6. เรื่องของเด็กเก็บหอยโข่ง

จากนี้นับถอยหลังไปประมาณ 40 กว่าปี อ.คำชะอีถูกกำหนดให้เป็นเขตพื้นที่สีชมพูมีเหตุการณ์ต่าง ๆ เกิดขึ้น และมีเรื่องเล่าต่อ ๆ กันมามากมาย

เข้มกับนิดเป็นทั้งญาติและเพื่อนที่สนิทกัน ทั้งสองชอบไปไหนมาไหนด้วยกันเสมอ อีกทั้งบ้านยังอยู่ใกล้กันอีก เด็กชายเข้มเรียนชั้นประถมปีที่ 3 ส่วนเด็กหญิงนิดเรียนชั้นประถมปีที่ 2  บ่ายของวันที่อากาศร้อนชื้นอบอ้าว จนรู้ถึงความเหนียวเหนอะนะของเหงื่อไคลที่ไหลย้อย   ไม่นานฝนก็เทเม็ดลงบนอาคารเรียนหลังเก่ามุงด้วยสังกะสี

เสียงเม็ดฝนดังโครม ๆ อย่างไม่ปราณีว่าหลังคาจะรับแรงน้ำหนักของเม็ดฝนได้หรือไม่ ตามด้วยเสียงฟ้าผ่าเปรี๊ยงแสบแก้วหู ฟังดูน่ากลัว เด็กนักเรียนตัวน้อย ๆ ตัวสั่นงันงกและต่างพากันมานั่งล้อมที่โต๊ะครูอุดม ครูวัยห้สิบเศษ ๆ ด้วยความกลัว   พอเสียงสายฟ้าฟาดเปรี้ยงมาอีกที เด็กผู้หญิงบางคนร้องไห้จ้า ครูต้องดึงแขนนักเรียนเข้ามานั่งใกล้ ๆ และพูดปลอบโยนให้คลายความกลัว ฝนตกอยู่นานจากนั้นก็เริ่มซาเม็ดและหยุดไป  

ชีวิตของเด็กบ้านอกที่ทำมาหากินอยู่กับท้องไร่ท้องนา ถ้าวันไหนฝนตกหนัก น้ำหลากตามถนนตามสนามหญ้า วันนั้นจะมีกิจกรรมให้ทำ เด็กบางคนก็เตรียมไต้ ไปจับกบ เขียดที่ลงมากินน้ำใหม่ตามหนองน้ำ ตามทุ่งนา วันนี้ก็เช่นกัน ฝนตกนานเกือบสองชั่วโมง นักเรียนบางคนรีบลุยฝนกลับบ้านก่อนที่ระฆังจะรัวสั่นบอกเลิกเสียอีก บางคนก็มีพ่อแม่มารับที่โรงเรียน โดยนำเอาร่ม หรือไม่ก็แผ่นลาสติกกันฝนมาให้ลูกด้วย          

           “นิด..เรารีบกลับกันเถอะ.. น้ำเจิ่งนองอย่างนี้ หอยโข่งออกมาไต่ยั้วเยี้ยเลยแหละ” เข้มวิ่งไปบอกนิดที่ห้องเรียนชั้น ป.2 พอเข้มพูดจบ นิดก็รีบคว้ากระเป๋าผ้าฝ้ายสีตุ่น ๆ  เธอถือทูนไว้ที่หัวมือหนึ่ง อีกมือหนึ่งถลกกระโปรงขึ้นให้เหนือเข่า และเท้าเปลือยเปล่าของเธอวิ่งลุยน้ำเฉอะแฉะบนถนน ตรงไปที่บ้าน พอถึงบ้านเธอก็รีบผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้า คว้าได้ข้องใบเล็กกึ่งวิ่งกึ่งกระโดดออกจากบ้าน เข้มยืนรออยู่ก่อนแล้ว  จากนั้นทั้งสองก็รีบวิ่งไปยังทุ่งนา ซึ่งอยู่ใกล้ ๆ กับหมู่บ้าน

        “มาเร้ว..วิ่งแข่งกันว่าใครจะไปถึงก่อน” เข้มตะโกนขึ้น จากนั้นทั้งสองก็เริ่มต้นวิ่ง วิ่งไปหัวเราะไปเสียงหัวเราะของทั้งดังไปตลอดเส้นทางลงสู่แปลงนา             “ใครไปถึงก่อน เก็บได้มากกว่า” นิดที่กำลังวิ่งแซงเข้มหันมาตะโกน พอไปถึงทุ่งนา เด็กทั้งสองลงเดินลุยน้ำตามแปลงนาตาก็สอดส่ายหาหอยโข่ง เวลาเจอพร้อมกันก็แย่งกันเก็บอย่างสนุกสนาน ทั้งสองเดินเลาะคูนาไปเรื่อย ๆ จากแปลงนี้ไปแปลงนั้น จนเดินไปถึงแปลงที่ลุงใบกำลังเทียมควายไถนาเพื่อเตรียมแปลงต้นกล้า          

            “นี่มาเก็บแถวนี้สิ เยอะแยะเลย” ลุงใบเพื่อนบ้านของเข้มกับนิดซึ่งเป็นเจ้าของที่นาเรียกเด็กๆ ด้วยความเอ็นดู เข้มกับนิดรีบเดินลุยน้ำตรงไปที่บริเวณที่ลุงใบชี้บอก ขณะที่ทั้งเข้มและนิดกำลังก้มเก็บหอยโข่งอย่างสนุกสนานอยู่นั้น  พลันก็ต้องสะดุ้งกับเสียงที่ได้ยิน         

             “ปัง ปัง ปัง.....” เสียงปืนเอ็มสิบหกรัวหลายชุดติดต่อกัน เสียงดังจนแสบแก้วหู หัวกระสุนแหวกว่ายอากาศมาตกลงตรงหน้าเด็ก ๆ เสียงดังป๋อมแป๋ม ป๋อมแป๋ม          

             “หลบเร็ว หลบเร้ว ไปบังคูนาเร้ว” เสียงลุงใบตะโกนบอกเด็ก ๆ ตัวแกเองรีบโยนไถทิ้งแล้วหมอบราบลงตรงพื้นน้ำมือยังคงจับเชือกผูกควายไว้ แกโผล่ครึ่งหัวพอให้หายใจได้ เด็กทั้งสองวิ่งไปหมอบใกล้ ๆ กับคูนาตามคำสั่งของลุงใบ... จากนั้นทุกสิ่งทุกอย่างก็เงียบ ..ลุงใบรีบเก็บไถและจูงควายเข้าบ้านอย่างเร่งรีบ โดยมีนิดกับเข้มเดินเกาะชายเสื้อลุงใบกึ่งวิ่งกึ่งเดินกลับบ้านด้วย เมื่อเด็กทั้งสองกลับถึงบ้าน ต่างก็สั่นงันงกขณะเล่าให้พี่ ๆ ฟัง          

             “มันตกป๋อม ป๋อมตรงหน้าพวกเราเลยนะ” นิดเล่าพร้อมกับหันไปขอเสียงสนับสนุนจากเข้ม          

            “ใช่ บางนัดก็ตกข้าง ๆ  ตกใจ กลัวและไม่รู้จะทำอย่างไร” เข้มเสริมขึ้น             “ใช่ จนได้ยินสียงลุงใบตะโกนบอกนั่นแหละ เข้มจึงฉุดแขนน้องพาวิ่งไปหลบอยู่หลังคูนา” นิดเล่าต่อ ค่ำวันนั้นผู้คนในหมู่บ้านคุ้มเหนือ ต่างก็ได้ยินเสียงปืนรัวดัง ต้นเสียงมาจากตรงทางโค้งบริเวณใกล้ป่าช้าก่อนจะเข้าหมู่บ้าน ซึ่งป่าช้าอยู่ฝั่งตรงกันข้ามกับทุ่งนา มีเสียงวิพากษ์วิจารณ์กันในกลุ่ม และไม่มีใครกล้าออกไปตรวจดูที่เกิดเหตุ

ณ ช่วงเวลานั้น ภาพที่ชาวบ้านในหมู่บเห็น แต่ทำอะไรไม่ได้ ได้แต่ยืนมอง คือ ฝุ่นคุ้งตลบไปทั่วหมู่บ้านเมื่อรถเครนหลายสิบคันลากท่อนซุ่งขนาดใหญ่ลำต้นขนาดคน สอง-สามคนโอบ ความยาวยี่สิบกว่าเมตร ออกมาจากป่าใกล้ ๆ หมู่บ้านนั้น ซึ่งมีอยู่แห่งเดียว และเป็นป่าทึบที่มีความอุดมสมบูรณ์ เต็มไปด้วยสัตว์ป่านานาชนิด  รถลากจะวิ่งไปตามผนนที่ตัดผ่านใจกลางหมู่บ้าน การลากขนทำนานนับเดือน ทั้งตอนกลางวันและกลางคืน โดยมีนายทุนที่คนในหมู่บ้านไม่มีใครรู้จักมาสัมปทานและมีเจ้าหน้าที่ของรัฐกับพรรคพวกคุมกิจการอยู่ และในวันที่เสียงปืนรัวดังหลายชุดชาวบ้านก็คาดเดากันว่า ขณะที่ชุดดูแลกิจการไม้ขับรถออกมาจากป่าและกำลังมุ่งหน้ากลับบ้าน..และมือปืนที่ดักซุ่มคอยอยู่บริเวณทางโค้งตรงป่าช้า... เย็นวันนั้น มือปืนพลาดเป้า..

ผ่านไปอีกประมาณหนึ่งสัปดาห์  ชาวบ้านก็มีเรื่องเล่ากันอีก คราวนี้เรื่องเกิดขึ้นที่ตัวอำเภอ ชาวบ้านพูดกันให้แซ่ดว่า ในที่สุดก็หนีไม่พ้น กรรมใดใครก่อก็ย่อมรับกรรมไป ..เป้าหมายคือนเดียวกันกับครั้งที่แล้ว แต่คราวนี้เสียงปืมเอ็มสิบหกก็ไปรัวดังที่บ้านของหัวหน้าชุดที่คุมกิจการขนไม้..และมือปืนเจอเป้านิ่ง ..เป็นการปิดฉากความร้อนระอุของพื้นที่สีชมพูไปอีกฉากหนึ่ง

เข้มกับนิดได้มีโอกาสเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นกับพวกตนตอนไปเก็บหอยโข่งให้ตาพูนฟัง  แกอายุเจ็ดสิบกว่าแล้ว แกมีอาชีพจักสานไม้ไผ่ และชอบเล่านิทานให้เด็ก ๆ ฟัง เข้มกับนิดชอบมานั่งฟังเรื่องที่แกเล่า เรื่องที่เล่าบางเรื่องแกก็แต่งขึ้นเอง และแกจะชอบเวลาแกนั่งสานข้องสานตะกร้าแล้วมีคนมานั่งคุยเป็นเพื่อน          

         “ตาก็ได้ยินเขาเล่าให้ฟังเหมือนกัน” แกเงียบก้มมองลายสานในมือก่อนจะพูดต่อ “ และนี่ก็เป็นรายที่ 4 และก็เป็นรายสุดท้ายของการดับชีวิตเพ็ฒชฆาตโดยฝีมือของทางการ” ตาพูนพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ         

         “ทำไมถึงมั่นใจว่าทางการเป็นคนทำล่ะครับ” เข้มถามขึ้น ตาพูนเม้มปากสนิท ทำหน้าครุ่นคิดเหมือนพยายามดึงเอาภาพเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่อยู่ลึกในก้นบึ้งของความทรงจำออกมา นี่คือเรื่องเล่าของตาพูน        

          “เป็นเวลานับ 10 กว่าปีมาแล้วที่ท้องที่อำเภอของเราเดือดลุกเป็นไฟมาตลอด.. มันเริ่มต้นมาจากพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทยถือกำเนิดขึ้น และมีการปลุกระดมมวลชนเพื่อหาแนวร่วม ทางฝ่ายรัฐบาลก็พยายามต่อต้านและกวาดร้าง  บังเอิญพื้นที่อำเภอของเราอยู่ติดแนวภูเขาที่ทอดยาวผ่านหลายจังหวัด เป็นที่หลบซ่อนของผู้ไม่หวังดีต่อประเทศไทย แต่ปัญหาที่สำคัญก็คือ เจ้าหน้าที่ของรัฐบางคนที่ดำเนินนโยบายผิดพลาด อย่างเช่น การประกาศว่าใครที่ขึ้นภูเขา ไม่ว่าจะขึ้นไปทำไร่ทำสวนจะถูกตั้งข้อหาว่าเป็นคอมมิวนิสต์หมด และต้องฆ่าให้หมด และก็ไดลงมือฆ่ากันไปหลายรายแล้ว จึงทำให้ญาติพี่น้องของผู้ถูกฆ่าไม่พอใจ จึงลุกฮือขึ้นต่อต้าน และผู้มีอำนาจของทางการเองก็มีลูกน้องหรือมือเพ็ฒชฆาตที่ต่อมากลายเป็นนักเลงโตที่มีชื่อเสียงขจรขจายไปทั่วทั้งหมดอยู่ 4 คนด้วยกัน ที่ใครๆ ได้ยินชื่อก็ต้องหดหัวเอาไว้ก่อน..ปล้น..จี้..ฆ่า คืองานที่พวกเขาถนัด พวกเขาจะเที่ยวออกปล้นรีดไถชาวบ้าน แล้วตั้งข้อกล่าวหาว่าพวกนั้นเป็นพวกคอมมิวนิสต์ เพื่อที่จะได้ปิดปาก  หรือไม่ก็ป้ายความผิดว่าเป็นการกระทำพวกคอมมิวนิสต์ ชาวบ้านที่โดนกลั่นแกล้งไม่มีสิทธิ์ร้องเรียน เพราะคนกลุ่มนี้เป็นลูกน้องนายอำเภอ..จึงเป็นการสร้างกระแสความขัดแย้งและก่อศัตรูขึ้นมามาย เมื่อเหตุการณ์รุนแรงมากขึ้นจนถึงขั้นจะลุกลามไปทั่วทางการก็ส่งสายลับออกมา..แต่บางรายก็ถูกทางเจ้าหน้าที่ฆ่า..ด้วยเหตุผลอันใดก็ยากจะเข้าใจได้  และในที่สุดทางการก็เริ่มเข้าใจเหตุการณ์ต่าง ๆ  มีการโยกย้ายสับเปลี่ยนผู้นำระดับอำเภอบ่อย ๆ และหลังจากค่ายทหารถูกโจมตีจนแตกกระจุย ..เหตุการณ์นั้นเลวร้ายที่สุดเท่าที่เกิดขึ้นในแผ่นดินตรงนี้.. หลังจากนั้นแนวนโยบายของทางรัฐก็เปลี่ยนไป และเริ่มจะมองไปที่ต้นตอที่ก่อให้เกิดความแตกแยก..และยรรดานักเลงโตทั้งสี่คนก็เริ่มถูกสอยลงทีละราย ๆ จนหมด จะเห็นว่าลักษณะและวิธีการจัดการเหมือนกัน คือ ใช้ปืนเอ็มสิบหก และไม่มีการสืบพยาน .. เสือใบตายที่ไร่นาของคนเอง  ..เสือกล้าตายใกล้วัดป่ากำลังจะเดินทางกลับบ้านตอนค่ำมืดตรงทางแยกหลังภูเขา  เสือโดด ตายระหว่างขี่รถมอเตอร์ไชค์กลับบ้านบนเส้นทางที่กำลังจะขึ้นภู  และล่าสุดก็ตายที่บ้านของตนเอง  ..ขอให้ลูกหลานจงเรียนรู้จากอดีต เพื่อวันหน้าที่ดีกว่า..”  ตาพูนจบเรื่องเล่าจากพื้นที่สีชมพูเอาไว้แค่นี้Smiley  




Create Date : 01 เมษายน 2555
Last Update : 1 เมษายน 2555 22:02:56 น.
Counter : 1193 Pageviews.

0 comment
5. ตะลุยค่าย

จากนี้นับถอยหลังไปประมาณ 40 กว่าปี อ.คำชะอีถูกกำหนดให้เป็นเขตพื้นที่สีชมพูมีเหตุการณ์ต่าง ๆ เกิดขึ้น และมีเรื่องเล่าต่อ ๆ กันมามากมาย ณ ค่ำคืนเดือนมืด ที่สรรพสิ่งทั้งหลายหลับใหล เหล่าสกุณาที่ส่งเสียงร้องแต่หัวค่ำก็เงียบหายไปแล้ว ยังคงมีแต่เสียงจิ้งหรีดเรไรที่ยังคงส่งเสียงร้องมาจากแปลงนารอบ ๆ ค่าย อากาศเริ่งเปลี่ยนทิศทาง ต้นไม้ใบไม้ลู่ลมไปทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ ตามกระแสลมที่พัดมาจากทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือ นี่เป็นสิ่งเตือนให้ทราบว่าหน้าหนาวเริ่มย่างเข้าสู่หน้าหนาวแล้ว  รอบ ๆ ค่ายมีทหารอยู่เวรยามอยู่ 4-5 คน ที่เหลือก็นอนหลับใหลอยู่ในเพลิงพัก.. 8ค่ายเชิงเขาแห่งนี้ อยู่บนเนินใกล้ ๆ กับหมู่บ้านที่อยู่ใกล้ ๆ กับภูเขา หมู่บ้านที่ถูกกล่าวหาว่าจะร่วมก่อความไม่สงบขึ้นภายในประเทศ และการมาตั้งค่ายทหารอยู่ตรงนี้ ที่มีทหารเดินขวักไขว่เปลี่ยนเวรยามเข้าออก มันเหมือนเป็นการประกาศให้ชาวบ้านที่อยู่ใกล้บริเวณนั้นได้รับรู้เจตนารมณ์ของทางการ และจำเป็นจะต้องใช้มาตรการที่เด็ดขาด ตามนโยบายของทางอำเภอที่ประกาศออกมาแล้วว่า ‘ใครขึ้นเขาฆ่าให้หมด’           อ.ส.สุบัน เข้าเวรยามรักษาการณ์จากเที่ยงคืนถึงรุ่งเช้า เขาเอนหลังพิงเพิงค่ายที่เป็นลำต้นไม้เล็กกลม ๆ ฝังวางตั้งติด ๆ กัน ๆ เป็นแนวกั้นรั้วรอบขอบชิด ลมต้นฤดูหนาวเริ่งกรรโชกแรงเป็นระยะ ๆ ทำให้เขาต้องลู่ไหล่หลบลมหนาว เขากระชับปืนเอ็ม 16 แนบกาย มันทำให้รู้สึกอุ่นขึ้น เขาคิดผ้าห่มอุ่น ๆ นอนนุ่ม ๆ ที่บ้าน คิดถึงภรรยาและลูกสาวคนแรกคนเดียวของเขาที่อ้วนจ้ำม้ำกำลังหัดคลาน           ‘พรุ่งนี้ออกเวรแล้วจะกลับไปเยี่ยมบ้าน’ เขาคิดในใจ  

 

บ้านของ อ.ส.สุบันอยู่ในตัวอำเภอ..ห่างจากค่ายประมาณ 10 กิโลเมตร แต่กระนั้นก็ตาม เขามีเวลากลับบ้านน้อยมาก เพราะกองร้อยที่นี่ มีทหารไม่มากนัก ต้องผลัดเปลี่ยนกันอยู่เวรยามและออกลาดตระเวณทุกคืน ‘เพื่อกวาดล้าง’ ตามนโยบาย  

 

          ‘บ้านเมืองสงบสุขเมื่อไหร่ จะลาออกจากการเป็นอ.ส. และหาอาชีพอื่นทำ’ เขาวาดฝันโครงการและรู้สึกเป็นสุขอยู่ลึก ๆ นึกถึงที่ดินผืนใหญ่ที่เป็นมรดกตกทอดอยู่ท้ายหมู่บ้านในตัวอำเภอ เขากะวางแผนจะทำไร่นาสวนผสม ขุดบ่อเลี้ยงปลา ปลูกพืชผักส่งแม่ค้าในตลาด ครอบครัวได้อยู่กันพร้อมหน้า และไม่ต้องมาอดหลับอดนอนถือปืนรบราฆ่าฟันพี่น้องกันเองอย่างนี้ เขาเหลือบดูเวลาที่หน้าปัดนาฬิกาไซโก้ที่ข้อแขนเรือนที่ภรรยาเขาซื้อให้ตอนที่จะออกมาประจำอยู่ค่าย‘ตีสอง’ เขาพึมพำเบา ๆ  ‘เวลาอยู่เวรยาม หรือไปไหน ๆ จะได้รู้เวล่ำเวลา’ เสียงภรรยาของยังก้องในหัว เขาอดอมยิ้มไม่ได้กับความห่วงใยเอาใจใส่ของภรรยา ‘ถ้าไม่จำเป็น หรือถ้าเลี่ยงได้ ..พี่อย่าทำร้ายหรือ..เอ่อ..อย่ายิงใครนะ มันจะเป็นบาป’ แน่นอน ถ้าไม่จำเป็นเขาจะไม่ทำ อย่างมากก็แค่รัวปืนขึ้นฟ้าเป็นการขู่แค่นั้นเอง คืนนี้ก็คงเหมือนกับอีกหลาย ๆคืนที่ผ่านมาที่เขาจะลงบันทึกการรายงานว่า’เหตุการณ์ปกติ’ เขาจัดท่าเอนหลังพิงให้สบายขึ้นเพื่อจะได้งีบพักสักหน่อย พลันเขาก็ได้ยินเสียงนกเค้าแมวที่ทำเสียง ‘กู้’ ในลำคอดัง ๆ และบินโฉบไปอย่างเร็ว เขาแหงนหน้ามองดูมันฝ่าความมืดเขามองไม่เห็น แต่สัมผัสได้เพียงเสียงกระพือปีกของมันดังพลึบพลับ บินสูงผ่านหัวเขาไป พลันเขาก็รู้สึกเสียวสันหลังวูบ เสียงจิ้งหรีดหริ่งเรไรที่ระงมมาตลอดตั้งแต่หัวค่ำหยุดกึก..เขาเพ่งสายตามองออกไปตรงหน้า มันมีแต่ความมืดและความเงียบ สัญชาติตญาณบางอย่างบอกให้เขาลุกขึ้น และสายตาก็ยังพยายามที่จะมองฝ่าความมืดออกไปยังท้องทุ่ง ทันใดนั้นเขาก็มองเห็นแสงว๊าบขึ้นเร็วดุจสายฟ้าแลบและตามด้วยเสียง ‘ตูม ตูม ตูม’ ดังขึ้นพร้อมกันหลาย ๆ จุด ร่างของ อ.ส.สุบันกระเด็นไปตามความแรงของแรงสั่นสะเทือน  เช้าวันนั้น ขณะที่เฮิงฟางเดินผ่านถนนที่ว่าการอำเภอเพื่อจะไปโรงเรียน บรรยากาศในตอนเช้าดูมืดครึ้มทบนท้องฟ้าปกคลุมไปด้วยเมฆสลัว ๆ ทั้ง ๆ ที่ไม่ใช่หน้าฝน แต่กำลังจะย่างเข้าสู่หน้าหนาวต่างหากล่ะ ผู้คนยืนจับกลุ่มคุยกันมากมาย แต่การเคลื่อนไหวของพวกเขาดูเชื่องช้า เลื่อนลอยเหมือนคนที่ไร้ชีวิตจิตใจ ใบหน้าของแต่ละคนซีดเผือด นัยย์ตาแดงกล่ำ แฝงด้วยแววหวาดหวั่น เสียงพูดคุยเบา ๆ  เสียงกระซิบกระซาบ ผู้คนเดินเข้าเดินออกบริเวณถนนหน้าที่ว่าการของอำเภอเขตพื้นที่สีชมพู แต่เฮิงฟางไม่มีเวลาจะเฝ้าสังเกตเพราะเดี๋ยวจะไม่ทันเข้าแถวเคารพธงชาติพร้อมเพื่อน ๆ แล้วจะถูกครูเวรทำโทษ เธอจึงรีบเดินผ่าน จนไปถึงรั้วโรงเรียนเธอกล่าวสวัสดีคุณครูที่คอยยืนต้อนรับอยู่หน้าประตูก่อนจะเดินผ่านประตูใหญ่เข้าไป พอไปถึงอาคารเรียน ติ๊กเพื่อนร่วมชั้นฉายาผู้สื่อข่าวประจำห้องรีบวิ่งกระหืดกระหอบหน้าซีดเผือดมาหาเธอ           “ฟาง ..เกิดเรื่องใหญ่แล้ว..ใหญ่มากเลย”           “เรื่องอะไรหรือ” เฮิงฟางถามสวนกลับไปเพราะตกใจที่เห็นสีหน้าของติ๊ก           “คอม..มิวนิสต์..ถล่มค่ายทหาร” ติ๊กเล่าอย่างตะกุกตะกัก           “ฮ้า!! ที่ไหนล่ะ”           “ที่ค่ายเชิงเขา..ใกล้บ้านของเออ..ไช..นั่นแหละ”           “พวกเธอคุยอะไรกันอยู่” พอดีไหมเพื่อนอีกคนวิ่งเข้ามาสมทบ“นี่พวกเธอ..ฉันได้ยินคนที่ตลาดเขาเล่า”           “ก็ฉันกำลังเล่าอยู่นี่ไง..มีหทราตายนับสิบ” ติ๊กรีบชิงพูดขึ้นก่อนที่ไหมจะตัดหน้าช่วงข่าวเด็ดไปก่อน เฮิงฟางหน้าซีดจนแทบจะเป็นลมกับเรื่องที่เธอได้ฟัง           “แล้วลุงของเธอที่เป็น อ.ส.ล่ะ” ไหมถามข่าวคราวลุงของติ๊กด้วยความเป็นห่วง           “จุ๊ ๆ “ ติ๊กเอามือจุ๊ปาก เป็นสัญญาณให้เพื่อนอีกสองคนเงียบ แล้วมองซ้ายมองขวา ก่อนจะเล่าต่อ           “ป้าฉันเล่าว่า ..มีญาติห่าง ๆ แอบมาเตือนล่วงหน้า ..บอกให้ลุงอย่าไปนอนที่ค่าย” ติ๊กเล่าถึงตอนนั้น เสียงสัญญาณออดเข้าแถวในตอนเช้าก็ดังขึ้น  นักเรียนหกร้อยกว่าคนต่างมารวมกัน ร่วมเข้าแถว เคารพธงชาติ สวดมนต์ไหว้พระ พอเสร็จกิจกรรมในตอนเช้า อาจารย์ใหญ่ก็ขึ้นกล่าวหน้าเสาธง โดยจับใจความได้ว่า มีความรุนแรงที่อยู่รอบ ๆ ตัว ขอให้นักเรียนกำซับผู้ปกครอง อย่าได้หลงเชื่อผู้ไม่หวังดีต่อประเทศชาติ และเล่าถึงการโจมตีค่ายทหาร มีผู้เสียชวิต และมีผู้บาดเจ็บ แต่ยังไม่ทราบจำนวนที่แน่นอน จากนั้นจึง เชิญชวนให้นักเรียนทุกคนยืนสงบนิ่งหนึ่งนาทีเพื่อร่วมไว้อาลัย หลังจากกิจกรรมหน้าเสาธงเสร็จ เพื่อน ๆ ในห้องต่างก็เหลือบมองไชยะบ่อย ๆ เพราะอยากรู้ว่าเขารู้เรื่องที่เกิดขึ้นก่อนใครอื่นหรือไม่ ชุมชนในหมู๋บ้านของเขามีส่วนด้วยหรือไม่.. แต่ไชยะก็ยังคงเป็นไชยะคนเดิม นิ่ง เงียบ ไม่มีมีเสียงพูด และรอยยิ้ม เลิกเรียนในวันนั้น เฮิงฟางเดินกลับเส้นทางเดิมและต้องผ่านถนนสายที่ว่าการอำเภอ เธอกวาดสายตามองรอบ ๆ บริเวณนั้น  เห็นผู้คนมากันมากมาย หลายคนร้องไห้สะอึกสะอื้น  เด็กรุ่นราวคราวเดียวกันกับเธอบางคนก็ร่วมร้องไห้กับผู้ใหญ่ พวกเขาคงสูญเสีย เฮิงฟางคิดในใจ จากภาพที่เห็นเธอไม่สามารถเดินผ่านไปเฉย ๆ ได้ แรงขับความอยากรู้อยากเห็นของเธอ กระตุ้นให้เธอเดินเลี้ยวเข้าถนนสายหน้าที่ว่าการอำเภอ เดินตรงไปที่บริเวณที่คนเนืองแน่นไปหมด มีทั้งทหาร อ.ส. ญาติและกลุ่มคนอยากรู้อยากเห็น ผู้คนเดินเข้าเดินออก เธอมองดูรอบ ๆ คนที่ใส่ชุดนักเรียนไม่ใช่มีเธอเพียงคนเดียว ยังมีนักเรียนชายหญิงรุ่นพี่เธออีกหลายคนมาร่วมสังเกตการณ์ด้วย   เธอเดินผ่านอาคารที่ว่าการอำเภอไปยังหอประชุมอาคารไม้ สถานที่ ๆ มีคนยืนอออยู่หน้าประตูทางเข้า เสียงร้องไห้ระงม  เสียงกระซิบกระซาบ สีหน้าบางคนซีดเผือด บางคนแดงกล่ำ..ไม่มีรอยยิ้มและเสียงหัวเราะ บางคนก็เอามือปิดจมูกทำเสียงฟิด ๆ บางคนน้ำตาคลอหน่วย  มีทหารถือปืนยืนอยู่บริเวณทางเข้าประตู คอยกันไม่ให้คนเข้าไปข้างใน เฮิงฟางพยายามเดินเบียดแทรกเข้าไปให้ใกล้ประตูมากที่สุดเพื่อจะได้มองเห็นสิ่งต่าง ๆ ที่อยู่ข้างใน “ถอยไปก่อนครับ ยังไม่อนุญาตให้เข้านะครับ” ทหารที่ยืนถือปืนเฝ้ายามตรงประตูประกาศเสียงดัง สายตาของผู้ที่ยืนออตรงประตูทุกคู่จ้องเข้าไปข้างในอาคารหอประชุมหลังไม้เก่า ๆ เฮิงฟางรู้สึกถึงกลิ่นธูปที่โชยมาโป๊ะจมูกอย่างแรง  กลิ่นอับคาวเลือดคละเคล้ากันชวนอาเจียน  และภาพเบื้องหน้าข้างในหอประชุมที่เฮิงฟางมองเห็น คือร่างที่ห่อด้วยผ้าสีเขียวขี้ม้าของทหาร มัดจุกที่ปลายสุดทางหัวและปลายสุดทางเท้า มองดูเหมือนตัวดักแด้ยักษ์สีอึมครึมตัวโต ๆ  และปกคลุมด้วยธงไตยรงค์ผืนใหญ่..แน่นิ่งไม่ไหวติง วางเรียงรายกะระยะพองาม นับได้ทั้งหมด 9 ศพ  “ผมเป็นญาติกับผู้เสียชีวิตครับ ขอเข้าไปดูได้ไหมครับ” มีชายวัยกลางคนคนหนึ่งเดินเข้าไปถามเจ้าหน้าที่ “ยังไม่อนุญาตให้เข้าครับ จนกว่าเจ้าหน้าที่ส่วนกลางจะเดินทางมาถึง” ทหารที่ยืนรักษาการณ์อยู่ตอบ  ชายคนนั้นจึงได้แต่ยืนชะเง้อคอเหมือนกับญาติคนอื่น ๆ สำหรับเฮิงฟาง คนเหล่านี้อาจไม่ใช่ญาติของเธอ แต่ความรู้สึกภายในของเธอ .. ท้องใส้มันปั่นป่วนไปหมด ถ้าเธอไม่ตั้งสติให้ดี เธอก็คงจะทรุดฮวบลงกับพื้น.. มันเป็นความรู้สึกที่เธออธิบายไม่ถูก..แล้วนับประสาอะไรกับคนที่เป็นลูกเมียและญาติ ๆ เธอพยายามประคับประคองตัวเองให้เดินออกมาจากบริเวณนั้น เพื่อกลับบ้าน  ระหว่างทางกลับบ้าน เธอภาวนา ..อยากให้สิ่งที่เธอเห็นไม่ใช่เรื่องจริง เธออยากให้ตัวเองกำลังหลับอยู่ หลับแล้วก็ฝัน และ เมื่อตื่นขึ้นมาภาพพวกนั้นก็จะหายไปและเธอก็คงจะยิ้มได้ว่านั่นมันเป็นเพียงแค่ฝันร้าย วันต่อมาเฮิงฟางก็ไปโรงเรียนตามปกติ วันนี้ก็ยังรู้สึกหดหู่อยู่เลย บรรยากาศรอบ ๆ โรงเรียนก็พลอยหดหู่ไปด้วย.เสียงพูดคุย เสียงกระซิบกระซาบ ไม่แตกต่างอะไรกับบรรยากาสเมื่อวานที่เฮิงฟางเห็น เพียงแต่ว่า ในโรงเรียน ไม่มีผู้คนร้องไห้ พอเห็นติ๊กโผล่มาเธอรีบเดินเข้าไปหา           “ติ๊ก..เมื่อวานนี้ฉันไปดูศพมา” เธอพูดเหมือนคนใจลอย           “ฉันก็อยากไป..แต่แม่ฉันว่ามันไม่ดี ..เอ่อ..มันน่ากลัว..และอีกอย่างฉันกลัวผีด้วย เลยไม่กล้าไป” เธอพูดรัวเร็ว “แล้วเธอเห็นกับตามั้ยล่ะ”  เธอก้มกระซิบหน้าถามจนเกือบจะชิดใบหน้า เฮิงฟางเพียงแค่พยักหน้า           “เขาเล่ากันที่ตลาดนะ ..ว่านี่เป็นการแก้แค้นที่นายอำเภอฆ่าปู่ของ.. แล้วเสียบหัวประจาน..” ติ๊กพูดขึ้น           “แสดงว่าชาวบ้านก็ร่วมด้วย” เฮิงฟางถามขึ้น           “เขาก็ว่าทำนองนั้นแหละ..และก่อนหน้านั้นก็เรื่องนักรบหญิง..” ติ๊กหยุดชะงักครู่หนึ่ง “..และมีบางคนก็รู้ล่วงหน้าว่าค่ายจะถูกโจมตี” ติ๊กหยุดก่อนที่จะพูดต่อ “นอกจากตายแล้ว บาดเจ็บอีกก็หลายคน เห็นว่ารบกันนาน ทั้งระเบิด ทั้งกระสุนปืน.. และค่ายแตกยับเยิน..มีเสียงไชโยโห่ร้องดังไปทั่ว” ณ เวลานี้ พื้นที่สีชมพูแห่งนี้ อาจจะต้องเพิ่มความเข้มของเม็ดสีเข้าไปอีกให้มันเข้มขึ้นกว่าเดิมเป็นแน่ ถ้าหากว่ายังไม่มีการยุติ ..เฮิงฟางแหงนหน้าขึ้นฟ้า แล้วหลับตาลงนิ่ง เนิ่นนาน ‘..ขอให้เรื่องเหล่านี้ผ่านพ้นไปเร็ว ๆ ด้วยเถิด..ขอฝนทิพย์จงช่วยดับไฟที่ร้อนละอุนี้ด้วยเถิด.. ขอให้บ้านเมืองจงอยู่อย่างสงบสุข ผู้คนเต็มไปด้วยรอยยิ้ม ..ขอให้วันพรุ่งนี้เป็นต้นไปเป็นวันที่ท้องฟ้าสดใจ ..’ Smiley

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

       

 

       

      

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 




Create Date : 01 เมษายน 2555
Last Update : 1 เมษายน 2555 21:48:45 น.
Counter : 466 Pageviews.

0 comment
4. ปู่ของไชยะ

จากนี้นับถอยหลังไปประมาณ 40 กว่าปี อ.คำชะอีถูกกำหนดให้เป็นเขตพื้นที่สีชมพูมีเหตุการณ์ต่าง ๆ เกิดขึ้น และมีเรื่องเล่าต่อ ๆ กันมามากมาย

 ไชยะเป็นนักเรียนรุ่นราวคราวเดียวกันกับติ๊ก ถึงแม้ว่าจะเรียนห้องเรียนเดียวกัน แต่ทั้งสองก็ไม่ค่อยสนิทสนมกันมากนัก เหตุเพราะไชยะเป็นคนไม่ค่อยพูด ไม่ค่อยจะสุงสิงกับใคร เขาเป็นคนรูปร่างสูงใหญ่และชอบเดินไปไหนมาไหนคนเดียว ติ๊กยังเคยคิดว่า ไชยะเป็นผู้ใหญ่เลยไม่อยากเล่นกับเด็กที่อายุน้อยกว่า ก่อนหน้านั้นไชยะจะปั่นจักรยานร่วม 10 กิโลเมตรมาโรงเรียนแบบเช้าไป เย็นกลับ แต่ไม่นานมานี้ไชยะก็ย้ายจากบ้านใกล้เชิงเขามาพักอยู่กับญาติในตัวอำเภอ ติ๊กฉายาผู้สื่อข่าวประจำห้องได้เล่าเรื่องของไชยะให้เพื่อน ๆ ร่วมชั้นฟัง เนื่องจากญาติของไชยะอยู่ใกล้บ้านของติ๊ก

           “ไอ้ไชยะนี่นะอายุมันมากแล้วนะเธอ เห็นว่าจบชั้น ป.7 แล้วพักไปหลายปีแล้วจึงเข้ามาเรียน ม.ศ. 1” ติ๊กเล่าให้เพื่อนผู้หญิงในกลุ่มฟัง

           “ดูเหมือนเธอจะสอดรู้เรื่องของนายนั่นมากเลยนะ เธอชอบเขาใช่ไหมล่ะ”ไหมเพื่อนหญิงแหย่ขึ้น เล่นเอาติ๊กหน้าแดงเลย ไชยะมักจะขาดเรียนบ่อย ๆ บางครั้งวันศุกร์ก็ไม่มา ถึงวันจันทร์ก็ขาดอีก เวลาครูประจำวิชาถามเขาก็จะตอบเพียงสั้น ๆ ว่า ‘กลับบ้านครับ’ 

 แล้วก็ติ๊กอีกนั่นแหละที่ชอบนำเอาเรื่องต่าง ๆ ที่มีคนเล่าต่อ ๆ กันมา  เนื่องจากในตอนนั้นท้องที่ที่ทางการประกาศให้เป็นพื้นที่สีชมพูมักจะมีเรื่องเล่ามากมาย จริงเท็จแค่ไหนก็ไม่มีการตรวจสอบแต่จะเล่าต่อกันไปเรื่อย ๆ ไม่ใช่เป็นการเล่าเพื่อสนุกปาก แต่เป็นการแจ้งข่าวบอกต่อ ๆ กันไปว่า ตอนนี้ เรื่องพวกนั้น มันไปถึงไหนแล้ว และพวกเพื่อน ๆ ก็ชอบทุกเรื่องที่ติ๊กเล่า

           “นี่พวกเธอ มีคนเล่าให้ฉันฟังว่าครอบครัวของไชยะน่ะเป็นคอมมิวนิสต์” ติ๊กพูดด้วยเสียงกระซิบกระซาบ

 เพื่อน ๆ ที่คอยฟังอยู่ต่างส่งเสียงร้อง ‘ฮ้า พร้อม ๆ กันจากนั้นก็สุมหัวชิดกันเข้าไปเพื่อฟังติ๊กเล่าต่อ ลีลาการเล่าเรื่องของติ๊กชอบเว้นวรรคเพื่อยั่วยุ ยิ่งเพื่อนอยากฟังมากเท่าไร ติ๊กก็จะบรรจงจีบปากจีบคอเล่าช้า ๆ

           “ก่อนที่เขาจะย้ายมาอยู่นี่นะ ปู่ของเขาถูกฆ่า”

          “ถูกฆ่า หรือตายด้วยเหตุอื่น” ปอเพื่ออีกคนหนึ่งถามขึ้น

          “ถูกฆ่าตัดหัว..อุ้ย!” ด้วยความที่รำคาญที่เพื่อน ๆ ชอบซัก ติ๊กจึงโพล่งออกไปอย่างดัง แล้วก็รีบเอามืออุดปาก  เพื่อนที่ฟังอยู่พากันนั่งนิ่งอ้าปากค้าง

           “แกไม่ได้แต่งเรื่องขึ้นนะโว้ย” ไหมถามขึ้นเพื่อให้แน่ใจ ที่จริงในช่วงเวลานั้นข่าวเรื่องการรบราฆ่าฟันกันได้ยินได้ฟังบ่อย ๆ เพราะอยู่ในระหว่างการกวาดล้าง ผู้หลักผู้ใหญ่ต้องอยู่อย่างผวา ต้องระวังเนื้อระวังตัวเพราะไม่อย่างนั้นอาจจะถูกตั้งขอหาว่าเป็นพวกคอมมิวนิสต์และอาจจะโดนจับโยนเข้าคุกได้ง่าย ๆ เหมือนข้าราชการครูบางคนที่ไม่เห็นด้วยกับทางการที่แต่งตั้งให้ครูเป็นอาสาสมัครและติดอาวุธให้ แต่ถ้าใครคัดค้านหรือมีความคิดที่ขัดแย้งกับทางการก็จะได้เข้าไปนอนพักงานกินข้าวฟรีในคุกแทน  ฉะนั้นเวลามีเรื่องเล่าต่าง ๆ มักจะมาจากมูลความจริง

           “เธอก็รู้นี่ว่าลุงของฉันเป็น อ.ส. เขาเล่าให้ป้าฉันฟัง และป้าก็รีบวิ่งแจ้นมาถ่ายทอดให้แม่ฉันฟัง”  ติ๊กลอยหน้าด้วยมั่นใจในข้อมูลที่ได้มา

           “ทำไมเขารู้ล่ะว่าปู่ของ..เอ่อ..เป็นพวกนั้น” เพื่อนชื่อตุ่นที่นั่งร่วมวงอยู่ด้วยอดสงสัยไม่ได้ เพราะบางหมู่บ้านก็โดนกล่าวหาว่าเป็นพวกฝักใฝ่กันทั้งหมู่บ้าน แล้วการจะเจาะจงว่าใครเป็นฝ่ายไหนนั้นเขาดูกันตรงไหน

           “ป้าฉันเล่านะว่า เขาเล่าว่า ตอนแข่งกีฬาตำบล มีนักรบหญิงวางแผนจะฆ่านายอำเภอ แต่ช่วงที่ไปเปลี่ยนเสื้อผ้านั่นน่ะ โดนเจ้าหน้าที่นอกเครื่องแบบจับได้เสียก่อน จึงไม่สำเร็จไปตามแผน” พวกเพื่อน ๆ ต่างกระเถิบเบียดเข้าไปจนชิดติ๊ก ต่างก็ตั้งใจฟังเพราะเรื่องที่ติ๊กเล่ามันเหมือนในหนังบู้ของหนังขายยาที่นาน ๆ จะมาฉายให้ดูตามหมู่บ้าน

           “แล้วไงต่อ เล่าเร็ว ๆ หน่อย” ไหมใจร้อนอยากฟังต่อ

           “นายอำเภอโกรธมาก และกล่าวหาว่าชาวบ้านเป็นคนวางแผนและจะต้องหาคนมารับผิดชอบให้ได้”

           “แล้วทำไมต้องเป็นปู่ของไช..เอ่อ..ของนายนั่นล่ะ” ไหมพูดแทรกขึ้น

           “ก็เขาเล่าว่า เช้าวันนั้น  ปู่ของ..เอ่อ..ของเขา ขนข้าวสารและอาหารการกินเตรียมขึ้นภูเขาเยอะแยะเลยเจ้าหน้าที่ก็เลยจับตัวไว้ ตั้งข้อกล่าวหาว่าจะเอาเสบียงไปส่งให้กับพวกคอมมิวนิสต์”

           “แล้วเขาขนไปทำไมตั้งเยอะ” ปอถามขึ้น

           “ก็คนแถวนั้นนอนกินอยู่ในไร่บนเขา นานๆ จะลงมาทีและก็จะขนเสบียงไปตุนไว้เยอะๆ  ”

           “แล้วไงต่อ” ไหมเร่งให้ติ๊กเล่าต่อ

           “พอปู่ของไช..เออ..โดนจับ ก็ถูกฆ่าตัดคอ..แล้ว..เอ่อ..แล้ว..” เสียงติ๊กเบาลง และมองซ้ายมองขวาเหมือนเกรงว่าจะมีคนอื่นมาแอบได้ยินด้วย แล้วเธอกก็กระซิบกระซาบด้วยสีหน้าที่หวาดหวั่น “เขาเอาหัวเสียบประจานแห่อ้อมหมู่บ้านเพื่อไม่ให้คนอื่นเอาเยี่ยงอย่าง” ติ๊กรู้สึกถึงอาการชะงักงันของเพื่อน ๆ หลังจากติ๊กเล่าจบ ความเงียบก็เข้ามาแทนที่ ทุกคนนิ่งและต่างก็จินตนาการไปถึงภาพขบวนแห่ศีรษะเสียบประจานอันน่าสยดสยอง ถ้าได้ไปเห็นกับตาจริง ๆ หลายคนคงช๊อคกินไม่ได้นอนไม่หลับหลายคืนแน่ ๆ

           “โอ้..ทำไมมันโหดร้ายจังเลย” ไหมพึมพำออกมา

 ถ้าเรื่องที่ติ๊กเล่าให้ฟังเป็นเรื่องจริง แค่ได้ฟังยังขนหัวลุกเลย ทำไมมันป่าเถื่อนเหลือเกิน เพื่อน ๆ ในกลุ่มต่างสลดกับเรื่องราวที่ได้ฟังและรู้สึกสงสารไชยะอย่างจับใจ กลุ่มของเด็กหญิงจึงสัญญากันว่าจะพยายามเป็นเพื่อนที่ดีกับไชยะ จะไม่พลั้งเผลอพูดอะไรเกี่ยวกับเรื่องที่ได้ยินได้ฟังมาต่อหน้าเขา ... 

 ที่จริงติ๊กได้ยินมามันมากกว่านี้ ป้าของติ๊กได้ถ่ายทอดเรื่องขบวนแห่ให้ฟังอย่างชัดเจน และมันไม่ใช่หุ่นแต่งขึ้นมาแล้วเอาสีแดง ๆ มาทาแทนเลือดให้เลอะเปรอะเปื้อนเหมือนในหนังผีที่ฉายกันอยู่ทั่วไปแต่นี่มันของจริง .. รถของทางการนำหน้า ตามกล้วยกลุ่มทหาร อาสาสมัคร มีการประกาศโทรโข่ง เรียกร้องให้คนมาดู มีชาวบ้านไม่กี่คนที่กล้าออกมายืนดู ส่วนใหญ่ก็จะแอบมองลอดช่องประตูหน้าต่างออกดู บางคนสั่นเทิ้มด้วยความกลัว บางคนน้ำตาไหล บางคนหน้าแดงกล่ำฉายแววโกรธจัดและอาฆาต ปู่ของไชยะ ถึงแม้จะยังไม่แก่มาก แต่แกก็มีลูก มีหลาน มีญาติ มีพี่น้องที่คลานตามกันมา ..ในใจของพวกเขา ณ เวลานี้ มันเหมือนกับการเอาน้ำมันเทลาดลงบนกองไฟที่กำลังลุกโซนSmiley  




Create Date : 01 เมษายน 2555
Last Update : 1 เมษายน 2555 21:54:45 น.
Counter : 397 Pageviews.

0 comment
3. แผนสังหาร

จากนี้นับถอยหลังไปประมาณ 40 กว่าปี อ.คำชะอีถูกกำหนดให้เป็นเขตพื้นที่สีชมพูมีเหตุการณ์ต่าง ๆ เกิดขึ้น และมีเรื่องเล่าต่อ ๆ กันมามากมาย

 อาชีพของชาวบ้านในเขตพื้นที่สีชมพูส่วนใหญ่ทำไร่ ทำนา ทำสวน อีกทั้งยังชอบทำไร่เลื่อนลอย เสร็จจากหน้านาก็จะพากันขึ้นเขา และมีเทือกเขาสลับซับซ้อนที่มีทอดยาวติดต่อกับลภูเขาสำคัญในแถบจังหวัดใกล้เคียง กลุ่มชาวบ้านจึงไปทำไร่ทำสวนอยู่บนนั้น อาศัยอยู่กินที่นั่นเป็นแรมเดือน ทิ้งให้คนแก่คนเฒ่าเฝ้าบ้าน  เมื่อข้าวสารอาหารหมดก็จะลงมาจากเขาทีเพื่อรวบรวมสะสมเสบียง แล้วก็ขึ้นไปใหม่ ชีวิตความเป็นอยู่วนเวียนอยู่อย่างนี้เป็นเวลาเนิ่นนานหลายปี จนเวลาล่วงโรยมาสู่ยุคที่มีพรรคคอมมิวนิสต์จัดตั้งขึ้นในประเทศไทย  เนื่องจากลักษณะภูมิประเทศของแถบพื้นที่สีชมพูก็เป็นเส้นทางที่เอื้ออำนวยในหลาย ๆ อย่าง ไวม่ว่าจะเป็นเส้นทางลำเลียง ซ่องสุม ผานเทือกเขาที่ทอดตัวยาวเหยียด ทำให้ชาวบ้านที่ไปทำไร่อยู่บนเขาได้มีโอกาสพบปะกับกลุ่มผู้ซึ่งพยายามเผยแพร่แนวความคิด และเพื่อความอยู่รอด ไม่ขัดต่อฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง บางทีการจำเป็นต้องโอนอ่อนผ่อนปรนไปก็ต้องมีบ้างเพื่อความอยู่รอด บางครั้งกลุ่มชาวบ้านก็พยายามยืนอยู่ตรงกลาง ระหว่างฝ่ายรัฐบาลกับผู้ที่มีความขัดแย้งทางความคิด และก็เสี่ยงจากการถูกเพ่งเล็งจากทางการและอาจถูกตั้งข้อกล่าวหาได้  โดยเฉพาะประเด็นหลังที่มีแนวโน้มว่าจะรุนแรงระหว่างเจ้าหน้าที่ทางราชการกับชาวบ้านและนับวันจะทวีขึ้น 

  จากกลิ่นอายความร้อนระอุของดินแดนแห่งนี้ ผู้นำระดับอำเภอจึงมีการสับเปลี่ยนโยกย้ายกันบ่อยครั้ง และบางครั้งเจ้าหน้าที่ภาครัฐก็พยายามคิดหาแผนการที่จะลดช่องว่าง เพื่อก่อให้เกิดความเข้าใจอันดีต่อกัน         

             “ทางอำเภอแจ้งมาว่า  จะมีการจัดการแข่งขันกีฬาตำบลเพื่อให้หมู่บ้านต่าง ๆ เข้าร่วมแข่งขัน ” ทิดใหม่ซึ่งมีตำแหน่งเป็นกำนันประจำตำบลเรียกประชุมผู้ใหญ่บ้านในตำบลของตน และแจ้งให้ผู้ใหญ่ไปบอกลูกบ้านให้จัดเตรียมทีมนักกีฬา  การแข่งขันก็จะมีชักขะเย่อ วิ่งกระสอบ  ตะกร้อลวดห่วง  แชร์บอลล์  ตามนโยบายนายอำเภอคนใหม่ที่เยิ่งย้ายมารับตำแหน่ง และในการจัดงานครั้งนี้ก็มีนายอำเภอทำหน้าที่เป็นประธาน         

       “เตรียมทุกอย่างเรียบร้อยแล้วครับ ขบวนพาเหรดจะเริ่มเวลา 8 นาฬิกา ครับ” ทิดใหม่รายงานความคืบหน้าด้านการเตรียมงานแก่ปลัดอำเภอหนุ่มที่ออกไปติดตามผลการเตรียมงานด้วยภาษาไทยสำเนียงอิสาน          

       “ดีมากครับกำนัน..ขอรายละเอียดเพิ่มเติมหน่อยครับ” 

            “ขบวนพาเหรดของแต่ละหมู่บ้าน จะตั้งต้นที่ทางเข้าหมู่บ้านครับ จากนั้นก็ตะเคลื่อนเข้าสู่สนามโรงเรียนประจำตำบล” ทิดใหม่พยายามลำดับขั้นตอนให้ปลัดฟัง         

         “แล้วชาวบ้านที่อยู่บนเขา ได้เชิญชวนให้พวกเขาลงมาร่วมด้วยไหม กำนัน”           “แจ้งครับ บางคนก็ลงมา บางคนก็ไม่มา”  

          “งานนี้กำนันคิดว่าจะมีคนมาร่วมมากไหม”  

          “ก็คงเยอะอยู่ครับ” กำนันตอบด้วยเสียงที่บ่งบอกว่าไม่ค่อยมั่นใจ

พอใกล้ถึงวันแข่งขัน กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านและชาวบ้านกลุ่มหนึ่งก็จัดเตรียมสนามแข่งขัน ตัดต้นไม้ที่ขึ้นสูง ขุดปรับระดับของสนาม บางกลุ่มก็ไปตัดไม้ไผ่ลำโต ๆ เพื่อนำมาสร้างเป็นโครงเพลิงพักชั่วคราว แล้วไปตัดก้านมะพร้าวมาวางพาดหลายชั้นทำเป็นหลังคา เพื่อให้แสงแดดส่งผ่านได้น้อยที่สุด จากนั้นก็ไปยกแคร่มาวางจัดเตรียมเก้าอี้ ไว้เป็นที่พักสำหรับประธานและแขกเหรื่อที่จะมาร่วมงาน พอถึงเปิดการแข่งขันกีฬาประจำตำบล  นายอำเภอซึ่งเป็นประธานในพิธีพร้อมด้วยเจ้าหน้าที่ติดตามและลูกทีมพิเศษที่นำมาจากทางจังหวัดอื่นทั้งในและนอกเครื่องแบบก็เดินทางมาถึงบริเวณงาน นายอำเภอซึ่งเป็นประธานในครั้งนี้มีสีหน้าที่เคร่งขรึม อาจจะเป็นเพราะอากาศที่ร้อนอบอ้าวตั้งแต่เช้าที่ทำให้ท่านดูอารมณ์ไม่ค่อยดี  ทิดใหม่รีบกุลีกุจอไปต้อนรับประธานเข้านั่งในที่ที่จัดเตรียมไว้  เมื่อนายอำเภอนั่งเรียบร้อย ทิดใหม่จึงรายงานกำหนดการแข่งขันกีฬาคร่าว ๆ ให้ประธานทราบ          

               “เมื่อขบวนพาเหรดมาถึงแล้ว ก็จะเป็นพิธีเปิดโดยท่านประธานครับ พิธีเปิดเสร็จแล้วก็จะเป็นรายการแสดงโชว์กระบี่กระบองหนึ่งรายการครับ”         

              “ฮื่อ ดี” ประธานในพิธีพยักหน้ารับทราบ  

 เสียงกลองจากขบวนพาเหรดก็เริ่มดังขึ้น ๆ ตามระยะที่ดังใกล้เข้ามา ๆ ขบวนหลากสีสันของหมู่บ้านต่าง ๆทะยอยเดินตัดเข้าสนามมาและมาตั้งขบวนเรียงตามรายชื่อหมู่บ้านตามที่ป้ายปักเอาไว้บริเวณด้านหน้ากองอำนวยการชั่วคราว  เมื่อเข้ามาถึงสนามจนครบทุกขบวนแล้ว เจ้าหน้าที่อำเภอคนหนึ่ง เป็นคนกล่าวรายงานถึงวัตถุประสงค์ของการจัดงานต่อประธานในพิธี  ประธานให้โอวาท และพิธีเปิดก็เริ่มขึ้นมีการจุดคบเพลิง จุดพลุ่ จุดประทัดหลาย ๆ นัดติดกันเสียงดังสนั่นหวั่นไหวกลุ่มควันดำจากพลุลอยคลุ้งไปทั่ว

สิ้นเสียงพลุ เครื่องเสียงก็เปิดเพลงบรรเลงวงปี่พาทย์ประกอบการแสดงรำกระบี่กระบองโดยนักแสดงหญิง 2 คน นักแสดงแต่ละคนท่าทางทะมัดทะแมงลีลาคล่องแคล่วว่องไว ผู้ชมที่อยู่ในปลัมพิธีชั่วคราว และผู้ชมที่อยู่ในสนามสายตาทุกคู่จ้องจับอยู่ที่รายการแสดง และต่างก็นิ่งเงียบ เหมือนถูกสะกดด้วยมนต์จากลีลาของนักแสดงที่ทั้งตื่นต้น เร้าใจ หวาดเสียว ผาดโผน  ..พอรายการแสดงจบลง ก็มีเสียงปรบมือเสียงเป่าปากเจี้ยวจ้าว เสียงนกหวีดเสียงกลองรัวขึ้นจากขบวนพาเหรดเพื่อเตรียมเดินสวนสนามเพื่อทำความเคารพประธานก่อนจะเริ่มการแข่งขัน นักแสดงโค้งรับการปรบมืออย่างสวยงามก่อนที่จะวิ่งอ้อมไปทางด้านหลังปลัมพิธีและวิ่งตรงไปที่ห้องน้ำนักเรียนที่อยู่ด้านหลังอาคารเรียน   

ขบวนพาเหรดของหมู่บ้านต่าง ๆ ก็ทะยอยเดินสวนสนามเคารพประธาน ออกจากสนาม และไปตั้งกองเชียร์เป็นกลุ่ม ๆ ตามรายชื่อมหู่บ้านข้างขอบสนาม ประธานยืนมองขบวนต่าง ๆ ที่เดินผ่านด้วยสีหน้าที่พยายามฝืนยิ้มท่ามกลางแสงแดดจ้า พลันก็มีเจ้าหน้าที่คนหนึ่งวิ่งตรงมาที่ประธานด้วยท่าทีเร่งรีบ ประธานในพิธีเอียงหูไปฟังเจ้าหน้าที่คนนั้นที่ใช้มือป้องปากแล้วกระซิบกระซาบอะไรบางอย่าง ประธานผงะหงายหลังนิดหนึ่ง หน้าซีดเผือด แล้วเปลี่ยนเป็นแดงก่ำ ‘เลวระยำ’ ท่านสบถออกมาเบา ๆ จากนั้นเปลี่ยนเป็นขบกรามแน่นจนมองเห็นสันโหนกแก้มทั้งสองข้าง มือทั้งสองข้างกำหมัดแน่นพ่นลมหายใจออกอย่างแรง เจ้าหน้าที่นอกเครื่องแบบอีกสามคนเข้ามายืนประชิดตัวท่าน ขบวนสุดท้ายยังไม่สิ้นสุด ท่านก็หันหลังเดินสาวท้าวก้าวยาว ๆ ด้วยท่าทีเร่งรีบเจ้าหน้าที่ติดตามต้องรีบสาวเท้าก้าวตามท่านให้ทัน ทั้งหมดตรงไปที่รถจิ๊ปที่มีพลขับเตรียมพร้อมรับคำสั่งอยู่แล้ว พอทุกคนขึ้นรถ เสียงเครื่องยนต์ก็ดังกระหึ่มขึ้นและรถกระชากออกไปอย่างแรง ทิ้งฝุ่นคลุ้งตลบเหมือนม่านหมอกหนาทึบปิดบังภาพผู้คนที่ยืนมองตามอยู่เบื้องหลังเอาไว้  

          “นายอำเภอคงมีธุระด่วน” ทิดใหม่พูดกับตัวเองเบา ๆ จากนั้นรถหน่วยติดตามของทหารก็กระชากตามรถจิ๊ปไปติด ๆ ส่วนภาคสนามกีฬาก็ดำเนินการแข่งขันต่อไป เล่นกันเอง เชียร์กันเอง ทั่วทั่งสนามเป็นบรรยากาศแห่งความสนุก แต่สำหรับทิดใหม่แล้ว สนุกได้ไม่นานก็ถูกเจ้าหน้าที่ของทางการมาเรียกไปคุยเป็นการส่วนตัว

           “รายการแสดงโชว์นี้เป็นความคิดของใคร” เจ้าหน้าที่คนที่ยืนรออยู่หน้าอาคารเรียนถามขึ้นขณะทิดใหม่เดินเข้าไปใกล้ ทิดใหม่เอะใจว่าเรียกมาเพื่อจะถามเรื่องนี้เองหรอกหรือ

          “ท่านหมายถึงอะไรครับ”  

          “กำนันอย่าบอกนะว่าไม่รู้เรื่อง” เจ้าหน้าที่คนนั้นพูดเบา ๆ แต่เน้นชัดทุกคำพูด  

          “ท่านหมายถึงอะไรครับ” ทิดใหม่มีสีหน้างุนงง  

          “นักแสดงมาจากไหน”  

          “ผมไม่ทราบครับ คณะกรรมการบอกผมแค่ว่าจะมีรายการแสดงโชว์ตอนพิธีเปิดครับ”

 เจ้าหน้าที่คนนั้น มองหน้าทิดใหม่แล้วหันไปมองเพื่อนร่วมงานพยักเพยิดด้วยท่าทีว่ากำนันอาจจะไม่รู้จริง ๆ ก็ได้เจ้าหน้าที่คนที่กำลังซักถามจึงอะไรอนุญาตให้กำนันไปได้ ทิดใหม่หันหลังกลับ พร้อมกับคำถามที่ผุดขึ้นว่า ใครเป็นคนจัดรายการแสดงโชว์มา แล้วคนแสดงเป็นลูกบ้านบ้านไหนนะ หรือว่าเขาอาจจะไม่รู้จักหน้าค่าตาลูกบ้านก็ได้ เพราะตำบลของเขาก็กว้างใหญ่พอสมควร แล้วเขาก็เดินไปสมทบกับลูกบ้านที่กำลังเชียร์รายการวิ่งกระสอบกันอย่างสนุกสนาน เมื่อ

พอจบรายการแสดงทั้งสองตรงไปที่ห้องน้ำนักเรียนด้วยท่าทีเร่งรีบ ทว่าทั้งสองหารู้ไม่ว่ามีสายตาคอยจ้องจับการเคลื่อนไหวอยู่ทุกอริยาบทตั้งแต่เยื้องย่างเท้าก้าวเข้าไปยืนตรงหน้าประธานในพิธีและเริ่มควงกระบี่กระบองตั้งแต่เพลงแรกจนจบครบเพลงและบัดนี้  ประตูห้องน้ำทั้งสองบานเปิดออกเกือบจะพร้อม ๆ กัน เผยให้โฉมผู้ที่กำลังจะเก้าเท้าออกมา ทั้งสองคนแต่งตัวคล้าย ๆ กัน ใส่ชุดดำสวมทับด้วยเสื้อแจ๊กเก็ตหมวกไอ้โม่งพับอยู่บนหัว แต่ทันทีที่ก้าวพ้นขอบประตูห้องน้ำท้ายปืนเอ็ม 16 หนัก ๆ ก็กระแทกลงที่ท้ายทอยของทั้งสองอย่างแรง  ร่างทั้งสองทรุดฮวบลงพื้นเกือบจะพร้อม ๆ กัน  กลุ่มชายฉกรรก์สี่คนต่างรีบกุลึกุจอยกร่างที่หมดสติไปโยนลงรถ 6 ล้อเก่า ๆ ที่ใช้เป็นรถติดตามของทางการ  ต่างช่วยกันมัดมือร่างที่สลบสไลไพล่หลัง และมัดข้อเท้าอย่างแน่นหนา ชายอีกคนหนึ่งหยิบผ้าเต้นท์ที่วางซ้อนกันไว้และกองไว้ใต้เบาะรถออกมาผืนหนึ่ง คลี่ผ้าออกมาและโยนคลุมร่างทั้งสองเอาไว้  รถจิ๊ปของประธานพุ่งออกไปไม่นาน รถ 6 ล้อก็ตะบึ่งห้อตามไปทันที คงทิ้งไว้แต่รอยฝุ่นเบื้องหลังที่ค่อย ๆ จางลงไปอย่างอ้อยอิ่งไม่มีทีท่าว่าจะเร่งรีบ

เรื่องการวางแผนลอบฆ่าไม่เป็นความลับอีกต่อไป มีการพูดปากต่อปากจากหมู่บ้านหนึ่งไปสู่อีกหมู่บ้านหนึ่ง  ..แต่ก็ไม่มีใครตอบได้ว่า นักฆ่าหญิงทั้งสองมาจากไหน ทิดใหม่ซึ่งเป็นกำนันประจำตำบลก็ตรวจสอบดูแล้ว ไม่มีลูกบ้านหญิงคนไหนหายไป ..จากเหตุการณ์วันนั้นก็ไม่มีใครทราบว่าเกิดอะไรขึ้นกับนักแสดงหญิงทั้งสองรายนั้น..ถึงแม้หลาย ๆ คนพยายามสืบเสาะเพื่อหาคำตอบ..แต่ก็ไม่มีใครให้คำตอบได้...ทุกครั้งที่เรื่องนี้นี้ถูกนำมาเล่า มันก็จะจบลงตรงที่ ..ถูกทางการจับไป...และตอนนี้ก็เล่ามาถึงตรงนี้..Smiley 




Create Date : 01 เมษายน 2555
Last Update : 1 เมษายน 2555 22:06:22 น.
Counter : 367 Pageviews.

0 comment
2. เรื่องเล่าจาก อส. เฒ่า

จากนี้นับถอยหลังไปประมาณ 40 กว่าปี อ.คำชะอีถูกกำหนดให้เป็นเขตพื้นที่สีชมพูมีเหตุการณ์ต่าง ๆ เกิดขึ้น และมีเรื่องเล่าต่อ ๆ กันมามากมาย

ลุงฉิน เป็นคนรูปร่างใหญ่ พูดจาเสียงดัง ท่าทางน่าเกรงขาม แต่แกชอบเด็ก ๆ และมักเล่าเรื่องประสบการร์ชีวิตของแกให้เด็ก ๆ ฟัง แกเคยทำงานเป็น อส. ในกองร้อย แกปลดประจำการแล้วตอนที่ดิฉันได้รู้จักกับแก แกชอบไปที่หมู่บ้านที่ฉันอยู่เพราะแกมีเสี่ยวอยู่ที่นั่น (เสี่ยวคือ เพื่อนที่รักกันมากและทำพิธีผูกข้อต่อแขนมีการสัญญาหรือสาบานว่าจะร่วมเป็นร่วมตายกัน) ลุงฉินพูดไทยอิสานไม่ใช่ภูไทเหมือนที่หมู่บ้านของฉันพูดกัน ลูกสาวของเสี่ยวลุงฉินเป็นเพื่อนสนิทของฉัน ช่วงเวลานั้นเราทั้งสองกำลังเรียนอยู่ระดับประถมศึกษา          

            “นี่เธอรู้ไหม พ่อเฒ่าที่เป็นพ่อเสี่ยวเราน่ะ หูไม่ดีต้องใช้เครื่องช่วยฟัง” จ๋าเพื่อนฉันกระซิบกระซาบกับฉัน ฉันจึงจ้องมองไปที่หูของลุงฉินด้วยความอยากรู้อยากเห็นตามประสาเด็กบ้านนอกที่ไม่ค่อยรู้เรื่องเกี่ยวกับอุปกรณ์พวกนั้น มีเครื่องฟังเล็ก ๆ และมีสายสีขาวโยงลงมาเก็บปลายไว้ในกระเป๋าเสื้อตรงหน้าอก ลุงฉินรู้ตัวว่ากำลังถูกจ้องจึงหันมายิ้มจนเห็นฟันหน้าซี่โต ๆ หลายซี่       

        “อส.เฒ่าอย่างลุง  รอดตายมาได้ก็บุญแล้วหนูเอ๋ย” แกพูดสำเนียงอิสานอย่างอารมณ์ดี ฉันยังคงจ้องแกตาไม่กระพริบ และยังไม่คุ้นเคยกับแกจึงไม่รู้จะพูดโต้ตอบอะไรดี      

      “ลุงน่ะ โดนลูกปืนก็หลายครั้ง เห็นไหมนี่..” แกพูดพร้อมกับถลกขากางเกง หทารสีเขียวเก่า ๆ ขึ้นและชี้ ให้ดูรอยเย็บและร่องลอยลึกของแผล “เสียดไหล่ไปก็มี” แกเอามือตบที่ไหล่ “และที่ร้ายที่สุดก็โดนกับระเบิด..เพื่อน อส. ที่อยู่ด้วยกัน กระเด็นกระดอนไปคนละทิศละทาง อีกคนหนึ่งพุงเละหมดเลย..เห็นไหมหน้าลุงและบริเวณหัวเต็มไปด้วยแผลเป็น ..แก้วหูก็แตก” แกพูดอย่างอารมณ์ดี       

          “แล้วตอนนี้พ่อเฒ่ายังเป็น อส.อยู่หรือเปล่าคะ” เสียงจ๋าถามขึ้น         

         “โอ้ย..ถึงอยากเป็นอยู่เขาก็ไม่จ้างแล้ว..เพราะพิการแล้ว..”แกเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะพูดต่อ “ถึงจ้างพ่อเฒ่าก็ไม่ทำแล้ว..เข่นฆ่ากันเอง  ไม่เห็นได้ประโยชน์อะไร ..ถ้าลุงดวงไม่แข็ง ป่านนี่คงตายไปแล้ว” วันต่อมา ฉันไปเล่นที่บ้านจ๋าอีก..ลุงฉินยังไม่กลับ  แกมีสีหน้าดีใจที่ได้เจอฉันอีก แกทักทายถามโน่นนี่ไปตามมารยาท พอเห็นว่ายังคงนั่งนาน แกก็เริ่มเล่าประสบการณ์ของแกให้ฟัง.. เรื่องที่แกเล่ามีหลายเรื่อง แต่มีเรื่องหนึ่งที่ฉันฟังแล้วสลดใจอย่างมาก          

          “ตอนนั้นน่ะ  การจะกล่าวหาใครว่าเป็นพวกคอมมิวนิสต์ มันง่ายมาก ไม่ต้องมีหลักฐาน..หลายรายถูกจับยัดกระสอบ แล้วเอาขึ้นฮอ ไปโยนลงแม่น้ำโขง..แต่รายที่ลุงสลดใจที่สุดเป็นกรณีสองแม่ลูก” ลุงฉินหันมามองหน้าฉันเหมือนจะดูว่า ฉันอยากฟังหรือไม่.. ฉันนั่งนิ่งแข็งทื่อไม่กล้าแม้แต่จะกระดุกกระดิก..ฟังดูน่ากลัวแต่ก็อยากฟัง           “แม่ลูกคู่นั้นน่ะ..ลุงเห็นแล้วน่าสงสาร..สามีแกไม่อยู่ เห็นว่าขึ้นเขาไป แกถูกจับมาพร้อมกับลูกชายตัวเล็ก ๆ ที่แกอุ้มใส่เอวมาด้วย ปกติแล้วคนที่ถูกจับจะถูกมัดมือไพล่หลังขณะคุมตัว” ลุงฉินหยุดถอนหายใจยาวนิดหนึ่ง ก่อนจะเล่าต่อ “แต่แม่นั่นอุ้มลูก เขาจึงแค่เอาปืนจี้หลัง คืนนั้นมีเจ้าหน้าที่ไปที่ชายทุ่งกันหลายคน มีคนหาบปิ๊บน้ำมันไปด้วย..” ฉันอยากถามว่าหาบไปทำไม แต่ก็ไม่กล้าถาม และไม่กล้าขัดจังหวะแก “พอไปถึงก็มีคนหาฟืนมากองและจุดให้มันสว่าง ผู้หญิงคนถูกผลักให้นั่งลงข้าง ๆ กองไฟ แกนั่งก้มหน้านิ่ง โดยลูกชายยังเหน็บอยู่ที่เอว ...พอถึงเวลา..” แกเว้นจังหวะตาของลุงฉินยังจับอยู่ที่หน้าของเด็กหญิงตัวน้อย ๆ ที่นั่งฟังด้วยอาการตื่นตระหนกของฉัน “เขาฆ่าแม่”  ลุงฉินยกมือทำท่าฟันฉับประกอบ “ก่อนที่คมมีดจะเฉือนคอแก..แกผลักลูกน้อยกระเด็นไปก่อน” ลุงฉินเล่าด้วยเสียงเครือ “เด็กน้อยคนนั้นก็ยังไม่ประสาอะไร กระเด็นไปจากตัวแม่ก็นั่งเล่นต่อ..เขาจับแม่โยนเข้ากองไฟและเทน้ำมันราด..มีคนขอชีวิตเด็กคนนั้นไว้ และจะเอาไปอุปถัมถ์เอง ..แต่มีคนแย้งว่า..เก็บไว้โตขึ้นจะเป็นพิษเป็นภัย ต้องถอนรากถอนโคน..พูดจบมีดจากปลายปืนเสียบที่ตัวเด็กและเหวี่ยงเข้ากองไฟ...” ฉันสั่นสะท้านกับเรื่องที่ได้ฟัง อยากจะให้ลุงฉินบอกว่า.. ‘เรื่องนี้ลุงแต่งขึ้นมาเองแหละ’ จังเลย แต่ในความเป็นจริง พอเล่าจบลุงฉินเบือนหน้าไปทางอื่นก่อนจะพูดว่า “ ..หนูจงฟังเอาไว้ ถึงความโหดเหี้ยมที่เกิดขึ้นในท้องถิ่นของเรา และให้เรียนรู้จากอดีต พอหนูโตขึ้นก็ให้นึกถึงเรื่องที่ อส.เฒ่าได้เล่าให้หนูฟังนะ คนรุ่นหลัง ๆ อาจจะไม่รู้”       

    “แล้วทำไมต้องฆ่าสองแม่ลูกนั่นด้วยล่ะคะ” ฉันถามด้วยความอยากรู้           “ผู้หญิงคนนั้นเป็นสายให้กับทางการ”           “เป็นสายแล้วทำไมต้องฆ่าล่ะ” ฉันซักต่อ  

           “การเป็นสายก็ต้องติดต่อทั้งสองฝ่าย ไป ๆ มา ๆก็โน้นฝ่ายโน้นกล่อม และทางการเกิดการไม่ไว้ใจ” ลุงฉินตอบ และจ้องมองหน้าฉันอีก.. ฉันหลบสายตา ก้มหน้า นิ่งเงียบ ไม่ใช่ว่ากลัวลุงฉิน แต่เรื่องที่ได้ฟังมันสะเทือนใจสุด ๆ           “ส่วนกลางได้ส่งสายมาหลายคน มาในหลายรูปแบบ ทั้งช่างย้อมผ้า  คนรับจ้าง คนเลี้ยงหมู และพวกนั้นก็ถูกฆ่าตายหมด” ลุงฉินเล่าต่อ        

          “แล้วทางการไม่ทำอะไรเหรอคะ” ฉันถาม       

         “ส่วนกลางเริ่มรู้ความจริงแล้ว...” แกจบเรื่องไว้แค่นั้น ตอนหลัง ๆ ฉันก็ยังคงเจอแกบ่อย ๆ วันเวลาผ่านไปหลายปี และฉันก็ต้องออกจากหมู่บ้านเพื่อไปศึกษาเล่าเรียนที่อื่น  จากนั้นก็ไม่เคยได้เจอลุงฉิน อส.เฒ่าอีกเลยSmiley  




Create Date : 26 มีนาคม 2555
Last Update : 1 เมษายน 2555 21:26:51 น.
Counter : 7164 Pageviews.

0 comment
1  2  

Maya_II
Location :
มุกดาหาร  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 7 คน [?]



Star sign : Gemini
Hobby : Reading & Writing
Interest : variety