กันตยา 3

กันตยานั่งมองดูเอกสารที่กองบนโต๊ะ มีที่รอการแปลหลายแผ่น มีอีเมลย์ที่ต้องส่ง และบ่าย 2 โมงของวันนี้ทนายปกรณ์ นัดให้ไปพบลูกความของเขาที่ห้องรับรอง ..นั่นหมายถึงว่าวันนี้เธอคงต้องยุ่งทั้งวัน เธอถอนหายใจ ทำไม ไม่มีเวลาเป็นตัวของตัวเองเลยนะ บางขณะเธอก็ชอบที่จะอยู่นิ่ง ๆ ไม่ต้องคิดอะไรปล่อยให้สมองว่างเปล่า จะรู้สึกถึงความสงบและผ่อนคลาย มันเป็นความรู้สึกที่เป็นสุขอย่างบอกไม่ถูก

               “ที่ทำงานของป้าต้องการพนักงานเอกสาร ที่มีความรู้ด้านภาษาดี ป้าว่าหนูน่าจะเหมาะกับงานที่นั่นนะ”

หลังจากออกรั้วมหาวิทยาลัยมาป้าวีร์ก็หางานไว้ให้เรียบร้อย

                  “หนูอยากลองไปหางานไกล ๆ บ้านหน่อย แถว ๆ กรุงเทพฯนะค่ะ อยากลองใช้ชีวิตอยู่คนเดียว จะได้เป็นตัวของตัวเองมากกว่านี้”

กันตยาก็โต้แย้งไปอย่างนั้นเองแหละ ทั้ง ๆ ที่รู้ว่าชีวิตของเธอป้าวีร์จัดการให้แทบจะทุกอย่างเลย และทุกครั้งเหตุผลของป้าวีร์ก็ฟังเข้าท่าเสมอ

                   “ตอนเรียนมหาวิทยาลัยหนูก็ได้ไปเรียนไกลสุดกู่แล้ว “

อันนี้กันตยาไม่เถียง เพราะจากอีสานบ้านเกิดของเธอนั่งรถบัส วี ไอ พี ไปเชียงใหม่ รวมเวลารถจอดพัก และแวะตามสถานีต่าง ๆ ด้วยก็ราว ๆ 14 ชั่วโมง เวลากลับบ้านทีเธอรู้สึกขยาดเลยทีเดียว นั่งขดนั่งงอบนรถจนปวดเนื้อปวดตัวไปหมด

                    “แต่ป้าก็ไม่อยากให้หนูใช้ชีวิตลำพังคนเดียวไกล ๆ เวลาเกิดไม่สบายขึ้นมา ใครจะดูแลหนู ...และอีกอย่าง ป้าอยากให้หนูหาอะไรเล็ก ๆ น้อย ๆ ทำพอมีเงินใช้ จะมีมากมีน้อยไม่สำคัญถ้าเรารู้จักประมาณตน อยู่อย่างพอเพียง เราก็อยู่ได้ และไม่ต้องไปวิ่งตามกระแสวัตถุนิยม .. “

แล้วกันตยาก็ได้มาทำงานที่”สำนักงานทนายความรวมเพื่อน” ตามที่ป้าวีร์แนะนำ ซึ่งป้าวีร์ทำงานพาร์ทไทม์ที่นี่มาตั้งแต่เธอจำความได้

               ‘ใช่สิ มีอะไรดี ๆ อีกหลาย ๆ อย่างที่เธอจำได้’

พอนึกถึงตรงนี้ เธอก็แอบอมยิ้มอย่างมีความสุข และเรื่องราวดี ๆ ที่เธอกับปาวีร์มีต่อกัน เมื่อตอนที่เธอยังเด็ก เธอเรียก ‘ป้าวีร์’ ทุกครั้งแต่ไม่เข้าใจในความหมาย ถ้ามีใครเธอถามว่า

              ‘หนูเป็นลูกใครจ๊ะ’

เธอก็จะตอบว่า ‘ลูกป้าวีร์ค่ะ’ และมีอยู่ครั้งหนึ่ง คนที่เธอเรียกว่า ‘แม่’ ตามที่คนอื่น ๆ พาเรียก และ ‘แม่’ คนนั้นเองก็ถามเธอ

           “หนูเป็นลูกใครคะ”

                     “ลูก ป้า วีร์”

เธอพูดช้า ๆ ตามภาษาของเด็ก ๆ แต่ชัดถ้อยชัดคำ

                  “ไม่ใช่ หนูเป็นลูกแม่ ..ป้าวีร์น่ะเป็นป้า” สิ่งที่ได้ฟังทำให้หนูน้อยมีสีหน้างุนงง และไม่เข้าใจในความหมาย มีความเงียบเกิดขึ้นระหว่างหนูน้อยกับผู้หญิงที่เธอเรียกว่า ‘แม่’ ซึ่งกำลังยืนจ้องมองเธอ แล้วเธอก็เหมือนจะคิดอะไรได้ เธอเอามือเล็ก ๆ ผอมบางของเธอ จับแขนผู้หญิงคนนั้นเขย่าเบา ๆ

               “แม่ ตอนนี้ หนูเป็นลูกแม่ เมื่อหนูโตขึ้นหนูจึงจะเป็นลูกป้าวีร์..ใช่ไหมคะ”

                “ไม่ใช่ นี่ฟังนะ..ลูกเป็นลูกแม่ ไม่ว่าจะตอนนี้หรือตอนโตขึ้นลูกก็จะเป็นลูกแม่..ส่วนป้าวีร์ก็คือป้า..ไม่ใช่แม่เข้าใจไหม”

หนูน้อยตกใจกับท่าที น้ำเสียงและสิ่งที่เธอได้ยิน เธอรู้สึกกลัวแต่ก็พยักหน้าหงึกหงักเป็นเชิงตอบว่า ‘เข้าใจ’ แต่เธอก็ร้องไห้จ้า.... ตั้งแต่เหตุการณ์วันนั้นเป็นต้นมา หนูน้อยก็พยายามอยู่ห่าง ๆ และเดินหนี ผู้หญิงที่เธอเรียกว่า ‘แม่’ และยิ่งมาใกล้ชิด หวงแหนกับผู้หญิงที่เธอเรียกว่า ‘ป้าวีร์’ 

        

ธนพล พู่วิริยะ บุรุษไปรษณีย์รูปร่างสันทัด วัยสี่สิบต้น ๆ กำลังออกสายจ่ายจดหมาย พัสดุภัณฑ์ตามภารกิจประจำวัน ทุก ๆ วันงานในหน้าที่ของเขาจะเสร็จสิ้นราว ๆ บ่าย 3-4 โมง จากนั้นเขาก็จะมุ่งตรงกลับบ้าน เขาเหลือบมองดูนาฬิกา อีก 15 นาที จะบ่ายสามโมง แต่เขามีจดหมายและพัสดุในเป้ที่ต้องนำส่งอีก 7-8 ชิ้น กว่าจะเสร็จก็ราวบ่ายสามโมงเศษ ๆ ‘ไม่เป็นไร’ เขาบอกกับตัวเอง ‘บางวันกลับเร็ว บางวันกลับช้า ก็หยวน ๆ กันไป’ ช่วงเวลานี้เป็นต้นฤดูฝนอากาศร้อนอบอ้าวจนเสื้อที่เขาสวมใส่ชุ่มไปด้วยเหงื่อ 

               ‘ติ้ง ต่อง..ติ้งต่อง’ พลันเสียงโทรศัพท์ของเขาก็ดังขัดจังหวะขึ้น เขาจึงต้องจอดรถเครื่องเพื่อตอบรับมัน

                “พ่อคะ พ่ออยู่ไหน และจะกลับตอนไหน ตอนนี้แม่เจ็บท้อง..” เสียงจี้ ลูกสาวคนโตของเขาดังมาตามสายด้วยน้ำเสียงที่ตื่นเต้น 

                  “เอ้า ทำไม..เออ.. อีกสับแป๊บนะลูก เสร็จงานแล้วพ่อจะรีบกลับ แม่ท้องเสียเหรอ..ฮัลโหล ..โหล..โหล” สัญญาณวางสายดังตืด ตืด.

                 ‘อะไรกัน ..คุยยังไม่ทันรู้เรื่องเลย วางสายซะแล้ว..’

เขาบ่นพึมพำกับตัวเอง แว๊บหนึ่งก็มีสิ่งหนึ่งเข้ามารบกวนสมองของเขา ‘เอ๊ะ หรือว่า ..เออ ช่างเถอะ ไม่ใช่เวลาจะมาคิดตอนนี้’

จากนั้นเขารีบสตาร์ทรถเครื่อง บิดคันเร่งอย่างแรง รีบลุยงานที่ค้างคาอยู่ให้แล้วเสร็จโดยเร็ว เมื่อเขากลับไปถึงบ้าน ภรรยาของเขา อรนุช ได้แอดมิทเข้าโรงพยาบาลเรียบร้อยแล้ว จ๋าลูกสาวคนเล็กรายงานเขาว่า ป้าวีร์เป็นคนพาแม่ไปส่งที่โรงพยาบาล เขาจึงรีบอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า และเดินทางไปโรงพยาบาล แล้วสิ่งที่เขาสังหรณ์ใจก็เป็นจริง เพราะภรรยาของเขาเป็นคนไข้ที่ห้องเตรียมคลอด สีหน้าของอรนุชดูซีดเซียวและอ่อนล้า ส่วนกัญญาวีร์หรือป้าวีร์นั่งเฝ้าดูห่าง ๆ อยู่ที่ระเบียงด้านหลังของห้อง

           “แม่ไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าจะคลอดก่อนกำหนด” เธอบอกกับสามีทันทีที่เห็นหน้า ธนพล สังเกตเห็นแวววิตกบนใบหน้าภรรยา

            “คงไม่เป็นไรหรอกน่า..แล้วนี่รู้สึกอย่างไรบ้าง”

           “ลูกไม่ค่อยดิ้นเลย ..และหมอก็บอกว่า คงอีกหลายชั่วโมง..แต่ก็เจ็บน่ะ”

ธนพล กุมมือภรรยาอย่างเข้าใจ เธอมีอาชีพเป็นพยาบาล ย่อมเข้าใจอะไร ๆ ได้ดี แต่คำพูดของเธอทำให้เขาพลอยวิตกไปด้วย เธออุ้มท้องมาได้เจ็ดเดือนเศษๆ เอง ยังไม่ครบกำหนดคลอดเลย ‘แต่คงไม่เป็นไรมั้ง’ เขาพยายามปลอบใจตัวเอง

เวลาผ่านไปอย่างช้า ๆ สำหรับคนที่รอคอยอะไรสักอย่างแล้ว มันเหมือนมีอะไรมาฉุดดึงเวลาเอาไว้ 4 ชั่วโมงแล้วที่ภรรยาเขายังคงนอนหายใจหนัก ๆ และเจ็บ เป็นระยะๆ ตอนนี้ ป้าวีร์ก็ขอตัวกลับบ้านไปช่วยยายดูแลหลาน ๆ ที่บ้านซึ่งก็คือลูก ๆ ของเขานั่นเอง

คืนนั้นเขานอนเฝ้าภรรยา แต่ก็ยากที่จะข่มตาให้หลับสมองของเขาว้าวุ่นคิดกลับไปกลับมา คืนนี้เป็นคืนเดือนเพ็ญ พระจันทร์สาดส่องรัศมีขาวนวลเจิดจ้า ทำให้สามารถมองเห็นสรรพสิ่งต่าง ๆ ในยามค่ำคืนได้ชัดเจน เขาเหลือบมองภรรยา เธอกำลังนอนหลับคงมีแต่ทรวงอกที่กระเพื่อมขึ้นลงตามจังหวะของการหายใจ เขา จึงเลี่ยงออกไปนั่งที่รับลมที่ระเบียงหลังห้อง ทอดสายตามองฝ่าแสงสีนวลของดวงจันทร์ออกไป และไม่ได้รู้สึกดื่มด่ำกับความงดงามของดวงจันทร์กลมโตที่ลอยโดดเด่นเฉิดฉายอยู่บนท้องฟ้าในค่ำคืนนี้ สมองของเขายังคงคิดเรื่อยเปื่อย

‘จี้ ลูกสาวคนโต อายุเพิ่งจะ 10 ขวบ จั๊กคนรอง 7 ขวบ จ๋าคนเล็ก กำลังจะย่างเข้าขวบที่ 5‘ เขานึกถึงชีวิตน้อย ๆ ทั้งสามของเขากับอรนุช ความตั้งใจของเขาในเบื้องต้นก็คือมีลูกหญิง ลูกชาย เพียงสองคนก็พอ เมื่อจี้คลอดออกมา ความรู้สึกในความเป็นพ่อในครั้งนั้นมันยิ่งใหญ่มาก สำหรับคนที่สองเขาตั้งไว้ว่าอยากได้ลูกชาย แต่ก็คลอดจั๊กออกมา ถึงแม้ว่าเขาจะรู้สึกผิดหวังบ้าง แต่ก็ยอมรับได้ยังไง ๆ ก็ลูกของตัวเอง แต่อรนุช ภรรยาของเขาบอกว่าคนที่สามอาจมีโอกาสได้ลูกชายก็ได้ ..แต่ก็ได้จ๋ามา ทั้งเขาและภรรยาก็ตกลงกันแล้วว่าจะพอแค่นั้น ครอบครัวของเขาไม่มีลูกชายก็คงไม่เป็นไร ..และก็ไม่เคยคิดเลยว่าจะมีลูกเพิ่มอีกคน.. เขาเหลือบมองดูนาฬิกาเข็มสั้นเข็มยาวชี้บอกว่าอีกไม่กี่นาทีก็จะห้าทุ่ม เขาจึงลุกขึ้นและเดินกลับเข้าไปนอนข้างเตียงภรรยา

วันรุ่งขึ้น อรนุชก็ยังคงนอนเจ็บอยู่เหมือนเช่นเคย เช้า สาย บ่าย ผ่านไป คุณหมอบอกว่าถ้านานไปก็เสี่ยงอันตรายทั้งแม่ทั้งลูก จึงจำเป็นต้องใช้ยาเร่งคลอดเข้าช่วย จนตกเย็น ลูกสาวคนที่ 4 ของอรนุช กับ ธนพล ก็ออกมาลืมตาดูโลก หมอและพยาบาลที่ทำคลอด ต่างมีสีหน้าวิตก เพราะหนูน้อยที่คลอดออกมา ตัวเล็กจิ๋ว น้ำหนักก็ต่ำกว่าเกณฑ์ เสียงแรกร้องของหนูน้อยแหบแห้งเบาหวิวเหมือนเสียงลมเล็ดลอดออกมาจากช่องท้อง จากนั้นหนูน้อยก็นอนแน่นิ่ง ไม่มีการเคลื่อนไหวของร่างกายส่วนอื่น ๆ เลย คงมีเพียงพุงน้อย ๆ กระเพื่อมขึ้นลงเป็นการชี้แสดงให้เห็นว่าเจ้าตัวเล็กยังมีลมหายใจอยู่ บริเวณลำตัวของหนูน้อยมีรอยจ้ำเป็นจุดสีม่วงอ่อน ๆ กระจายไปทั่ว .คุณหมอยกเอาร่างน้อย ๆ เล็กจิ๋วนั้นเข้าไปใส่ไว้ในตู้อบ..

                 “เด็กไม่ค่อยแข็งแรง และเม็ดเลือดแดงก็ต่ำกว่าเกณฑ์ขั้นต่ำอีกด้วย”

คุณหมอแจ้งให้กัญญาวีร์ทราบ ในวันที่เธอไปเยี่ยมหนูน้อย ส่วนอรนุช หลังจากคลอด เธอก็พักรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลและคอยเฝ้าดูอาการของลูกน้อยที่ยังคงอยู่ในตู้อบด้วย เธอคิดเอาไว้ว่า ลูกออกจากตู้อบเมื่อไหร่ก็จะกลับไปบ้านพร้อมกัน แต่พอคุณหมอบอกว่า เด็กจิ๋วคงต้องรอดูอาการไปอีกสักพักหนึ่ง จนกว่าจะดีขึ้น

ผ่านไปหนึ่งสัปดาห์ก็ยังไม่มีอะไรคืบหน้า เธอจึงขอตัวกลับไปพักฟื้นอยู่ที่บ้าน และเธอรู้สึกถึงความรู้สึกพลัดพรากที่ ต้องทิ้งลูกน้อย ให้อยู่คนเดียวตามลำพังในตู้กระจกเล็กกับเครื่องมือทางการแพทย์ ในห้องโล่ง ๆ แต่เธอก็บอกตัวเองว่า ดีที่สุดแล้วที่ลูกได้อยู่ในมือคุณหมอและก็แน่นอนน่าจะดีกว่าอยู่กับเธอ

                    “แล้ว..เด็กจะ..เอ้อ..โตไหมคะ” ป้าวีร์ไม่อยากใช้คำว่า ‘รอด’ ฟังดูเหมือนเป็นลางไม่ค่อยดี

                   “โอกาสก็ ห้าสิบห้าสิบครับ เพราะเด็กอ่อนแอมาก ..อีกอย่างไม่ค่อยกินนมด้วย”

คุณหมอบันทึกรายการเสร็จแล้วก็เดินออกจากห้องไป ส่วนกัญญาวีร์ได้รับอนุญาตให้อยู่ในห้องนั้นได้ ตอนนี้เธออยู่ตามลำพังกับหลานสาวตัวน้อย ๆ เธอมองไปที่สายระโยงระยางที่เชื่อมต่อกับตู้อบ มองดูจอมอนิเตอร์ที่แสดงกราฟระดับการเต้นของหัวใจ เธอเพ่งมองร่างเล็กผอม บาง ที่พันด้วยผ้าอ้อมหลวม ๆ นอนหงายแน่นิ่งไม่มีการเคลื่อนไหวส่วนใด ๆ ของร่างกาย

                    ‘กี่คืนแล้วนะที่หนูต้องนอนคนเดียว ท่ามกลางความอ้างว้าง...ไม่มีอ้อมกอดและไออุ่นจากแม่เหมือนเด็กคนอื่น ๆ ‘

เป็นคำพูดที่ไม่มีเสียงเล็ดลอดออกมา

                 ‘ถึงแม้ว่าหนูจะเป็นเด็ก แต่ป้าคิดว่าหนูต้องรับรู้สิ่งที่อยู่รอบ ๆ ตัวหนูได้ หนูคงจะรู้สึกถึงความว่างเปล่า ความอ้างว้าง ความกลัว แต่หนูก็พูดไม่ได้ ..ร้องไม่ได้ แข็งแรงเร็วๆ นะแล้วป้าจะมารับหนูกลับบ้านนะจ๊ะ’

พอกลับถึงบ้านก็พบว่าทั้งธนพล และอรนุช รอฟังข่าวจากเธออยู่

                   “เออ..หมอบอกว่ายังไม่ค่อยแข็งแรงพอที่จะให้กลับบ้านนะ”

                     “แต่อาการดีขึ้นอยู่ใช่ไหม” สีหน้าของอรนุชเต็มไปด้วยแวววิตกกังวล

                    “ก็...หมอบอกว่าห้าสิบ ห้าสิบนะ”

ทั้งธนพล ทั้งอรนุชต่างถอนใจเฮือกใหญ่

                      “แม้แต่หมอก็ยังไม่มั่นใจเลย” สีหน้าของเธอบ่งบอกถึงความท้อแท้ หมดหวัง

                     “แล้วพี่มีความเห็นว่าไง”

                     “พี่คิดว่านะ..” เธอมีท่าทีลังเลใจ ก่อนจะพูดต่อ “ ปกติแล้วคนเราเวลามีเรื่องหนัก ๆ ร้าย ๆ หรือเกี่ยวกับความเป็นความตาย ..จะผ่านไปได้หรือไม่ได้ก็ตรงวันพระใหญ่นี่แหละ ..วันนี้แรม 14 ค่ำ พรุ่งนี้ คืนเดือนมืด แรม 15 ค่ำ วันพระใหญ่ ถ้าผ่านคืนพรุ่งนี้ไปได้ ก็น่าจะรอดนะ”

                     “ครบรอบวันพระใหญ่อีกแล้วหรือนี่” ธนพลอุทาน

เวลาพี่สาวของเธอพูดเรื่องอะไรที่เกี่ยวกับสิ่งที่อยู่เหนือธรรมชาติ เธอมักจะเชื่อตามแทบทุกเรื่อง เพราะพี่วีร์สนใจศาสตร์ทางด้านนี้ และมีความรู้ในระดับหนึ่ง แต่พี่วีร์ไม่ใช่หมอดู พี่วีร์บอกว่า สนใจเรื่องเหล่านี้เพราะมันเป็นความรู้อีกสาขาหนึ่งที่เกี่ยวข้องกับการใช้ชีวิตประจำวันและสามารถนำมาปรับใช้ได้

                   ‘ผู้หญิงดูดวง ดูภาพลักษณ์ไม่ค่อยดี ...โดยเฉพาะสาวโสด’ พี่สาวเธอเคยบอกเธอ

                   ‘เวลามีคนมาหาเรานะ เขาจะอยากใช้เวลาอยู่กับเรานาน..ถามโน่นถามนี่จนเขาพอใจ’

                   ‘ทุกคนอยากฟังแต่เรื่องดี ๆ สิ่งดี ๆ เกี่ยวกับตัวเขา’

                  ‘พี่ไม่มีเวลา ถ้าใครถ่วงเราไว้นาน ๆ พี่จะรูสึกอึดอัด’

                 “สาธุขอให้ผ่านพ้นไปได้ด้วยเถอะ” ธนพล พนมมือยกท่วมหัว สำหับสถานการณ์แบบนี้ ต่างก็ต้องการหาที่พึ่งทางใจ ต้องการได้ยินได้ฟังแต่สิ่งดี ๆ อย่างน้อยก็ยังพอมีความหวัง

แต่ถ้ามีใครสังเกตจะเห็นแวววิตกที่ส่อออกมาทางสีหน้าของกัญญาวีร์ เพราะเธอคอยติดตามข่าวคราวจาก แอสโทรโนมี ด็อท คอม อย่างต่อเนื่อง และทราบว่าคืนเดือนเพ็ญที่จะถึงนี้เกิดปรากฏการร์ลูน่า อีคริปส์ หรือจันทรคราส จันทรคราสจะแสดงด้านที่อ่อนแอออกมาโดยเฉพาะเรื่องที่เกี่ยวกับความสัมพันธ์และสภาพที่เป็นอยู่ และมันหมายถึงการจบสิ้น กาลอวสาน เธอได้แต่ภาวนาในใจว่าขอให้หนูน้อยตัวจิ๋วผ่านช่วงเวลานี้ไปได้ด้วยเถอะ




Create Date : 04 เมษายน 2557
Last Update : 11 กันยายน 2557 22:18:33 น.
Counter : 489 Pageviews.

0 comments
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

Maya_II
Location :
มุกดาหาร  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 7 คน [?]



Star sign : Gemini
Hobby : Reading & Writing
Interest : variety