Justice or Efficiency..?? When they clash, which should prevail..??
Group Blog
 
All blogs
 

คำถามทดสอบความมีหัวกฎหมาย (Legal Mind)

ช่วงนี้ยุ่งมาก ไม่ได้อัพบล็อคเสียนาน… วันนี้เลยมาอัพหน่อย

หนังสือคำแนะนำนักศึกษากฎหมาย ฉบับพิมพ์ครั้งที่ 5 วางขายไปแล้วตั้งแต่งานสัปดาห์หนังสือแห่งชาติ เมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมา ช่วงที่ทำต้นฉบับ ผมเองอยู่ต่างประเทศ ก็ใช้วิธีส่งอีเมลล์ต้นฉบับไป แล้วก็ตรวจปรูฟกันทางไปรษณีย์ ตอนแรกผมก็ยังนึกหน้าตามันไม่ออก พอกลับเมืองไทยไปก็เลยได้เห็นเป็นเล่ม ก็ถือว่าออกมาสวยงาม หน้าตาดีกว่าที่คิดไว้ ทำเป็นเล่มเล็กก็ดีเหมือนกัน ถือง่ายใช้สะดวก ถ้าใครได้ซื้อได้ใช้แล้วเห็นว่า ยังมีอะไรที่ผมปรับปรุงได้ ช่วยกรุณาบอกด้วยครับ… โดยเฉพาะน้องๆ นักนิสิตศึกษาที่ใช้เล่มนี้เรียน ปีหน้าผมคงเริ่มทำเนื้อหาสำหรับการพิมพ์ครั้งใหม่ ตั้งใจว่าจะออกให้ได้ทุกสองปี

เร็วๆ นี้ มีน้องคนนึงที่สนใจเรียนนิติ ได้มาอ่านฉบับพิมพ์ครั้งก่อน แล้วเกิดสงสัยว่า “หัวกฎหมาย” หรือ Legal Mind ที่ท่านอาจารย์ธานินทร์เขียนไว้ในเล่ม คืออะไร ความจริงเรื่องนี้ก็อธิบายได้ยากอยู่ ตอนที่ผมกำลังคิดว่าจะตอบอย่างไรดีนั้น ก็บังเอิญฉุกคิดถึงคำถามข้อนึงขึ้นมาได้ ผมว่าคำถามข้อนี้แสดงเรื่องหัวกฎหมายได้ดีพอสมควร ผมว่าจะเอาไปเขียนลงคำแนะนำฯ ฉบับพิมพ์ครั้งหน้าด้วย ถ้าอาจารย์ธานินทร์ท่านเห็นชอบ

คำถามข้อนี้ผมเอามาจากพ่อ พ่อผมเคยเป็นอาจารย์พิเศษสอนปริญญาโทที่จุฬาสมัยที่ท่านจบกลับมาจากฝรั่งเศสใหม่ๆ น่าจะสอนวิชาสัมมนาอะไรสักอย่าง พ่อผมเอาคำถามข้อนี้ออกเป็นข้อสอบ แล้วปรากฎว่าเด็กปริญญาโทส่วนใหญ๋ ก็ยังมองกันไม่ค่อยออก พ่อผมเอาคำถามข้อนี้มาถามผมเล่นๆ ตอนผมอยู่ ม.5 ผมใช้เวลาสามปีถึงจะมองออก และไปตอบให้ท่านพอใจได้ตอนอยู่ปีสอง

ดูเป็นคำถามที่น่าตื่นเต้นนะ... ขอเน้นว่า คำถามข้อนี้ ธงคำตอบไม่ใช่เรื่องสำคัญ เพราะมันมองได้หลายทาง และยังไม่มีฎีกาออกมา (ยังไงก็ไม่น่าจะมีได้) แต่สำคัญอยู่ที่วิธีคิด ว่าคนตอบมองเห็นอะไรจากโจทย์สั้นๆ มั่ง

คำถาม:

นาย ก ถึงแก่ความตายด้วยอุบัติเหตุ โดยมีนาย ข เป็นทายาท นาย ค ซึ่งเป็นเพื่อนรักนาย ก ได้ทราบข่าว ก็เลยส่งพวงหรีดดอกไม้สดมาให้ที่งานศพ คืนนั้น นาย ง เดินผ่านศาลาตั้งศพ เห็นว่าหรีดอันนี้สวยดี ก็เลยเอาไป ถามว่าใครฟ้องในฐานอะไรได้บ้าง

พอดีผมไม่มีประมวลอยู่กับตัว เลยจะเขียนคร่าวๆ ก่อน ไว้ตอนจะเขียนลงเล่ม จะเขียนละเอียดอีกที

หลักกฎหมายสำคัญที่สุดที่ใช้ตอบโจทย์ข้อนี้คือ คนที่จะฟ้องได้จะต้องเป็นผู้เสียหาย และจะฟ้องฐานลักทรัพย์ได้จะต้องเป็นผู้มีกรรมสิทธิ์ หรือเป็นผู้ครองครองทรัพย์นั้น

ถ้าอ่านผ่านๆ อาจจะคิดว่าโจทย์ข้อนี้ไม่เห็นจะมีอะไรเลย นาย ง เอาไปก็ผิดลักทรัพย์ ทายาทก็แจ้งความ ฟ้องคดีอาญา และฟ้องคดีละเมิดได้…

ผมว่าหัวกฎหมายมันอยู่ตรงนี้ ถ้ามองดีๆ โจทย์ข้อนี้ยากและลึกลับซับซ้อนอย่างคิดไม่ถึง

ผมจะลองแยกประเด็น และตอบตามความเห็นของผมดู ขอเน้นอีกทีว่า ธงคำตอบข้อนี้ไม่สำคัญ สำคัญที่วิธีคิดและการจับประเด็นว่ามองเห็นประเด็นที่ซ่อนไว้ครบไหม

คำตอบ:

ประเด็นแรกที่เด้งออกมา คือ “พวงหรีดดอกไม้สด” ที่ให้กันในงานศพ มีความต่างจากทรัพย์ธรรมดาอยู่มาก โดยเฉพาะในเรื่องประโยชน์ใช้สอย ถ้าไม่เห็นประเด็นนี้ ก็ยากที่จะตอบต่อไป


ประเด็นที่สองคือ พวงหรีดดอกไม้สด ที่นาย ค ให้มาตามธรรมเรียนประเพณี นั้น เป็นกรรมสิทธิ์ของใคร เป็นของนาย ก ผู้ตาย นาย ข ทายาท หรือเป็นของวัด

เรื่องนี้ คงต้องดูเจตนา นาย ค เป็นหลัก ถ้านาย ค บอกว่ามีเจตนามอบให้นาย ก เพื่อนรัก ด้วยความอาวรณ์และคิดถึง ผลก็คือ การให้นั้นไม่เกิดผล เพราะนาย ก ไม่มีสภาพบุคคลที่จะรับการให้ได้ (และพวงหรีดนั้นก็ไม่ตกทอดเป็นมรดกให้กับทายาท เนื่องจากได้มาหลังตาย) ผลก็คือ พวงหรีดนั้นจะกลายเป็นทรัพย์ที่ไม่มีเจ้าของ ด้วยเหตุที่ นาย ค ได้สละกรรมสิทธิในทรัพย์ การที่ทายาทรับพวงหรีดไว้ จึงมีผลเสมือนเป็นการเก็บทรัพย์สินไม่มีเจ้าของได้และเข้ายึดถือเอากรรมสิทธิ์

แต่ถ้านาย ค มีเจตนาให้พวงหรีดกับนาย ข ทายาท นาย ข ก็จะได้กรรมสิทธิ์ในพวงหรีดนั้นโดยตรง แต่ถ้าเราไม่อาจไปถามนาย ค ได้ ว่ามีเจตนาให้ใครกันแน่ ก็คงต้องเอาหลักเรื่ิองกรรมเป้นเครื่องชี้เจตนา และการตีความให้เกิดผลมาใช้ ก็จะได้ว่านาย ค น่าจะมีเจตนาให้พวงหรีดกับทายาทมากกว่า

ส่วนวัด ไม่เกี่ยว เพราะ นาย ค ไม่ได้มีเจตนาให้กับวัด และวัดก็มิได้มีเจตนาถือครองพวงหรีดแต่อย่างใด

ผลสรุปก็คือ พวงหรีดพวงนี้จะเป็นกรรมสิทธิ์ของนาย ข โดยใดทางหนึ่ง


ประเด็นต่อมา การที่นาย ง มาเอาพวงหรีดไปนั้น เข้าองค์ประกอบฐานลักทรัพย์และละเมิดทุกประการ แต่ปัญหาที่เป็นหัวใจของข้อนี้ คือ คนที่จะฟ้องได้ จะต้องเป็นผู้เสียหายเท่านั้น คือได้รับความเสียหายจากการที่พวงหรีดหายไปจากฝาผนังศาลาวัด

ใครเป็นผู้เสียหายกันแน่??

ดูเผินๆ เหมือน นาย ข ทายาทจะเป็นผู้เสียหาย แต่เมื่อมาคิดดีๆ การที่พวงหรีดหายไป ทายาทจะเสียหายอย่างไร?? ทายาทมีประโยชน์อะไรในตัวพวงหรีดที่ตีค่าเป็นความเสียหายได้ ในความเห็นผม ผมว่าไม่มี…. พวงหรีดอยู่ไม่อยู่ ผู้ตายก็คงไม่ลุกมาโวยวาย ชื่อเสียงทายาทหรือผู้ตายก็ไม่เสียหาย วัดเองก็ไม่ได้เก็บเงินค่าศาลาเพิ่ม (ถ้าใครมาอ่านแล้วเห็นต่างออกไป ก็ไม่ผิด เพราะตรงนี้ขึ้นกับมุมมอง หลายคนบอกผมว่า ทายาทเอาพวงหรีดไปขายได้… ผมฟังแล้วก็ยังสงสัย ว่ามันเอาไปขายได้จริงเหรอ ถ้าเอาไปขายได้โดยทั่วไป ทายาทก็อาจจะเป็นผู้เสียหายได้ และคำตอบของข้อนี้ก็คงเปลี่ยนไป)

เมื่อความเสียหายไม่มี นาย ข ทายาทก็ฟ้องไม่ได้ทั้งแพ่งและอาญา (คำตอบผลิกโผ..)

กลับกัน ลองมาคิดทางมุมนาย ค ผู้ให้ (หลายคนไม่ได้คิดตรงนี้) จริงๆ แล้วนาย ค น่าจะเป็นผู้เสียหายจากการที่ชื่อที่ติดบนพวงหรีดของตนหายไปจากกำแพงศาลาวัดมากกว่า การท่ีนาย ค ส่งพวงหรีดไปงานศพ ก็ย่อมคาดหมายว่า พวงหรีด จะถูกนำไปประดับให้คนเห็น และคนอื่นๆ ที่มางาน จะได้เห็นว่า นาย ค ส่งพวงหรีดมาแล้ว (ผมว่าเพื่อนๆ ทุกคนเวลาไปงานศพที่เราส่งพวงหรีดไป ก็คงจะไปเดินดูกันทุกคนว่า พวงหรีดที่เราส่งมา เค้าแขวนไว้ตรงไหน…)
การที่พวงหรีดโดนโขมยไป และคนที่มางานศพคนอื่นไม่เห็นพวงหรีดของนาย ค นาย ค ย่อมเสียหาย เช่นเวลามีคนที่รู้จักนาย ค มางาน เมื่อไม่เห็นพวงหรีด ก็จะพูดไปได้ว่า นาย ค ไม่เห็นหัวดูดำดูดีเพื่อน เพื่อนตายทั้งคนอีแค่หรีดยัง๋ไม่ส่ง จะงกไปถึงไหน..!! (ใครที่ยังงง น่าจะเคยเห็นข่าวในคดีที่ดาราขับรถชนคนตาย แล้วมักจะมีคนที่ไปงานมาโพสว่า “อะไรกัน ชนเค้าตาย แม้แต่พวงหรีดยังไม่ส่งมาเลย” เสียชื่อเสียงไปกันอีกไม่น้อย)

ฉะนั้นเรื่องนี้ นาย ค ผู้ส่งพวงหรีด จึงเป็นคนเสียหายที่แท้จริง จากการที่นาย ง โขมยพวงหรีดไป (หลายคนอาจจะไม่เห็นด้วย อันนี้ก็ไม่ผิด แล้วแต่มุมมอง)

แล้วนาย ค จะฟ้องอะไรได้มั่ง นาย ค ฟ้องอาญาฐานลักทรัพย์ไม่ได้ เพราะไม่ได้มีกรรมสิทธิ์ในตัวทรัพย์หรือเป็นผู้ครอบครองทรัพย์ (ได้สละไปแล้ว) แต่ฟ้องละเมิดได้… ส่วนจะเสียหายเท่าไหร่ ต้องไปนำสืบอีกที


สรุปว่า คำถามข้อนี้ มองเผินๆ เหมือนง่าย ไม่มีอะไรเลย แต่จริงๆ แล้วมีอะไรซ่อนอยู่มาก และต้องใช้ความรู้รอบตัวประกอบด้วย ผมว่าคำถามข้อนี้ ใช้วัด “หัวกฎหมาย” ได้ดีเยี่ยม ผมเองเวลาไปงานศพ บางที่ก็เอาคำถามนี้มาถามเพื่อนๆ นักกฎหมาย ฝึกสมองกันเล่น แก้เซ็ง…


จริงๆ ตอนพ่อผมออกข้อสอบ คำถามยังมีต่อไปอีกนิด ซึ่งทำให้มันยากขึ้นไปอีกหลายเท่า (โหดมาก)

คำถามคือ ถ้าหรีดที่หายไปเป็น “หรีดพระราชทาน” จะมีผลทางกฎหมายต่างจากหรีดของนาย ค อย่างไร

จะตอบข้อนี้ได้ ต้องมีความรู้รอบตัวพอสมควร ว่าหรีดหลวงที่พระราชทานผ่านทางสำนักพระราชวังนั้น เป็นหรีดที่ทำจากผ้าและดอกไม้ปลอม เจ้าหน้าที่จะมานำกลับคืนเมื่องานเสร็จและนำไปให้งานอื่นต่อไป คือเป็นการให้ยืมเท่านั้น กรรมสิทธิ์ยังอยู่กับสำนักพระราชวัง และความเสียหายในที่นี้คือ ค่าใช้จ่ายที่สำนักฯ จะต้องไปจ้างทำหรีดอันใหม่มาไว้ใช้แทน สำนักฯ จึงฟ้องได้ทั้งแพ่งและอาญาในฐานลักทรัพย์

ส่วนทายาท ก็ถือว่าเป็นผู้ครอบครองหรีดหลวง และเมื่อหรีดหลวงโดยโขมยไป ทายาทจะเสียหายหรือไม่ก็ต้องมาตีความกัน ผมเองเห็นว่า ทายาทเสียหาย (อย่างรุนแรง) เพราะว่า คนทั่วไปจะไปพูดให้เสียชื่อเสียงได้ว่า ทายาทไร้ความสามารถ (หรือไร้บุญวาสนา) ไม่สามารถรักษาหรีดหลวงที่ทรงพระราชทานให้บิดามารดาได้ ทายาทจึงน่าจะมีสิทธิฟ้องทั้งแพ่งและอาญา

พิมพ์มาตั้งนาน…. เหนื่อย ขอไปทำงานต่อละกัน… ไม่รู้เพื่อนๆ จะตอบคำถามข้อนี้เหมือนผมไหม สำคัญที่สุดคือ มองกันออกไหม ว่าพวงหรีดเป็นทรัพย์วิเศษในทางกฎหมาย….. อิอิ




 

Create Date : 09 พฤษภาคม 2550    
Last Update : 9 พฤษภาคม 2550 22:57:34 น.
Counter : 4279 Pageviews.  

คำแนะนำนักศึกษากฎหมาย ฉบับพิมพ์ครั้งที่ 5

เมื่อสักแปดเก้าปีที่แล้ว.. ก่อนผมจะเรียนปริญญาตรี ใครจะไปเชื่อว่าวิชากฎหมายจะเป้นที่นิยม คณะนิติศาสตร์จะกลายมาเป็นคณะที่มีคะแนนสูงเป็นอันดับหนึ่งอย่างตอนนี้

สมัยผมเอ็นทรานส์ (ระบบเก่า) ถ้าสอบได้ 48% ก็เอ็นติด เรียนจุฬา มธ. ได้ ตอมผมสอบเข้า ผมได้ 75% ได้ที่สองของคณะ ถ้าให้ผมเอ็นตอนนี้อาจจะไม่ติด..

สังคมในคณะนิติเองก็เปลี่ยนไปมาก จากสมัยรุ่นผมและรุ่นก่อนผม ที่พวกเรากลางวันกินเหล้า บ่ายเข้าเรียน เย็นออกมากินเหล้าต่อ.. กลายเป็นคณะของเด็กเรียน ไม่แพ้คณะแพทย์.. ยุคสมัยมันเปลี่ยนไปจริงๆ

กลับมาเข้าเรื่อง ใครจะนึกว่าหนังสือคำแนะนำนักศึกษากฎหมาย ฉบับพิมพ์ครั้งที่ 3 และ 4 ที่ท่านอาจารย์ธานินทร์ กรัยวิเชียร มอบหมายให้ผมปรับปรุงและแก้ไขเพิ่มเติม จะขายไปได้ถึงหมื่นกว่าเล่ม.. ในเวลาสามปีกว่า.. จนถึงตอนนี้ก็ยังขายได้เดือนละ 300 กว่าเล่ม (สำนักพิมพ์ มธ. บอกมา) แล้วตอนนี้ก็ใกล้จะหมดอีกแล้ว ถึงคราวต้องพิมพ์ครั้งที่ 5

ก่อนผมกลับมาเรียนต่อ สำนักพิมพ์ก็ถามมาว่าจะปรับปรุงก่อนพิมพ์ไหม ผมปรึกษาและขอนโยบายจากท่านอาจารย์ คราวนี้ท่านมอบหมายให้ผมทำไปลำพังได้เลย ผมก็เลยลงมือ Solo ใช้เวลาทำสี่เดือนกว่า..

สิ่งที่แก้เยอะคราวนี้คือเรื่องของข้อแนะนำในการสอบโทเฟลและไอเอ้ลท์ เดิมที่ผมเขียนไว้จากประสบการณ์ตัวเอง แต่เมื่อระบบมันเปลี่ยนใหม่หมดแล้ว (IBT) จะให้เขียนใหม่ ผมก็ตะขิดตะขวงใจว่าตัวก็ไม่เคยสอบ ก็เลยตกลงตัดออก นอกนั้นในส่วนของวิํธีการเรียนภาษาอังกฤษอื่นๆ ผมก็ได้ใส่ตัวอย่างที่หามาได้ในช่วงเรียนปริญญาโทเพิ่มเข้าไป ส่วนในบทอื่นๆ ก็มีปรับปรุงเพิ่มเติมนิดๆ หน่อยๆ พอสมควร

ที่ปรับปรุงใหญ่อีกเรื่องคือรูปเล่มของหนังสือ เดิมหนังสือเป็นขนาดแบบโบราณ คือขนาดเท่ากระดาษ A4 ที่เรียกว่าแปดหน้ายกพิเศษ ข้อดีคือมันใหญ่และหนังสือจะไม่หนามาก แต่ก็มีคนบ่นมาให้ได้ยินเสมอ ว่าพกไปไหนลำบาก โดยเฉพาะนักศึกษาที่ต้องขึ้นรถเมล์ คราวนี้ก็เลยตกลงกับสำนักพิมพ์ มธ. ว่าสำหรับพิมพ์ครั้งใหม่นี้ จะย่อให้เหลือเท่าขนาดหนังสือปกติ แปดหน้ายกธรรมดา โดยต้องเรียงรูปเล่มใหม่หมด ซึ่งสำนักพิมพ์จะเป็นผู้รับผิดชอบให้ เรียงให้ใหม่จากต้นฉบับที่ส่งไปแล้ว ถึงตอนนี้ก็ยังแอบกังวลอยู่ว่าหนังสือจะหนามาก เพราะขนาดเล่มใหญ่แบบเดิม ยังมีถึง 330 หน้า คงต้องพิสูจน์ฝีมือสำนักพิมพ์หน่อย ว่าจะทำออกมาได้ดีและสวยงามขนาดไหน

สำนักพิมพ์เคยรับปากว่าหนังสือจะออกได้ภายในสิ้นปี แต่ดูแล้วท่าจะยาก เพราะจนถึงวันนี้ยังไม่ส่งไปรษรีย์ปรูฟสุดท้ายมาให้ดูเลย... ก็ไม่เป็นไร ยังไงเลทสุดจะต้องออกให้ทันเมษาปีหน้า ให้ทันเปิดเทอม.. ยิ่งตอนนี้รู้สึกว่าหลายคนจะเห็นดีเห็นงามกับหนังสือแบบนี้ เริ่มมีเขียนออกตามมาขายกันหลายเจ้า.. ซึ่งก็ดี การแข่งขันย่อมทำให้เกิดการพัฒนา.. (อีกอย่าง ถึงขายดีไม่ดียังไง ผมก็ไม่ได้ค่าลิขสิทธิ์อยู๋แล้ว.. อิอิ อาจารย์ธานินทร์ท่านยกให้สำนักพิมพ์หมด เพื่อหนังสือจะได้ถูกลง เป็นประโยชน์กับนักศึกษา แต่ถ้าได้ก็น่าจะดี อิอิ... ผมคงรวยขึ้นอีกหลายหมื่น..)

เพื่อนๆ คนไหนที่เข้ามาอ่านบล็อกนี้ แล้วเคยได้อ่านฉบับพิมพ์ครั้งที่สาม หรือครั้งที่สี่ ถ้ามีข้อติชมยังไง บอกไว้ก็ดีครับ.. ผมยังมีโอกาสปรับปรุงอีกครั้ง ก่อนหนังสือจะออก ส่วนตำสะกดผิดที่มีประมาณสิบตัว ในการพิมพ์ครังที่สี่ ผมได้แก้ไขแล้วเรียบร้อย ตามที่มีผู้กรุณาส่งจดหมายมาบอก..

"Lawเก้อ Education Mode"




 

Create Date : 08 พฤศจิกายน 2549    
Last Update : 8 พฤศจิกายน 2549 4:12:40 น.
Counter : 1981 Pageviews.  


Lawเก้อ
Location :
Manchester United Kingdom

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




Remedies Can Sometimes Be Worse Than The Disease They Were Meant To Cure..!!
Friends' blogs
[Add Lawเก้อ's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.