Group Blog
 
All Blogs
 

คุยกับนักดองงานภาษาญี่ปุ่น ตอนที่ 1



ต่อไปนี้เป็นบทสนทนาระหว่าง Monboy01(M) บอตในอินเตอร์เน็ต กับ Monboyinterpreter (Mi) นักดองงานระดับเทพ (เทพด้านการดองงาน)



*ตัวละคร และ บทสนทนาต่อไปนี้เป็นเรื่องที่สมมติขึ้น ไม่เกี่ยวข้องกับใครใด ๆ ที่มีอยู่จริงทั้งสิ้น...




M : สวัสดีครับพ่อน้องพี่แม่ทุกท่าน
วันนี้ช่วง "คุยกับนักดองงานภาษาญี่ปุ่น" ได้รับเกียรติจากคุณ Mi
มาเป็นผู้แถลงไขให้เป็นวิทยาทาน(?) กันครับ สวัสดีครับคุณ Mi
(ยกกีบหน้าขึ้นไหว้)


Mi : ครับ (ยกกีบหน้ารับไหว้)


M : ขอบคุณที่สละเวลามาให้สัมภาษณ์นะครับ


Mi :ไม่เป็นไรครับ วันนี้ลาป่วย(?) ทำงานมาสองปี ลาป่วยไปเกือบยี่สิบวัน ไม่เคยป่วยจริงสักวัน (ยืด) - -+


M : ....ก่อนเข้าเรื่องอยากให้แนะนำตัวคร่่าว ๆ หน่อยครับ


Mi : ชื่อ Monboyinterpreter เพราะเป็น
Monboy สาย Int (erpreter) ประกอบอาชีพล่ามบังหน้า
เบื้องหลังเป็นนักโหลดคลิปทางอินเตอร์เน็ตครับ - -+


M : ...= =" เอ่อ เอาสาระนิดนึงครับ


Mi : อืม...ปกติจะอู้งานในตำแหน่งที่เ้ค้าเรียกกันว่าล่าม แล้วก็มีรับงานการ์ตูนมานั่งดูเล่น ๆ นอกเหนือจากเวลางานประจำน่ะครับ...



M :.......ได้ยินมาว่าเป็นล่ามภาษาญี่ปุ่นสินะครับ - -+


Mi :ครับผม - -


M : ยากมั้ยครับ ภาษาญี่ปุ่นเนี่ย


Mi :ไม่ยากครับ ขอแค่มีความตั้งใจ ขยันอ่านหนังสือ ทบทวนด้วยตัวเอง อันที่จริง ภาษาญี่ปุ่นนี่ศึกษาด้วยตัวเองได้นะครับ


M :แสดงว่าถ้าขยันมากพอ ก็จะเก่งได้สินะครับ


Mi :ครับผม


M :งั้นคุณ Mi ก็คงจะขยันเรียนมาก ๆ เลยสินะครับ ถึงได้มาเป็นล่ามแถมแปลการ์ตูนไปด้วยอย่างในตอนนี้ได้


Mi : ครับ
ตอนเรียนในมหาวิทยาลัยก็เข้าเรียนครบทุกชั่วโมง ส่งการบ้านไม่เคยขาด
กลับถึงห้องก็นั่งทบทวนบทเรียน อ่านหนังสือจนถึงตีสอง เช้าก็ตื่นราว ๆ
หกโมง อาบน้ำแต่งตัว เตรียมบทเรียนล่วงหน้า ท่องศัพท์วันละ 10 คำ
คันจิวันละ 3 ตัว เสาร์อาทิตย์ก็ฝึกดูละคร, การ์ตูนภาษาญี่ปุ่น
ที่ห้องก็จะมีคำศัพท์แปะตามผนัง ตู้ เต็มไปหมด
แล้วก็มีฝึกเขียนบันทึกประจำวันเป็นภาษาญี่ปุ่นตั้งแต่ปีหนึ่งจนถึงปัจจุบัน
ด้วยครับ


M : (ตาโต) โอ้โห เป็นความอุตสาหะที่น่าเอาเป็นแบบอย่างจริง ๆ นะครับเนี่ย


Mi : นั่นสิครับ


M : ?


Mi : .......(เขาตก) ถ้าผมทำได้อย่างนั้นจริง ๆ น่ะนะ T^T


M : ...........................( =___=" )



Mi :อย่าเพิ่งอึ้งครับอย่าเพิ่งอึ้ง
ถึงผมจะโดดเรียนจนหมดสิทธิ์สอบ เรียนจนติด F วรรณคดีภาษาญี่ปุ่น
แถมจบมาด้วยเกรดแค่ 2.33 แต่ก็ขอย้ำตามเดิมครับว่า ภาษาญี่ปุ่นไม่อยาก
เอ้ย ไม่ยากจริง ๆ นะครับ ขอแนะนำเลยก็ได้
ท่านที่อยากเรียนภาษาญี่ป่นด้วยตนเอง ให้ไปซื้อหนังสือ Minna No Nihongo
มาศึกษาด้วยตัวเองเลยครับ


M : Minna No Nihongo ?


Mi : ครับผม


M : โฆษณารึเปล่าครับเนี่ย จะได้เก็บค่าโฆษณา - -+


Mi : ......คือผมเรียนเล่มนี้มาน่ะครับ
ถ้าใครรู้จักเล่มอื่น อยากอ่านเล่มอื่น หรือว่าอยากแนว ไปซื้อ The Secret
มาใช้ประกอบการเรียนภาษาญี่ปุ่นด้วยตนเองก็เชิญครับ ตามสบาย -*-


M : ...เอ่อ สมมติว่าซื้อหนังสือ มินนะ โนะ อะไรนั่นแล้ว ต้องทำไงต่อครับ


Mi : ก็เก็บไว้ก่อนครับ เก็บไว้เฉย ๆ ไปท่องตัวอักษรญี่ปุ่นก่อน ถ้าอ่านไม่ออก จะเรียนยังไงล่ะครับ


M : ตัวอักษรญี่ปุ่น?


Mi : ครับ มีสามประเภท คือ ฮิรางานะ คาตาคานะ และ คันจิ


M : ????????


Mi : ... จำง่าย ๆ ก็ได้ครับ
ว่าตัวฮิรางานะ ใช้เขียนเสียงอ่าน คำช่วย ส่วนคาตาคานะ
ใช้เขียนคำที่มาจากภาษาต่างประเทศ และสุดท้าย คันจิ เป็นตัวอักษรจีน
ที่ใช้เขียนเพื่อแสดงความเทพ - -+


M : .....



Mi :
เพราะงั้นตอนแรกที่เราเริ่มเรียนภาษาญี่ปุ่น เรายังไม่เทพ
จึงยังไม่ต้องท่องคันจิ ให้ท่องตัวฮิรางานะ
และคาตาคานะให้เรียบร้อยก่อนนะครับ จากนั้นก็เริ่มเรียนได้เลยครับผม
แล้วค่อยท่องคันจิเสริมบารมีสะสมพลังไปเรื่อย ๆ ครับ


M : อ้อ ก็คือค่อย ๆ ศึกษาไปด้วยตัวเองตามลำดับแบบนี้สินะครับ


Mi :ครับผม


M : แล้วถ้ามีเรื่องสงสัยหรือไม่เข้าใจจะไปถามใครล่ะครับ เรียนเองแบบนี้


Mi : (รำพึงเบา ๆ ) ...อินเตอร์เน็ตความรู้ีมีเป็นกิโล นั่งดูแต่รูปโป๊...เอ่อ...ไม่ต้องยกมือครับ = =" 


      ...ก็มีเว็บ, เว็บบอร์ดเพื่อน ๆ พี่
ๆ ปู่ย่าตายายในอินเตอร์เน็ตที่พร้อมจะแนะนำสั่งสอนเกี่ยวกับภาษาญี่ปุ่น,
งานด้านภาษาญี่ปุ่นอยู่เพียบครับ เอาเฉพาะของคนไทยก่อนก็แล้วกัน
เท่าที่ผมนึกออกตอนนี้ก็มี ...



//www.j-doramanga.com


//www.jeducation.com/webboard


//www.hokutoda.com


//www.minnanokanji.com


//anonemag.exteen.com


//winkung.exteen.com/


//atjapan.pantipmember.com


//www.nihongosociety.info/board



(ใครมีอีกช่วยเสริมหน่อยเร้ว)



M : แน่ะ...อันสุดท้ายนี่คุ้น ๆ นะครับ =w=


Mi :เห็นว่าเป็นบอร์ดที่คนบางคนทำขึ้นมา
มีคนสมัครสมาชิกสองร้อยกว่าคน แต่ไม่มีคนโพส
แอดมินเลยต้องนั่งปั๊มกระทู้คุยกับตัวเองไปวัน ๆ น่ะครับ - -


M : ............


Mi : (ดูนาฬิกาข้อกีบ) อ้าว เที่ยงแล้วนะครับเนี่ย ถ้างั้นวันนี้คงต้องขอพอแค่นี้ก่อนล่ะครับ ถ้ามีเวลาจะมาคุยด้วยใหม่นะครับ


M : อ่า...แล้วเมื่อไหร่จะมีเวลาล่ะครับน่ะ?


Mi :  ไม่นานหรอกครับ ปกติผมจะมีกำหนดการลาป่วย(?)เดือนละครั้งอยู่แล้ว - -+



M : ..................ยังไงวันนี้ก็ต้องขอขอบคุณมากนะครับ แล้วก็ขอฝากเตรียมเนื้อหาครั้งหน้าด้วยนะครับ

Mi :  ครั้งต่อไปเป็นเรื่องอะไรครับ?

M : ................................


Mi : ................................


M :  โอเคนะครับ?


Mi :  ครับผม โอกาสหน้าจะมาอธิบายต่อครับ


M :  งั้นวันนี้ขอจบช่วง "คุยกับนักดองงานภาษาญี่ปุ่น" ไว้แต่เพียงเท่านี้ครับพ่อแม่พี่น้องทุกท่าน สวัสดีครับ


Mi :  สวัสดีครับ


M :  (ปิดเครื่องบันทึกเสียง นอน)


Mi :  (เปิดคอมพิวเตอร์ ปิดเกม เตรียมปั่นงานดอง)




โปรดติดตามไปต่อตอน...







Free TextEditor




 

Create Date : 22 มกราคม 2552    
Last Update : 22 มกราคม 2552 22:01:10 น.
Counter : 1678 Pageviews.  

FAQS งานล่ามภาษาญี่ปุ่น ... ตอนที่ 3

- ระดับ4เนี่ยสามารถทำงานอะไรได้บ้างหรอครับทำในร้านอาหารญี่ปุ่นได้ไหมอะครับบอกทีนะ


...ทำได้ทุกอาชีพครับ
ตั้งแต่ภารโรงยันนายก...ส่วนทำงานร้านอาหารญี่ปุ่นนั้น ถ้าเป็นร้านในไทย
คงได้ เพราะคงไม่ได้ใช้ประโยคซับซ้อนอะไร แต่ถ้าเป็นที่ญี่ปุ่นคงจะลำบาก



-
เวลาประชุมกัน ตอนไหนควรจะแปล ตอนไหนควรจะเงียบ (มีผู้จัดการพูดญี่ปุ่นได้
แปลแทนหมดเลย แต่คนญี่ปุ่นก็มักจะถามเวลาคนไทยคุยกันว่าคุยอะไรกัน
แต่ผู้ถามเองก็เป็นล่ามมือใหม่ ยังแปลได้ไม่คล่อง)


...กรณีที่มีคนแปลแทนแทบทุกอย่าง ทั้ง ๆ
ที่ไม่ใช่ล่าม...ถ้าเป็นไปได้อย่าไปใส่ใจเรื่องนั้น
แต่ให้ตั้งใจฟังว่าเขาใช้คำศัพท์แบบไหนในการพูดคุย
เพราะคำศัพท์ที่ใช้ในแต่ละบริษัทมักจะวนไปเวียนมา จะลำบากแค่ตอนเข้าไปใหม่
ๆ แต่้ถ้าทำงานไปได้พักหนึ่ง จำศัพท์ได้ก็สบาย


...แอบสังเกตว่าคนแปล(ที่แปลแทนเรา จะเต็มใจหรือไม่ก็ตาม)
แปลถูกต้องครบถ้วนหรือไม่ ผิดพลาดตรงไหน นำข้อดีมาเลียนแบบ
นำข้อเสียมาปรับปรุงตัวเองซะ


...สำหรับ Timing ในการแปล ... ถ้าเป็นการประชุมส่วนใหญ่
ในตอนเริ่มต้น มักจะผลัดกันพูด ผลัดกันฟัง อันนี้ไม่มีปัญหา
พอผู้พูดหยุดพูด เราก็แปลไป ... แต่พอประชุมไปได้สักพัก
ก็จะเริ่มคุยกันเอง เริ่มไม่รอกัน ตรงนี้ให้รอจนกว่าจะเงียบเสียง
แล้วค่อยแปลสรุปไปว่าเมื่อกี้ใครพูดอะไรบ้าง ไม่ต้องครบทุกพยางค์
แต่ให้ครอบคลุมทุกเนื้อหาก็พอ


...แต่ถ้าเป็นล่ามในที่ประชุมให้คนญี่ปุ่นแค่คนเดียวฟัง
เมื่อเจอกรณีนกกระจอกงอกง่อยแตกรัง
(ภาวะยุ่งเหยิงและเริ่มสูญเสียระเบียบในการประชุม)
ก็ต้องฟังและสังเกตดูว่าสิ่งที่คนไทยกำลังคุยกันมันควรค่ากับการแปลมากน้อย
แค่ไหน ถ้าไม่มีสาระอะไรเลย
ก็บอกคนญี่ปุ่นไปว่าเขาคุยเกี่ยวกับเรื่องอะไรอยู่ก็พอ
แต่ถ้าเป็นเรื่องสำคัญ ก็แปลให้ครบถ้วนมากขึ้นหน่อย
(อันนี้ต้องใช้วิจารณญานเจ๋อคิดแทนญี่ปุ่นนิดหน่อย
แต่ขืนแปลหมดไม่กลั่นกรองมีหวังเหนื่อยตาย แถมน่าเบื่ออีก
เพราะแปลแต่เรื่องไม่เป็นเรื่อง) ไม่ต้องกังวลว่าต้องแปลให้ครบ
จะประสาทกินแถมเสียสมาธิเปล่า ๆ แปลไปให้คนญี่ปุ่นฟังเรารู้เรื่องก่อน
แล้วถ้าเขาไม่เข้าใจเนื้อหา เดี๋ยวก็ถามเรา ให้เราถามคนไทยอีกทีเองแหละ



- resume ภาษาญี่ปุ่นจำเป็นต้องใช้ในการสมัครงานมั้ย 


...จำเป็นสำหรับบริษัทที่อยากดูครับ
ยังไงก็มีติดตัวไว้ดีกว่า อีกอย่าง เรียนภาษาญี่ปุ่นมาทั้งที
ลงทุนเขียนหน่อยน่า ที RESUME ภาษาอังกฤษยังเขียนกันได้เลย -*-
อ้อ...ถึงบริษัทที่เราไปสัมภาษณ์จะไม่ได้ระบุว่าต้องการดู
แต่การนำไปเสนอก็น่าจะทำให้เราดูดีขึ้นได้ หรือไม่จริง...



- อาชีพล่าม เงินเดือน สวัสดิการ เหมือนพนักงานประจำไหม 


...ล่ามมีสองประเภท คือ ล่ามชั่วคราว กับล่ามค้างคืนล่าม
ประจำ ถ้าเป็นล่ามประจำ ร้อยละ 99.99999... จะได้รับเงินเดือน
และสวัสดิการเหมือนพนักงานทั่ว ๆ ไป
เพราะชื่อก็บอกอยู่แล้วว่าเป็นล่ามประำจำ ก็คือพนักงานประจำนั่นแหละ
ส่วนล่ามชั่วคราว หรือล่าม Contract/Tempolary
จะมีการตกลงสัญญาจ้างเป็นช่วงเวลาไป ว่ากี่วัน กี่เดือน กี่ปี กี่ชาติ
(ส่วนใหญ่จะได้รับเงินเดือนที่สูงกว่าล่ามประจำ)
ส่วนเรื่องสวัสดิการก็ขึ้นอยู่กับการตกลงในสัญญานั้น ๆ แต่ร้อยละ
95.123456789... ของล่ามชั่วคราว มักจะได้แค่เงินเดือนน่ะแหละ
ดีไม่ีดีถ้าเป็นล่ามประจำรายเดือน เกิดหยุดงานก็โดนหักเงินอีกต่างหาก - -



- อยากเป็นล่าม มั้งจังแค่พูดเป็นไช่ไหม เห็นได้เยอะดี 


...งั้นเด็ก 3 ขวบก็เป็นล่ามได้สิครับ...



- อยากทำงานแปลหาได้ที่ไหนบ้างคะ 


...แปลการ์ตูน, นิยาย - ติดต่อสำนักพิมพ์


...แปลบทพากษ์อนิเม, ละครซีรี่ส์ - ติดต่อสถานีโทรทัศน์ หรือบริษัทที่ทำดีวีดีซีรีส์, อนิเมขาย



- อยากจะเก่งญี่ปุ่นกับเขาบ้าง ทำไงดีค่ะ 


...ซ้อม ซ้อม ซ้อม แล้วก็ซ้อม ... แต่ก่อนอื่น ไปแยกแยะระหว่างคำว่า คะ กับ ค่ะ ซะก่อนนะ...



- ผมจะเอาเอกญี่ปุ่นแต่มีคนบอกว่าถ้าเก่งแต่ภาษาไครจะไปรับอยากถามว่าจิงรึป่าวครับ 


...หมายถึงอะไรครับที่ว่าจริงรึเปล่า?
แต่ถ้ามีใครที่ไม่จ้างคุณเป็นล่ามโดยอ้างว่าเป็นเพราะคุณเก่งแต่ภาษาอย่าง
เดียวก็อย่าไปสนใจเลยครับ...งานหลักของล่ามคือใช้ภาษานะครับ...อ้อ...มีสมอง
นิดนึงด้วยก็ดี...เพราะต้องทำงานเป็นล่าม ไม่ใช่เครื่องแปลภาษานะ...



- เรียนเอกญี่ปุ่นต่อมหาลัยอะไรดีครับ/จบมามีงานทำหรือป่าว 


...มหาวิทยาลัยไหนก็ได้ครับที่มีสอนภาษาญี่ปุ่นเป็นวิชาเอก ตอนเรียนก็ขยัน ๆ หน่อยละกัน จบมาจะได้มีงานทำนะครับ



- จำคำศัพท์จากดิก เป็นล่ามได้ไม๊ 


...ถ้าจำได้มากพอสมควรก็เป็นได้ครับ
แต่จะให้ดีควรมีไวยากรณ์ติดมาด้วยนะครับ เพราะถ้าคนแรกแปลว่า "ลูกค้า เรา
ของที่ขาย ไม่ซื้อ" กับอีกคนแปลว่า "ลูกค้าไม่ซื้อของที่เราขาย"
...คุณคิดว่าเค้าจะจ้างใครครับ



ถ้าจะเป็นล่ามญี่ปุ่น แต่ไม่ได้ภาษาอังกฤษเลย จะเป็นล่ามญี่ปุ่นไทยได้ไหมค่ะ 


...เป็นได้ครับ เพราะหลาย ๆ
บริษัทก็ไม่ได้ให้เราแปลญี่ปุ่น - อังกฤษ ส่วนใหญ่จะให้เราแปลแค่ญี่ปุ่น -
ไทย หรือ ไทย - ญี่ปุ่น มากกว่า ...
ปล.ผมสงสัยวิธีคิดคำถามของคนถามคำถามนี้จังเลยครับ...ปล.2 ไปแยกแยะคำว่า
คะ กับ ค่ะ อีกทีก็ดีนะครับ (คนเดียวกันรึเปล่าเนี่ย -*- )



- ล่ามคนไหนเคยไม่มีงานให้ทำแต่โดนเจ้านายจับผิดไหมคะ 


...เคยบ่อยครับ แต่จะเป็นลักษณะมีงานทำแต่ไม่ยอมทำ ซึ่งก็ไม่เคยโดนจำผิด เพราะเนียนมาตลอด - -+



อยากฟังประสบการณ์การเป็นล่ามวันแรกของทุกคนคะ 


...วันแรกที่ไป ไม่ได้อบรมอะไรเลย เปลี่ยนยูนิฟอร์ม แล้วก็
ลงไลน์ ไปมึน ๆ หน้าไลน์ มีเรื่องให้แปลไม่ได้บ้างเหมือนกัน
แต่ก็ไ่ม่เป็นไร ทำไปเท่าที่ทำได้ ก็ผ่านไปได้ด้วยดีครับ




- ควรเรียนจบมหาวิทยาลัยในคณะไหนหรอค่ะถึงจะใช้ประโยชน์ได้กับการเป็นล่าม


...มหาวิทยาลัยไหนก็ได้ครับ
ขอให้ได้เรียนในสาขาภาษาญี่ปุ่นแล้วกัน
ยังไงก็ขึ้นอยู่กับตัวผู้เรียนมากกว่า - -
เพียงแต่พยายามศึกษาหาความรู้รอบตัวไว้เยอะ ๆ ก็แล้วกันครับ
จะได้เพิ่มคุณค่าให้ตัวเองด้วย ^ ^



- ใครเคยถูกนายญี่ปุ่นเขวี่ยงของใส่บ้างเวลาแปลไม่ถูก 


...ไม่เคยครับ ถ้ามีก็ลาออกเถอะครับ
ญี่ปุ่นที่ผมแปลให้นี่ก็ชอบด่า เสียงดัง เตะโต๊ะ ทำอะไรโครมคราม
ให้ลูกน้องตกใจบ้าง กลัวบ้าง แต่ไม่เคยขว้างของใส่นะครับ...



- จีนกับญี่ปุ่นอันไหนยากกว่ากันครับ/จีบกับญี่ปุ่นจบมาอันไหนหางานได้มากกว่า
กันครับ 


...ความคิดของผม ผมว่าจีนยากกว่าครับ
เพราะผมเรียนภาษาญี่ปุ่นเทอมแรกได้ A แต่พอเรียนจีน เทอมแรกเกือบติด F
ส่วนภาษาไหนหางานได้มากกว่า คิดว่าเป็นญี่ปุ่นครับ
เงินเืดือนล่ามที่เคยเห็นรับสมัคร ของญี่ปุ่นส่วนใหญ่จะเริ่มใกล้ ๆ หรือเกินสองหมื่น ส่วนจีนจะโดนกดอยู่ที่ประมาณหมื่นต้น ๆ เองครับ



- อยากปรึกษาว่าทำอย่างไรจึงจะกล้าพูดคะ


...สะกดจิตตัวเองไว้ครับ ว่ายิ่งพูดก็ยิ่งเก่ง
ยิ่งผิดก็ยิ่งจำได้ แล้วก็อย่าไปคิดว่าต้องรอให้เก่งมาก ๆ ค่อยพูด
เพราะถ้าไม่กล้าพูด ผลลัพธ์จะกลับกัน คือไม่มีวันเก่งครับ...การฟัง พูด
อ่าน เขียน เป็นทักษะ หมายถึงยิ่งทำมากยิ่งชำนาญมากนะครับ



- ประโยคที่ได้ยินบ่อยที่สุดในการล่าม 

...hai...




Free TextEditor




 

Create Date : 30 ตุลาคม 2551    
Last Update : 30 ตุลาคม 2551 11:30:49 น.
Counter : 1423 Pageviews.  

ล่ามภาษาญี่ปุ่นควรแปลให้ถูกไวยากรณ์ หรือแปลให้รู้เรื่องก่อนดี?


วันนี้นั่งรถมาทำงานแล้วก็นึกนู่นนึกนี่ ตามประสาคนขยันคิด ขยันทำ (ทุกอย่างที่ไม่มีสาระ)




ก็นึกถึงคำถามที่มีรุ่นน้องถามมาว่า...แล้วพี่ี่ (ชื่อใครน่ะ OxO ) ... แล้วพี่ nonomohe




ทำงานแบบไหน ทำไมทำงานแล้วมีใช้คอมพ์ด้วยเหรอคะ...ประมาณนี้... - -




แต่ไหนแต่ไรมาก็คิดว่าทุกคนจะมีความเข้าใจในลักษณะงานล่ามกันอยู่แล้ว...




ของล่ามคนอื่นเค้าทำงานกันไงไม่รุ แต่ของล่ามคนนี้จะเป็น



7.20 น. ถึงบริษัท


7.35 น. เจี๊ยะข้าวเสร็จ รีบขึ้นออฟฟิศไปเปิดโน้ตบุ๊ค ต่อเน็ต


7.35 น. - 7.54 น. เล่นเน็ต เตรียมไปทำกายบริหารตอนเช้า - ประชุมหน้าแถวรวมของแผนก


8.05 น. กวาดโรงงาน


8.15 น. - 8.35 น. ประชุมย่อยแผนกตอนเช้า


8.35 น. - 12.00 น. [X]



12.00 น. - 12.50 น.
เจี๊ยะข้าวเที่ยง เตะบอล เล่นเกม เล่นเน็ต อะไรสักอย่าง หรืออาจทุกอย่าง -*-


13.00 น. - 16.50 น. [Y]


16.50 น. เป็นต้นไป ... เป็นช่วงทำงานล่วงเวลา ถ้าตกรถไม่ได้กลับบ้านก็จะเนียนเตะบอล เล่นเกม เล่นเน็ต ตามประสา (แล้วงานล่ะเว้ย งาน OAO )



หมายเหตุ [X] กับ [Y] เป็นช่วงเวลาทำงานทั่ว ๆ ไป
แล้วแต่ว่าจะมีมีตติ้งหรือไม่อย่างไร ถ้ามีก็ไปแปลก็ไป
หรือบางทีก็ไปดูงานที่บริษัท Supplier
(ก็จะได้ใช้ช่วงเวลาในระหว่างนั่งรถให้เป็นประโยชน์ด้วยการหลับ -*- )
แต่ถ้าไม่มีงานก็นั่งเฝ้าคอม แปลเอกสารหนึ่งบรรทัด
แล้วเล่นเน็ตครึ่งชั่วโมงสลับกันไปตามลำดับ - -+



กลับเข้าสู่ประเด็นตามหัวข้อเอ็นทรี่กันซักที -*-




เกี่ยวกับเรื่องการแปลให้ถูกไวยากรณ์ กับการแปลให้รู้เรื่อง



* บางท่านอาจคิดว่า
ตัวเองยังเป็นล่ามไม่ได้ เพราะยังไม่รู้ไวยากรณ์ที่ถูกต้องมากพอ
เลยยังไม่กล้าเป็นล่าม เพราะกลัวคนญี่ปุ่นจะว่า...



ในความเป็นจริง...แน่นอนว่าการแปลให้ถูกตาม
หลักไวยากรณ์นั้นเป็นสิ่งที่ดีที่สุด เพราะถ้าแปลได้ตามไวยากรณ์
ความถูกต้องของเนื้อหาย่อมตามมาเอง...
แต่!! แถว
ๆ นี้มีล่ามดำน้ำมั่ว ๆ อยู่คนนึง...ไวยากรณ์ก็ง่อน ๆ แง่น ๆ
แต่ก็ยังมีบริษัทหลงมาจ้างด้วยเงินเดือนที่ไม่มากแต่ก็ไม่น่าจะสมกะความ
สามารถ (ไหน ใคร ใคร (OAO) )




ปกติเวลาผมแปล...ก็ไม่มีใครมาบอกว่า ใช้คำช่วยผิดนะ ใช้ภาษาแปลก ๆ นะ
จะมีก็แต่ตัวเองที่แปลเสร็จแล้วก็เอียงหัวงงตัวเอง
พูดไปแล้วเพิ่งนึกได้ว่าคำช่วยผิด คำศัพท์ผิด ฯลฯ



เพราะคนญี่ปุ่นที่เราแปลให้นั้น ... ป็น
คนญี่ปุ่นที่ทำงานบริษัท ไม่ใช่อาจารย์ที่สอนในมหาวิทยาลัย
หรือโรงเรียนสอนภาษา ที่ต้องเน้นไวยากรณ์
ความรู้ในกระดาษให้ปึ้กเข้าว่า...ส่วนคนญี่ปุ่นที่อยู่ในบริษัท โรงงาน
เค้าอยากรู้เนื้อหางานที่เค้าต้องการมากกว่า ... แต่สำหรับบางบริษัท คนญี่ปุ่นที่คอยแก้ไวยากรณ์ให้หลังไมค์ก็มีเหมือนกัน แต่ไม่ใช่เชิงตำหนิ แต่เป็นการแนะนำมากกว่า ไม่ต้องกลัว




...ผู้ที่เป็นล่าม กับผู้เป็นนักแปล มีสิ่งที่เหมือนกัน คือ เป็นผู้ส่งสาร
แต่ในด้านความเข้มงวดของความถูกต้องแม่นยำด้านไวยากรณ์ นักแปลจะมากกว่า
ส่วนล่าม
ถ้ายิ่งใช้ไวยากรณ์ได้ถูกต้องก็ยิ่งเก่งขึ้นเท่านั้น...แต่ถึงไม่ค่อยถูก
ไวยากรณ์ ก็เป็นล่ามได้ (เหมือนคนแถว ๆ นี้)
...แต่ก็ต้องหมั่นพัฒนาตัวเองให้พูดได้เข้าที่เข้าทางอยู่ตลอดเวลานะครับ
(บอกตัวเองเหอะ -*- )



สิ่งที่ควรกังวลไม่ใช่เรื่องไวยากรณ์ แต่เป็นความถูกต้องของเนื้อหาที่จะแปล เพราะงั้น อย่ามั่ว อย่าแปลไปเรื่อย ไม่เข้าใจให้ถาม อย่าอายที่จะบอกว่า ไม่เข้าใจ ... ไม่งั้นคนไทยกะคนญี่ปุ่นอาจต่อยกันเพราะล่ามแปลผิดก็ได้นา


แต่ไม่ได้บอกว่าไวยากรณ์ไม่สำคัญ...สำคัญอยู่หรอก...แต่ขืนรอให้พูดได้
เหมือนลอกมาจากตำรา คงต้องรอกันอีกนาน...งานการไม่ได้เริ่มกันพอดี... -*-




ตัวอย่างง่าย ๆ ...



สมมติว่าคุณอยู่ญี่ปุ่น
แล้วทำกระเป๋าตังค์หาย พาสปอร์ตหาย อยู่ในภูเขา ไ่ม่มีตำรวจ
แล้วเกิดหิวข้าวใกล้ตายเต็มที แถวนั้นมีแค่บ้านชาวนาให้อาศัยขอข้าวกิน ...
แล้วคุณจำได้แค่คำว่า ข้าว


คุณก็ไปบอกเค้าว่า "ข้าว" ...
คุณก็คงได้กินข้าว หรืออะไรที่มันกินประทังชีวิตได้ในทันที...
(ถ้าชาวนาไม่ซื่อบื้อ และไม่โหดร้ายเกินไปนัก -*-)


หรือคุณจะคลานกระดื๊บ ๆ ไปร้านหนังสือ เปิดไวยากรณ์ แล้วบอกใครแถวนั้นว่า "ขอข้าวกินหน่อยครับ" ... เรอะ -*-





เพราะงั้น...ภาษา และทักษะของเรา แม้ไม่เลิศเลอ แต่ก็พอกล้อมแกล้มไปได้...ใิห้คิดงี้จะดีกว่านะครับ...




ยังไงก็พยายามให้เต็มที่ ลงสนามจริงไปก่อนแล้วค่อยแก้ปัญหาเฉพาะหน้าเอาทีหลัง...



เบื้องต้นพยายามใช้ความรู้ที่มีทั้งหมดเพื่อให้คนไทยกับคนญี่ปุี่นสื่อสาร
กันได้รู้เรื่อง วิธีการพูดอาจไม่เทพ ทุเรศทุรัง แต่ก็พยายามให้เต็มที่



แล้วก็ค่อย ๆ มาเกลาไวยากรณ์ไปเรื่อย ๆ ว่าวันนี้เราพูดผิด แปลผิดตรงไหนบ้าง คำที่เรามักสับสน ต้องระวัง มีอะไรบ้าง...



รึใครจะไม่อยากเกา แคะ แกะ ควัก ไวยากรณ์ให้เมื่อย
ไม่อยากเป็นเทพ ... ก็มาเข้าลัทธิล่ามดำน้ำด้วยกันกับคนแถว ๆ นี้ได้นะครับ
รับสมัครสมาชิกตลอด 24 ชั่วโมง ค่าธรรมเนียมฟรีตลอดชีพครับ ^ ^






Free TextEditor




 

Create Date : 30 ตุลาคม 2551    
Last Update : 30 ตุลาคม 2551 11:23:36 น.
Counter : 1152 Pageviews.  

การเตรียมตัวสัมภาษณ์งานล่ามภาษาญี่ปุ่น


กะลังตื้อ ๆ
หมดมุกจะมาสาระ...วันนี้แวะอ่านเว็บบอร์ดล่าม
ก็มีคนถามมาในนั้นอีกเป็นรอบที่เท่าไหร่ก็ไม่รู้...ประมาณว่าจะสัมภาษณ์งานยังไงดีคะ เพิ่งจบค่ะ....




อย่ากระนั้น กระโน้น กระนี้ กระไหนเลย...เอามาเป็นมุกอัพบล็อกซะโดยไว...





(หมายเหตุ...ไอ้ที่จะเขียนต่อไปนี้ เป็นวิธีในอุดมคติ...ที่คนเขียนเองก็ยังทำไม่ได้ (อ้าว -*- ) แต่ถ้าทำได้ก็ดี...)



วิธีการสัมภาษณ์งานให้งาม ๆ สำหรับล่ามจบใหม่...



กลยุทธ์ที่หนึ่ง - ท่องๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ ประโยคที่คิดจะพูดมาเป็นชุด ๆ


ข้อดี.....ถ้าจำได้หมดเป๊ะ ก็จะทำให้เราดูดี มีสกุล ญี่ปุ่นตะลึง อึ้งไปเรย...


ข้อควรระวัง...ถ้าจำได้มั่งไม่ได้
มั่ง ก็จะเน่า
เหมือนทำปืนลั่นใส่ตัวเอง...ตายคาที่...แถมเกิดกะลังร่ายเพลิน ๆ
ตามที่ท่องมา พอโดนพูดแทรก
ก็ไปต่อไม่ได้ซะอีก...แถมนำไปประยุกต์พลิกแพลงได้ยากยิ่ง...และถ้าท่องอย่าง
เดียว ไม่มีการเตรียมตัวสด ก็จะกลายเป็นซูเปอร์ไซย่าร่างสี่
คือเทพได้แค่แป๊บเดียวก็ต้องกลับร่างเดิม...


เพราะฉะนั้น...ท่องเฉพาะบางเรื่อง
ที่ควรท่อง ไม่ใช่ท่องไปทั้งหมด
ยังไงคนสัมภาษณ์เค้าก็ไม่ถามตามที่เราคิดไว้ทั้งหมดชัวร์ ๆ
ดังนั้น...ท่องแค่เรื่องที่คิดว่าจะได้พูดแน่ ๆ น่าจะดีกว่า...เช่น
การแนะนำตัวเองคร่าว ๆ เป็นภาษาญี่ปุ่น แอนด์
ภาษาอังกฤษ...แต่ไม่ต้องไปแนะนำเพื่อนร่วมห้อง
คนข้างบ้าน...อันนี้เสียเวลา...แล้วก็ควรท่องไปเรยว่าเราอยากทำอะไร
ความหวังในชีวิต สิ่งที่คาดหวังในการทำงาน
เพราะเรื่องพวกนี้ต่อให้เค้าไม่ถามแต่ถ้าเรามีจังหวะก็ยิงแ...งเลย (Shout
them up) ตามสะดวก
อยู่ที่การหาจังหวะในการพูดเท่านั้นเอง...ส่วนการป้องกันการกลับร่างเดิม
กระทันหัน ก็ต้องมีการเนียนด้วยการสด และเพิ่มเติมด้วยกลยุทธ์ต่อปาย...



กลยุทธ์ที่สอง - ท่องๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ คำศัพท์ที่คิดว่าจะได้พูดในตอนสัมภาษณ์เอาไว้


ข้อดีีี...ทำให้ดูเหมือนจะเก่ง
จะเทพ...ถึงจะแค่ตอนสัมภาษณ์ก็ยังดี...ยังไงถ้าเราแอ๊บเทพตอนนั้นได้
บริษัทก็ต้องติดกับ ตกลงรับเราเข้าไปแล้วล่ะน่า - -+


ข้อควรระวัง...ถ้าคิดว่าจะพูดไปซะ
ทุกเรื่อง สากกะเบือยันเรือเกลือ ก็คงจะท่องไม่ทัน หรือบางทีอาจวืด
ท่องศัพท์แนวนึง แต่ตอนสัมภาษณ์ไปคุยกันอีกแนวนึง
อาจเกิดอาการแทงหวยไม่ถูก หรือเก็งข้อสอบผิดได้


เพราะฉะนั้น...เตรียมคำศัพท์ที่เราจะพูดโดยดูสองด้าน คือ



- เกี่ยวกับตัวเรา เราจะพูดอะไรนอกเหนือจากเรื่องที่ท่อง ๆ
ไว้ในกลยุทธ์ที่หนึ่ง...คำศัพท์ที่ปกติไม่เคยพูด
แต่น่าจะได้พูดในตอนสัมภาษณ์ เช่น เราอยากบอกว่าเราเป็นคนร่าเริง
มีมนุษยสัมพันธ์ดี ปรับตัวเข้ากับคนรอบข้างได้ง่าย
ฯลฯ...ก็อาจจะหาคำศัพท์ที่ร้อยปีพันวันไม่เคยพูดเช่น ร่าเริง
มนุษยสัมพันธ์ดี ปรับตัว ...เตรียมเอาไว้ ...
เผื่อคนสัมภาษณ์ถามถึงข้อดีข้อเสียของเราให้เราอธิบาย จะได้ไม่ใบ้กิน
ข้อเสียไม่มี ข้อดีไม่ปรากฏ หมดโอกาสพรีเซนต์ตัวเองไปอีก...



- เกี่ยวกับการจ้างงาน และบริษัท...ศัพท์นิด ๆ หน่อย ๆ เช่น
คำว่าเบี้ยขยัน, สวัสดิการ, ปรับเงินเดือน, ทดลองงาน
เอาไว้ใช้เวลาเจรจาเรื่องเงินเดือน,
แล้วก็ศัพท์เฉพาะสำหรับบริษัทที่เราไปสัมภาษณ์
ว่าบริษัทนี้ทำธุรกิจเกี่ยวกับอะไร
เตรียมคำศัพท์ที่คิดว่าน่าจะได้พูดตอนสัมภาษณ์มาท่องไว้ซะ...อย่างถ้าเป็น
บริษัททำปุ๋ยคอก ก็ไปท่องไว้ซะว่าำคำว่าปุ๋ยคอก ปุ๋ยหมัก เกษตรกรรม
เกษตรกร สารเคมี พืช ผัก ผลไม้ แอปเปิ้ล มะละกอ กล้วย สเ้ม
ฯลฯ...เค้าจะได้ประทับใจว่าเราเทพ เรามีความรู้เกี่ยวกับงานของบริษัท
มีความสนใจในธุรกิจของบริษัท...ฯลฯ
ขี้หมูขี้หมาก็ดูดีกว่าพูดไม่ได้ซักคำล่ะน่า...



กลยุทธ์ที่สาม - ไม่ต้องใช้คำสุภาพให้มากนัก ถ้าไม่แน่นพอ


กลยุทธ์นี้ไม่มีข้อดี ข้อควรระวัง
แต่ที่ต้องแยกมาเพราะกลัวว่าเด็กจบใหม่หลาย ๆ
คนจะหลอนว่าถ้าพูดในบริษัทจะต้องมาพูด เดะโกะไซมัส เดะอาริมัส
เตะอิตะดะคิมัส ฯลฯมัส ก็ไม่ต้องซีเรียสขนาดนั้น รูปสุภาพถ้าเป๊ะพอก็พูดไป
จะทำให้เราดูดี แต่บางทีก็อาจจะทำให้ดูแข็งเกินไป
ห่างเหินจนคนสัมภาษณ์อาจไม่กล้าเป็นกันเองกับเราไปซะ หรือถ้าเราไม่แน่นพอ
รูปสุภาพที่เราพูดไปอาจกลายเป็นรูปหยาบคายที่มาทำร้ายตัวเองเอาได้นะครับพี่
น้อง...เพราะงั้น ถ้าไม่ใช่เทพตัวจริง หรือไม่จำเป็นจริง ๆ ก็พูดแค่มัส
เดส ธรรมดาก็พอ...คนเขียนบล็อกแถว ๆ
นี้ก็สัมภาษณ์งานด้วยภาษารูปธรรมดาด้วยซ้ำ (ไร้การศึกษาน่ะนะ -*- ตอนหลัง
ๆ ช่วงใกล้ออกจากงานนี่เริ่มพูดภาษาไทยกับคนญี่ปุ่นแล้วด้วย -*- )
สัมภาษณ์ออกก็รูปธรรมดา สัมภาษณ์งานที่ใหม่ก็เป็นรูปธรรมดาปน มัส ๆ เดส ๆ
...เวลาแปลมีตติ้งก็เป็นรูปมัส เดส แต่รูปสุภาพไม่เคยใช้
เพราะกลัวใช้แล้วผิด ชีวิตจะเปลี่ยนเอาได้ง่าย ๆ ...



กลยุทธ์ที่สี่ - ทำตัีวตามสบาย สัมภาษณ์งาน ไม่ใช่สอบปากคำ...


ข้อดี...ทำให้เป็นตัวของตัวเอง
คนสัมภาษณ์จะรู้สึกได้ถึงความเยือกเย็นที่ส่งผ่านจากตัวเราไปสู่ผู้สัมภาษณ์
(๋ขนาดนั้น -*- ) สัมภาษณ์งานโดยเป็นตัวของตัวเองน่ะดีที่สุดแล้ว
เป็นกันเอง สบาย ๆ ไม่เครียด หัวโปร่ง แล่นปรื๊ด
การพูดคุยก็จะไหลลื่นได้โดยธรรมชาติ


ข้อควรระวัง...อย่าเป็นตัวของตัวเอง
มากเกินไปนัก ทุกอย่างให้อยู่ภายใต้คำว่า กาละเทศะ (เขียนถูกป่าวหว่า -*-
) คงไม่ต้องอธิบายละเอียดนัก...เพราะคนเขียนเองก็ไม่ค่อยเข้าใจคำว่า
กาละเทศะนี่เหมือนกัน (อ้าว -*- )


เพราะฉะนั้น...แต่งตัวให้ดูดี
วางท่าทีให้ดูได้ พยายามผ่อนคลาย หายใจเข้าลื้....ก
ลึก...(อย่าลืมหายใจออกด้วยนา...) ...
ต้องคิดไว้ว่าเราเตรียมตัวมาดีที่สุดแล้ว ได้ไม่ได้ช่างแม่ม...เอ้ย
ช่างมัน...ไม่ได้มาสอบทุน อย่าไปเครียดมากนัก ไม่ได้บริษัทนี้
เดี๋ยวก็มีบริษัทอื่น
มันต้องได้ซักที่ล่ะน่า...ไม่ต้องหวังที่เดียวให้มันมากไป
แต่ก็ไม่ใช่ไม่หวังเลยไม่ตั้งใจ...ทำให้เต็มที่ทุกที่ แต่เต็มที่แบบขำ ๆ
...ดีที่สุด (ยังไงกันโว้ย -*- )



กลยุทธ์ที่ห้า - อยากได้เงินเ้ดือนเท่าไหร่ เรียกเผื่อไป เพราะไงก็โดนต่อ...


ข้อดี...จะทำให้ราคาสุดท้ายกลายเป็นราคาที่เราต้องการอย่างแท้จริง


ข้อควรระวัง...เรียกเผื่อมากไประวังอดได้งาน หรือถ้าเรียกเผื่อน้อยไปอย่ามาเสียใจทีหลังล่ะ...


เพราะฉะนั้น...ต้องดูตาม้าตาเรือ
ก่อนว่า
ตอนนี้เค้าให้กันเท่าไหร่แล้ว...



<>




ตัวอย่าง...อยากได้เงินเดือนแสนแปด ให้ตั้งไว้ที่สองแสน
แล้วเดี๋ยวเค้าก็ต่อลงมา อาจจะเหลือแสนเจ็ด
หรือแสนหก...เราก็ถามว่าแล้วจะมีโอทีหรือค่าอื่น ๆ มั้ย
อย่าให้ราคาสุดท้ายหนีเงินเดือนที่เราต้องการมากนัก
ก็จะโอเค...(อันนี้แนะนำเค้าได้
แต่พอถึงตาตัวเองก็ได้น้อยกว่าที่อยากได้ทุกที
เพราะไม่เคยตั้งราคาเผื่อต่อเลย TAT )


หมายเหตุ!!!!!!!!
อย่าไปซีเรียสกับอัตราเงินเดือนมากนัก
ถ้าอยู่ในช่วงของราคาตามตารางข้างบนก็ถือว่าโอเค
เพราะสิ่งที่เราจะได้นอกจากเงินเดือนยังมีอีกหลายอย่าง
การได้เงินเดือนเยอะไม่ได้หมายความว่าเราประสบความสำเร็จในชีวิตแล้วนะจ๊ะ
โดยเฉพาะเด็กจบใหม่ ทำให้ได้ประสบการณ์ไว้ก่อน มีเงินกินไปวัน ๆ +
เหลือเก็บก็โอเคแล้วนา...ขอแค่ให้ได้รับเงินในอัตราที่ี่เราไม่รู้สึกว่าโดน
เอาเปรียบก็พอนะ ^^ (ความเห็นส่วนบุคคลครับทั่น)






พอละ...สาระมากไปปวดหัวเปล่า ๆ
แถมกินเวลาทำงานประจำมาเกือบสองชั่วโมงแล้วด้วย (เฮ้ย O__O )
ก็หวังว่าคงจะมีประโยชน์กว่ากลอนไร้สาระในเอ็นทรี่ที่แล้วบ้างไม่มากก็
มากกว่า หรืออาจจะเท่ากับ (อะไรวะ -*- )




ก็ขอให้ได้งานดี ๆ กันทุกคนนะครับ...ดีไม่ดีอาจจะได้มาทำงานที่เดียวกันกะผมก็ได้นา ระวังไว้...หุ หุ หุ หุ...- -+






Free TextEditor




 

Create Date : 30 ตุลาคม 2551    
Last Update : 30 ตุลาคม 2551 11:09:50 น.
Counter : 13530 Pageviews.  

FAQS งานล่ามภาษาญี่ปุ่น ... ตอนที่ 2

ยังคงเอาของเก่าจากที่อื่นมาหากินเช่นเคยครับ ขออภัยด้วย แต่คิดว่าน่าจะพอมีประโยชน์อยู่บ้าง อย่าว่ากันนะครับ = ="

1) การเป็นล่ามนี่ จำเป็นมั้ยว่า ต้องจบทางด้านภาษามาโดยตรง (อย่างคณะอักษรศาสตร์)

ในกรณีของล่ามภาษาญี่ปุ่น นั้น ไม่จำเป็นครับ เพราะไม่ว่าจะจบปริญญาสาขาไหนมาก็ตาม คุณก็มีสิทธิไปเรียนเพิ่มเติมและไปสมัครสอบวัดระดับความสามารถได้ทุกคน... แถมการจบบางสาขานั้น เมื่อนำความรู้ในสาขาที่เรียนจบมาฟิวชั่นกับทักษะทางภาษาญี่ปุ่นแล้ว จะทำให้เรามีคุณสมบัติที่โดดเด่นมากขึ้น พร้อมกับเงินเดือนที่(น่าจะ)มากตามไปด้วย...เพราะเราจะมีความเข้าใจใน เนื้อหางานบางส่วนได้ดีกว่าล่ามธรรมดา เพราะส่วนใหญ่แล้ว ล่ามที่จบสายภาษาโดยตรงจะมีแค่ความรู้ทางภาษาเท่านั้น... ยกตัวอย่างเช่น ถ้าคุณจบบัญชี แต่ทำงานเป็นล่าม ย่อมแปลประชุมของแผนกบัญชีได้ดีกว่าล่ามที่จบด้านภาษาอย่างเดียวอยู่แล้ว (ผมเคยตายในหน้าที่มาแล้วครับ ตอนประชุมประจำเดือน เมื่อวานนี้เอง...แปลรายงานของแผนกบัญชีแล้วใบ้กิน ไม่รู้เนื้อหา คำศัพท์ แถมตัวเลขหลักร้อยล้าน ใบ้กินไปเลย TAT )

การจบสายภาษาอาจมีผลเฉพาะในการศึกษาต่อปริญญาโท ขอทุน หรือการสมัครเป็นอาจารย์สอนภาษาในสถาบันของรัฐน่ะครับ แถม...ตามประกาศรับสมัครงานล่าม มักจะระบุสองสามอย่างคล้าย ๆ กัน คือ - เพศหญิง/ชาย (และอื่น ๆ (!?) ) - วุฒิ...ปริญญาตรี (ไม่ระบุสาขา) - ความสามารถทางภาษาญี่ปุ่น (ระดับ 3-2-1) ย้ำอีกครั้ง...ว่าตอบในกรณีล่ามภาษาญี่ปุ่นเท่านั้นนะครับ ล่ามภาษาอื่นไม่แน่ใจง่ะ (__ __")a



2) การที่ไปอยู่เมืองนอก หรือโตเมืองนอก ที่มีโอกาสได้ใช้ภาษาในชีวิตประจำวันมากกว่า จะได้เปรียบกว่ายังไง หรือทั้งสองแบบนี้มีข้อแตกต่างกัน ได้เปรียบเสียเปรียบกันยังไง

ขอ แบ่งเป็นสองส่วนนะครับ ด้านประสบการณ์ การไปอยู่เมืองนอกที่เป็น ประเทศเจ้าของภาษาที่เราเรียนอยู่นั้น ย่อมได้เปรียบในหลาย ๆ อย่าง เพราะจะได้เรียนรู้ทั้งวัฒนธรรม ประเพณี สภาพแวดล้อม สังคม การใช้ชีวิต ฯลฯ...ซึ่งประสบการณ์ตรงเหล่านี้ สามารถนำมาใช้ประโยชน์ในงานล่ามได้อย่างแน่นอน...แต่ไม่ได้หมายความว่าคนไม่ เคยไปเมืองนอกจะเป็นล่ามไม่ได้นะครับ...

เพราะอย่างผมเองก็เคยไป ญี่ปุ่นแค่เดือนเดียว ความรู้ด้านสังคม วัฒนธรรม ประเพณี ฯลฯ เกี่ยวกับประเทศญี่ปุ่นใกล้เคียงศูนย์...(__ __")a แต่ก็ยังเป็นล่ามได้ เพราะเวลาแปล ก็แปลเกี่ยวกับงาน แปลเรื่องที่อยู่ในโรงงานเท่านั้นเองครับ... แต่!!! ถ้าต้องเป็นล่ามพาเจ้านายหรือพนักงานคนไทยไปเมืองนอก การที่เราเคยอาศัยอยู่ประเทศนั้น ๆ มาก่อนย่อมสร้างความได้เปรียบในการทำงานอย่างแน่นอนครับ ^^

ด้านทักษะทางภาษา แน่นอนว่าไปอยู่ต่างประเทศ ถ้าไม่เอาแต่สุงสิงกับคนไทยด้วยกันเองแล้วล่ะก็ ต้องเก่งขึ้นอย่างแน่นอน จะเก่งมากเก่งน้อยก็ขึ้นอยู่กับปริมาณการพูดว่าเป็นคนพูดมากหรือพูดน้อย การฟัง-พูด ของคนที่เคยไปอยู่ต่างประเทศส่วนใหญ่จะดีกว่าคนที่ไม่เคยไปอยู่แล้วครับ แต่คนที่ไม่เคยไป ถ้าอยู่ที่ประเทศไทย ก็เก่งได้ ด้วยการฝึก ฝึก ฝึก แล้วก็ฝึก เช่น ฟังเพลง ดูหนัง ดูอนิเม แล้วฝึกพูดตามบ่อย ๆ ครับ (แต่ผมก็ไม่เคยทำนะ ผมมันคนขี้เกียจ TAT )

ส่วนทักษะด้านการเขียน การอ่าน นั้นไม่เกี่ยวกับสถานที่ครับ ขึ้นอยู่กับความพยายามของแต่ละบุคคล อยู่ที่ไหนก็เก่งได้ถ้าขยัน เพราะเดี๋ยวนี้หนังสือหรือเว็บไซต์ภาษาต่างประเทศมีมากมาย อยู่ที่การไขว่คว้าครับ ^^ เพราะงั้นถ้าถามว่าเสีย เปรียบหรือได้เปรียบกันอย่างไร...ถ้าเป็นด้านภาษา ก็คงเป็นเรื่องสภาพแวดล้อมที่เอื้ออำนวยต่อการฝึกฝนต่างกันนั่นแหละครับ... คนที่อยู่ต่างประเทศ มีสื่ออยู่รอบตัว (ผู้คน, โทรทัศน์, วิทยุ, ป้ายประกาศ, หนังสือ, ฯลฯ) แต่คนที่อยู่ประเทศไทย ต้องไขว่คว้าหาสื่อ...ที่เหลือก็ต้องวัดกันที่ความพยายามล่ะครับ ^^ แต่หากดูด้านประสบการณ์...คนที่อยู่เมืองนอกจะได้เปรียบนะครับ เช่น เวลาสมัครงาน...หากความสามารถทางภาษาเท่ากัน (หมายถึงดูจากเอกสาร...เช่น...ใบสอบวัดระดับ ได้ระดับสองเท่ากัน...) คนที่เคยไปอยู่เมืองนอกมาย่อมสะดุดตามากกว่าครับ


3) แล้วถ้าเปรียบเทียบการเป็นล่าม กับการเป็นคนแปลหนังสือหรือแปลเอกสาร มีข้อแตกต่างกันมากน้อยแค่ไหนยังไง

คนเป็นล่ามจะต้องฟัง ทำความเข้าใจ แล้วพูดออกมาเป็นภาษาของตนเอง (อาจมีเวลาเปิดพจนานุกรมหาคำศัพท์ได้ในบางกรณี แต่ส่วนใหญ่จะต้องแปลไปก่อน แล้วค่อยมาค้นหาคำศัพท์ทีหลัง) บางงานที่มีเวลาเตรียมตัวล่วงหน้า รู้ว่าจะต้องแปลเกี่ยวกับอะไร หรือได้รับเอกสารมาก่อน ก็สามารถเตรียมคำศัพท์ที่คิดว่าจะต้องใช้ รวมถึงคำศัพท์ที่ไม่เข้าใจเอาไว้ก่อนได้ (เหมือนเก็งข้อสอบนั่นแหละครับ) ส่วนคนแปลหนังสือ แปลเอกสาร จะต้องอ่านต้นฉบับภาษาต่างประเทศ จากนั้นก็ค้นหาความหมายของคำศัพท์ที่ไม่เข้าใจ (ซึ่งคนแปลหนังสือและเอกสารก็จะมีเวลาหาคำศัพท์ ค้นคว้าข้อมูลได้มากกว่า) จากนั้นก็ทำความเข้าใจในเนื้อหา แล้วเรียบเรียงออกมาเป็นภาษาของตนเอง แต่สิ่งที่สำคัญสำหรับงานทั้งสองแบบก็คือ ความถูกต้องในการแปลนั่นเอง ^^




 

Create Date : 29 ตุลาคม 2551    
Last Update : 30 ตุลาคม 2551 11:31:57 น.
Counter : 1159 Pageviews.  

1  2  

monboy01
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 4 คน [?]




Friends' blogs
[Add monboy01's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.