::: ยิ้มก่อนอ่าน ตาหวานก่อนเปิด :::
Group Blog
 
All blogs
 

★★ บ้านของเรา กับแมงกว่างของปั้น ♬

‘บ้านของเรา กับแมงกว่างของปั้น’

โดย นาริน คัมภีร์ศีล



แม่ขับรถเรียบเรื่อยไปตามถนนกว้างสะอาดเนี้ยบกริบของหมู่บ้าน ที่นอกหน้าต่างรถเห็นวิวสนามหญ้าสีเขียวสดโล่งกว้าง มีทิวเขาสล้างเป็นฉากหลังลิบ ๆ อยู่ในสายหมอก แม่หยุดรถลงจอดข้างฟุตบาธแถวนั้น พอเปิดประตูรถออกมาได้ เด็ก ๆ ก็พากันวิ่งกรูลงไปที่สนามหญ้าเขียวขจีราวกับฝูงม้าป่าถูกปล่อยให้เป็นอิสระออกจากคอก


เด็ก ๆ กางแขนออก แล้วก็หมุนตัวติ้ว ๆ ไปรอบ ๆ สนามหญ้าที่ตัดไว้เรียบกริบ สูดอากาศบริสุทธิ์เข้าเต็มปอด และพากันส่งเสียงหัวร่อเริงร่า....นัยน์ตามีประกายความสุขอยู่เต็มเปี่ยม


เจ้าหน้าที่หมู่บ้านขี่จักรยานตามหลังเรามาในอีกชั่วอึดใจ พอเอาจักรยานจอดเทียบเข้าที่ข้างทางเรียบร้อยก็ตรงมาที่แม่


“แปลงนี้ล่ะค่ะที่จะขาย....” เจ้าหน้าที่สาวบอกย้ำอีกครั้ง พลางชี้มือไปยังแปลงที่ดินไม่ไกลจากบริเวณที่เด็ก ๆ กำลังวิ่งเล่นกันอยู่


“ตารางวาละเท่าไหร่คะ!” เสียงแม่ถาม ขณะที่ในใจเต้นระริก


“ตารางวาละหมื่นสองค่ะ”


“แล้วพื้นที่มันกี่ตารางวาคะ!”


“อือม...220 ตารางวาค่ะ”


แม่รีบคำนวณตัวเลขในหัวอย่างรวดเร็ว ....220 คูณด้วย 12,000 บาท เป็นเงินเท่าไหร่ล่ะ!


“....ก็ตกประมาณ 2,640,000 บาทค่ะ”


เจ้าหน้าที่กดเครื่องคิดเลข แล้วก็ตอบออกมาราวกับเดาใจแม่ออก
แม่ทำหน้าได้นิ่งเฉยนัก ทั้ง ๆ ที่ในใจแอบร้อง ‘โอ้โห’ ซะดังลั่นอก ...ต่อให้ถูกกว่านี้อีกครึ่งนึง แม่ก็ยังไม่รู้ว่าจะเอาเงินเป็นล้านจากไหนมาซื้อ ....ขนาดแค่ค่าที่ดินอย่างเดียว ยังไม่รวมค่าสร้างบ้านเลยนะเนี่ย!


แม่วางฟอร์ม....ทำเป็นผงกหัวหงึกหงัก ราวกับกำลังใช้ความคิด


“อือม...แล้วเพื่อนบ้านเป็นยังไงบ้าง ดูเงียบ ๆ เหมือนไม่ค่อยจะมีคนอยู่เลยนะหมู่บ้านนี้...” แม่ทำทีซักฟอก


“ค่ะ....” เจ้าหน้าที่หมู่บ้านยอมรับ แต่ก็อธิบายต่อด้วยน้ำเสียงภาคภูมิ


“ส่วนมากเขาจะซื้อกันเอาไว้เป็นบ้านพักผ่อนในวันหยุดน่ะค่ะ...”


“ถ้าเด็ก ๆ มาอยู่จะเหงามั้ยเนี่ย!” แม่ทำหน้าครุ่นคิด....


ความจริงแล้ว ....แม่ชอบที่มันเงียบสงบ ไม่พลุกพล่าน สภาพแวดล้อมก็ดีเยี่ยม... เห็นได้ชัดว่า สาธารณูปโภคของหมู่บ้าน ได้รับการดูแลเอาใจใส่เป็นอย่างดี ทั้งต้นไม้ใบหญ้า สนาม และถนนหนทาง ....ที่สำคัญ...สภาพแวดล้อมอันปลอดภัยจากระบบการดูแลที่ได้มาตรฐานของหมู่บ้าน กอปรกับคุณภาพของเพื่อนบ้าน


.....คิดดูว่าเด็ก ๆ จะเป็นอย่างไรที่ได้เติบโตขึ้นในสภาพแวดล้อมอันมั่นคงและปลอดภัย แถมยังได้สูดอากาศบริสุทธิ์เป็นธรรมชาติเช่นนี้ทุกวัน ๆ ....ตกเย็น กลับจากโรงเรียน ก็ออกมาขี่จักรยานเล่นรอบ ๆ หมู่บ้านได้โดยไม่ต้องห่วงกังวลให้มากนัก ....ได้เห็นพระอาทิตย์ขึ้น และตกบนฟากฟ้าคนละฝั่งทุกวัน ....เห็นเส้นขอบฟ้าโล่งกว้างสุดสายตา......


ทว่า ความฝันของแม่ก็จบลง ทันที่ที่เราพากันปิดประตูมาอยู่บนรถญี่ปุ่นคันเล็ก ๆ ซอมซ่ออย่างเก่า




แม่บอกตัวเองว่า....มันออกจะไกลไปสักหน่อยจากโรงเรียนของลูก ....แล้วมันก็ออกจะเงียบเชียบเกินไปด้วย สำหรับครอบครัวที่มีเด็ก ๆ ....อย่างที่แม่ได้ติเอาไว้กับเจ้าหน้าที่หมู่บ้าน


แต่ความจริงแล้ว...แม่รู้ดีว่า หมู่บ้านนั้น มีแต่คนมีฐานะทั้งจากในเมือง และจากกรุงเทพฯ มาซื้อไว้สำหรับเป็นบ้านพักตากอากาศในวันหยุด หรือไม่ก็จะเป็นชาวต่างชาติที่ชอบอยู่กันเงียบ ๆ เป็นส่วนตัว ไม่รบกวนเพื่อนบ้าน
และที่สำคัญอีกอย่าง....แม่คงไม่มีปัญญาหาเงินที่ไหนมาซื้อที่ดินแพงขนาดนี้ได้หรอก แม่เลยต้องหาข้ออ้างที่ไม่ดีของหมู่บ้านให้กับตัวเอง


“แม่จะย้ายไปอยู่ที่นั่นจริง ๆ เหรอ....” ปูนถามขึ้น แม่ยิ้มใส่กระจกส่องหลัง


“ลูกอยากอยู่มั้ยล่ะ....”


“ก็แล้วแต่แม่สิ...อยู่ตรงไหนก็ได้...” ลูกสาวตอบแบบไม่มีเกี่ยง ขณะที่พ่อหนุ่มน้อยตัวดีนั่งซุกตัวอยู่เงียบ ๆ ที่อีกฟากของเบาะหลัง ออกปากขึ้นมาบ้าง


“แล้วใครจะไปส่งปั้นที่โรงเรียนล่ะ!”


“ก็แม่ไง....ถามแปลก ๆ ....” แม่บอก


“สวยจังเลย....หมู่บ้านเค้า....” ปูนรำพึง


“ชอบเหรอลูก...”


“....แต่ไกลไปหน่อย....” ปูนบอกออกมาในที่สุด ทำให้แม่รีบตีขลุมสรุป


“....ใช่...แต่ไกลไปหน่อย ....อีกอย่าง ได้ยินเสียงยิงปืนมั้ย ....ไอ้ตรงที่เราไปวิ่งเล่นกันนั่นน่ะ มันใกล้ค่ายทหาร เค้าซ้อมยิงปืนกัน เกิดวันดีคืนดี ....ลูกปืนมาตกแถว ๆ หน้าบ้านจะทำยังไง.....” .....ข้ออ้างอันหลังนี่แม่เพิ่งนึกขึ้นได้


....แล้วแม่ก็แอบถอนหายใจ เมื่อลูก ๆ ไม่มีท่าทีจะสนใจเรื่องหมู่บ้านนั้นอีก...


....หมู่บ้านจัดสรร...เป็นอะไรที่ไกลเกินเอื้อมจริง ๆ สำหรับคนเดินดินกินข้าวแกง มีรายได้พอเลี้ยงตัว และไม่อยากเป็นหนี้ใครอย่างแม่ ....ขนาดว่าที่ดินเท่าแมวดิ้นตาย แบบบ้านเหมือน ๆ กันหมด แถมหลังคาแทบจะชนกัน แล้วนี่ยังไม่รวมค่าน้ำค่าไฟ กับค่าส่วนกลางของหมู่บ้านที่คิดกันตามตารางวาเลยนะนั่น!


จะหาบ้านสภาพแวดล้อมดี ๆ และปลอดภัยสำหรับเด็ก ๆ ....ต้องแลกด้วยเงินก้อนโตขนาดนั้นเชียวหรือ!





พ่อทิ้งบ้านชั้นเดียวยกใต้ถุนสูงเอาไว้ให้พวกเรา บ้านนั้นสร้างอยู่บนที่ดินรกร้างของหมู่บ้านจัดสรรแห่งหนึ่ง ซึ่งเจ้าของหมู่บ้านทิ้งไปนานแล้ว บ้านเราตั้งอยู่โดดเดี่ยวท่ามกลางที่ดินว่างเปล่ารอบ ๆ ที่ยังไม่มีใครคิดอยากจะมาสร้างบ้านเป็นเพื่อนกับเราเลยสักหลังจนแล้วจนรอด นาน ๆ เข้า ที่รอบ ๆ ก็จะกลายเป็นหญ้ารก ๆ สูง ๆ บวกกับต้นไมยราบ ทุกครั้งแม่ต้องจ้างคนสวนมาดายหญ้า เพื่อสวัสดิภาพของพวกเราเองจากไฟและงูเงี้ยวเขี้ยวขอทั้งหลาย


ตกกลางคืน....แม่มักจะสะดุ้งตื่นขึ้นกลางดึกบ่อย ๆ เวลาได้ยินเสียงอะไร แม้นจะแค่นิดหน่อยก็ตาม!


ส่วนกลางวัน....ในหน้าร้อน ก็ร้อนจนตับแทบแลบ เพราะความร้อนส่งตรงจากหลังคาลงมาตรงชั้นสองที่เราอยู่พอดี แถมตัวบ้านยังสร้างจนชิดรั้วทางฝั่งทิศใต้ ซึ่งได้รับแสงแดดตรง ๆ ในตอนกลางวัน แล้วเราก็ปลูกต้นไม้อะไรบังทางทิศนั้นไม่ได้ ความที่ตัวบ้านสร้างจนติดรั้วฝั่งนั้นนั่นแหละ...แบบว่าไม่เหลือเนื้อดินให้เลยแม้นแต่นิดเดียว แม่ก็เลยแก้ปัญหาด้วยการซื้อแสลมป์สีเข้มมาบังแดดตรงฝั่งนั้น กลายเป็นว่าเราต้องนั่ง ๆ นอน ๆ ใช้ชีวิตกันอยู่ในห้องโถงมืด ๆ ทึบ ๆ


บันไดบ้านก็สร้างผิดตำแหน่ง โดยโผล่ขึ้นมาตรงโถงกลางบ้าน กินเนื้อที่ที่ควรจะเป็นพื้นที่ใช้สอยไปเกือบหมด เหลือที่ให้วางโต๊ะเก้าอี้เขียนหนังสือกับที่วางทีวีได้แค่ชุดเดียว เราทำกันทุกอย่างบนนั้นนับตั้งแต่ ทำการบ้าน, กินข้าว, นั่งเล่น, ดูทีวี ฯลฯ ....แถมขึ้นจากบันไดบ้านมา ยังต้องผ่านระเบียงซักล้างและตากผ้าก่อน ซึ่งเวลาหน้าฝนทีไร ทั้งปูนกับปั้นจะต้องสลับกันลื่นหัวปูดหัวโนไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง ส่วนเวลาหน้าร้อน แดดก็จะสะท้อนความร้อนจากพื้นกระเบื้องที่หน้าระเบียงเข้าสู่ตัวบ้าน เพิ่มความร้อนให้ตัวบ้านอีกเท่านึง


แม่เถียงกับพ่อบ่อย ๆ ตอนยังอยู่ด้วยกันว่า ให้สร้างหลังคาคลุมระเบียงเสีย หรือไม่ก็ให้กั้นระเบียงเป็นห้องไปเลย เพื่อที่เราจะได้มีพื้นที่ใช้สอยเพิ่มขึ้น แล้วก็ย้ายตำแหน่งบันไดใหม่ พ่อก็ไม่ยอม พ่อบอกว่าอยากจะเห็นท้องฟ้า.... อีกอย่างพ่อไม่อยากเสียเงินเป็นแสนเพื่อทุบบันได ทั้ง ๆ ที่ในความเป็นจริงแล้ว แม่เคยไปสอบถามช่างมาหลายคน...ช่างบอกว่าไม่ถึงแสนหรอก บันไดแค่นี้ไม่กี่หมื่นเท่านั้นเอง


....แม่ก็แค่อยากทำบ้านให้มันเป็นบ้านยิ่งขึ้น ทว่าจนแล้วจนรอด พ่อก็ไม่ยอมทุบบันได แถมหลังจากนั้นพ่อก็อยู่กับเราต่ออีกไม่นาน....


แม่แอบแช่งชักหักกระดูกความชุ่ยของเจ้าของหมู่บ้านทุกครั้ง เวลาที่เราอยู่บ้านกันอย่างไม่เป็นสุขนัก รวมถึงพ่อที่ทิ้งบ้านแห่ง ‘วิบากกรรม’ เอาไว้ให้เราอยู่...ดูต่างหน้า


‘ดีกว่าคนอยู่สลัมตั้งเยอะ’


พ่อเคยพูดว่าอย่างนั้น แต่ท้ายสุด คนที่บอกว่า ‘ดีกว่าสลัม’ ก็ทนอยู่ที่นี่ต่อไปไม่ไหว.....





แม่ไม่ได้พูดถึงพ่ออีก นอกจากเงินค่าเลี้ยงดูที่พ่อส่งมาให้ทุกเดือน ๆ บวกกับงานจิปาถะของแม่อีกนิดหน่อย จำพวกเย็บปักถักร้อย หรือไม่ก็รับแปลหนังสือ นอกนั้นแล้วแม่ก็พยายามทำชีวิตให้เป็นปรกติที่สุด...กับลูก ๆ ....ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง นอกจากที่ว่าพ่อไม่ได้อยู่ในบ้านที่ ‘ดีกว่าสลัม’ นี้อีกต่อไป


แม่มีเงินเก็บอยู่ก้อนนึง แต่ก็ยังไม่ได้วางแผนว่าจะใช้เงินก้อนนั้นอย่างไร นอกจากคิดว่าจะทำแต่ละวันให้ผ่านไปให้ดีที่สุดก่อน กับเก็บเงินเผื่อเอาไว้ให้ลูก ๆ ในวันข้างหน้า ....แม่ไม่ได้ทำงานประจำนานแล้ว นับแต่มีลูก ตอนที่พ่อไปใหม่ ๆ แม่ก็คิดอยู่ว่า จะนั่งงอมืองอเท้าแบบนี้อีกต่อไปไม่ได้แล้ว แม่คิดจะเปิดร้านโน่นนี่ หรือไม่ก็หางานทำ แต่เพราะเรามีกันแค่สามคนจริง ๆ ไม่มีญาติพี่น้องใครอื่นในเมืองนี้ ที่แม่พอจะเอาลูก ๆ ไปฝากฝังให้ช่วยดูแลแทนได้ แม่ก็เลยต้องคิดหนัก ว่าจะเลือกหาเงินเพิ่ม หรือมีเวลาให้ลูกเหมือนเดิมดี .....



ครั้งหนึ่ง....ขโมยขึ้นบ้าน ได้ข้าวของไปหลายอย่าง ....แม่กลัว... แต่ก็ต้องทำเป็นว่า ‘ไม่กลัว’ให้ลูกเห็น ในเมื่อแม่เป็นถึงหัวหน้าครอบครัวแล้ว ทว่า ลึก ๆ แล้ว มันทำให้แม่ยิ่งคิดหนัก ....แม่นึกถึงความเปลี่ยวของบ้าน ....ความไม่สะดวกสบายต่าง ๆ นานาในบ้านที่เราอยู่ กับนึกถึงบ้านที่เป็น ‘บ้าน’ จริง ๆ ที่จะให้ความอบอุ่นปลอดภัยกับเราได้ ....แถมปูนก็โตเป็นสาวขึ้นเรื่อย ๆ ....


ขณะที่ปั้นนั้น ....ยิ่งโตก็ยิ่งซน...อยู่ไม่สุข ประสาเด็กผู้ชาย เล่นอะไรก็ไม่เป็นที่เป็นทาง ....แม่นึกฝันอยากจะมีบ้าน พร้อมสนามหญ้ากว้าง ๆ เอาไว้ให้ปั้นได้วิ่งเล่น.....





วันหนึ่ง ปั้นจับตัวด้วงกว่างมาได้จากพงหญ้ารก ๆ ที่ข้างบ้าน ปั้นร้องของอยากจะเลี้ยงมันเอาไว้บนบ้าน แม่จึงหากล่องรองเท้าเก่า ๆ มาให้ พร้อมกับชานอ้อย สำหรับเป็นอาหารของมัน ปั้นจะเฝ้ามองกว่างที่ชอบดูดน้ำอ้อยนิ่ง ๆ อยู่ในกล่องได้ครั้งละนาน ๆ.....


กลับจากโรงเรียนเมื่อไร ปั้นก็จะมาเปิดฝากล่องดูด้วงกว่างก่อนอื่นใด แม่จะเป็นคนคอยเปลี่ยนอาหารให้มัน เมื่อเห็นว่าของเก่าเริ่มจะเน่าหรือเหม็นแล้ว เวียนกันไปทั้งกล้วย, อ้อย, หรือมะละกอ ตามแต่ที่แม่จะหาได้ มันจะทำเสียงขู่ฟ่อ ๆ ทุกครั้งที่เราไปโดนตัวมัน ครั้งนึง ปั้นวิ่งมาบอกแม่ว่าถูกเจ้ากว่างกัด แม่มองดูไม่เห็นแผล แต่ก็บอกปั้นว่าคราวหลังต้องระวัง.....เพราะสัตว์ทุกตัวต่างก็มีสัญชาตญาณของการป้องกันตัว


แรก ๆ ปูนก็ตื่นเต้นกับกว่างตัวผู้ เขาโง้งใหญ่สวยงามของปั้น ....แม่บอกว่า..แปลกที่สัตว์ทุกอย่าง...ตัวผู้มักจะสวยกว่าตัวเมีย อย่าง...กวาง, ช้าง หรือว่าแมงกว่างนี่ก็เหอะ ...ที่ตัวผู้มักจะมีงา หรือเขาโค้งขึ้นมาอย่างสวยสง่า หรือว่านกยูง ที่ตัวผู้จะมีขนหางสวยหรู เอาไว้รำแพนอวดตัวเมีย หรือจะเป็นแผงขนที่คอของเจ้าสิงโตตัวผู้นั่นอีก ....เว้นก็แต่คน...ที่ผู้หญิงจะสวยกว่าผู้ชาย หรือมันอาจจะเป็นเพียงแค่ความเชื่อของคนเราเองก็ได้ ....อันหลังนี้ แม่บอกของแม่เองอย่างนั้น!


หลัง ๆ พอปูนมาเปิดดูกล่อง เห็นเจ้ากว่างท่าทางซึมเศร้าเหงาหงอย ปูนก็เริ่มเดือดร้อน....


“แม่ดูสิ...มันชักจะไม่มีแรงแล้วนะ!” ปูนร้องโวยขึ้น


“หือ....” แม่ยื่นหน้าไปดูในกล่องบ้าง เห็นเจ้ากว่างของปั้นนอนนิ่ง ๆ เซื่อง ๆ ...แต่กว่างก็เป็นของมันอย่างนี้อยู่แล้วไม่ใช่หรือ ....ต้วมเตี้ยม ชักช้า ชอบเกาะอยู่กับผลไม้ กินไปเงียบ ๆ นิ่ง ๆ ของมันอย่างนั้น นอกจากถ้าไม่เผลอปล่อยให้มันออกมาบินเล่นที่นอกกล่องเสียก่อน


“หนูจะเอามันไปปล่อย...” ปูนทำท่าจะจับเจ้ากว่างออกจากกล่อง


“ไม่ได้นะ...ลูกต้องถามความสมัครใจของน้องก่อน” แม่บอก


“โธ่! แม่....ถ้าบอกน้อง ...น้องก็คงไม่ยอมปล่อยท่าเดียว ....ไม่รู้ละ ปูนจะเอาไปปล่อย...”


“เดี๋ยว...ปูน... แม่บอกแล้วไง ให้ถามน้องก่อน”


ปูนโมโห กระแทกฝากล่องปิดลงไปอย่างเก่า...


ตกเย็น พอปั้นกลับมาจากเล่นซนที่บ้านเพื่อน ปั้นก็ขึ้นมาอาบน้ำ กินข้าว แล้วก็นอนดูทีวี.สบายใจเฉิบ ลืมเจ้ากว่าง...สัตว์เลี้ยงแสนรักไปสนิทใจ มานึกได้อีกที เมื่อพี่สาวร้องโวยวายขึ้น


“ไอ้ปั้น...เอากว่างไปปล่อยได้แล้วแหละ มันจะตายอยู่แล้ว...”


ปั้นโผลุกขึ้นจากกองหมอนอิง มองไปที่พี่สาวที่กำลังหยิบตัวด้วงออกมาจากกล่อง


“ไม่เอา...นั่นมันของปั้นนะ” หนุ่มน้อยกระโจนไปที่พี่สาว


“เอามันมาเลี้ยงหยั่งงี้...ทรมานสัตว์รู้มั้ย!”


“อ้าว!....ก็ปั้นจับมันได้นิ่” หนุ่มน้อยเริ่มปากแบะ ...ทำท่าจะร้องไห้ออกมา


“ไม่ได้....ต้องปล่อยมันแล้วรู้มั้ย ....มันจะตายอยู่แล้ว เอามันมาขังแบบนี้ สงสารมัน.....” ปูนปกาศิตเสียงดัง คราวนี้ ปั้นร้องไห้โฮเสียงดังแข่งกันกับเสียงตะโกนโหวกเหวกของพี่สาว ซึ่งแกล้งด้วยการชูมือที่จับด้วงไว้ขึ้นไปสูง ๆ ทำยังไงปั้นก็กระโดดเอื้อมไม่ถึงพี่สาวซึ่งนอกจากจะโตกว่ามากแล้ว ยังสูงเอา ๆ ด้วยช่วงนี้


“ไม่อาว....มันของปั้นอ่า...มันของปั้น...” หนุ่มน้อยร้องซ้ำ ๆ แม่สาวเท้าพรวด ๆ ตรงมายังสองคนพี่น้อง


“ปูน....เอากว่างมาก่อน ให้น้องเขาเต็มใจปล่อยเองได้มั้ย ไม่ใช่ไปบังคับกันแบบนั้น...” แม่บอก


“แล้วมันจะเต็มใจเหรอแม่...กว่ามันจะยอมปล่อยเอง กว่างมันคงตายไปแล้วมั้ง....”


“ปูนอย่าทำแบบนี้ได้มั้ย ...แม่ไม่ชอบ มาฝืนใจคนอื่น...”


“โธ่! มันจะตายอยู่แล้ว ไม่เห็นหรือไง วัน ๆ อยู่แต่ในกล่อง ไม่เห็นเดือนเห็นตะวัน...” ปูนทำท่าจะร้องไห้ออกมามั่ง แม่เริ่มจะทำอะไรไม่ถูก


“....มันก็อยากเป็นอิสระ อยู่ตามธรรมชาติของมันเหมือนกันนะ ไม่ใช่จับมันมาขังแบบนี้....”


“ก็ขอเวลาน้องหน่อยสิ ....น้องเขาก็เลี้ยงของเขามา ....ให้น้องได้ตัดสินใจเองเหมือนกัน ไม่ใช่มาบังคับกันปาว ๆ แบบนี้...” แม่ต้องตะโกนแข่งกับเสียงร้องของทั้งปูน กับปั้น


ปูนวางแมงกว่างลงในกล่องอย่างเก่า แล้วก็เดินกระแทกเท้าเข้าไปในห้อง ปิดประตูดังปัง!





แม่เห็นป้ายหมู่บ้านจัดสรรแห่งใหม่ ขึ้นตรงทางผ่านจะกลับบ้านไว้นานแล้ว วันนั้น แม่ไปรับเด็ก ๆ กลับจากโรงเรียนเร็วกว่าที่เคย ...เลยได้ฤกษ์ เลี้ยวเข้าไปแวะดูหมู่บ้านใหม่นั้นเสียที


ปั้นวิ่งพรวดพราดตามแม่เข้าไปในสำนักงานหมู่บ้าน ที่ติดแอร์เย็นฉ่ำ พอเห็นโถใส่ลูกอมที่มีไว้แจกลูกค้า ก็กระโจนเข้าใส่ยิ่งกว่าเจอขุมทรัพย์เสียอีก ปั้นหายออกไปจากห้องสำนักงานครู่หนึ่ง ก็กลับเข้ามาใหม่พร้อมกับปูน...พี่สาว ที่ตอนแรกทำหน้าเบื่อโลก ไม่อยากลงจากรถมาแวะดูบ้านที่โน่นที่นี่กับแม่อีก ดูราวกับว่าชั่วเวลาแค่ข้ามคืน เจ้าหล่อนจะกลายเป็นสาวน้อย ที่ชักจะเป็นตัวของตัวเองมากขึ้น จึงคร้านจะตามแม่ไปไหนต่อไหนอีก
ปั้นไปบอกปูนว่า ในสำนักงานมีลูกอมเยอะแยะ นั่นแหละ! ปูนถึงยอมลงมาจากรถ ...เป็นอย่างเดียว...อย่างเดิม..... ที่ทำให้รู้สึกว่าเจ้าหล่อนยังเป็นเหมือนเด็กเล็ก ๆ อยู่ ....สองคนพี่น้อง แย่งกันคว้าลูกอมในโถ ตุนใส่ลงกระเป๋ากันใหญ่ ขณะที่แม่ส่งเสียงปรามให้รู้


เจ้าหน้าที่หนุ่มคนหนึ่ง โผล่ออกมาจากด้านหลังออฟฟิศ พอเห็นหน้าแม่ ต่างคนต่างก็ชะงักกันไปครู่หนึ่ง


“เอ่อ...” แม่อึ้งไปแวบหนึ่งเหมือนกัน แต่แล้วก็ฉีกยิ้มออกมา


“มาดูบ้านอ่ะค่ะ” แม่บอก


“ครับ” เจ้าหน้าที่คนนั้นยิ้มแบบไม่ค่อยเต็มปากนัก


“แหม! ขึ้นโครงการใหม่ตั้งนานแล้ว เพิ่งมีเวลาแวะมาดูนี่ละค่ะ ไม่ทราบว่า คนจองไปเยอะรึยัง!” แม่ถาม


“ก็....พอสมควร” เสียงอีกฝ่ายดูไม่ค่อยจะกระตือรือร้นนัก


“ไม่ทราบว่ามีแผนผังอะไรให้ดูมั้ยคะ?” พอเอ่ยปากขอ เจ้าหน้าที่หนุ่มถึงได้ลุกไปหาโบรชัวร์มาให้


แม่พลิกดูโบรชัวร์ไปมาครู่หนึ่ง ก็เอ่ยถามขึ้นมาใหม่


“มีแปลงไหนว่างบ้างคะ!”


“เอิ่ม....ชอบแปลงไหนล่ะครับ ....บอกมา แล้วผมจะบอกว่ายังว่างอยู่รึเปล่า ดีกว่า...”


แม่สะดุดกึก แต่ก็ยังคงทำหน้านิ่ง ๆ เอาไว้อย่างคนมีมาด พลางก้มลงสำรวจดูในแผนผัง แล้วก็ชี้...


“ขายไปหมดแล้วครับ....แถบนี้...” เจ้าหน้าที่หนุ่มบอก


“ตรงนี้ล่ะคะ” แม่ชี้ใหม่


“ตรงนี้ก็ขายไปหมดแล้วเหมือนกัน”


“ว้า....แปลงดี ๆ มักจะขายหมดก่อน...ที่เหลือก็เหลือแต่แปลงเล็ก ๆ”


“....แล้วตั้งงบประมาณสำหรับบ้านเอาไว้เท่าไหร่ล่ะครับ?”


เจอคำถามนี้ แม่ก็สะดุดกึกอีก....แอบกลืนน้ำลายลงคอ แต่ก็ยังทำหน้านิ่งเฉยเข้าไว้ ไม่ให้มีหลุดได้


“ไอ้แปลงใหญ่ ๆ ส่วนมากก็ 5 ล้านอัพ...” เสียงเจ้าหน้าที่หนุ่มว่าต่ออย่างเยือกเย็น ขณะที่แม่รู้สึกว่า ตานั่นกำลังจับตาดูสีหน้าแม่อยู่แบบไม่คลาด แม่ก็เลยยิ่งต้องวางสีหน้าให้สงบเยือกเย็นไม่แพ้ตานั่น


“เอ่อ....ความจริงก็ไม่ถึง 5 ล้าน...” ....อยากจะบอกไปว่า ไม่มีเลยมากกว่า แต่แม่ก็พูดออกไปว่า


“สักประมาณ 3-4 ล้าน.....”


“3-4 ล้าน ก็จะมีแต่ที่แปลงเล็ก ๆ...” น้ำเสียงเจ้าหน้าที่หนุ่มดูเย็นชาในความรู้สึกของแม่ แต่ยังคงรักษามารยาทเอาไว้...คงเพราะถูกอบรมมาอย่างดีจากองค์กรใหญ่โต ภาพพจน์เยี่ยมของเขาเองละกระมัง!


“ว้า...แปลงเล็ก ๆ ก็ไม่ชอบ ....ส่วนแปลงใหญ่ ๆ เราก็คงสู้ราคาไม่ไหว” แม่ทำเสียงบ่น


“ครับ”


“........”



แม่ผลักประตูสำนักงานหมู่บ้านออกมาอีกครั้ง พอพุ่งรถออกไปจากโครงการหมู่บ้านนั้นได้ แม่ก็ร้องเสียงเปรย ๆ ขึ้นไปที่หลังรถ


“เจ้าหน้าที่หมู่บ้านนี่ เหมือนรู้ไต๋แม่....”


“รู้ไต๋ยังไงเหรอแม่...” ปูนร้องถามขึ้น ขณะที่ในปากมีลูกอมอยู่


“ก็โครงการก่อนหน้านี้ของเค้า ....เราแวะไปดูตั้งหลายที จำไม่ได้เหรอ...”


“จำไม่ได้หรอก...” ปูนส่ายหัว


“...ก็เป็นเจ้าหน้าที่คนนี้นี่แหละ...ที่แม่คุยด้วย แม่ยังแวะไปดูเองอีกตั้งหลายครั้ง ซักโน่นถามนี่เขาตั้งหลายอย่าง ...ให้ช่วยขับพาไปดูบ้านในโครงการด้วย ...แล้วท้ายสุดก็ไม่ได้ซื้อสักหลัง...” แม่ย้อนความหลังให้ฟัง


“พอมาโครงการนี้ ไม่คิดว่าจะเจอตานี่อีก... ดูซิ...ท่าทาง..เหมือนรู้ว่าแม่คงไม่ซื้ออีกงั้นแหละ!”


“ก็แม่ไม่ซื้อสักทีจริง ๆ นิ่” ปูนว่าขึ้น


“ก็....” แม่พูดต่อไม่ออก


“เฮ้อ....เมื่อไหร่แม่จะเลิกแวะดูหมู่บ้านซักทีน้า ....ดูไปก็ไม่ได้ซื้อ!” ปูนร้องออกมาในที่สุด




แม่เปิดฝากล่องที่ใส่กว่างของปั้นออกดู ....กว่างตัวน้อยสีดำมะเมื่อมเป็นมัน เกาะสงบนิ่งอยู่บนกล้วยน้ำว้าที่ดำช้ำไปหมดแล้ว ....มันเริ่มส่งกลิ่นเหม็นบูดออกมา มดหลายตัวกำลังไต่ขึ้นลงบนกล่อง แม่โยนกล้วยออกไปที่พุ่มไม้นอกระเบียง แล้วกลับเข้าไปหาผลไม้อย่างใหม่ให้มันในครัว วันนี้ไม่มีกล้วย ...แม่เลยหาอะไรที่มันพอจะกินได้บ้าง มีมะละกอเหลืออยู่ครึ่งลูกในตู้เย็น แม่จึงเอามาหั่นแบ่งให้เจ้ากว่างผู้แสนนิ่งเฉย


มะละกอสีส้มเจิดจ้าตัดกับปีกสีดำแข็งของมัน ตอนที่แม่จับเจ้ากว่างลงในกล่องอย่างเก่า มันยังคงสงบนิ่งอยู่เช่นนั้น ....แม่ชักสงสัยแบบที่ปูนพูดขึ้นมาเสียแล้วว่ามันจะเบื่อบ้างไหมหนอ วัน ๆ อยู่แต่ในกล่อง ไม่ได้ไปไหนเอาซะเลย ....ความจริง ปั้นเคยบอกว่าจะพาเจ้ากว่างไปเดินเล่นนอกบ้านอยู่เหมือนกัน แม่ออกไอเดียว่าให้เอาเชือกร้อยที่เขาของมัน กันมันบินหนี เหมือนเวลาที่เราจูงหมาไปเดิน ไม่รู้ว่าปั้นทำอย่างไรบ้าง เพราะแม่มัวแต่ยุ่งอยู่ในครัว...ความจริง ก็แค่ซอกเล็ก ๆ ที่กันเอาไว้ใช้เป็นที่เตรียมอาหารบนบ้านชั้นสองของเราเท่านั้นแหละ!


วันนั้น พอปั้นกลับจากโรงเรียน แม่ก็เรียกปั้นมาดูเจ้ากว่าง


“ปั้น....พักหลังนี้ ไม่เห็นได้สนใจเจ้ากว่างเหมือนตอนแรกเลยนะ” แม่บอก


“ก็....ปั้นลืมไปนิ่ ....การบ้านปั้นเยอะแยะ” หนุ่มน้อยอ้าง


“ถ้างั้น แม่ว่า...เราปล่อยมันไปดีมั้ย!”


หนุ่มน้อยชักสีหน้าขึ้นมานิดนึง “ปั้นอยากจะเลี้ยงมันนิ่”


“แต่แม่ว่า สงสารมันอ่ะ...มันคงเบื่อแล้วล่ะ อยู่แต่ในกล่อง วัน ๆ ไม่ได้ไปไหนเลย ....สัตว์พวกเนี้ย มันก็ต้องการอิสระ อยู่ตามธรรมชาติของมัน เหมือนคนเรานี่แหละ...”


“ง่า....”


“ลองคิดดู ถ้าใครจับปั้นไปขังไว้ที่ไหนนาน ๆ ปั้นจะเบื่อมั้ย! ....ดูสิ...ท่าทางมันไม่ค่อยมีแรงแล้วจริง ๆ ด้วย”


หนุ่มน้อยเริ่มมีสีหน้าอ่อนลง แต่ยังคงลังเลอยู่ แม่เลยพูดต่อ


“เอาไว้...ถ้าปั้นเจอด้วงกว่างอีก แม่สัญญาว่าจะให้ปั้นจับมันมาเลี้ยงดูได้อีก แต่เลี้ยงไปพักนึงแล้ว ก็ต้องปล่อยมันให้อยู่ตามธรรมชาติของมันอย่างเก่าอีกนั่นแหละ ไม่อย่างนั้น มันก็จะตาย ....กลายเป็นว่าเราจับมันมาทรมาน....”


ปั้นไม่ค่อยเต็มใจนัก แต่ท่าทางเห็นด้วยว่า ตัวเองเริ่มไม่ค่อยได้ดูแลมันเหมือนตอนที่จับมันมาได้ใหม่ ๆ ....ปั้นเริ่มสนใจมันน้อยลงแล้ว...


เจ้าด้วงกว่างตัวน้อยของปั้น ถูกปล่อยเอาไว้แถว ๆ โคนต้นมะพร้าว ใกล้กับพงหญ้ารก ๆ ข้างบ้านอย่างเก่า วันดีคืนดี ปั้นหวังว่ามันจะเดินกลับมาหาปั้นอีก


....ปั้นคอยถามแม่อยู่บ่อย ๆ ว่า อีกนานแค่ไหน มันถึงจะคลานต้วมเตี้ยม ๆ กลับมาหาปั้น ....แม่บอกว่า... ‘บางที...มันอาจจะบินไปไกลเลยก็ได้ ....ถ้าเกิดว่ามันไม่ได้เดินต้วมเตี้ยม ๆ กลับมาหาปั้นอีก....’





***ตีพิมพ์ใน 'เนชั่นสุดสัปดาห์' ฉบับวันที่ 29 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2551 และฉบับวันที่ 7 มีนาคม พ.ศ.2551




 

Create Date : 08 กรกฎาคม 2551    
Last Update : 9 กรกฎาคม 2551 0:27:20 น.
Counter : 2740 Pageviews.  

~*~*~คลาสโยคะ กับหนังเกาหลีเรื่องนั้น~*~*~

*คลาสโยคะ กับหนังเกาหลีเรื่องนั้น*


โดย นาริน คัมภีร์ศีล





ทุกวันในคลาสเรียนโยคะ ฉันจะมีที่ประจำของตัวเอง เป็นที่ที่ดีที่สุดสำหรับฉัน....อยู่ตรงกลางห้อง และมองตรงออกไปที่นอกหน้าต่าง จะเห็นยอดเจดีย์ของวัดแห่งหนึ่งเหลืองอร่ามห่างออกไป ทำให้ฉันรู้สึกสงบ และมีสมาธิทุกครั้งที่เล่น


วันหนึ่ง มีนักเรียนโยคะคนใหม่เข้ามา และเธอก็เข้ามาแทนที่ประจำของฉัน วันนั้น ฉันจึงต้องหามุมเหมาะ ๆ ใหม่ แต่ความรู้สึกของฉันเองก็คือ ยังชอบที่ประจำที่เดิมที่สุด มันเป็นมุมที่ดีที่สุดสำหรับตัวเอง ก็เลยรู้สึกหงุดหงิดที่ถูกแย่งที่ที่ดีที่สุดตรงนั้นไป


หลังจากคลาสโยคะวันนั้น ฉันกลับมานั่งคิดว่า...หรือจะเลิกเรียนที่นี่ ไปหาที่เรียนใหม่ ...เริ่มต้นที่ใหม่อาจจะดีกว่า ได้เลือกที่ประจำใหม่ซึ่งอาจจะดีกว่าเดิม ....เหมือนทุก ๆ ครั้ง เวลาทำอะไรแล้วรู้สึกไม่ได้ดีดังใจ หรือเมื่อรู้สึกว่า มีคนเก่งกว่า เขาทำได้ดีกว่า ฉันก็จะล่าถอยออกมา แล้วก็ยอมอยู่ในมุมข้างหลังสุดเงียบ ๆ มองดูคนอื่นก้าวเดินไปข้างหน้าด้วยความสำเร็จต่อไป ขณะที่ฉันเหนื่อยเกินกว่าจะออกไปฟาดฟันกับใครอื่น ๆ เขา


แต่พอกลับมาคิดอีกที ....คลาสเรียนโยคะเล็ก ๆ แห่งนี้ อาจจะสอนอะไรอย่างอื่นฉันอีกก็ได้ นอกเหนือจากสอนเรื่องโยคะ




ฉันอาจจะมาให้เช้าขึ้นกว่าเก่า เพื่อจะได้จับจองที่ที่ดีที่สุดของตัวเองกลับคืนมา แล้วก็มีความสุขกับการเล่นโยคะต่อไป ขณะเดียวกัน ฉันก็คงรู้สึกเหนื่อย และกดดันที่ต้องแข่งขันกับเขาว่าใครจะมาเช้ากว่ากัน เพื่อให้ได้ที่ที่ดีตรงนั้น


ถ้าวันไหน ไม่ได้ที่ตรงนั้น ฉันคงหงุดหงิด แล้วก็เล่นไม่ออกอีกเหมือนเดิมล่ะหรือ!


หรือว่า ฉันจะยอมปรับตัวปรับใจ ....แค่ยอมรับว่า บางครั้ง ชีวิตมันก็ไม่จำเป็นต้องอยู่ในที่ที่ดีที่สุดเสมอไป แต่เราก็สามารถสร้างสิ่งที่ดี ๆ ได้จากข้างในตัวเราเอง เราลองเอาตัวเองเป็นที่ตั้ง มองจากข้างในตัวเองออกมา แล้วก็สร้างภายในเราให้ดี เพื่อรองรับกับศักยภาพของเราเอง มิใช่รอให้สภาพแวดล้อมภายนอก เป็นตัวกำหนดคุณค่าของเรา


หากบางวันที่ฉันไปช้า แล้วถูกแย่งพื้นที่ที่ดีที่สุดไป ฉันก็สามารถเล่นโยคะต่อไปได้ดี ไม่ว่าอยู่ตรงที่ไหน ๆ ขอให้ใจฉันเป็นใหญ่กว่าที่ตั้งภายนอก ขอให้เริ่มจากข้างในใจเรา


เหมือนกับทุก ๆ เรื่องในชีวิตของฉันเอง เวลาที่เราคาดหวังอะไรมากเกินไป ถ้าหากไม่เป็นดังหวัง เรามักท้อแท้ บางครั้งเป็นหนักมาก รับไม่ได้ ก็เลิกทำสิ่งนั้นไปเลย ทั้ง ๆ ที่บางที มันก็แค่...ถ้าเรายอมเผื่อใจ ให้แก่สิ่งที่ไม่อาจคาดเดาได้ ...ความไม่แน่นอนทั้งหลายทั้งปวง ทว่าเราก็ยังคงตั้งมั่นทำในสิ่งที่เรารักต่อไป โดยไม่หวังผลจากคนอื่นเต็มร้อย ทำไมเราไม่คิดว่า เราได้ทำอย่างที่เราต้องการแล้วอย่างไรเล่า และเราก็จะทำให้ดีที่สุดในหนทางของเรา ...คนอื่นเป็นเพียงปัจจัยภายนอกเท่านั้น


เหมือนอย่างการที่ฉันพยายามเป็นนักเขียนให้ได้ วาดภาพไว้สวยหรูดูดีว่า ตัวเองน่าจะดำรงชีพอยู่ได้ด้วยการเขียน ...ก็แค่เขียน แล้วก็ส่งเรื่องไปให้สำนักพิมพ์ เขาตีพิมพ์ให้ปีละสักสองเรื่อง เงินทองก็มากองอยู่ตรงหน้า เอาเข้าจริง ๆ ทุกอย่างยังมีปัจจัยเงื่อนไขอื่น ๆ อีก ที่ฉันควบคุมไม่ได้...สำนักพิมพ์ไม่ได้พิมพ์เรื่องให้ปีละสองเรื่องอย่างที่หวัง เพราะเราไม่ใช่นักเขียนเบสต์เซลเลอร์ ที่เขาจะขยันตีพิมพ์ให้, ค่าเรื่องกว่าจะได้สักทีก็ทวงแล้วทวงอีก จนข้ามไปอีกปีโน่น...


เหนื่อยแทบหมดแรง...พลังงานสูญเสียไปกับเรื่องไม่เป็นเรื่อง!!


แล้วฉันจะละทิ้งความฝัน เลิกเขียนหนังสือไปเลยดีมั้ย! แต่มานั่งคิดว่า ตัวเองถอยไม่ได้แล้ว....เขียนไปอย่างที่ตัวเองอยากเขียน เพราะว่าอะไร...ก็เพราะตัวเองมีความสุขที่จะได้นั่งลง แล้วก็สร้างโลกส่วนตัว ซึ่งทุกอย่าง ฉันสามารถบรรจงสรรค์สร้างให้เป็นอย่างไรก็ได้ อย่างที่ใจหวัง...มิใช่หรือ!


แต่อย่าไปหวังว่าจะอยู่ได้ด้วยอาชีพนี้...สำหรับตัวเองตอนนี้น่ะนะ ขอแค่เป็นพื้นที่ส่วนตัวเล็ก ๆ ....มีคนไม่น้อยที่ต้องปล่อยให้ไฟในการสร้างสรรค์ของตัวมอดดับ เพียงเพราะยอมให้กฎเกณฑ์ภายนอก เช่น สภาพแวดล้อม (เหมือนอย่างคลาสโยคะของฉัน), คำสรรเสริญเยินยอหรือจะเป็นคำวิจารณ์ติเตียนจากผู้อื่น หรือว่าจะเป็นความจำเป็นในการดำรงชีพ (อันนี้ก็จำเป็น...แต่เราต้องมีวิธีการรอมชอม หรือหาสัดส่วนที่เหมาะสมสำหรับตัวเอง) ฯลฯ มาเป็นตัวกำหนดตัวเรา มากกว่าจะยอมทำตามไฟในหัวใจ




ฉันเองก็เคยอยากจะยอมแพ้หลายครั้งเหมือนกัน ล่าสุดเมื่อเข้าไปโพสต์เรื่องในเว็บไซต์แห่งหนึ่ง ปรากฎว่าไม่มีคนอ่านเลย! พูดอย่างแย่ที่สุดอ่ะนะ...ความจริงก็พอจะมีคนโพสต์เข้ามาแสดงความคิดเห็นบ้าง ครั้งละ 2-3 คน บางวันแย่หน่อยในความรู้สึกก็คือ ไม่มีใครเลย ...อาจจะมีคนคลิกเข้ามาอ่านบ้าง แต่ไม่ได้ติดใจมากมาย ถึงขนาดมาโพสต์แสดงความคิดเห็น


....แล้วความคิดตัวเองก็ปรุงแต่งไปต่าง ๆ นานา หรือว่าเราเขียนห่วยวะ หรือว่าพล็อตเรื่องไม่สนุก ฝีมือไม่ถึง...


จะเลิกเขียนเลยดีมั้ย แล้วหันไปทำอย่างอื่นซะ เก็บอาชีพเขียนหนังสือใส่ลิ้นชัก แล้วก็ล็อกกุญแจเอาไว้ ไม่ต้องไปสนกับมันอีกเลย ไม่มีวันเป็นไปได้ ไปหากินอย่างอื่นซะเหอะ เธอเอาดีทางนี้ไม่ได้หรอก เธอต้องแข่งกับคนอื่น ๆ มันเหนื่อยเหลือเกิน นักเขียนยั้วเยี้ยเยอะแยะเต็มประเทศไปหมด เด็กรุ่นใหม่เก่ง ๆ เยอะแยะ กำลังจะวิ่งแซงหน้าเธอ เธอไม่มีวันเก่งสู้พวกเขาได้


.....แล้วก็เหมือนเรื่องอื่น ๆ ที่ฉันจะล่าถอย ยอมแพ้...ฉากไปอยู่ข้างหลังสุด แล้วก็มองคนอื่น ๆ ก้าวเดินต่อไปข้างหน้า ขณะที่ค่อย ๆ ปล่อยให้ไฟในตัวเองมอดดับไป


แต่ถ้าฉันคิดว่า ฉันอยากเขียน...เพราะว่าฉันอยากจะเขียน พอนั่งลงบนโต๊ะ ข้างหน้าเป็นกระดาษกับปากกา ปล่อยใจให้ว่างเปล่า แล้วก็เพลิดเพลินไปกับตัวหนังสือที่รังสรรค์จินตนาการขึ้นเองตรงหน้า ปราศจากความกลัว ความกดดัน การแก่งแย่งแข่งขัน

.....................


วันหยุดวันหนึ่ง บังเอิญโปรแกรมหนังที่อยากดูยังไม่เข้า ฉันเลยเข้าไปดูหนังเกาหลีอีกเรื่องหนึ่งแทน หนังมีเค้าโครงเรื่องมาจากการ์ตูนญี่ปุ่นยอดนิยม คิดว่าคงพอดูได้ ขำ ๆ อย่างน้อยก็ช่วยผ่อนคลายอารมณ์ในวันหยุดได้บ้างละน่า


ทว่าผิดคาด...หนังที่เอามาจากการ์ตูนญี่ปุ่นเนี่ยนะ ที่สอนปรัชญาชีวิตเล็ก ๆ ให้กับฉัน ...ทำให้รู้สึกตัวเองโง่ไปเลยด้วยซ้ำว่าเคยมองข้ามคนเขียนการ์ตูนสำหรับเด็ก แท้จริงแล้ว บางเรื่องยังคิดอะไรได้ลึกซึ้งกว่าคนเขียนนิยายที่ใช้ภาษาสละสลวยเลิศหรูเสียอีก (อันนี้ก็ต้องยกความดีความชอบให้คนทำหนังด้วยที่ถ่ายทอดออกมาได้ดีเช่นกัน)


หนังเป็นเรื่องของผู้หญิงตัวอ้วน ๆ หน้าตาขี้ริ้วขี้เหร่คนหนึ่ง ทว่ามีพรสวรรค์ในเรื่องของการร้องเพลง และด้วยเสียงอันไพเราะ ทำให้เธอมีอาชีพเป็นนักร้องเงา...ร้องเพลงอยู่เบื้องหลังนักร้องชื่อดังคนหนึ่ง ซึ่งแค่ทำท่าลิปซิงค์ตามอยู่หน้าเวที นางเอกของเรายังมีอาชีพไซด์ไลน์เป็นสาว Sexphone อีกด้วย ให้ความสุขกับผู้อื่นได้ก็ด้วยเสียงของเธอ


ทว่าชีวิตของเธอดูเหมือนจะอยู่ได้ก็แค่ข้างหลังผู้อื่น ด้วยภาพลักษณ์อันอัปลักษณ์ของตน มีเพียงสิ่งเดียวที่ช่วยหล่อเลี้ยงความฝันของเธอตลอดมา นั่นก็คือพระเอก...โปรดิวเซอร์หนุ่มรูปหล่อของเธอ ที่เธอแอบหลงรักเขาอยู่ข้างเดียว และเขาก็แสดงท่าทีเป็นกันเองกับเธอเสมอมาเช่นกัน


ถึงจะปลอบใจตัวเองว่าที่เขาดีกับเธอ ก็เพราะเรื่องงานล้วน ๆ เท่านั้น แต่เมื่อแอบได้ยินคำพูดสบประมาทจากปากของเขา ในงานเลี้ยงวันเกิดของเขาเองว่า ทุกอย่างที่เขาทำดีกับเธอก็เพียงเพื่อใช้ประโยชน์จากเธอเท่านั้น เธอก็รู้สึกผิดหวังอย่างแรง จนคิดจะฆ่าตัวตาย แต่ก็เปลี่ยนใจ เมื่อบังเอิญอีกเหมือนกันที่ลูกค้า Sexphone ของเธอคนหนึ่งเป็นหมอศัลยกรรมพลาสติก...และนั่นก็คือคำตอบสุดท้ายของเธอ ที่จะก้าวเดินไปอยู่ข้างหน้าโดยไม่ต้องอายใครเขาอีก และที่สำคัญพิชิตใจชายหนุ่มคนที่เธอแอบหลงรัก


นางเอกของเรากลับมาใหม่ ในรูปโฉมโนมพรรณใหม่อันสุดแสนสะคราญ แถมยังเสียงดีของจริงไม่ต้องมีใครลิปซิงค์ให้ คราวนี้เธอได้กลายเป็นนักร้องดาวรุ่งพุ่งแรง ในสังกัดของบริษัทพระเอก ทว่ายิ่งเธอกำลังไล่ตามความฝันของตัวเองมากเท่าไร เธอก็กำลังวิ่งหนีความจริงเกี่ยวกับตัวเองมากขึ้นเท่านั้น เธอกำลังทอดทิ้งเพื่อนรักคนเก่า, พ่อผู้แก่ชรา และตัวตนเดิมของตัวเอง...




คลาสเรียนโยคะ ทำให้ฉันฉุกคิดได้ว่า...ฉันจะถอย หรือก้าวเดินต่อไปข้างหน้า..โดยอาศัยแรงขับเคลื่อนจากภายในตัวฉันเอง หาใช่ให้ปัจจัยภายนอกมาเป็นตัวตีกรอบ กำหนดกฎเกณฑ์เรา มิเช่นนั้นแล้ว ชีวิตเราก็จะมีแต่ถอยหนีไปเรื่อย ๆ


ในเวลาเดียวกับที่ได้ดูหนังเกาหลีเรื่องนั้นด้วย มันก็ได้ช่วยย้ำเตือนในสิ่งที่เรามักจะหลงลืมไป ก็คือ...นอกจากชีวิตคนเราต้องก้าวเดินไปข้างหน้าแล้ว เรายังต้องลุกขึ้น เผชิญหน้ากับความเป็นจริงด้วย...ยอมรับ..ในสิ่งที่เกิดขึ้น ไม่ว่าจะดีหรือร้าย...


....แล้วก็ต้องสู้ด้วยศักดิ์ศรีของเราเอง เราจึงจะมีชีวิตอย่างมีเกียรติและภาคภูมิ.






เครดิตภาพ **www.paperandthreads.com


**ตีพิมพ์ในเนชั่นสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 16 พฤศจิกายน พ.ศ. 2550







 

Create Date : 08 กรกฎาคม 2551    
Last Update : 9 กรกฎาคม 2551 0:23:42 น.
Counter : 1348 Pageviews.  

✿✿ ดอกไม้ และก้อนอิฐ จากโลกไซเบอร์ ●•٠·˙

โดย นาริน คัมภีร์ศีล

ตีพิมพ์ในเนชั่นสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 16 พฤษภาคม 2551






แววนั่งลงที่หน้าจอคอมพิวเตอร์ มีเวลาอีกนิดหน่อย..ไม่ถึงครึ่งชั่วโมง ก่อนจะพาลูก ๆ ไปว่ายน้ำ เอาล่ะ...แค่นิดหน่อยก็ยังดี วันนี้ยังไม่ได้ทำงานเลยสักแอะ ลูกปิดเทอมทีก็มัวแต่วุ่นวายกับภารกิจในบ้าน ไหนจะหุงหาอาหาร จัดการกับเสื้อผ้า บ้านช่อง....


ขอเวลาแค่นิดหน่อย ทำงานส่วนตัว ....งานส่วนใหญ่ของแววจะอยู่ที่หน้าคอมพ์ แต่วันนี้เวลาน้อยคงไม่ทัน ขอพิมพ์อะไรเล่น ๆ หน่อยก็ยังดี แววนึกอยากตั้งกระทู้...เธอยังไม่เคยลองเข้าไปตั้งกระทู้จริง ๆ จัง ๆ ในเน็ตสักที ที่ผ่านมา เธอเคยใช้แต่บัตรผ่าน เข้าไปตั้งกระทู้จิ๊บ ๆ จ้อย ๆ แต่คราวนี้เธอมีคำถามเด็ดอยู่ในหัว และมั่นใจที่จะใช้ชื่อสมาชิก แน่นอนว่ามันบอกตัวตนที่ชัดเจนขึ้น มันระบุเข้ามายังตัวตนจริง ๆ ของเธอได้ หากต้องการน่ะนะ!


แววเคยนึกชมคนที่เข้าไปตั้งกระทู้ดี ๆ และพลอยมีคนเข้าไปคอมเม้นท์ชื่นชมเสียยาวยืดหลายร้อยอัน คนที่กล้าแสดงตัวแบบนั้น ถือว่าเก่งกล้าจริง ๆ ล่ะในความคิดของแวว เก่ง...ที่สามารถเขียนแสดงความคิดเห็นตัวเองออกมาให้คนเชื่อมั่นคล้อยตามได้ กล้า...ที่จะเผยตัวตนของตัวผ่าน ‘ชื่อสมาชิก’ ออกมาเป็นตัวหนังสือสู่โลกไซเบอร์ ซึ่งแม้นจะถือว่าก้าวออกมาแค่ ‘ครึ่งก้าว’ สู่แสงไฟ แต่ก็ถือได้ล่ะว่ากล้าที่จะเอาตัวเข้ามาแลกกับความเสี่ยงว่าจะโดนด่า หรือชม โดยไม่อาจรู้ตัวได้ล่วงหน้า ทั้งหมดทั้งมวลนี้อยู่ตรงหน้าจอสี่เหลี่ยมแค่บังกรอบหน้าเรามิดเท่านั้น....


เอาล่ะ...แววเข้าไปในเว็บไซต์ยอดฮิตแห่งนั้น คลิ๊กเข้าไปที่หัวข้อ ‘ตั้งกระทู้ใหม่’


ประเด็นเด็ดของแวว ....ช่างสร้างสรรค์ ตรวจสอบมาตรฐานสังคมสุด ๆ ...สมาชิกในเว็บสมควรยกย่องประเด็นของแววว่าช่างตรงกับใจพวกเขา ทว่าไม่เคยมีใครหยิบยกขึ้นมาตั้งคำถามเสียที ...แววจะเป็นตัวแทนให้พวกเขา แววเป็นผู้กล้าบ้างล่ะ... แววต้องหัดกล้าแสดงความคิดของตัว ผ่านตัวตนในโลกไซเบอร์ซะบ้าง ถึงจะไปกล้าในชีวิตจริงได้...


เอ๊ะ! ชักคิดไปใหญ่ ก็แค่วันนึงให้ได้แตะคอมพ์สักนิด ไม่งั้นเหมือนว่ายังไม่ได้ทำอะไรเลยแค่นั้นแหละ... แววพยายามบอกตัวเองไม่ให้คิดเตลิด!!



‘ไม่เข้าใจ ...ทำไม GiG ถึงเอาดาราหนังติดเรทมาเล่นหนังให้วัยรุ่นดู ...เคยคิดถึงผลกระทบที่จะตามมามั้ย?’



นี่ละหัวข้อกระทู้ของแวว เนื้อหาข้างใน...แววเขียนว่า


‘คุณเป็นค่ายหนังในดวงใจ เป็นขวัญใจวัยรุ่น เป็นผู้ชี้นำ แต่คราวนี้คุณทำให้เราผิดหวัง คุณเคยคิดถึงเด็กวัยรุ่นยุคสื่อสารไร้พรมแดนบ้างมั้ยว่า หลังจากหนังจบ แต่เขาไม่จบ ...เขาจะต้องเข้าไปเสิร์ชหาประวัติเบื้องหลังดาราที่เขาชื่นชอบ...รวมถึงดารา ‘คนนั้น’ แล้วตอนนั้นอะไรจะเหลือล่ะ เด็ก ๆ มีวุฒิภาวะพอจะเข้าใจเรื่องอะไร ๆ แบบนั้นได้เองแล้วหรือคะ เด็กวัยนี้สมควรจะรับรู้เรื่องอะไรแบบนั้นแล้วหรือ??


ลูกดิฉันก็คอยดูหนังของคุณ คุณจะให้ดิฉันตอบลูก ๆ ว่ายังไง???’


โอ้! เยี่ยม ....


แววคลิ๊ก ‘ส่ง’ ได้เวลาพอดี ปิดคอมพ์ แล้วก็พาลูกออกไปว่ายน้ำ





เด็ก ๆ โผตัวลงในน้ำ แข่งกันว่าใครจะกลั้นลมหายใจในน้ำได้นานกว่ากัน พอหมดลมหายใจก็พากันโผขึ้นมา ว่ายข้ามจากฝั่งหนึ่งไปยังอีกฝั่งหนึ่ง มีผู้คนว่ายไปมาอยู่เต็มสระช่วงปิดเทอม ราวชั่วโมง แววก็เรียกลูก ๆ ให้ขึ้นจากสระ อาบน้ำเสร็จ ก็ออกมาสั่งข้าวกินที่ร้านอาหารของสโมสร


แววขับรถพาลูก ๆ กลับบ้าน หลังเสร็จกิจกรรมทั้งหมด ดีอย่าง..วันไหนที่พาไปว่ายน้ำก็ไม่ต้องเตรียมอาหารเย็น กลับมาก็ได้พักผ่อน ใครใคร่นอนดูทีวี.ก็ดู ใครใคร่นอนเล่น หรืออยากทำอะไรของตัวก็ทำไป ส่วนแววเปิดคอมพ์ นั่งลงมีปฏิสัมพันธ์กับจอสี่เหลี่ยมตรงหน้า อดไม่ได้ต้องคลิ๊กเข้าไปดูในเว็บไซต์ฮ็อตฮิตประจำของตัว


โน่น! กระทู้ของแวว ว้าว! คนเข้ามา 155 คอมเม้นท์ Oh! My Gosh.... ประวัติการณ์ ไม่น่าเชื่อ คนจะเข้ามาสนใจกระทู้ของแววมากมายมโหฬารแบบนี้ แววทำได้เหมือนกันหรือนี่! แววรู้สึกหัวใจเต้นตุ้ม ๆ ต่อม ๆ ผสมลุ้นระทึก ขณะกด ‘คลิ๊ก’ ที่หัวข้อกระทู้ของตัว


ใครเข้ามาคอมเม้นท์อะไรบ้างน้า....

‘โหย! เรื่องแค่นี้ต้องเข้ามาตั้งกระทู้ถาม...ประสาท!”

‘สอนลูกตัวเองไม่เป็นหรือไง ถึงต้องมาตั้งกระทู้ถามในนี้!!!’

‘เจ้าของกระทู้บ้าหรือดี!’

‘เป็นแม่ประสาอะไร แค่นี้สอนลูกไม่เป็น....’

‘อย่าเอาลูกมาอ้าง มันความคิดของตัวคุณเองชัด ๆ ตัวเองน่ะคิดไปก่อนแทนเด็ก รู้นะ ทำเป็นมือถือสากปากถือศีลไปได้..ดดด.....’

‘อย่าปิดกั้นลูกคุณนักเลย ....ยิ่งปิดกั้นมาก ลูกคุณจะเก็บกดรู้รึเปล่า ออกมาจากในกะลาได้แล้ว...?????’

‘ทำไม ดาราหนังเอ็กซ์ไม่ใช่คนหรือไง ถึงไม่ให้โอกาสเขา คนเคยผิดพลาด ต้องเหยียบย่ำให้จมดินไม่ได้ผุดได้เกิดเลยใช่มั้ย!!’

‘สมัยนี้ ถึงไม่ดูตรงนี้ เขาก็ไปหาดูที่อื่นที่ไหนก็มี คลิปหลุดหาง่ายหยั่งกะซื้อทิชชู่ จะปิดกั้นเด็ก ๆ ไปถึงไหนนนนน...’

‘เป็นแม่แบบนี้ น่าสงสารลูก’






โฮ...ฮฮฮฮฮฮฮ......


น้ำตาแววไหลร่วงลงมาทันทีตรงหน้าจอ ...ร้อยกว่าคอมเม้นท์ มีแต่คำตำหนิต่อว่า ดูหมิ่น เหยียดหยาม ด้วยคำพูดกราดเกรี้ยว ก้าวร้าว ทำร้ายจิตใจสุด ๆ มันมีมากกว่านั้นอีก แต่แววรีบมองข้าม หรือพยายามทำเป็นไม่สน ทั้ง ๆ ที่เห็นอยู่ว่าโหดร้ายรุนแรง ทำร้ายความรู้สึกขนาดไหน



มีคนเห็นด้วย แต่...โถ...นับหัวได้ สัก 2-3 อันเองมั้ง จากร้อยกว่าคอมเม้นท์เนี่ยนะ!


เกิดอะไรขึ้น แถมคนที่เข้ามาเห็นด้วย ก็แค่ตอบสั้น ๆ ‘เห็นด้วย’ ‘เข้าใจ’ แค่นั้น ...ไม่กล้าเขียนอะไรมากไปกว่านั้น ถ้าไม่เพราะเขียนแสดงความเห็นไม่เป็น ก็เพราะ Play save...กลัว ไม่กล้ารับผลที่จะตามมา ....ทำไม ทำไมๆๆๆ ทำไมไม่ช่วยกันล่ะ ปกป้องกันบ้าง แววนึกโกรธ ทั้ง ๆ ที่มันไม่ใช่ความผิดของพวกเขา แต่แววก็คาดหวัง


มีสิ...คนนี้ไง เขียนยาว ๆ ตรงกับใจแวว เข้าใจประเด็นที่แววต้องการสื่อ แต่จะมีประโยชน์อะไร...ความจริงก็ช่วยให้แววรู้สึกดีขึ้นน่ะนะที่มีแนวร่วมกับเขา แต่มันช่วยได้แค่ไหนกันเชียวเมื่อเทียบกับ...ดูสิ...แป๊บเดียว คอมเม้นท์ขึ้นพรวด 180...200...250 .....อย่างรวดเร็ว


‘เลี้ยงลูกไม่เป็นหรือไง ถึงต้องตั้งกระทู้โทษโน่นโทษนี่...โทษสื่อ...เฮอะ! น่าสมเพช’

‘สังคมไทยดัดจริตขึ้นทุกวัน’

‘ดาราหนังเอ็กซ์ไม่ต้องทำมาหากินหรือไง แล้วทำไมถ้าเขาจะออกมาเล่นหนังปรกติ มันผิดนักหรือไง’

‘เจ้าของกระทู้หายหัวไปไหนล่ะ!’

‘ต้องให้อรหันต์โสดาบันมาเล่นหนังให้ลูกคุณดูหรือไงคุณแม่!!’

‘เป็นไง สองร้อยกว่าเม้นท์แล้ว ได้คำตอบไปสอนลูกคุณรึยัง!!”

‘อย่าลืมพรินต์พวกนี้เก็บไปให้ลูกอ่านด้วยนะคุณแม่’

ฯลฯ



น้ำตาหยดแหมะลงบนโต๊ะ ....แววปิดปาก สะอื้น!!


โหดร้าย! ทั้ง ๆ ที่ไม่เคยเห็นหน้าค่าตากันแม้นแต่นิด ทว่าตัวหนังสือที่เรียงพรืดพราดออกมาแค่นั้น กลับทำร้ายความรู้สึกของคนคนหนึ่งได้อย่างแสนสาหัสไม่น่าเชื่อ!!



แววเลิ่กลั่ก ลุกลน ทำอะไรไม่ถูก อยากจะเข้าไปโต้ตอบแรง ๆ กลับบ้าง อยากด่า อยากตะโกน ...ทว่า ที่อยากทำมากที่สุดตอนนี้ก็คือ มุดลงไปในดิน แล้วหายหัวไปจากโลกนี้เลย!


ชื่อสมาชิกที่เอาเข้าแลก...ตัวตนที่เผยออกมา...แม้นจะก้าวออกไปแค่ ‘ครึ่งก้าว’ ก็เหอะ แล้วยังไงล่ะ...ง่ายนิดเดียว ถ้าอยากจะรู้ว่าใคร ยุคไซเบอร์แบบนี้ ...ขายหน้าประชาชีพอ ๆ กับไปเดินตลาดแล้วถูกเขาเอาเปลือกทุเรียนเขวี้ยงใส่


แววจำได้ นักพูดตลกชื่อดังคนหนึ่ง ถึงกับเคยพูดเอาไว้ว่า ‘บอร์ดในเว็บฯ ก็เหมือนกับห้องส้วมสาธารณะ คนมาปล่อย ๆ เสร็จแล้วก็ไป ไม่สนหรอกว่าตัวเองจะทำเลอะเอาไว้แค่ไหน!’


เห็นจะจริง!


แววเริ่มตั้งสติ...เคยอ่านมาบ้าง เวลาคนที่โต้กันไปโต้กันมาด้วยอารมณ์ในเว็บบอร์ด ไม่เกิดประโยชน์อันใด โต้ยังไงก็ไม่มีสิ้นสุด มีแต่จะโกรธขึ้น ๆ ..หาข้อสรุปไม่ได้ ในเมื่อต่างคนต่างบรรทัดฐาน...กูจะเอาความคิดกูเป็นใหญ่ใครจะทำไม ใครไม่เห็นด้วยก็ด่าซะให้เละ ไม่เห็นหน้ากันด้วยนี่ ยิ่งถ้ามีแนวร่วมเห็นไปทางเดียวกันมาก ๆ ยิ่งฮึกเหิม มีกำลังใจ...พวกเยอะซะอย่าง ใส่ไม่ยั้ง!!





กระทู้ของแวววิ่งพรวด คอมเม้นท์เกินกว่า 300 เข้าไปแล้ว แววใจสั่นไปหมด ถ้า 300 กว่า..แบบมีแต่ดอกไม้ยื่นเข้ามาให้คงดี แต่นี่มีแต่ก้อนอิฐปาเข้าใส่ น่าขายหน้า ทุเรศทุรังที่สุด


...มีคนแตกกระทู้ไปจากของแววแล้ว เป็นสมาชิกคนดังของเว็บ...ชายหนุ่มผู้มากด้วยคุณวุฒิ สุขุมนุ่มลึก มีสติ และชัดเจนในทุกถ้อยภาษาที่เขาถ่ายทอดออกมา


แววบอกทันทีว่านี่แหละ คือสิ่งที่แววต้องการจะสื่อ...ไม่ใช่ก็ใกล้เคียงล่ะน่า อือม..แล้วทำไมแววถึงทำไม่ได้แบบเขาล่ะ ทำไมแววถึงเขียนไม่เก่งแบบเขา... ที่เขียนไม่เก่งมาจากอะไรล่ะ ...ก็มาจากคิดวิเคราะห์ไม่เป็น ถึงเขียนกระทู้ออกมาได้ห่วยแตก ไม่ถูกใจใครสักคน จนถูกประณามออนไลน์ไปทั้งประเทศแบบนี้ ...คนทั้งประเทศได้รู้หมดว่าแววเป็นแม่ที่ห่วยแตก โง่เง่า ประสาท วิตกจริต...ผ่านเว็บไซต์ที่ออนไลน์ไปทั่วทั้งประเทศ


แววกลัวสุดขีดว่ามันจะขึ้นกระทู้แนะนำ ...แนะนำว่าฉันเป็นคุณแม่ห่วยแตกให้ทั้งประเทศรู้นะเหรอ! ...แววนึกถึงภาพเพื่อน ๆ คนรู้จัก รุ่นน้อง รุ่นเด็กที่เข้ามาเล่นเว็บนี้หลายคน แล้วก็ได้เห็นกันล่ะว่าแววถูกด่าว่าสาดเสียเทเสียแบบนี้ ทำให้แววอายสุดขีด แทบบ้า อยากหายตัวไปจากโลกนี้ทันใด ....แต่มันทำไม่ได้!


หาทางออกที่ใกล้ที่สุด ....แววเข้าไปที่ปุ่มตัวเลือก ‘หลังไมค์’ การสื่อสารระหว่างสมาชิกที่คนภายนอกไม่เห็น แววคลิ๊ก...แล้วก็พิมพ์ชื่อชายหนุ่มคนนั้น ...คนที่แตกกระทู้ของแววออกไป


‘...ทำไมมันโหดร้ายแบบนี้ ทั้ง ๆ ที่ไม่เคยเห็นหน้า ไม่รู้จักกัน ทำไมต้องด่าว่ากันรุนแรงแบบนั้น มันเกิดอะไรขึ้น ฉันไม่เข้าใจคนพวกนี้ คุณว่าฉันควรทำอย่างไรดี...’ แววระบายข้อความสั้น ๆ อย่างรวดเร็ว...แววแค่ต้องการระบายเท่านั้น


กลับไปที่กระทู้ของตัวเอง มันยังวิ่งไม่หยุด ....แน่นอน ล้วนเป็นอิฐก้อนโต ๆ ที่พุ่งเข้าใส่แววมากกว่าจะเป็นดอกไม้แสนสวย แววคลิ๊กกลับไปกลับมาระหว่างกระทู้ของแวว กับชายหนุ่มผู้นั้น....ของชายหนุ่มมีแต่คนชื่นชมสรรเสริญ ทั้ง ๆ ที่เขียนในประเด็นเดียวกัน..ทว่าด้วยชั้นเชิง ความชัดเจนในภาษาเนื้อหาที่สื่อสาร.... และสติ...แววบอกได้เลย แววนึกตำหนิตัวเองที่โง่ ไม่รู้จักคิดก่อนเขียนให้ดีกว่านั้น


ไฟ ‘หลังไมค์’ กระพริบ มีข้อความกลับมาแล้วทันใจเช่นกัน ชายหนุ่มตอบกลับมาว่า


‘กระทู้ของคุณไม่ใช่ปัญหาครับ กระทู้แรง ๆ กว่านี้มีบ่อยไป ปัญหาคือ บ่อยครั้งที่เราปล่อยให้โลกไซเบอร์มามีอิทธิพลในโลกจริงของเรามากจนเราเครียด

ในเน็ตร้อยพ่อพันแม่ มีตั้งแต่เด็กแว๊นท์ยังโปรเฟสเซอร์ ดังนั้นย่อมมีคนไม่เห็นด้วย และมาแนวแบบแรง ๆ ครับ ผมจึงเสนอว่า ถ้ามั่นใจในความเห็น และไม่ได้ดูหมิ่นหรือแขวะใคร ตั้งไปเถอะครับ แต่ก็ต้องเตรียมยอมรับความเห็นที่แตกต่าง

กระทู้ที่ตั้งมา ผมคิดว่าเป็นประโยชน์นะครับ และสะท้อนความรักความห่วงใยของคนเป็นแม่ได้ดีออก...’



โอ...ขอบคุณ...ขอบคุณ ...แววรู้สึกดีขึ้นอย่างประหลาด หายงุ่มง่าม แววเริ่มลุกขึ้นจากหน้าจอ เดินไปที่ครัวเปลี่ยนบรรยากาศ รินน้ำใส่แก้วยกขึ้นดื่ม ....ยอมรับความเห็นที่ต่าง อือม...ใช่..


แต่...พุทโธ่เอ้ย..มีแต่คำก่นด่าประณาม ย่ำยีบีฑาความเป็นแม่ของแววนี่นะเรอะ..ความเห็นที่ต่าง ใครจะทนได้ ไม่ใช่พระอิฐพระปูนนะ!


แววเริ่มงุ่มง่ามกลับไปที่หน้าจอใหม่


‘...รับไม่ได้ ทำใจไม่ได้... ความเห็นที่ต่างนะเรอะ ...มีแต่คำเหยียดหยาม ดูหมิ่นดูแคลนความเป็นแม่ มันสุดจะทน คุณช่วยกดลบกระทู้ให้ฉันทีเถิด ...เหลือแค่กระทู้ของคุณคนเดียวก็พอ’ แววคลิ๊กส่งกลับไปหาชายหนุ่มใหม่


คราวนี้ แววเริ่มหารายชื่อแนวร่วมแบบลนลานเลยทีเดียว


นี่ไง! คนแรกที่เข้ามาเห็นด้วยแบบยาว ๆ แถมยังช่วยแก้ต่างให้แววหลายครั้ง แววเข้าไปที่ ‘หลังไมค์’ พิมพ์ข้อความถึงเธอคนนั้นให้ช่วยกดลบกระทู้ให้แววที โดยให้เหตุผลที่สำคัญว่า มันมากเกินไปที่มาดูหมิ่นย่ำยีความเป็นแม่ แล้วก็คนที่สอง...สาม...สี่... พุธโธ่! คอมเม้นท์เข้ามาตั้งหลายร้อยอัน หาแนวร่วมนับคนได้...น่าสงสารจริงยายแวว!


นั่น...คนที่สองตอบกลับมาแล้วว่าช่วยกดลบให้แววแล้ว ส่วนชายหนุ่มคนแรกไม่ได้ตอบกลับมาอีก แววเดาเอาว่าเขาคงไม่ได้อยู่หน้าจอแล้ว หรือไม่ก็อาจจะเห็นข้อความแล้ว แต่ขี้เกียจยุ่งมาช่วยกดบ้าบอให้แววอีก...ตามแต่ที่แววจะคิดปรุงแต่งไป


คนที่สาม ตอบกลับเข้ามาในอีกชั่วโมงต่อมา ตอนนั้น ลูก ๆ เข้านอนกันหมดแล้ว เหลือแววนั่งหลังขดหลังแข็งอยู่ที่หน้าจอตามลำพัง


แววคลิ๊ก ‘หลังไมค์’ ตอบกลับไปขอบคุณคนทั้งสอง ...อย่างน้อย ท่ามกลางทะเลทรายอันแห้งแล้งกันดาร ก็ยังมีหยาดน้ำใสเย็นมาชโลมใจบ้าง แม้นเพียงหยดสองหยด ...ท่ามกลางความโหดร้ายในโลกไซเบอร์ ก็ยังมีมิตรภาพและน้ำใจหลงเหลือให้กันอยู่


‘อย่าคิดมากเลยค่ะ ทำใจให้ร่าเริงไว้ อย่างน้อย ดิฉันก็คิดว่าลูก ๆ คุณโชคดีที่มีแม่เอาใจใส่และเป็นห่วงพวกเขาในเรื่องละเอียดอ่อนที่หลายคนมองข้าม’


‘เสียใจด้วยค่ะ ที่เกิดเหตุการณ์นี้กับคุณ ฉันเองก็ไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้นกับสังคม ยังไงก็แล้วแต่ ฉันคิดว่าคุณเป็นแม่ที่น่ารักคนหนึ่งค่ะที่ใส่ใจสิ่งที่จะเข้ามาถึงพวกเขา’



....น้ำทิพย์หยดเล็ก ๆ สองสามหยดที่ช่วยชโลมใจแวว พร้อม ๆ กับหยาดน้ำตาของแววที่ไหลรินลงไปบนโต๊ะหน้าคอมพ์


ไม่มีคนที่สาม ตามกฎต้อง 3 คนข้างนอกขึ้นไปมากดลบกระทู้ กระทู้นั้นถึงจะถูกยกออก ...ช่างมัน!


แววปิดเครื่อง หมดแรง ....คืนนั้น แววพลิกตัวกระสับกระส่ายไปมาทั้งคืน ...โลกไซเบอร์ถูกปิดสวิทช์ตัดขาดไปจากแววแล้ว ทว่าความรู้สึกโหดร้ายเกรี้ยวกราดยังตามมาหลอกหลอนวนเวียนอยู่ในสมองแววตลอดเวลา...


โลกจำลองหน้าจอสี่เหลี่ยมเล็ก ๆ ที่ผู้คนนับแสนนับล้านเข้าไปโลดแล่นผ่านตัวหนังสือ จะเป็นตัวตนที่แท้จริงบ้าง สร้างภาพบ้าง ก็แล้วแต่ ...แต่บอกได้เลยว่า โหดร้ายไม่ต่างจากโลกที่แท้จริงข้างนอก


แววบอกตัวเองไม่ได้ว่า...อีกนานแค่ไหนกว่าแววจะกล้ากลับเข้าไปในดินแดนนั้นได้อีก ดินแดนในจอสี่เหลี่ยมที่ผู้คนใช้ตัวหนังสือ ทักทาย..ผูกมิตรไมตรี...ศึกษาเรียนรู้ ...และทำร้ายกัน....






 

Create Date : 25 พฤษภาคม 2551    
Last Update : 26 พฤษภาคม 2551 0:40:26 น.
Counter : 3245 Pageviews.  

เก็บบทวิจารณ์มาจากในพันทิพ/ถนนนักเขียน (เอาไว้ดูเองเป็นกำลังใจ & เตือนใจ...แต่ใครจะอ่านด้วยก็ได้นะ)

'คลาสโยคะ กับหนังเกาหลีเรื่องนั้น'


ความคิดเห็นที่ 3

ชอบค่ะ รู้สึกเหมือนตัวเองยังไงไม่รู้ค่ะ

จากคุณ : ดาด๊าดา - [ 21 มี.ค. 51 08:57:00 ]



ความคิดเห็นที่ 4

เนื้อเรื่องดี มีใครบางคนบอกว่า นักเขียนแค่ได้รู้ว่ามีคนหนึ่งคนอ่าเรื่องของเราอยู่ ก็รู้สึกดีใจอย่างบอกไม่ถูกแล้ว บางทีอาจมีหลายคนอ่านเรื่องของคุณอยู่โดยที่คุณไม่รู้ตัวก็ได้

สู้สู้

จากคุณ : ข้าวโพดแมวติสต์แตก - [ 21 มี.ค. 51 10:36:38 ]



ความคิดเห็นที่ 5

^^ เข้ามาอ่านครับ (ตามที่คุณข้าวโพดว่าครับ)

จากคุณ : KTH (KTHc) - [ 21 มี.ค. 51 12:11:06 ]



ความคิดเห็นที่ 6

อ่านแล้วทำให้ย้อนกลับมามองตัวเองในหลาย ๆ เรื่องค่ะ
เรื่องในชั้นเรียนโยคะนั่นน่ะ โดนเต็ม ๆ เลย

^ __ ^

จากคุณ : Latte with Whipped Cream - [ 21 มี.ค. 51 15:58:26 ]



ความคิดเห็นที่ 7

ทุกวันนี้ มีที่ประจำของตัวเองเหมือนกัน
แต่อาศัยประกาศจับจอง เขาเลยเก็บที่ไว้ให้
แต่ก็เข้าใจว่าถ้าไม่ได้อยู่ที่ที่เคยอยู่จะเป็นไงนะ

สู้ๆ ค่ะ

จากคุณ : scottie - [ 21 มี.ค. 51 19:45:00 ]



ความคิดเห็นที่ 8

เป็นเหมือนกับในเรื่องเลยค่ะ
คือถ้าทำแล้วมันไม่ได้ออกมาดีอย่างที่หวังไว้ ก็จะรู้สึกท้อ ถอดใจเอาง่ายๆ
เป็นนิสัยที่ไม่ดีเลย เหอๆๆ

จากคุณ : TSURUGI - [ 22 มี.ค. 51 01:15:17 ]



ความคิดเห็นที่ 9

: )

แวะมาแอบ...อ่าน

คล้ายๆกันเลยครับ ...เวลาที่เจ้านายเรียกไปแล้วบอกว่า
เดี๋ยวงานนี้ให้คนอื่นทำละกัน......ทั้งที่เรารึอยากทำใจจะขาด ได้แต่มองตาปริบๆๆๆๆๆ แต่ก็ไม่เศร้านานครับ งานมีตั้งเยอะ ไปทำอย่างอื่นก็ได้ เชอะ ...กับแค่เจ้านายตาถั่ว...เอิ๊กๆๆๆๆ

จากคุณ : กลิ่นกาแฟ (กลิ่นกาแฟครับ) - [ 22 มี.ค. 51 15:01:28 ]




'บ้านของเรากับแมงกว่างของปั้น'


ความคิดเห็นที่ 4

เขียนดีจังค่ะ
บรรยากาศแบบสมจริงสมจังชะมัด
เข้าถึงได้โดยไม่ต้องบิวท์

จากคุณ : The SoVo - [ 22 มี.ค. 51 22:35:09 ]



ความคิดเห็นที่ 5

จบแค่นี้หรือเปล่าคะ
วันนี้หัวตื้อๆ
ทั้งสองส่วนก็เขียนดีนะคะ
แต่เชื่อมส่วนบ้านของเรากับแมงกว่างไม่ได้อะ

จากคุณ : scottie - [ 22 มี.ค. 51 23:25:35 ]



ความคิดเห็นที่ 6

ตกลงยังไม่จบใช่มั้ย??? แล้วได้ซื้อบ้านรึเปล่าค้าบบบ

จากคุณ : ข้าวโพดแมวติสต์แตก - [ 23 มี.ค. 51 08:32:09 ]



ความคิดเห็นที่ 7

จบแว้วววค่ะ

จบแบบเซน...เอ้ย! ไม่ใช่ สองส่วนนี่เป็นการอุปมาอุปไมยกัน ลองอ่านดูใหม่นะคะ

จากคุณ : นาท-วริน (นาท-วริน) - [ 23 มี.ค. 51 11:39:29 ]



ความคิดเห็นที่ 8

คือว่าไม่ถนัดอุปมาอุปไมยค่ะ
กว่างโดนจับมา หงอยเหงาเมื่ออยู่ในกล่อง
แม่ตระเวณดูบ้านทั้งๆ รู้ว่าไม่สามารถซื้อหาได้
จะบอกว่าแม่หงอยเหงาเพราะต้องทนอยู่ในที่ๆ ไม่อยากอยู่หรือคะ
ก็แม่ไม่ได้ถูกจับ (จะว่าโดนหลายอย่างบังคับก็ไม่ใช่ทั้งหมด
สามารถทำงานหาเงินได้มิใช่หรือ ลดความต้องการลงได้ไม่ใช่หรือ)
เลยงงค่ะ แต่ได้ตีพิมพ์ก็คงดีแหละเนอะ อ่านไม่ถึงเอง ฮี่ๆ

จากคุณ : scottie - [ 24 มี.ค. 51 10:45:54 ]



ความคิดเห็นที่ 9

เดี๋ยวต้องลองตีความในปริศนาธรรมเอ้ย ไม่ใช่ เรื่องสั้นเรื่องนี้ดูบ้าง อิ อิ

จากคุณ : กลิ่นกาแฟ (กลิ่นกาแฟครับ) - [ 24 มี.ค. 51 11:08:11 ]



ความคิดเห็นที่ 10

อ่านแล้วชอบค่ะ เขียนไหลลื่นดีจัง
แต่แอบงงๆ เล็กน้อยเรื่องการเชื่อมโยง
สงสัยต้องกลับไปตีความอีกคน ^^''

จากคุณ : โยษิตา - [ 30 มี.ค. 51 18:08:23 ]



ความคิดเห็นที่ 11

ตัดรองเท้า ไม่พอดีกับเท้า มีให้เลือกสองอย่าง

ทนใส่

หรือตัดรองเท้าใหม่ค่ะ

จบ!! อิ อิ

จากคุณ : นาท-วริน - [ วันจักรี 17:09:10 ]









 

Create Date : 22 มีนาคม 2551    
Last Update : 6 เมษายน 2551 17:14:26 น.
Counter : 502 Pageviews.  


ส้มเจื๊อง
Location :
เชียงใหม่ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




All you need is Love.
Made in Chiangmai.
หลังไมค์ถึงนาทวริน

Johaan Pachelbel cAnoN iN D
สกาววินฯ...ปกแรก Limited Edition
...พิมพ์นาม(สกุล)ปากกาผิดนิดนึง
You aRe whAt you rEad.
ออกจากขวดโหล
เรื่องที่สอง ใช้นามปากกา ‘นาทวริน’ ค่ะ
สำนักพิมพ์เพื่อนดี
งานที่มีการเขียนลงบน WEB SITE แล้วส่งผ่านอินเตอร์เนตนั้นถือว่าเป็น สิ่งเขียนซึ่งเป็นประเภทหนึ่งของงานวรรณกรรม ดังนั้นย่อมได้รับความคุ้มครองตามพ.ร.บ.ลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2537 (มาตรา 15) หากผู้ใดต้องการทำซ้ำหรือดัดแปลงงานดังกล่าวต้องได้รับอนุญาตจากเจ้าของลิขสิทธิ์ก่อน มิฉะนั้นจะเป็นการละเมิดลิขสิทธิ์ (มาตรา 27)
การดัดแปลงงานจากอินเตอร์เนตเป็นภาษาไทย จึงต้องขออนุญาตจากเจ้าของลิขสิทธิ์ อย่างไรก็ตาม การคุ้มครองลิขสิทธิ์เป็นการคุ้มครองอัตโนมัติ เจ้าของลิขสิทธิ์หรือผู้สร้างสรรค์ไม่จำเป็นต้องจดทะเบียนเพื่อให้ได้มาซึ่งสิทธิตามกฎหมายลิขสิทธิ์
******
ที่มาของข้อความ:เว็บไซต์กรมทรัพย์สินทางปัญญา
Friends' blogs
[Add ส้มเจื๊อง's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.