5. ตะลุยค่าย

จากนี้นับถอยหลังไปประมาณ 40 กว่าปี อ.คำชะอีถูกกำหนดให้เป็นเขตพื้นที่สีชมพูมีเหตุการณ์ต่าง ๆ เกิดขึ้น และมีเรื่องเล่าต่อ ๆ กันมามากมาย ณ ค่ำคืนเดือนมืด ที่สรรพสิ่งทั้งหลายหลับใหล เหล่าสกุณาที่ส่งเสียงร้องแต่หัวค่ำก็เงียบหายไปแล้ว ยังคงมีแต่เสียงจิ้งหรีดเรไรที่ยังคงส่งเสียงร้องมาจากแปลงนารอบ ๆ ค่าย อากาศเริ่งเปลี่ยนทิศทาง ต้นไม้ใบไม้ลู่ลมไปทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ ตามกระแสลมที่พัดมาจากทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือ นี่เป็นสิ่งเตือนให้ทราบว่าหน้าหนาวเริ่มย่างเข้าสู่หน้าหนาวแล้ว  รอบ ๆ ค่ายมีทหารอยู่เวรยามอยู่ 4-5 คน ที่เหลือก็นอนหลับใหลอยู่ในเพลิงพัก.. 8ค่ายเชิงเขาแห่งนี้ อยู่บนเนินใกล้ ๆ กับหมู่บ้านที่อยู่ใกล้ ๆ กับภูเขา หมู่บ้านที่ถูกกล่าวหาว่าจะร่วมก่อความไม่สงบขึ้นภายในประเทศ และการมาตั้งค่ายทหารอยู่ตรงนี้ ที่มีทหารเดินขวักไขว่เปลี่ยนเวรยามเข้าออก มันเหมือนเป็นการประกาศให้ชาวบ้านที่อยู่ใกล้บริเวณนั้นได้รับรู้เจตนารมณ์ของทางการ และจำเป็นจะต้องใช้มาตรการที่เด็ดขาด ตามนโยบายของทางอำเภอที่ประกาศออกมาแล้วว่า ‘ใครขึ้นเขาฆ่าให้หมด’           อ.ส.สุบัน เข้าเวรยามรักษาการณ์จากเที่ยงคืนถึงรุ่งเช้า เขาเอนหลังพิงเพิงค่ายที่เป็นลำต้นไม้เล็กกลม ๆ ฝังวางตั้งติด ๆ กัน ๆ เป็นแนวกั้นรั้วรอบขอบชิด ลมต้นฤดูหนาวเริ่งกรรโชกแรงเป็นระยะ ๆ ทำให้เขาต้องลู่ไหล่หลบลมหนาว เขากระชับปืนเอ็ม 16 แนบกาย มันทำให้รู้สึกอุ่นขึ้น เขาคิดผ้าห่มอุ่น ๆ นอนนุ่ม ๆ ที่บ้าน คิดถึงภรรยาและลูกสาวคนแรกคนเดียวของเขาที่อ้วนจ้ำม้ำกำลังหัดคลาน           ‘พรุ่งนี้ออกเวรแล้วจะกลับไปเยี่ยมบ้าน’ เขาคิดในใจ  

 

บ้านของ อ.ส.สุบันอยู่ในตัวอำเภอ..ห่างจากค่ายประมาณ 10 กิโลเมตร แต่กระนั้นก็ตาม เขามีเวลากลับบ้านน้อยมาก เพราะกองร้อยที่นี่ มีทหารไม่มากนัก ต้องผลัดเปลี่ยนกันอยู่เวรยามและออกลาดตระเวณทุกคืน ‘เพื่อกวาดล้าง’ ตามนโยบาย  

 

          ‘บ้านเมืองสงบสุขเมื่อไหร่ จะลาออกจากการเป็นอ.ส. และหาอาชีพอื่นทำ’ เขาวาดฝันโครงการและรู้สึกเป็นสุขอยู่ลึก ๆ นึกถึงที่ดินผืนใหญ่ที่เป็นมรดกตกทอดอยู่ท้ายหมู่บ้านในตัวอำเภอ เขากะวางแผนจะทำไร่นาสวนผสม ขุดบ่อเลี้ยงปลา ปลูกพืชผักส่งแม่ค้าในตลาด ครอบครัวได้อยู่กันพร้อมหน้า และไม่ต้องมาอดหลับอดนอนถือปืนรบราฆ่าฟันพี่น้องกันเองอย่างนี้ เขาเหลือบดูเวลาที่หน้าปัดนาฬิกาไซโก้ที่ข้อแขนเรือนที่ภรรยาเขาซื้อให้ตอนที่จะออกมาประจำอยู่ค่าย‘ตีสอง’ เขาพึมพำเบา ๆ  ‘เวลาอยู่เวรยาม หรือไปไหน ๆ จะได้รู้เวล่ำเวลา’ เสียงภรรยาของยังก้องในหัว เขาอดอมยิ้มไม่ได้กับความห่วงใยเอาใจใส่ของภรรยา ‘ถ้าไม่จำเป็น หรือถ้าเลี่ยงได้ ..พี่อย่าทำร้ายหรือ..เอ่อ..อย่ายิงใครนะ มันจะเป็นบาป’ แน่นอน ถ้าไม่จำเป็นเขาจะไม่ทำ อย่างมากก็แค่รัวปืนขึ้นฟ้าเป็นการขู่แค่นั้นเอง คืนนี้ก็คงเหมือนกับอีกหลาย ๆคืนที่ผ่านมาที่เขาจะลงบันทึกการรายงานว่า’เหตุการณ์ปกติ’ เขาจัดท่าเอนหลังพิงให้สบายขึ้นเพื่อจะได้งีบพักสักหน่อย พลันเขาก็ได้ยินเสียงนกเค้าแมวที่ทำเสียง ‘กู้’ ในลำคอดัง ๆ และบินโฉบไปอย่างเร็ว เขาแหงนหน้ามองดูมันฝ่าความมืดเขามองไม่เห็น แต่สัมผัสได้เพียงเสียงกระพือปีกของมันดังพลึบพลับ บินสูงผ่านหัวเขาไป พลันเขาก็รู้สึกเสียวสันหลังวูบ เสียงจิ้งหรีดหริ่งเรไรที่ระงมมาตลอดตั้งแต่หัวค่ำหยุดกึก..เขาเพ่งสายตามองออกไปตรงหน้า มันมีแต่ความมืดและความเงียบ สัญชาติตญาณบางอย่างบอกให้เขาลุกขึ้น และสายตาก็ยังพยายามที่จะมองฝ่าความมืดออกไปยังท้องทุ่ง ทันใดนั้นเขาก็มองเห็นแสงว๊าบขึ้นเร็วดุจสายฟ้าแลบและตามด้วยเสียง ‘ตูม ตูม ตูม’ ดังขึ้นพร้อมกันหลาย ๆ จุด ร่างของ อ.ส.สุบันกระเด็นไปตามความแรงของแรงสั่นสะเทือน  เช้าวันนั้น ขณะที่เฮิงฟางเดินผ่านถนนที่ว่าการอำเภอเพื่อจะไปโรงเรียน บรรยากาศในตอนเช้าดูมืดครึ้มทบนท้องฟ้าปกคลุมไปด้วยเมฆสลัว ๆ ทั้ง ๆ ที่ไม่ใช่หน้าฝน แต่กำลังจะย่างเข้าสู่หน้าหนาวต่างหากล่ะ ผู้คนยืนจับกลุ่มคุยกันมากมาย แต่การเคลื่อนไหวของพวกเขาดูเชื่องช้า เลื่อนลอยเหมือนคนที่ไร้ชีวิตจิตใจ ใบหน้าของแต่ละคนซีดเผือด นัยย์ตาแดงกล่ำ แฝงด้วยแววหวาดหวั่น เสียงพูดคุยเบา ๆ  เสียงกระซิบกระซาบ ผู้คนเดินเข้าเดินออกบริเวณถนนหน้าที่ว่าการของอำเภอเขตพื้นที่สีชมพู แต่เฮิงฟางไม่มีเวลาจะเฝ้าสังเกตเพราะเดี๋ยวจะไม่ทันเข้าแถวเคารพธงชาติพร้อมเพื่อน ๆ แล้วจะถูกครูเวรทำโทษ เธอจึงรีบเดินผ่าน จนไปถึงรั้วโรงเรียนเธอกล่าวสวัสดีคุณครูที่คอยยืนต้อนรับอยู่หน้าประตูก่อนจะเดินผ่านประตูใหญ่เข้าไป พอไปถึงอาคารเรียน ติ๊กเพื่อนร่วมชั้นฉายาผู้สื่อข่าวประจำห้องรีบวิ่งกระหืดกระหอบหน้าซีดเผือดมาหาเธอ           “ฟาง ..เกิดเรื่องใหญ่แล้ว..ใหญ่มากเลย”           “เรื่องอะไรหรือ” เฮิงฟางถามสวนกลับไปเพราะตกใจที่เห็นสีหน้าของติ๊ก           “คอม..มิวนิสต์..ถล่มค่ายทหาร” ติ๊กเล่าอย่างตะกุกตะกัก           “ฮ้า!! ที่ไหนล่ะ”           “ที่ค่ายเชิงเขา..ใกล้บ้านของเออ..ไช..นั่นแหละ”           “พวกเธอคุยอะไรกันอยู่” พอดีไหมเพื่อนอีกคนวิ่งเข้ามาสมทบ“นี่พวกเธอ..ฉันได้ยินคนที่ตลาดเขาเล่า”           “ก็ฉันกำลังเล่าอยู่นี่ไง..มีหทราตายนับสิบ” ติ๊กรีบชิงพูดขึ้นก่อนที่ไหมจะตัดหน้าช่วงข่าวเด็ดไปก่อน เฮิงฟางหน้าซีดจนแทบจะเป็นลมกับเรื่องที่เธอได้ฟัง           “แล้วลุงของเธอที่เป็น อ.ส.ล่ะ” ไหมถามข่าวคราวลุงของติ๊กด้วยความเป็นห่วง           “จุ๊ ๆ “ ติ๊กเอามือจุ๊ปาก เป็นสัญญาณให้เพื่อนอีกสองคนเงียบ แล้วมองซ้ายมองขวา ก่อนจะเล่าต่อ           “ป้าฉันเล่าว่า ..มีญาติห่าง ๆ แอบมาเตือนล่วงหน้า ..บอกให้ลุงอย่าไปนอนที่ค่าย” ติ๊กเล่าถึงตอนนั้น เสียงสัญญาณออดเข้าแถวในตอนเช้าก็ดังขึ้น  นักเรียนหกร้อยกว่าคนต่างมารวมกัน ร่วมเข้าแถว เคารพธงชาติ สวดมนต์ไหว้พระ พอเสร็จกิจกรรมในตอนเช้า อาจารย์ใหญ่ก็ขึ้นกล่าวหน้าเสาธง โดยจับใจความได้ว่า มีความรุนแรงที่อยู่รอบ ๆ ตัว ขอให้นักเรียนกำซับผู้ปกครอง อย่าได้หลงเชื่อผู้ไม่หวังดีต่อประเทศชาติ และเล่าถึงการโจมตีค่ายทหาร มีผู้เสียชวิต และมีผู้บาดเจ็บ แต่ยังไม่ทราบจำนวนที่แน่นอน จากนั้นจึง เชิญชวนให้นักเรียนทุกคนยืนสงบนิ่งหนึ่งนาทีเพื่อร่วมไว้อาลัย หลังจากกิจกรรมหน้าเสาธงเสร็จ เพื่อน ๆ ในห้องต่างก็เหลือบมองไชยะบ่อย ๆ เพราะอยากรู้ว่าเขารู้เรื่องที่เกิดขึ้นก่อนใครอื่นหรือไม่ ชุมชนในหมู๋บ้านของเขามีส่วนด้วยหรือไม่.. แต่ไชยะก็ยังคงเป็นไชยะคนเดิม นิ่ง เงียบ ไม่มีมีเสียงพูด และรอยยิ้ม เลิกเรียนในวันนั้น เฮิงฟางเดินกลับเส้นทางเดิมและต้องผ่านถนนสายที่ว่าการอำเภอ เธอกวาดสายตามองรอบ ๆ บริเวณนั้น  เห็นผู้คนมากันมากมาย หลายคนร้องไห้สะอึกสะอื้น  เด็กรุ่นราวคราวเดียวกันกับเธอบางคนก็ร่วมร้องไห้กับผู้ใหญ่ พวกเขาคงสูญเสีย เฮิงฟางคิดในใจ จากภาพที่เห็นเธอไม่สามารถเดินผ่านไปเฉย ๆ ได้ แรงขับความอยากรู้อยากเห็นของเธอ กระตุ้นให้เธอเดินเลี้ยวเข้าถนนสายหน้าที่ว่าการอำเภอ เดินตรงไปที่บริเวณที่คนเนืองแน่นไปหมด มีทั้งทหาร อ.ส. ญาติและกลุ่มคนอยากรู้อยากเห็น ผู้คนเดินเข้าเดินออก เธอมองดูรอบ ๆ คนที่ใส่ชุดนักเรียนไม่ใช่มีเธอเพียงคนเดียว ยังมีนักเรียนชายหญิงรุ่นพี่เธออีกหลายคนมาร่วมสังเกตการณ์ด้วย   เธอเดินผ่านอาคารที่ว่าการอำเภอไปยังหอประชุมอาคารไม้ สถานที่ ๆ มีคนยืนอออยู่หน้าประตูทางเข้า เสียงร้องไห้ระงม  เสียงกระซิบกระซาบ สีหน้าบางคนซีดเผือด บางคนแดงกล่ำ..ไม่มีรอยยิ้มและเสียงหัวเราะ บางคนก็เอามือปิดจมูกทำเสียงฟิด ๆ บางคนน้ำตาคลอหน่วย  มีทหารถือปืนยืนอยู่บริเวณทางเข้าประตู คอยกันไม่ให้คนเข้าไปข้างใน เฮิงฟางพยายามเดินเบียดแทรกเข้าไปให้ใกล้ประตูมากที่สุดเพื่อจะได้มองเห็นสิ่งต่าง ๆ ที่อยู่ข้างใน “ถอยไปก่อนครับ ยังไม่อนุญาตให้เข้านะครับ” ทหารที่ยืนถือปืนเฝ้ายามตรงประตูประกาศเสียงดัง สายตาของผู้ที่ยืนออตรงประตูทุกคู่จ้องเข้าไปข้างในอาคารหอประชุมหลังไม้เก่า ๆ เฮิงฟางรู้สึกถึงกลิ่นธูปที่โชยมาโป๊ะจมูกอย่างแรง  กลิ่นอับคาวเลือดคละเคล้ากันชวนอาเจียน  และภาพเบื้องหน้าข้างในหอประชุมที่เฮิงฟางมองเห็น คือร่างที่ห่อด้วยผ้าสีเขียวขี้ม้าของทหาร มัดจุกที่ปลายสุดทางหัวและปลายสุดทางเท้า มองดูเหมือนตัวดักแด้ยักษ์สีอึมครึมตัวโต ๆ  และปกคลุมด้วยธงไตยรงค์ผืนใหญ่..แน่นิ่งไม่ไหวติง วางเรียงรายกะระยะพองาม นับได้ทั้งหมด 9 ศพ  “ผมเป็นญาติกับผู้เสียชีวิตครับ ขอเข้าไปดูได้ไหมครับ” มีชายวัยกลางคนคนหนึ่งเดินเข้าไปถามเจ้าหน้าที่ “ยังไม่อนุญาตให้เข้าครับ จนกว่าเจ้าหน้าที่ส่วนกลางจะเดินทางมาถึง” ทหารที่ยืนรักษาการณ์อยู่ตอบ  ชายคนนั้นจึงได้แต่ยืนชะเง้อคอเหมือนกับญาติคนอื่น ๆ สำหรับเฮิงฟาง คนเหล่านี้อาจไม่ใช่ญาติของเธอ แต่ความรู้สึกภายในของเธอ .. ท้องใส้มันปั่นป่วนไปหมด ถ้าเธอไม่ตั้งสติให้ดี เธอก็คงจะทรุดฮวบลงกับพื้น.. มันเป็นความรู้สึกที่เธออธิบายไม่ถูก..แล้วนับประสาอะไรกับคนที่เป็นลูกเมียและญาติ ๆ เธอพยายามประคับประคองตัวเองให้เดินออกมาจากบริเวณนั้น เพื่อกลับบ้าน  ระหว่างทางกลับบ้าน เธอภาวนา ..อยากให้สิ่งที่เธอเห็นไม่ใช่เรื่องจริง เธออยากให้ตัวเองกำลังหลับอยู่ หลับแล้วก็ฝัน และ เมื่อตื่นขึ้นมาภาพพวกนั้นก็จะหายไปและเธอก็คงจะยิ้มได้ว่านั่นมันเป็นเพียงแค่ฝันร้าย วันต่อมาเฮิงฟางก็ไปโรงเรียนตามปกติ วันนี้ก็ยังรู้สึกหดหู่อยู่เลย บรรยากาศรอบ ๆ โรงเรียนก็พลอยหดหู่ไปด้วย.เสียงพูดคุย เสียงกระซิบกระซาบ ไม่แตกต่างอะไรกับบรรยากาสเมื่อวานที่เฮิงฟางเห็น เพียงแต่ว่า ในโรงเรียน ไม่มีผู้คนร้องไห้ พอเห็นติ๊กโผล่มาเธอรีบเดินเข้าไปหา           “ติ๊ก..เมื่อวานนี้ฉันไปดูศพมา” เธอพูดเหมือนคนใจลอย           “ฉันก็อยากไป..แต่แม่ฉันว่ามันไม่ดี ..เอ่อ..มันน่ากลัว..และอีกอย่างฉันกลัวผีด้วย เลยไม่กล้าไป” เธอพูดรัวเร็ว “แล้วเธอเห็นกับตามั้ยล่ะ”  เธอก้มกระซิบหน้าถามจนเกือบจะชิดใบหน้า เฮิงฟางเพียงแค่พยักหน้า           “เขาเล่ากันที่ตลาดนะ ..ว่านี่เป็นการแก้แค้นที่นายอำเภอฆ่าปู่ของ.. แล้วเสียบหัวประจาน..” ติ๊กพูดขึ้น           “แสดงว่าชาวบ้านก็ร่วมด้วย” เฮิงฟางถามขึ้น           “เขาก็ว่าทำนองนั้นแหละ..และก่อนหน้านั้นก็เรื่องนักรบหญิง..” ติ๊กหยุดชะงักครู่หนึ่ง “..และมีบางคนก็รู้ล่วงหน้าว่าค่ายจะถูกโจมตี” ติ๊กหยุดก่อนที่จะพูดต่อ “นอกจากตายแล้ว บาดเจ็บอีกก็หลายคน เห็นว่ารบกันนาน ทั้งระเบิด ทั้งกระสุนปืน.. และค่ายแตกยับเยิน..มีเสียงไชโยโห่ร้องดังไปทั่ว” ณ เวลานี้ พื้นที่สีชมพูแห่งนี้ อาจจะต้องเพิ่มความเข้มของเม็ดสีเข้าไปอีกให้มันเข้มขึ้นกว่าเดิมเป็นแน่ ถ้าหากว่ายังไม่มีการยุติ ..เฮิงฟางแหงนหน้าขึ้นฟ้า แล้วหลับตาลงนิ่ง เนิ่นนาน ‘..ขอให้เรื่องเหล่านี้ผ่านพ้นไปเร็ว ๆ ด้วยเถิด..ขอฝนทิพย์จงช่วยดับไฟที่ร้อนละอุนี้ด้วยเถิด.. ขอให้บ้านเมืองจงอยู่อย่างสงบสุข ผู้คนเต็มไปด้วยรอยยิ้ม ..ขอให้วันพรุ่งนี้เป็นต้นไปเป็นวันที่ท้องฟ้าสดใจ ..’ Smiley

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

       

 

       

      

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 




Create Date : 01 เมษายน 2555
Last Update : 1 เมษายน 2555 21:48:45 น.
Counter : 467 Pageviews.

0 comments
ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
 *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

Maya_II
Location :
มุกดาหาร  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 7 คน [?]



Star sign : Gemini
Hobby : Reading & Writing
Interest : variety