Justice or Efficiency..?? When they clash, which should prevail..??
Group Blog
 
All blogs
 
ทำไมต้องไปเรียนต่อเมืองนอก ในเมื่อเราอยู่เมืองไทยและใช้กฎหมายไทย

(เดิม ผมตั้งใจว่าจะมาอัพบล็อก “เมื่อ LLM เป็นการศึกษาภาคบังคับ” ที่ค้างอยู่ แต่บังเอิญไปเจอกระทู้ที่ตัวเองเคยตอบไว้เมื่อสองปีที่แล้ว เห้นว่าน่าจะยังมีประโยชน์ ก็เลยเอามาแก้ไขนิดหน่อย แล้วเอามาแปะให้อ่านกันอีกรอบ .. โปรดสังเกตสำนวน.. เป็นสำนวนสมัยผมเขียนตำรากฎหมาย.. แก่จัง..)

“เมื่อเราอยุ่เมืองไทยและใช้กฎหมายไทย ทำไมจะต้องไปเรียนโท/เอก กันต่อที่เมืองนอก กฎหมายไม่เหมือนกันสักหน่อย เรียนเมืิองไทยน่าจะพอแล้ว...”

เมื่อพิจารณาดูกฎหมายว่าด้วยเรื่องหนึ่งๆ เราพอจะแบ่งเนื้อหากฎหมายนั้นได้เป็นสามส่วนคือ

1. หลักการ (Principle, Regime) คือแนวความคิดพื้นฐานและห้วงเหตุห้วงผลของกฎหมายเรื่องนั้น ตลอดจนแนวนโยบายแห่งรัฐ และประวัติศาสตร์ที่เกี่ยวข้อง ในเรื่องนั้น

2. บทบัญญัติ (Provision) คือรายละเอียดตัวบทบัญญัติมาตราต่างๆ ที่เป็นหลักและข้อยกเว้นต่างๆ และแนวคำพิพากษาของศาล

3. แนวปฏิบัติ (Practice) คือวิธีการนำกฎหมายไปใช้ปฏิบัติจริง เช่น กระบวนการเสนอคดีเข้าสู่ศาล การเขียนคำฟ้อง การใช้ดุลพินิจ รวมถึงการร่างสัญญา การเจรจาต่อรอง การขอใบอนุญาต เป็นต้น

นักกฎหมายที่เก่งจะต้องรู้ซึ้งและแม่นยำทั้งสามส่วน แต่ทว่าการเรียนกฎหมายไม่ว่าในระดับใด ปกติจะเรียนกันได้แค่สองส่วน คือหลักการและบทบัญญัติ ส่วนแนวปฏิบัติจะต้องไปเรียนรู้ด้วยตนเองในการทำงานหลังสำเร็จการศึกษาแล้ว ต่อให้จบปริญญาเอก ถ้าไม่เคยทำงานก็ไม่อาจจะรู้แนวปฏิบัติได้ มีคำกล่าวโบราณว่า (ติดอยู่ริมฝีปากว่าใครเป็นคนพูด น่าจะเป็น ท่านสัญญา ธรรมศักดิ์) “การเรียนกฎหมายต้องมืดสามครั้งสว่างสามครั้ง จึงจะบรรลุ” เข้าใจได้ว่าคงหมายถึงการมืดและสว่างทีละส่วนนั่นเองจนครบทั้งสามส่วนที่ว่ามานั่นเอง

ส่วนที่สำคัญที่สุดและยากที่จะรู้ซึ้งที่สุด ก็คือการเรียนในส่วน หลักการของกฎหมาย เพราะต้องมีคนชี้แนะ ไม่อาจจะอ่านเองตรัสรู้เองได้ และก็ยากที่จะมองไปได้ถูกทางถ้าปราศจากครูที่ดี เมื่อเข้าใจหลักการในเรื่องนั้นๆ แจ่มแจ้งดีแล้ว การที่จะเข้าใจ บทบัญญัติ ในขั้นต่อมาก็ไม่ยาก ไม่ว่าตัวบทบัญญัตินั้นจะยุ่งยากซับซ้อนเพียงใด ก็มีที่มาด้วยหลักการในชั้นแรกนั่นเอง ที่น่าเสียดายก็คือการเรียนกฎหมายในชั้นปริญญาตรีในเมืองไทย จะเน้นกันในส่วนบทบัญญัติ คือมุ่งเรียนมุ่งสอนว่ามาตรานั้นมาตรานี้ว่าอย่างไร แต่ไม่ค่อยได้วิเคราะห์อย่างละเอียดว่าตัวหลักการที่อยู่หลังบทบัญญัตินั้นคืออะไร มีบริบทที่มาอย่างไร และมีจุดอ่อนข้อถกเถียงอย่างไร

ปัญหาที่ถามกันบ่อยๆ ว่าการไปเรียนกฎหมายในชั้นปริญญาโท/เอก ต่อในต่างประเทศนั้นจะได้ใช้จริงหรือ ถ้ามองในมุมของการเรียนกฎหมายแบบไทยๆ คือเน้นเรียนตัวบทบัญญัติ ก็ตอบได้ว่าคงไม่ได้ใช้หรือได้ใช้น้อยมากเพราะบทบัญญัติของกฎหมายไทยกับกฎหมายชาติอื่นๆ ต่างกันมาก โครงสร้างพื้นฐานและนิติวิธีก็ต่างกัน แต่ประโยชนที่จะได้์อย่างยิ่งยวดจากการเรียนกฎหมายในต่างประเทศ คือการศึกษาหลักการพื้นฐานของกฎหมายเรื่องนั้น เพราะหลักการต่างๆ ที่ปรากฎอยู่ในกฎหมายไทย ล้วนมีที่มาจากหลักกฎหมายต่างประเทศทั้งสิ้น เรียกได้ว่าประเทศไทยไม่เคยคิดหลักการทางกฎหมายอะไรเองเลย เว้นแต่ เรื่องครอบครัวและมรดกในประมวลกฎหมายแพ่ง ที่เราคิดเองหมดแบบไทยแท้ นอกนั้นเราเอาหลักกฎหมายฝรั่งมาปรับใช้ทั้งหมด

การมาเรียนกฎหมายในต่างประเทศ จึงเป็นการกลับมาหาต้นตอ มาเรียนว่าหลักการที่เราเอาไปใช้นั้นมีที่มาอย่างไร เราเอาไปใช้แล้วเพี้ยนไปแค่ไหน และที่เราใช้อยู่มันล้าสมัยหรือยัง ชาวโลกเค้าพัฒนาไปถึงไหนแล้ว เสมือนเป็นกบในบ่อออกสู่โลกกว้าง ในบางเรื่องฝรั่งเค้าไปอวกาศกันแล้ว เรายังหักร้างถางพงกันอยู่เลย เช่นกฎหมายห้างหุ้นส่วนบริษัทไทยที่เราใช้อยู่ หลักการยังเหมือนกับกฎหมายอังกฤษฉบับปี 1940 กว่าๆ แต่ตอนขณะนี้อังกฤษเค้าใช้ฉบับปี 1985 แล้ว และก็กำลังจะมีฉบับใหม่ออกมาด้วยซ้ำ กฎหมายเราวิ่งตามเค้าอยู่เกือบห้าสิบปี นอกจากนี้ยังเป็นการเปิดมุมมองใหม่ๆ ที่ต่างไปจากกฎหมายไทย เช่นในเรื่องหนึ่ง กฎหมายไทยมองว่าเป็นละเมิด แต่กฎหมายอังกฤษกลับมองว่าเป็นผิดสัญญา เราก็ต้องศึกษาว่า ทำไมเค้าถึงมองต่างจากเรา เพราะเหตุใดและแนวทางของใครแก้ปัญหาได้ดีเด่นกว่ากัน เมื่อเราได้มาเรียนหลักการดั้งเดิมแล้ว เราก็จะสามารถเข้าใจหลักการที่เมืองไทยประยุกต์เอาไปใช้ได้ง่ายขึ้น และก็จะเข้าใจตัวบทบัญญัติที่เราเขียนไว้ได้ง่ายขึ้นไปอีก ทั้งยังกว้างขวางและลึกซึ้งกว่าเดิม

นอกจากการเรียนหลักการพื้นฐานของกฎหมายว่าด้วยเรื่องต่างๆ เพื่อนำไปพัฒนาปรับปรุงกฎหมายไทยให้ดีขึ้น ดังที่กล่าวไว้แล้ว ยังมีลักษณะการศึกษาอีกแนวทางหนึ่ง คือการศึกษากฎหมายที่มีลักษณะเป็นกติกาสากล หรือกฎเกณฑ์ระหว่างประเทศ เช่นกฎหมายระหว่างประเทศแผนกคดีเมือง แผนกคดีบุคคล กฎหมายการค้าการลงทุนระหว่างประเทศ หลักเกณฑ์ทางภาษีระหว่างประเทศ กฎหมายเศรษฐกิจระหว่างประเทศ เป็นต้น ด้วยความที่กฎหมายเหล่านี้มีลักษณะเป็นสากล กติกาที่นำไปใช้ในประเทศต่างๆ มักจะไม่ผิดแผกจากกันมากนัก เมื่อศึกษาแล้วจึงสามารถนำไปใช้ได้ในทันที เหตุที่ต้องมาศึกษาในต่างประเทศ สาเหตุหลักอยู่ที่ความพร้อมของหนังสือตำราและข้อมูลต่างๆ และความเชี่ยวชาญของอาจารย์ผู้สอนที่มักมีมากกว่าอาจารย์ในเมืองไทย นอกจากนี้ การเรียนกฎหมายที่ต่างประเทศ โดยเฉพาะในสาขากฎหมายธุรกิจ นักศึกษาจะมีโอกาสดีกว่าที่จะได้ศึกษาธุรกรรมที่มีแง่มุมทางกฎหมายซับซ้อน เช่นการควบรวมกิจการ (merger) รายใหญ่ๆ ที่เกิดขึ้นได้ยากในบ้านเรา

สรุปได้ว่า ประโยชน์ของการมาเรียนในระดับปริญญาโท/เอก ในต่างประเทศคือ

1. ได้ศึกษาหลักการดั้งเดิมที่กฎหมายไทยนำไปปรับใช้
2. ได้เห็นถึงแนวทางที่แตกต่างออกไป ในการจัดการกับปัญหาในลักษณะเดียวกัน เป็นการเปิดมุมมองและวสันทัศน์ของตนเอง
3. ได้เข้าถึงตำรา เอกสารข้อมูล และแนวความคิดใหม่ๆ ที่ยังไม่แพร่หลายในเมืองไทย
4. ได้ศึกษาธุรกรรมต่างๆ ที่ยังไม่มีในเมืองไทย

อย่างไรก็ดี การมาศึกษากฎหมายในต่างประเทศก็มีข้อควรระวังคือ ต้องพึงสังวรณ์ไว้เสมอว่า "กฎหมายนั้นมีบริบทของตัวเอง" (Law does not operate in vacuum. : Amir N. Litch) กฎหมายที่ดีในสังคมหนึ่งๆ อาจจะไม่เหมาะกับอีกสังคมหนึ่ง การจะนำความรู้ที่ได้ร่ำเรียนในต่างประเทศไปปรับใช้ จึงต้องผ่านการใคร่ครวญอย่างหนัก ว่าเหมาะสมกับวัฒนธรรม ประเพณี และสภาพสังคมของบ้านเราหรือไม่เพียงใด..

"Lawเก้อ แก่... "


Create Date : 17 พฤศจิกายน 2549
Last Update : 17 พฤศจิกายน 2549 1:44:48 น. 22 comments
Counter : 6001 Pageviews.

 


โดย: Nok (nokjeffus ) วันที่: 17 พฤศจิกายน 2549 เวลา:5:49:01 น.  

 
น่าสนใจนะคะ ไม่ได้เรียนกฎหมายเลยค่ะ ไม่รู้เรื่องอะไรเท่าไหร่ แต่เคยมีคำถามข้างบนอยู่ในใจนานมาแล้ว ทำให้ได้ความรู้ทั่วไปเพิ่มค่ะ


โดย: Nok (nokjeffus ) วันที่: 17 พฤศจิกายน 2549 เวลา:5:51:30 น.  

 
น่าสนใจค่ะ

แอบถามนิดนึงได้มั้ยคะ

ถ้าเรียนโทกฎหมาย จำเป็นต้องจบตรีกฎหมายมั้ยคะ

ได้ยินมาแว่วๆว่า กฎหมายเก็บไว้เป็นปริญญาที่สองก็ได้


โดย: PADAPA--DOO วันที่: 17 พฤศจิกายน 2549 เวลา:14:54:33 น.  

 
เพิ่งมีคนถามพลอยเลยนะเนี่ยคำถามนี้ 555

สู้ๆ นะคะ


โดย: พลอย IP: 124.121.171.138 วันที่: 18 พฤศจิกายน 2549 เวลา:0:44:00 น.  

 
ตอบคุณ padapa-doo ครับ

ขอแบ่งเป็นสองเคสนะครับ

ถ้าเป็นโทกฎหมายตรงๆ จะต้องจบตรีกฎหมายครับ เพราะว่าการเรียนปริญญาโทเป็นการเรียนกฎหมายเฉพาะด้านในเชิงลึก โดยอาศัยเนื้อหาและเครื่องมือ (นิติวิธี) ที่สอนในระดับปริญญาตีเป็นพื้นฐาน ปริญญาโท (นิติศาสตร์มหาบัณฑิต) ที่เปิดสอนในเมืองไทยทุกแห่งจึงระบุไว้ว่าผู้เรียนจะต้องจบนิติศาสตร์บัณฑิตมาก่อน ส่วน LLM ในต่างประเทศก็จะเป็นไปในเดียวกัน เพียงแต่ว่าอาจจะมีเคสแปลกๆ ที่ยกเว้นให้บ้าง สำหรับคนที่จบสาขาอื่นมา แต่มีประสบการณ์ทำงานที่เกี่ยวข้องกับกฎหมายมานาน (และคะแนนปริญญาตรีต้องดีมากๆ ด้วย)

อีกเคสหนึ่ง คือปริญญาโทที่ไม่ได้เน้นตัวทฤษฎีกฎหมายมากนัด แต่เน้นการนำกฎหมายไปใช้จริง เช่นหลักสูตรศิลปศาสตร์มหาบัณฑิตกฎหมายธุรกิจ ที่จุฬาฯ ผู้เรียนไม่ต้องจบตรีกฎหมายมาก่อน จบสาขาอะไรก็เรียนได้ เรียนแล้วเอาความรู้ไปใช้ประกอบกับความรู้เดิมของตัวเอง แต่จะทำงานในวิชาชีพกฎหมาย เช่นทนายความ หรือไปสอบเนติบัณฑิตไม่ได้

ที่คุณ padapa-doo ได้ยินมา น่าจะหมายถึงการเรียนกฎหมายภาคบัณฑิต คือเรียนเป็นปริญญาตรีใบที่สองมากกว่า จบตรีอะไรมาก็ได้ แล้วมาลงเรียนอีกสามปี (จากปกติเรียนสี่ปี) จบแล้วก็ได้นิติศาสตร์บัณฑิต


โดย: Lawเก้อ..ตอบจดหมาย IP: 81.152.33.144 วันที่: 18 พฤศจิกายน 2549 เวลา:7:38:08 น.  

 
ตอนนี้ฝนรินก็กำลังเรียนปริญญาตรีใบที่สองอยู่อ่ะค่ะ ทำงานด้วยเรียนด้วยรู้สึกเหนื่อยค่ะเป็นบางครั้ง...แต่ก็ชอบค่ะ รู้สึกท้าทายดี

ตอนนี้เรียนอยู่ม.รามฯ (ส่วนภูมิภาค) อาจไม่แน่นเท่าส่วนกลางแต่พยายามอ่านหนังสือด้วยตัวเองให้มากที่สุด



โดย: ฝนริน IP: 61.19.65.159 วันที่: 19 พฤศจิกายน 2549 เวลา:1:02:39 น.  

 
ฝนเหมือนกันค่ะ โหลเนาะ อืม ฝนคงมาอ่านเจอบล๊อกผู้ทรงคุณวุฒิแน่เลย ฝนขอฝากเนื้อฝากตัวฝังอ่านบล๊อกพี่นะคะ
ขอให้พี่นำบทความดีๆมาให้พวกเราอ่านกันอีกเยอะๆนะคะ


โดย: สมฝน (สมฝน ) วันที่: 19 พฤศจิกายน 2549 เวลา:2:30:16 น.  

 
เพราะพื้นฐานกฎหมายของกฎหมายไทยใช้ระบบcommonlawซึ่งนำมาใช้จากต่างประเทศการเรียนรู้ถึงรากฐานอย่างแท้จริงมันช่วยพัฒนาศักยาภาพอีกด้านหนึ่ง ซึ่งการเรียนรู้ให้กว้างขึ้นย่อมหมายถึงการเรียนรู้ที่ครอบคุม จึงเป็นที่นิยมในการสรรหาบุคลากรแก่บริษัทและประเทศ


โดย: การค้าธุรกิจระหว่างประเทศ IP: 202.5.89.60 วันที่: 21 พฤศจิกายน 2549 เวลา:12:38:15 น.  

 
เพราะพื้นฐานกฎหมายของกฎหมายไทยใช้ระบบcommonlawซึ่งนำมาใช้จากต่างประเทศการเรียนรู้ถึงรากฐานอย่างแท้จริงมันช่วยพัฒนาศักยาภาพอีกด้านหนึ่ง ซึ่งการเรียนรู้ให้กว้างขึ้นย่อมหมายถึงการเรียนรู้ที่ครอบคุม จึงเป็นที่นิยมในการสรรหาบุคลากรแก่บริษัทและประเทศ


โดย: การค้าธุรกิจระหว่างประเทศ IP: 202.5.89.60 วันที่: 21 พฤศจิกายน 2549 เวลา:12:38:32 น.  

 
เพราะพื้นฐานกฎหมายของกฎหมายไทยใช้ระบบcommonlawซึ่งนำมาใช้จากต่างประเทศการเรียนรู้ถึงรากฐานอย่างแท้จริงมันช่วยพัฒนาศักยาภาพอีกด้านหนึ่ง ซึ่งการเรียนรู้ให้กว้างขึ้นย่อมหมายถึงการเรียนรู้ที่ครอบคุม จึงเป็นที่นิยมในการสรรหาบุคลากรแก่บริษัทและประเทศ


โดย: การค้าธุรกิจระหว่างประเทศ IP: 202.5.89.60 วันที่: 21 พฤศจิกายน 2549 เวลา:12:38:45 น.  

 
อยากรู้ การเรียน กม.ในอังกฤษ ครับ ช่วยเขียนให้ความรู้ด้วยครับ แตกต่างกับการเรียนใน ไทย หรือประเทศอื่นๆหรือไม่


โดย: ru (armcandy ) วันที่: 27 พฤศจิกายน 2549 เวลา:13:57:11 น.  

 
เเวะมาอ่านครับ ได้ความรู้มากมาย


โดย: moobawee วันที่: 4 ธันวาคม 2549 เวลา:19:07:05 น.  

 
แวะมาเยี่ยมเยียนไอ้หนู ..... เอ่อ เรื่องห้องการศึกษา เนื่องจาก พี่ยังลังเล และอาจจะติดวัฒนธรรมที่ Law School ใน สหรัฐฯ ที่อาจารย์ทุกคน ไม่เคยใช้คำว่า Dr. น้ำหน้าชื่อเลย ...... เลยเห็นว่า มันจะสร้างความไม่เสมอภาคในเชิงความรู้สึกนะครับ พี่เลยไม่ได้ลงชื่อ แต่ก็ไม่ได้คัดค้าน .....

ใกล้ปีใหม่แล้ว ขอให้มีสุขภาพพลามัย สมบูรณ์ แข็งแรงครับ


โดย: POL_US (POL_US ) วันที่: 12 ธันวาคม 2549 เวลา:4:06:59 น.  

 
แวะมาทักทายเพื่อนบ้านจ้า


โดย: Mactopia วันที่: 16 ธันวาคม 2549 เวลา:7:04:32 น.  

 
ดีจังค่ะ


โดย: kat IP: 202.90.6.36 วันที่: 26 กุมภาพันธ์ 2550 เวลา:13:06:00 น.  

 
แวะเข้ามาอ่านเว้บพี่ครับ
เมื่อไร...กลับเมืองไทยครับมาเล่นสงกราน์ไหมครับ
-----------------------------------------------------------
//koh-tao07.blogspot.com
//phuket-travel99.blogspot.com
//pattaya-travel.blogspot.com
//koh-samui99.blogspot.com


โดย: คนไทย IP: 61.19.220.5 วันที่: 7 เมษายน 2550 เวลา:1:37:26 น.  

 
How's about the "policy" concern krub?


โดย: praphrut608 IP: 132.236.166.128 วันที่: 11 พฤษภาคม 2550 เวลา:15:10:37 น.  

 
ขอบคุณสำหรับข้อมูลดีๆคะ มาอ่านบล็อคนี้ดีมากๆเลยคะ แต่ก็ยังคิดไม่ออกอยู่ดีว่าจะเรียนต่อกฎหมายอะไรดีละเฮ้อ....


โดย: มะขาม IP: 61.19.55.254 วันที่: 11 กันยายน 2550 เวลา:9:46:12 น.  

 
อ่านแล้ว งง งง แต่รู้สึก อยากเรียนนิติ ให้ได้บ้าง...


โดย: เจ้าหนูไมค์จัง วันที่: 1 ธันวาคม 2550 เวลา:17:12:42 น.  

 
-เพื่อรู้ที่มาของกฎหมาย เพราะกฏหมายไทยนำมาจากต่างประเทศ ศัพท์บางคำจึงต้องอ่านจากประเทศที่เรานำมาเพื่อทราบเจตนารมณ์ที่แท้จริงของหลักกฏหมาย

-กฏหมายไทยเป็นแบบคอมมอนลอว์ เป็นลายลักษณ์อักษร

-เรียนไปเรื่อยเรื่อยก็จะพบว่า...ตำราที่ซื้อมาทำไมมันเยอะปานนี้ อ่านเข้าไปหมดได้อย่างไร บางคนทั้งชีวิตอ่านตำรากฏหมายยังไม่ถึงครึ่งเล่มด้วยซ้ำ


โดย: สมชาย IP: 203.107.199.246 วันที่: 28 สิงหาคม 2553 เวลา:4:13:19 น.  

 
*กฏหมายไทยเป็นแบบคอมมอนลอว์เป็นลายลักษณ์อักษร
ผมว่าไม่น่าใช่นะครับ

ผมว่าไทยเป็น civil law นะครับ คือแบบมีประมวลกฎหมาย เช่น เยอรมัน และฝรั่งเศส

ถ้า common law หมายถึงแบบไม่มีประมวลกฎหมาย อย่างพวกอังกฤษ อเมริกา


โดย: ชยพล IP: 182.53.75.223 วันที่: 10 กุมภาพันธ์ 2554 เวลา:18:41:25 น.  

 
ได้สิทธิ สอบ ผู้ช่วย สนามเล็ดและสนามจิ๋วครับ


โดย: 007 IP: 110.171.28.255 วันที่: 26 สิงหาคม 2554 เวลา:3:20:55 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

Lawเก้อ
Location :
Manchester United Kingdom

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




Remedies Can Sometimes Be Worse Than The Disease They Were Meant To Cure..!!
Friends' blogs
[Add Lawเก้อ's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.