า เพราะเธอไม่อบรม เพราะไม่อบรมอะไร
เพราะไม่อบรมสติปัฏฐาน ๔
เพราะไม่อบรมสัมมัปปธาน ๔
เพราะไม่อบรมอิทธิบาท ๔
เพราะไม่อบรมอินทรีย์ ๕
เพราะไม่อบรมพละ ๕
เพราะไม่อบรมโพชฌงค์ ๗
เพราะไม่อบรมอริยมรรคมีองค์ ๘


ดูกรภิกษุทั้งหลาย เมื่อภิกษุประกอบภาวนานุโยค (สัมมาสมาธิ) อยู่
ก็ฉันนั้นเหมือนกันแล
ถึงจะไม่เกิดความปรารถนาอย่างนี้ว่า
ไฉนหนอ ขอจิตของเราพึงพ้นจากอาสวะเพราะไม่ถือมั่น ดังนี้
ก็จริงอยู่ ถึงอย่างนั้น จิตของเธอย่อมพ้นจากอาสวะเพราะไม่ถือมั่น(เป็นวิราคะธรรม)
ข้อนั้นเพราะเหตุอะไร

ข้อนั้นพึงกล่าวได้ว่า เพราะว่าเธออบรม เพราะอบรมอะไร
เพราะอบรมสติปัฏฐาน ๔
เพราะอบรมสัมมัปปธาน ๔
เพราะอบรมอิทธิบาท ๔
เพราะอบรมอินทรีย์ ๕
เพราะอบรมพละ ๕
เพราะอบรมโพชฌงค์ ๗
เพราะอบรมอริยมรรคมีองค์ ๘


*

จากพระพุทธพจน์ดังกล่าวมานี้ ล้วนกล่าวถึงการฝึกฝนอบรมจิตของตน เป็นหนทางเดินของจิต เพื่อนำจิตของตนเข้าสู่ความพระอริยะ หรือที่เรียกว่าอริยมรรค ๘ นั่นเอง

ดังนั้น เมื่อยังมีผู้ฝึกฝนอบรมจิตด้วยอริยมรรคมีองค์ ๘ อยู่ โลกจึงไม่ว่างเว้นจากพระอรหันต์ แน่นอน เพราะจิตของเราพึงพ้นแล้วด้วยดีจากอาสวะทั้งหลายเพราะไม่ยึดมั่นถือมั่น (เป็นวิราคธรรม)


ทุกท่านทุกองค์ล้วนผ่านการขัดเกลาจิตใจของตนกันมาแล้วก่อนหน้า ด้วยความเพียรเพ่งในฌาน และดำเนินตามรอยบาท คือ เราจักไม่ทำลายบัลลังก์นี้ ดังปรากฏใน มหาโคสิงคสาลสูตร ที่ ๒ ว่า

ดูกรสารีบุตร ภิกษุในศาสนานี้ กลับจากบิณฑบาตในเวลาหลังภัตแล้ว
นั่งคู้บัลลังก์ ตั้งกายให้ตรง ดำรงสติมั่นเฉพาะหน้าว่า
จิตของเรายังไม่หมดความถือมั่น ยังไม่หลุดพ้นจากอาสวะทั้งหลาย
(เป็นวิราคธรรม) เพียงใด
เราจักไม่ทำลายบัลลังก์นี้เพียงนั้น ดังนี้


เป็นที่ชัดเจนตามพระพุทธพจน์ที่ทรงกล่าวไว้ดีแล้ว การประกอบภาวนานุโยค หรือก็คือ การปฏิบัติสมาธิกรรมฐานภาวนา (สัมมาสมาธิ) ตามหลักอริยมรรคมีองค์ ๘ นั้น มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อความหลุดพ้นจากอาสวะทั้งหลายของจิต (เป็นวิราคธรรม)


ดังนั้น จึงขอกล่าวว่า อย่าเพิ่งรีบกลัวการติดสมาธิไปเลย เพียงแค่เริ่มต้นทำให้จิตสงบนิ่งรวมลงเป็นสมาธิยังทำกันไม่ได้ ทำกันไม่เป็น ยังจะรีบกลัวไปทำไม การติดการสงบนิ่งเป็นสมาธิ (กิเลสละเอียด) นั้น ก็ยังดีกว่าพวกที่ทำให้จิตของตนสงบนิ่งไม่เป็นเลยด้วยซ้ำไป

การติดสมาธิจนจิตสงบนิ่งนั้น ยังพอที่จะให้ครูบาอาจารย์แนะนำให้รู้จักวิธีหลุดพ้นออกมาได้ (วิปัสสนา) ส่วนพวกที่ทำให้จิตสงบนิ่ง แม้ชั่วขณะช้างกระดิกหู งูแลบลิ้นยังทำไม่ได้เลย จะพูดไปใยถึงเรื่องความหลุดพ้นให้เสียเวลา



ยิ่งในทุกวันนี้ ยุวชนคนรุ่นใหม่ ที่เข้ามาศึกษาพระพุทธศาสนานั้น ไม่คิดที่จะศึกษาสนใจธรรมะจาก พ่อแม่ครูบาอาจารย์ผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบแต่เก่าก่อนเลยว่า ท่านทั้งหลายเหล่านั้น ต้องใช้ความเพียรเพ่งในการฝึกฝนอบรมจิตของตนให้มีสติ สมาธิ ปัญญา โดยการปฏิบัติสมาธิกรรมฐานภาวนา (สัมมาสมาธิ) อย่างจริงจังกันมากขนาดไหน...


สติปฏฺฐานา ภาวิตา พหุลีกตา การให้จิตมีสติระลึกรู้อยู่ที่ฐาน อย่างต่อเนื่องเนืองๆ ไม่ขาดสาย โดยการลงมือปฏิบัติสมาธิกรรมฐานภาวนา (สัมมาสมาธิ)อย่างจริงจัง จนกระทั่งจิตเป็นอิสระจากอารมณ์ความรู้สึกนึกคิดต่างๆ ไม่ยึดมั่นถือมั่นในอุปาทานขันธ์ทั้งหลาย จิตมีสติสงบตั้งมั่นคงที่ ไม่หวั่นไหวต่ออารมณ์ความรู้สึกนึกคิดต่างๆ ที่เข้ามากระทบจิตของตน เหมือนศิลาแท่งทึบคงที่ไม่หวั่นไหวต่อลมพายุที่พัดมาทั่วทุกทิศทุกทางนั่นเอง

*

ในพระสูตรที่เป็นพระพุทธวจนะนั้น พระองค์ทรงตอบคำถามของท่านพระอาจารย์มหากัสสปที่ทูลถามต่อพระองค์ ถึงเรื่องความเสื่อมไปของพระสัทธรรมเกิดขึ้นได้อย่างไร พระพุทธองค์ทรงตอบว่า

[๕๓๓] ดูกรกัสสป
ธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุไฟ ธาตุลม ยังพระสัทธรรมให้เลือนหายไปไม่ได้
ที่แท้โมฆบุรุษในโลกนี้ต่างหาก เกิดขึ้นมา ก็ทำให้พระสัทธรรมเลือนหายไป


[๕๓๔] ดูกรกัสสป เหตุฝ่ายต่ำ ๕ ประการเหล่านี้
ย่อมเป็นไปพร้อมเพื่อความฟั่นเฟือน เพื่อความเลือนหายแห่งพระสัทธรรม

เหตุฝ่ายต่ำ ๕ ประการเป็นไฉน คือ
ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา ในธรรมวินัยนี้
ไม่เคารพยำเกรงในพระศาสดา ๑
ไม่เคารพยำเกรงในพระธรรม ๑
ไม่เคารพยำเกรงในพระสงฆ์ ๑
ไม่เคารพยำเกรงในสิกขา ๑
ไม่เคารพยำเกรงในสมาธิ ๑



เราท่านทั้งหลาย เห็นหรือยังว่า แม้แต่ในครั้งพระพุทธกาลก็ยังมีการกล่าวถึง "เหตุแห่งพระสัทธรรมปฏิรูป" เพราะอะไร มีถึง ๕ ข้อ

ข้อ ๑ ถึงข้อ ๓ นั้น ทุกคนย่อมให้ความเคารพอยู่แล้วถ้าเป็นชาวพุทธ ส่วนข้อ ๔ และข้อ ๕ นั้น ในปัจจุบันนี้ พุทธบุตรที่ขานนาคเข้ามา เพื่อสืบต่อพระพุทธศาสนา ได้พยายามที่จะมองข้ามกันโดยไม่ใยดี

ในข้อ ๔ นั้น กล่าวถึงสิกขา ซึ่งก็คือ สิกขา ๓ หรือ ศีล สมาธิ ปัญญา หรืออริยมรรค ๘ นั่นเอง ส่วนข้อ ๕ เป็นการกล่าวถึง สมาธิ ซึ่งเป็นองค์หนึ่งในสิกขา ๓ เป็นการเน้นย้ำถึงความสำคัญลงไป

พระพุทธองค์ ทรงย่นย่อธรรมะที่ทรงตรัสสั่งสอนไว้ลงเหลือเพียง ศีล สมาธิ ปัญญา ทรงแสดงไว้ว่า
ศีล เป็นความงามในเบื้องต้น
สมาธิ เป็นความงามในท่ามกลาง

ขอเน้นย้ำนะครับว่า สมาธิเป็นความงามในท่ามกลางนะครับ
ปัญญา เป็นความงามในบั้นปลาย

พระพุทธองค์ทรงกล่าวกับภิกษุที่พระองค์ทรงบวชให้เองในครั้งกระนั้น ๖๐ รูป ซึ่งล้วนเป็นเอหิภิกขุอุปสัมปทา ให้ออกไปเผยแผ่พระศาสนา ให้ไปทิศละรูป อย่าไปในทิศเดียวกันสองรูป เรื่องที่พระองค์ทรงให้เผยแผ่ ก็คือ เรื่อง ศีล สมาธิ ปัญญา หรืออริยมรรคมีองค์ ๘ (ทางเดินของจิตเพื่อความเป็นพระอริยะ) นั่นเอง

*

ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็อะไรเป็นเครื่องรองรับจิต
อริยมรรคอันประกอบด้วยองค์ ๘ นี้แล
คือ สัมมาทิฏฐิ สัมมาสังกัปปะ สัมมาวาจา สัมมากัมมันตะ
สัมมาอาชีวะ สัมมาวายามะ สัมมาสติ สัมมาสมาธิ นี้เป็นเครื่องรองรับจิต


*

ดูกรภิกษุ คำว่า
ความกำจัดราคะ ความกำจัดโทสะ ความกำจัดโมหะ นี้เป็นชื่อแห่งนิพพานธาตุ
เพราะเหตุนั้น จึงเรียกว่าธรรมเป็นที่สิ้นอาสวะ


ดูกรภิกษุ ความสิ้นราคะ ความสิ้นโทสะ ความสิ้นโมหะ นี้เรียกว่า อมตะ

อริยมรรคอันประกอบด้วยองค์ ๘ คือ
สัมมาทิฏฐิ สัมมาสังกัปปะ สัมมาวาจา สัมมากัมมันตะ
สัมมาอาชีวะ สัมมาวายามะ สัมมาสติ สัมมาสมาธิ
นี้แลเรียกว่าทางที่จะให้ถึงอมตะ

*

สรุป

อริยมรรคมีองค์ ๘ คือ ทางเดินของจิตให้ถึงอมตะ หรือ พระนิพพาน เพื่อความสิ้นไปแห่งราคะ โทสะ และโมหะ จิตหลุดพ้นจากอาสวะกิเลสทั้งหลาย เป็นอมตธาตุ อมตธรรม หรือ วิราคธรรม ไม่ปรุงแต่งไปตามอารมณ์ความนึกคิด เป็นจิตสังขาร หรือจิตบ้าง มโนบ้าง วิญญาณบ้าง หรือ จิตเป็นต้นนั้นอีกต่อไป

ซึ่งต้องประกอบภาวนานุโยค หรือก็คือ การปฏิบัติสมาธิกรรมฐานภาวนา (สัมมาสมาธิ) ตามหลักอริยมรรคมีองค์ ๘ นั่งคู้บัลลังก์ ตั้งกายให้ตรง ดำรงสติมั่นเฉพาะหน้าว่า จิตของเรายังไม่หมดความถือมั่น ยังไม่หลุดพ้นจากอาสวะทั้งหลาย (เป็นวิราคธรรม) เพียงใด เราจักไม่ทำลายบัลลังก์นี้เพียงนั้น ดังนี้



เจริญในธรรมทุกๆท่าน
ธรรมภูต




Create Date : 06 มิถุนายน 2554
Last Update : 19 มกราคม 2558 16:05:46 น.
Counter : 471 Pageviews.

สัพเพ ธัมมา อนิจจา ทุกขา อนัตตา ถูกต้องจริงล่ะหรือ ???
เมื่อกล่าวถึง สัพเพ ธัมมา มักมีการถกเถียงกัน เป็นวงกว้างมาอย่างยาวนาน ตามมติและความเชื่อของแต่ละคนที่ได้ศึกษามา บ้างติดตังกับตำรา(ปิฎก)ทุกตัวอักษร แบบลิงติดตัง แกะยังไงก็แกะไม่ออก โดยไม่เคยพิจารณาถึงเหตุผลตามความเป็นจริงเลย

ทั้งๆ ที่เมื่อพิจารณาลงไปแล้ว ไม่มีเหตุผลอะไรที่ดีมารองรับได้เลย เป็นเพียงความเชื่อและการจินตนาการไปตามตัวหนังสือในตำรา(ปิฎก) ล้วนๆ หรือได้ยินได้ฟังมาจากผู้ที่น่าเชื่อถือ โดยไม่สามารถพิจารณาตริตรองตามไปได้เลย

ยิ่งในเรื่องสำคัญๆ ที่เป็นหนทางแห่งความพ้นทุกข์ด้วยแล้ว ไปกันคนละทิศคนละทาง โดยมติลงกันไม่ได้เลยก็มี โดยเฉพาะมติของผู้ศึกษาบางกลุ่มที่มีมติอยู่ในใจไม่ยอมฟังใครด้วยแล้วว่า
ธรรมทั้งหลาย ทั้งปวงล้วนไม่เที่ยง
ธรรมทั้งหลาย ทั้งปวงล้วนเป็นทุกข์

ธรรมทั้งหลาย ทั้งปวงล้วนเป็นอนัตตา(ไม่ใช่ตัวตนของเรา ไม่ใช่ไม่มีตัวตน)

โดยความเป็นจริงแล้ว อะไรก็ตามที่ได้ชื่อว่าเป็นอนัตตาแล้ว ล้วนเป็นที่พึ่งพาอาศัยไม่ได้เลยทั้งสิ้น ตัวอย่างเช่น คนโบร่ำโบราณแต่เก่าก่อน มักกล่าวสอนบุตรหลานผู้กำลังย่างก้าวเข้าสู่ความเป็นผู้ใหญ่ที่ต้องรับผิดชอบแล้วว่า "เมื่อไหร่เอ็งจะเป็นตัวเป็นตนเสียที" ซึ่งหมายถึงว่า เมื่อไหร่เจ้าตัวจะเป็นที่พึ่งพาอาศัยของคนอื่นได้เสียที

หากไม่หยิบยกมาพูดหรือนำมาเป็นประเด็นเพื่อถกหาความจริง จะทำให้เกิดความเข้าใจผิดไปในวงกว้างได้ ซึ่งเป็นอันตรายอย่างยิ่งสำหรับผู้ศึกษาใหม่ หรือผู้ปฏิบัติธรรมกรรมฐานสมาธิภาวนา จะถูกหลอกลวงให้เชื่อได้โดยบริสุทธิ์ใจอย่างง่ายดายว่า อะไรๆก็ไม่เที่ยงทั้งนั้น อะไรๆก็เป็นทุกข์ทั้งนั้น อะไรๆก็ไม่ใช่ตัวตนของเราทั้งนั้น ที่ใช่ก็ไม่มีทั้งนั้น ที่มีก็ไม่ใช่ทั้งนั้น โดยไม่ระมัดระวังมติที่ตนเองเรียนรู้มานั้น ว่าจะเป็นการเดินเข้าใกล้พวก "นัตถิกทิฐิ" ในครั้งพุทธกาล โดยไม่รู้ตัวเลย

มักมีผู้ที่ชอบอ้างเอาพระบาลีมาว่า "สพฺเพ ธมฺมา อนิจฺจา" "สพฺเพ ธมฺมา ทุกขา" นั้น ขอบอกไว้เลยว่า พระบาลีที่นำมาอ้างนั้น ในพระไตรปิฎกหามีประโยคดังกล่าวนี้ไม่ เพราะเป็นธรรมที่ขัดแย้งกันเองโดยเนื้อธรรม ซึ่งเป็นไปไม่ได้เลยครับ ว่าพระพุทธองค์จะทรงสั่งสอนพระสัทธรรมที่ขัดแย้งกันเอง หากมีใครเคยผ่านตามา เชิญนำเอาหลักฐานมายันด้วยจะเป็นการดี เพื่อจะได้ศึกษากัน

คำที่ถูกต้องนั้นควรเป็น "สพฺเพ สงฺขารา อนิจฺจา" "สพฺเพ สงฺขารา ทุกฺขา" จึงจะถูกต้อง สมเหตุสมผลตามพระพุทธพจน์ที่ทรงตรัสไว้ดีแล้ว เพราะอะไร?

หากมีพระพุทธพจน์ที่ทรงกล่าวไว้ว่า ธรรมทั้งหลาย ทั้งปวงที่มีอยู่ล้วนไม่เที่ยง ธรรมทั้งหลาย ทั้งปวงที่มีอยู่ล้วนเป็นทุกข์แล้ว พระพุทธองค์จอมศาสดา จะทรงออกผนวชเพื่อค้นหาอะไรหละ? ทรงสละราชบัลลังก์และราชสมบัติพัสฐาน เพื่อค้นหาอมตะธรรมใช่มั้ยครับ?

ในเมื่ออะไรๆทั้งหมดทั้งปวงล้วนไม่เที่ยง ล้วนเป็นทุกข์ เป็นที่พึ่งพาอาศัยไม่ได้แล้ว จะเสียเวลาเปล่า เพื่อออกค้นหาโมกขธรรมไปเพื่ออะไรมิทราบ ?

หากว่าสิ่งทั้งหลายทั้งปวง ล้วนเป็นสิ่งที่ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ ทั้งหมดทั้งสิ้นแล้ว อมตะธรรม อกุปปธรรม วิราคธรรม โลกุตตรธรรม อริยธรรมฯลฯ ธรรมอันเลิศทั้งหลายเหล่านี้หละ??? เป็นธรรมที่พระพุทธองค์ทรงค้นพบด้วยพระองค์เอง ในวันที่ทรงตรัสรู้ชอบ แล้วทรงนำมาสั่งสอนแก่พระอริยสาวกทั้งหลาย จนได้บรรลุธรรมตามพระองค์ไปเป็นจำนวนมากนั้น จะเป็นไปได้อย่างไร?

ในเมื่อธรรมทั้งหลายทั้งปวง ล้วนไม่เที่ยง ล้วนเป็นทุกข์ เป็นที่พึ่งพา เป็นที่อาศัยไม่ได้ แล้วธรรมทั้งหลายที่พระองค์ทรงได้ค้นพบด้วยการตรัสรู้เองโดยชอบ เพื่อความหลุดพ้นด้วยดี เพื่อความสิ้นไปแห่งราคะ โทสะ โมหะหละ ต้องถูกจัดรวมเข้าไปใน "สัพเพ ธัมมา อนิจฺจา" "สัพเพ ธัมมา ทุกฺขา" ด้วยหรือ เป็นไปได้อย่างนั้นหรือครับ..พระพุทธองค์จะทรงสั่งสอนธรรมที่ขัดแย้งกันเองชัดๆแบบนี้หรือ?

"สพฺเพ ธมฺมา อนิจฺจา" "สพฺเพ ธมฺมา ทุกขา" นั้น ไม่มีในพระพุทธพจน์ครับ ที่ถูกต้องนั้นควรเป็น "สพฺเพ ธมฺมา อนตฺตา" เท่านั้นจึงจะใช่ เพราะอะไร???

ทุกครั้งที่มีพระบาลีกล่าวถึง "สัพเพ ธัมมา อนัตตา" ในพระสูตรทั้งหลายนั้น ล้วนต้องมีบริบทนำมาก่อนหน้าทุกครั้งเช่นกันว่า "สัพเพ สังขารา อนิจจา" "สัพเพ สังขารา ทุกขา" นำมาก่อนเสมอๆ

พระองค์ทรงจำกัดวงเพื่อเป็นมติให้รู้ไว้ว่า ธรรมทั้งหลายทั้งปวงที่ไม่ใช่ตัวตนของเรานั้น ล้วนเป็นสังขารธรรม (ขันธ์ ๕ อายตนะทั้งภายใน ๖ และภายนอก ๖) เท่านั้น ที่ถูกปรุงแต่งให้แปรปรวนไปตามอารมณ์ความรู้สึกนึกคิด ที่เข้ามาผัสสะทั้งหลาย ล้วนไม่เที่ยง เป็นทุกข์ ไม่ใช่ตัวตนของเรา เป็นที่พึ่งพา เป็นที่อาศัยอะไรไม่ได้เลย

จึงไม่รวมไปถึง โลกุตตรธรรม อกุปปธรรม อมตะธรรม วิราคธรรม อริยธรรมฯลฯ ธรรมอันเลิศทั้งหลายเลย ที่ล้วนเป็นธรรมที่อยู่เหนือโลก พ้นโลก ธรรมเป็นที่ดับแห่งอาสวะทั้งหลาย เป็นวิสังขารธรรม สิ้นการปรุงแต่งใดๆ เพราะสิ้นตัณหาแล้ว ไม่แปรปรวนกลับกลายมาติดข้องอยู่กับอารมณ์เรื่องในโลกอีกแล้ว พ้นแล้วซึ่งวัฏฏะสงสาร "เป็นธรรมที่เที่ยงตรงต่อพระนิพพาน เป็นสุข เป็นที่พึ่งพาที่อาศัยได้" ไม่กลับกลายอีกแล้ว

เมื่อมีธรรมที่ไม่เที่ยง ย่อมต้องมีธรรมที่เที่ยงตรงต่อพระนิพพานเป็นคู่เทียบ
เมื่อมีธรรมที่เป็นทุกข์ ย่อมต้องมีธรรมเป็นที่ดับทุกข์(สุข)เป็นคู่เทียบ
เมื่อมีธรรมที่เป็นที่พึ่งที่อาศัยไม่ได้ ย่อมต้องมีธรรมที่เป็นที่พึ่งที่อาศัยได้เป็นคู่เทียบเช่นกัน


การศึกษาธรรมนั้น ควรต้องยืนอยู่บนหลักเหตุผลที่ถูกต้องเป็นไปได้ ที่สามารถพิจารณาตริตรองให้รู้เห็นตามความเป็นจริงได้เท่านั้น จึงควรเชื่อ แต่การจะให้เชื่อโดยไม่อาศัยหลักกาลามสูตร เข้ามาเทียบเคียงเลยนั้น ย่อมทำให้การศึกษาธรรมของผู้ศึกษา ผิดไปตลอดแนวได้เช่นกันครับ....

แต่ก็ยังมีผู้ที่เชื่อถือแบบตามๆ กันมาตามตำรา(ปิฎก)ที่เล่าเรียนมา โดยไม่เคยพิจารณา ที่จะลงมือปฏิบัติสมาธิกรรมฐานภาวนาอย่างจริงจัง ตามรอยพระบาท เพื่อเข้าถึงสภาวะเป็นธรรมเอกผุดขึ้นมาให้เห็น ด้วยความเพียรเพ่ง(การตามรู้อย่างต่อเนื่อง) จนจิตสงบตั้งมั่น รู้เห็นตามความเป็นจริงว่า มีธรรมเป็นที่ดับแห่งอาสวะทั้งหลายด้วย ดังปรากฏในพระสูตร อาทิ

อาสวสูตรที่ ๑....(เหตุเกิดแห่งอาสวะทั้งหลาย ธรรมเป็นที่ดับแห่งอาสวะทั้งหลาย)

พระผู้มีพระภาคตรัสคาถาประพันธ์ดังนี้ว่า
สาวกของพระพุทธเจ้าผู้มีจิตตั้งมั่น ผู้รู้ทั่ว มีสติ ย่อมรู้ชัดซึ่งอาสวะทั้งหลาย เหตุเกิดแห่งอาสวะทั้งหลาย ธรรมเป็นที่ดับแห่งอาสวะทั้งหลาย และมรรคอันให้ถึงความสิ้นไปแห่งอาสวะทั้งหลาย ภิกษุหายหิวแล้ว ดับรอบแล้ว เพราะความสิ้นไปแห่งอาสวะทั้งหลาย ฯ

//84000.org/tipitaka/read/v.php?B=25&A=5502&Z=5517&pagebreak=0

*

ดูกรอัคคิเวสสนะ ภิกษุที่รู้พ้นวิเศษแล้วอย่างนี้แหละ ประกอบด้วยคุณอันยอดเยี่ยม ๓ ประการคือ ความเห็นอันยอดเยี่ยม ๑ ความปฏิบัติอันยอดเยี่ยม ๑ ความพ้นวิเศษอันยอดเยี่ยม ๑.

เมื่อมีจิตพ้นกิเลสแล้วอย่างนี้ ย่อมสักการะ เคารพ นับถือ บูชา ตถาคตว่า
พระผู้มีพระภาคพระองค์นั้น ตรัสรู้แล้ว ย่อมทรงแสดงธรรมเพื่อให้ตรัสรู้
พระผู้มีพระภาคพระองค์นั้น ทรงฝึกพระองค์แล้ว ย่อมทรงแสดงธรรมเพื่อฝึก
พระผู้มีพระภาคพระองค์นั้น ทรงสงบได้แล้ว ย่อมทรงแสดงธรรมเพื่อสงบ
พระผู้มีพระภาคพระองค์นั้น ทรงข้ามพ้นแล้ว ย่อมทรงแสดงธรรมเพื่อข้ามพ้น
พระผู้มีพระภาคพระองค์นั้น ทรงดับสนิทแล้วย่อมทรงแสดงธรรมเพื่อความดับสนิท

//84000.org/tipitaka/read/v.php?B=12&A=7323&Z=7551

*

ข้าพเจ้าเป็นสาวกของพระผู้มีพระภาค ผู้เสด็จไปดีทรงมีฌาน ไม่ทรงปล่อยจิตไปตาม ทรงบริสุทธิ์ ไม่ทรงสะดุ้ง ปราศจากความกลัว สงัดทั่ว ทรงบรรลุธรรมอันเลิศ ทรงข้ามได้เอง ทรงยังสัตว์อื่นให้ข้ามได้

//84000.org/tipitaka/read/v.php?B=13&A=1044&Z=1477

*

อุปธิวิเวกเป็นไฉน?
กิเลสก็ดี ขันธ์ก็ดี อภิสังขารก็ดี เรียกว่า อุปธิ
อมตนิพพานเรียกว่าอุปธิวิเวก ได้แก่ธรรมเป็นที่ระงับสังขารทั้งปวง เป็นที่สละคืนอุปธิทั้งปวง เป็นที่สิ้นตัณหา เป็นที่สำรอกตัณหา เป็นที่ดับตัณหา เป็นที่ออกไปจากตัณหาเครื่องร้อยรัด
นี้ชื่อว่าอุปธิวิเวก

//84000.org/tipitaka/pitaka_item/v.php?B=29&A=7639&Z=9093&pagebreak=0


เจริญในธรรมทุกๆท่าน
ธรรมภูต




Create Date : 08 ตุลาคม 2553
Last Update : 19 มกราคม 2558 16:06:07 น.
Counter : 3080 Pageviews.


ในความฝันของใครสักคน
Location :
กรุงเทพฯ  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 4 คน [?]



สารบัญ Blog ธรรมภูต - พระภัทรสิทธิ์



หน้าแรก Blog ธรรมภูต - พระภัทรสิทธิ์