|
Wild Love ตอนที่ 6
"นี่ก็วันที่ห้าแล้ว เจ้าคิดว่าเราจะหาต้นเชอร์รี่สีทองพบไหม" เกเลมว่า เมื่อทั้งสองเดินลัดเลาะอยู่ในป่า
"ถ้าซิลเวียให้แผนที่มาไม่ผิด มันน่าจะอยู่บนนั้นนะ" กานุสพยักเพยิดให้ดูหน้าผาหินสูงชันมียอดแหลมปราศจากต้นไม้ แต่เพียงเห็นทางขึ้นก็แทบจะถอดใจ ด้วยลักษณะลาดชันและคับแคบ หากพลาดแม้เพียงนิดเดียว คงต้องฝังร่างอยู่แถวนี้
"เจ้าว่านางทำนายแม่นแค่ไหน?" นางพยัคในร่างเสือดำหันมาถามจิ้งจอกหนุ่ม
"เราคงจะรู้ในอีกไม่ช้า หากข้าถอยตอนนี้ ก็ต้องตายด้วยคมเขี้ยวของเจ้าอารอนอยู่ดี เจ้าคิดว่าข้าควรเสี่ยงไหม" กานุสถามกลับ
"งั้นเราไปพิสูจน์คำทำนายของตาเฒ่าลีเมอร์ กับแม่สาวแพนด้ากัน" เกเลมว่าแล้วเดินนำไปก่อน
"เดี๋ยวก่อน! นั่นมันอะไร?" กานุสเห็นบางสิ่งเคลื่อนไหวอยู่บนยอดเขานั่น ลักษณะใหญ่โตมโหฬารทีเดียว เพราะเพียงการขยับตัวช้าๆ ก็ทำให้หินแตกเซาะหล่นลงมาตามหน้าผา
"ถ้ามันเป็นงู ข้าก็ไม่เคยเห็นอะไรใหญ่ยักษ์ขนาดนี้มาก่อน" เกเลมเพ่งมองด้วยสายตา และคาดเดาจากรูปร่างที่เห็นเพียงบางส่วนเท่านั้น
"ไปกันเถอะ ข้าคิดถึงที่นอนนุ่มๆ เต็มทีแล้ว" กานุสสูดหายใจลึก ก่อนทั้งสองจะลัดเลาะขึ้นไปตามผาอย่างระมัดระวัง และเงียบที่สุด เพื่อไม่ให้เจ้าสัตว์ประหลาดนั้นไหวตัว
"โอ้แม่เจ้า! ดูนั่นสิ!" เกเลมกระซิบ เมื่อมาถึงยอดเขาเป็นลานเล็กๆ และเห็นต้นเชอร์รี่ ผลสีทองดกเต็มกิ่งก้านจนแทบไม่มีใบ
"แล้วเราจะจัดการกับเจ้านี่ยังไง" กานุสกระซิบกลับ เมื่อเห็นเต็มตาแล้วว่ามันเป็นงูยักษ์ที่พันตัวอยู่รอบต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์ และคงกินผลของมันเข้าไปจนตัวโตขนาดนี้
"ข้าจะย่องเข้าไปเก็บผลเชอร์รี่ เจ้าคอยระวังอยู่ที่นี่" เกเลมนัดแนะเสร็จแล้วเข้าไปใกล้ กลายร่างเป็นมนุษย์ แล้วค่อยดึงถุงผ้าออกมา รูดผลเชอร์รี่ลงไปเบามือ พลางเหลือบมองเจ้างูขี้เซาไปด้วย แต่พอไม่เห็นมันขยับ จึงเพลินเก็บผลไม้ไปเรื่อยๆ
"เกเลม! ระวัง!!" กานุสร้องเสียงหลง เมื่อเจ้างูยักษ์โผล่หัวขึ้นมาเบื้องหลัง อ้าปากกว้างเกินส่วนสูงของนางเสียด้วยซ้ำ
เกเลมกลายร่างอีกครั้ง แล้วรีบกระโจนออกจากบริเวณนั้นด้วยความเร็ว เจ้างูยักษ์จึงงับต้นเชอร์รี่เข้าไปจนหักโค่น และนั่นทำให้มันยิ่งโกรธ ผลไม้ศักดิ์สิทธิ์ร่วงกระจายลงเต็มพื้น
"กินผลเชอร์รี่เร็วเข้า กานุส!" หญิงสาวร้องบอกขณะหลบอยู่หลังก้อนหินขนาดใหญ่ และพยายามหลบการจู่โจมของศัตรู
จิ้งจอกหนุ่มรีบทำตาม หากแต่รสเปรี้ยวของผลไม้ที่ไม่คุ้นเคย ทำให้พะอืดพะอมได้ไม่น้อย ถึงกระนั้นก็ยังพยายามกินเข้าไปให้มากที่สุด แล้วเจ้างูยักษ์ก็เปลี่ยนเป้าหมายทันที
"ผลไม้นี่จะออกฤทธิ์เมื่อไหร่?" กานุสร้องถาม ขณะวิ่งหลบคมเขี้ยวไปมาบนลำตัวเกล็ดมันวาว ซึ่งพยายามจะรัดตัวเขาให้ได้
"ข้าไม่รู้! ข้าจะล่อมันลงไป เจ้าเกาะลำตัวมันไว้ให้ดี" เกเลมร้องตอบ มองปลายหางที่อยู่ตรงหน้าแล้วงับเข้าไปจนเลือดกระฉูด แล้วก็ได้ผล เจ้างูยักษ์ตรงไปที่หญิงสาวทันที เกเลมทะยานออกวิ่งสุดฝีเท้าลงไปตามหน้าผาที่ไต่ขึ้นมา และถูกไล่ล่าไม่ลดละ ส่วนกานุสเกาะอยู่บนลำตัวใหญ่ลื่นด้วยความหวาดเสียว พอใกล้ถึงพื้นจึงกระโจนลง แล้วทั้งสองก็วิ่งหายเข้าไปในป่ารกด้วยต้นไม้
เสียงหัวเราะของทั้งสองดังขึ้นประสานกันขณะกลิ้งตัวลงนอนที่พื้น เมื่อรู้ว่าเจ้างูนั้นละความพยายามที่จะตามมาแล้ว
"ข้านึกว่าจะไม่รอดเสียแล้ว" กานุสหอบหายใจ ใบหน้าเต็มไปด้วยเหงื่อและรอยยิ้ม ไม่คิดว่าจิ้งจอกขี้โรคอย่างเขาจะทำอะไรแบบนี้ได้ ถ้าเล่าให้พี่ชายทั้งสองฟัง ต้องไม่เชื่อแน่ๆ
"เสียดาย เก็บมาได้เท่านี้เอง" เกเลมยิ้มกว้างแล้วชูถุงผ้าในมือขึ้น
"ถ้าเจ้าเก็บมากกว่านี้ เราทั้งคู่อาจต้องไปอยู่ในท้องเจ้างูนั่นแล้ว" กานุสหัวเราะ
"แต่แค่นี้ก็พอที่จะทำให้เจ้าชนะเจ้าอารอนได้สบายๆ เลยล่ะ" เกเลมหันมองชายหนุ่มด้วยประกายตาสดใส
"ปัญหาก็คือ.. ข้าจะกินมันเข้าไปยังไงไหว" ชายหนุ่มเริ่มทำหน้านิ่ว
"ท่านแม่เจ้าอาจจะพอช่วยได้ในเรื่องนี้" เกเลมว่าแล้วลุกยืน
"ข้าขอพักอีกหน่อยนะ" กานุสยังคงนอนอยู่ที่เดิม
"เจ้าคิดถึงเตียงนุ่มๆ แล้วไม่ใช่เหรอ?"
"ก็ได้ ช่วยฉุดข้าที" กานุสยื่นมือให้
"เฮ้อ..." เกเลมส่งมือให้ หากแต่ฉุดเท่าไหร่ก็ไม่ขึ้น ส่วนนางกลับล้มลงบนร่างชายหนุ่มเสียเอง
"เชอร์รี่คงออกฤทธิ์แล้วล่ะ" กานุสว่าแล้วยิ้มกริ่ม
"ดูจะผิดเวลาไม่ซักหน่อยนะ ปล่อยข้าได้แล้ว" เกเลมมองด้วยสายตาดุ
"ถ้าเจ้าให้ข้าเห็นดวงตาสีฟ้าของเจ้าอีกซักครั้ง" กานุสยิ้มสบตา
"ข้าไม่รู้ว่าต้องทำอย่างไร"
"แต่ข้ารู้..."
ในวันที่เจ็ดซิลเวียไปรอรับเกเลมและกานุสที่ชายป่าตามที่สัญญากันไว้ แล้วทั้งสามก็ตรงกลับไปยังวูฟรินด้วยกัน ภายในปราสาทเงียบเชียบในตอนกลางวัน
"กานุส! เกเลม! พวกเจ้าไปไหนมา แม่เป็นห่วงเสียแทบแย่" มีเรียทักถามเมื่อเห็นทั้งสองเนื้อตัวมอมแมมโผล่เขามาในห้องหนังสือ พร้อมหญิงสาวร่างท้วมอีกคน
"นี่ซิลเวียเพื่อนข้า" กานุสรีบแนะนำเมื่อเห็นมารดามองนาง หญิงสาวย่อตัวลงทำความเคารพผู้อาวุโส แล้วยิ้มเยือนให้อย่างน่าเอ็นดู
"ท่านป้าดูนี่สิ พวกเราได้อะไรมา" เกเลมยื่นถุงผ้าขนาดย่อมให้ มีเรียรับมาเปิดดู ไม่แน่ใจว่ามันคือ...
"เชอร์รี่สีทอง! ท่านแม่" กานุสว่าเสียงตื่นเต้น
"พวกเจ้าได้มาจากไหน?" มีเรียมองทั้งสองประหลาดใจระคนยินดี เพราะหากเป็นจริง ลูกชายตนก็มีสิทธิ์ชนะเจ้าสิงค์หนุ่มขี้โอ่นั่นแล้ว
"เกเลมไปพบมันตกอยู่ในป่า แล้วซิลเวียก็ช่วยแนะให้เราไปจนถึงต้นมัน น่าเสียดายที่เจ้างูยักษ์โค่นต้นเชอร์รี่ไปเสียแล้ว ไม่งั้นเราอาจไปเก็บได้เรื่อยๆ" กานุสบอกเล่า
"ท่านป้าต้องเก็บเรื่องนี้เป็นความลับระหว่างเราสี่คน ไม่งั้นจะมีภัยมาถึงตัว" แพนด้าสาวเอ่ยแนะ
"ซิลเวียทำนายได้แม่นมากท่านป้า นี่หากตาเฒ่าลีเมอร์ยังอยู่ คงมีคู่แข่งคนสำคัญ" เกเลมกล่าวเสริม
"หากตาเฒ่าลีเมอร์ยังอยู่เหรอ?" มีเรียถามสงสัย
"ข้าลืมบอกท่านแม่ เจ้าอารอนมันฆ่าตาเฒ่าตายตั้งแต่คืนที่มีงานเลี้ยงแล้ว ข้ากับเกเลมช่วยกันฝั่งศพมากับมือ"
"มันช่างชั่วร้ายนัก!!" มีเรียว่าด้วยน้ำเสียงขุ่นเคือง เพราะครอบครัวนางกับลีเมอร์รู้จักมักคุ้นกันมานาน มิน่าตาเฒ่าถึงพูดจาแปลกๆ ในคืนนั้น คงเพราะรู้ชะตากรรมของตนนี่เอง
กานุสและเกเลมขอให้ซิลเวียพำนักอยู่ที่วูฟรินจนกว่าการประลองจะสิ้นสุด เนื่องจากชอบอัธยาศัยนาง และการที่นางรู้เหตุการณ์ล่วงหน้าก็ทำให้ทั้งสองอุ่นใจขึ้น
มื้อค่ำเป็นไปอย่างครึกครื้น เมื่อรู้ว่าอารอนจากไปแล้ว เกเลมร่วมโต๊ะกับครอบครัวจิ้งจอก อเร็ดอร่อยไปกับเนื้อสดๆ ที่เสริฟขึ้นโต๊ะแบบไม่อั้น ส่วนอีกโต๊ะที่อยู่อีกมุมของห้องก็กำลังมีความสุขกับผลไม้ถาดโต และการพูดคุยกันประสาหญิง
"เจ้ากินเก่งจริงๆ ซิลเวีย" กาเรนว่าขำๆ เพราะผลไม้กองโตร่อยหรอไปในปริมาณที่คิดว่าตนกินทั้งเดือนก็คงไม่หมด
"ก็ดูรูปร่างข้าสิ ถ้าข้ากินอย่างเจ้าสองคน ข้าคงไม่มีเรี่ยวแรงทำอะไร" ซิลเวียว่าพลางหยิบผลไม้เข้าปากไม่หยุด
"อันที่จริง ข้าว่าเจ้าทำให้ผลไม้จำเจดูมีรสชาติขึ้นเยอะทีเดียว" กีวี่ว่าพลางกัดสาลี่คำโต
"พวกเจ้าคุยอะไรกัน ขอข้าร่วมวงด้วยคน" เกเลมอิ่มจากอาหารหลัก และขอย้ายวงมานั่งกับเพื่อนสาว กาเรนและกีวี่มองนางด้วยสายตาหวาดๆ
"ไม่ต้องกลัวข้าหรอกน่า ข้าอิ่มแล้วล่ะ" หญิงสาวว่าล้อ
"นางไม่กินเจ้าทั้งสองหรอก อีกหน่อยพวกเจ้าจะสนิทกันราวพี่น้องเชียวล่ะ" ซิลเวียว่าไปกินไป ขณะที่ทั้งสามหันมองหน้านาง
"เจ้าหมายความว่ายังไง?" เกเลมถามนำ
"นั่นสิ.." กาเรนอยากรู้ขึ้นมาบ้าง
"เจ้าเห็นอะไรในอนาคตของพวกข้า" กีวีถามกระตือรือร้น
"ข้าบอกได้เพียงว่า หนทางนั้นไม่ง่ายเลย ศัตรูตัวฉกาจของพวกเจ้ากำลังจะมา เชื่อผลไม้ข้ากินได้เลย" ซิลเวียทำเสียงจริงจัง แล้วจู่ๆ แพนด้าสาวก็ยิ้มออกมา
"แต่ไม่ต้องห่วงหรอกนะ ฟ้าลิขิตชะตาไว้แล้ว ต่อให้ลำบากแค่ไหน พวกเจ้าก็ต้องไปจนถึงจุดหมายอยู่ดี"
"แล้วเจ้ารู้ได้ยังไงว่าจุดหมายของพวกข้าคืออะไร?" เกเลมถามยั่ว
"หากพวกเจ้าสงสัยล่ะก็ คืนนี้หลังสองยาม ให้มาที่ห้องข้า แล้วจะได้รู้คำตอบ" ซิลเวียยิ้มขำ หากแต่ทั้งสามสาวมองหน้ากันไปมากับปริศนาที่ได้รับฟัง
"กานุส เจ้ามีอะไรจะบอกพวกเราไหม เรื่องที่เจ้าหายหน้าไปเสียหลายวัน" โอตุสเริ่มซักลูกชายหลังจากเกเลมลุกจากโต๊ะอาหารไปแล้ว
"ข้ากับเกเลมก็แค่หลงป่าเท่านั้นเองท่านพ่อ" จิ้งจอกหนุ่มว่ายิ้มๆ
"แล้วเรื่องที่เจ้ากับอารอนจะประลองกันนั่นล่ะ?" โอตุสถามด้วยสีหน้ากังวล
"เกเลมจะช่วยข้าฝึกซ้อม ท่านพ่อไม่ต้องห่วง" กานุสตอบน้ำเสียงเรียบไร้แววทุกข์ร้อน
"หากนางลงสนามเอง พวกข้าคงไม่ห่วงหรอก" โตนุสว่าเพราะเคยเห็นฝีมือนางมาแล้ว
"นั่นสิ เจ้าไม่เคยเอาชนะข้าสองคนได้เลยด้วยซ้ำ" เปกัสช่วยเสริม
"ข้าขอเวลาหนึ่งสัปดาห์ แล้วพี่จะได้รู้ว่าข้าไม่ใช่ลูกแหง่อีกต่อไป" กานุสว่าด้วยแววตาแน่วแน่
"ถ้าเจ้ามั่นใจเช่นนั้น ข้าจะจัดให้เจ้าสามคนประลองกันซักครั้ง" โอตุสเสนอ
"เอาจริงเหรอ ท่านพ่อ?" โตนุสประสานนิ้วเข้าหากันแล้วหักดังกร๊อบ ส่งยิ้มท้าทายให้น้องๆ
"แม้ข้าจะเพิ่งหายจากอาการบาดเจ็บ ก็อย่าคิดว่าจะเอาชนะข้าได้ง่ายๆ" เปกัสหันไปยิ้มข่มน้องชายบ้าง
"ข้าต่อให้พี่ทั้งสองคน เข้ามาพร้อมกันเลย" กานุสตอบหน้าตาเฉย ทำเอาพ่อและพี่ชายประหลาดใจไม่น้อย
"พวกเจ้ามีพี่เลี้ยงกันหมดแล้ว แม่คงได้แค่ให้กำลังใจเฉยๆ" มีเรียยิ้มแล้วมองไปอีกโต๊ะซึ่งสาวๆ นั่งรวมตัวกันอยู่
"โตนุส เปกัส ข้าหวังว่าเจ้าสองคนคงจะไม่..." โอตุสมองด้วยสายตาคาดโทษ
"โธ่ท่านพ่อ! ถ้าให้เจ้ากานุสมีพี่เลี้ยงคนเดียว ก็ไม่ยุติธรรมกับพวกข้าสิ" พี่ใหญ่เริ่มประท้วงก่อน
"อีกสามราตรี ลูกสาวพญาอินทรีย์กับอสรพิษก็จะมาถึงแล้ว" โอตุสเตือนลูกชาย
"ก็รอให้พวกนางมาถึงก่อนสิท่านพ่อ" เปกัสต่อรอง
"ข้าหวังว่าเจ้าจะรู้ว่าอะไรควรไม่ควร ดูอย่างน้องเจ้าบ้างสิ" โอตุสว่าแล้วผละจากโต๊ะอาหารไปทันที
"นี่เจ้าเป็นลูกคนโปรดไปตั้งแต่เมื่อไหร่??" โตนุสหันมองน้องเล็กแล้วแกล้งทำหน้าประหลาดใจ
"งานนี้ข้ายอมตกกระป๋องดีกว่า" เปกัสว่าแล้วหัวเราะ
"เมื่อไหร่พวกพี่จะเลิกกัดข้าเสียที" กานุสส่ายหน้าแล้วยิ้มขัน
(to be continued) ^^
Create Date : 31 มกราคม 2555 | | |
Last Update : 3 กุมภาพันธ์ 2555 6:48:13 น. |
Counter : 504 Pageviews. |
| |
|
|
|
|
Wild Love ตอนที่ 5
เสียงนกร้องในยามเช้า กับกลิ่นกองไฟที่มอดดับไปแล้ว และแสงอรุณอบอุ่นของวันใหม่ ปลุกร่างที่กำลังหลับใหลในอ้อมกอดให้ตื่นขึ้นช้าๆ
เกเลมมองไปรอบตัว พลางขยับกายด้วยความรู้สึกสดชื่นจากการได้พักผ่อนอย่างเต็มอิ่ม ขณะที่อ้อมแขนที่โอบกอดมาจากด้านหลังก็เริ่มเคลื่อนไหวไปด้วยเช่นกัน
หญิงสาวชำเลืองมองดูลำแขนสีเข้มนั้น พลางรู้สึกราวตนเป็นหญิงที่ปราถนาการปกป้อง ทั้งที่ไม่เคยรู้สึกเช่นนี้มาก่อน เกเลมแอบขำตัวเอง และรู้สึกละอายขึ้นมาได้ในขณะเดียวกันที่หลงรู้สึกดีไปกับความใกล้ชิด ซึ่งอาจเป็นเพียงเพราะสถานการณ์พาไป แต่ก็ยังอดจินตนาการต่อไปไม่ได้ว่า หากนี่เป็นวงแขนของชายคนรัก จะดีเพียงใด
"ให้ข้ารับรู้ความคิดเจ้าบ้างได้ไหม" กานุสยิ้มว่าเสียงเนิบๆ
"ข้าเพียงรู้สึกว่า หากเจ้าเป็นชายที่ข้ารัก ข้าคงมีความสุขราวได้ขึ้นสวรรค์" เกเลมบอกเล่าความคิดที่อยู่ในใจ
"แล้วตอนนี้เจ้าอยู่บนสวรรค์หรือในนรกกันแน่ล่ะ" กานุสถามออกไปขำๆ พลางกระชับอ้อมแขนขึ้น
"อืม.. ข้าจะพูดอย่างไรดี ตอนนี้ข้าเหมือนอยู่กลางแสงอาทิตย์อบอุ่นในฤดูใบไม้ผลิ" เกเลมยิ้มกับความคิดของตัวเอง
"นั่นก็ใกล้สวรรค์มากกว่านรกสินะ" กานุสกระซิบที่ข้างหู
"แต่ก็ยังเป็นโลกมนุษย์อยู่ดี หาใช่สวรรค์ที่ข้าใฝ่ฝัน" เกเลมเอียงหน้ามองคนข้างหลัง
กานุสลืมตาคมลึกมองตอบดวงตาคมโตของหญิงสาว ทั้งสองยิ้มสบตากันเนิ่นนานสื่อถึงคำพูดที่เข้าใจกันเพียงสองคน
"ไปเล่นน้ำกันดีกว่า ข้าอยากแช่ให้สบายตัวก่อนออกเดินทาง" กานุสลุกขึ้นจูงมือหญิงสาวไปที่น้ำตก
"เจ้ากับข้า ใครจะหาอาหารเช้าได้ก่อนกัน" เกเลมเลิกคิ้วยิ้มซุกซน เมื่อทั้งสองมาถึงโขดหินก้อนใหญ่ยื่นเข้าไปในแอ่งน้ำ
"อยู่ในน้ำ ข้าไม่แพ้เจ้าแน่" กานุสยิ้มเจ้าเล่ห์ตั้งท่าจะกระโดดลงไปก่อน
"เจ้าจะโกงข้าอีกแล้วใช่ไหม" เกเลมรู้ทันกระโดดขึ้นเกาะหลังชายหนุ่ม
ทั้งสองจึงกระโจนลงไปในแอ่งน้ำพร้อมกัน แวกว่ายคล่องแคล่วใต้น้ำใส ตรงเข้าหาฝูงปลาเพื่อจับเป็นอาหาร
"ข้าจับได้ก่อน" กานุสโผล่ขึ้นพ้นน้ำ พร้อมปลาขนาดเท่าฝ่ามือ
"ข้าจับได้ตัวโตกว่า" เกเลมชูปลาตัวเท่าลำแขนด้วยสองมือ ยักคิ้วให้อีกฝ่ายด้วยความภาคภูมิใจ
กานุสปล่อยปลาของตนไปทันที
"เจ้าปล่อยมันไปทำไม" เกเลมยังกอดปลาในมือไว้แน่น
"ข้าจะจับตัวที่ใหญ่กว่าให้ดู" กานุสยิ้มกว้างแล้วดำหายไปในสายน้ำ
เกเลมมองตามเงาลางใต้น้ำ และรู้ตัวอีกทีเมื่อตกอยู่ในอ้อมแขนของชายหนุ่ม
"เย้ ข้าจับได้แม่เสือ" กานุสหัวเราะ
"นี่แนะ!" เกเลมชูปลาขึ้นเหนือน้ำอีกครั้ง มันดิ้นรนต่อสู้ใช้หางฟาดโดนหน้าชายหนุ่มเป็นพัลวัน เกเลมหัวเราะสะใจ
"โอ้ย! ข้าเจ็บนะ" กานุสเอียงหน้าหลบไปมา ก่อนที่ปลาจะหลุดจากมือหญิงสาวไปในที่สุด
"ช่วยไม่ได้ ก็ปลามันดิ้นแรงจริงๆ " เกเลมลอยหน้าว่า
"เจ้าต้องรับผิดชอบ เพราะมันเป็นปลาของเจ้า" กานุสปล่อยร่างหญิงสาวลง ด้วยอารมณ์ขุ่น
"จะให้ข้าตามไปจับมันกลับมาไหม แต่เสียใจนะ ข้าจำไม่ได้แล้วว่าเป็นตัวไหน" เกเลมว่าล้อกลั้นหัวเราะ และวินาทีนั้นกานุสก็ลืมไปเสียแล้วว่าหญิงตรงหน้าเป็นแม่เสือดุขนาดไหน
"แต่ข้าจำได้แม่นทีเดียวว่าเจ้าจับมันขึ้นมาทำร้ายข้า" กานุสรั้งรอบไหล่และเอวหญิงสาวเข้ามาจูบลงโทษอย่างลืมตัว ทำให้เกเลมอารมณ์ขุ่นขึ้นมาบ้าง
"เพี้ยะ!"
"เจ้ากล้ามากนะ ที่ทำกับข้าเช่นนี้" เกเลมกล่าวโทษชายหนุ่มด้วยใบหน้าแดงกล่ำ หากแต่ดวงตานางกลับเปลี่ยนเป็นสีฟ้า กานุสชะงักไปเล็กน้อยไม่แน่ใจว่าสีนั้นสื่อถึงอะไร และอารมณ์ขุ่นเคืองของชายหนุ่มในตอนนี้ก็ทะยานขึ้นเหนือความกลัวเสียแล้ว
"เจ้าชอบใช้กำลังนักใช่ไหม" กานุสดึงร่างหญิงสาวเข้ามาจูบอีกครั้ง คิดว่านางคงขัดขืนสุดชีวิต หากแต่แรงต้านนั้นกลับไม่มากอย่างที่คิด และดูจะอ่อนกำลังลงเรื่อยๆ เมื่อจุมพิตนั้นคลายความตึงเครียดลง และกลายเป็นความนุ่มนวลอ่อนโยน หลอมละลายอารมณ์ขุ่นมัวไปจนหมดสิ้น
ชายหนุ่มถอนริมฝีปากออกในที่สุด ทั้งสองมองสบตากันด้วยความงุนงงกับความรู้สึกแปลกใหม่ที่เพิ่งสัมผัสอย่างชัดเจนกว่าครั้งใดๆ ในชีวิต
"ดวงตาเจ้าช่างงามนัก" กานุสมองดวงตาสีฟ้าคมโตคู่นั้นด้วยความหลงใหล
"มันเป็นสีอะไร" เกเลมรู้ว่าดวงตาของนางจะเปลี่ยนสีไปตามอารมณ์ที่ปรากฏ หากแต่ต้องการให้แน่ใจว่านางรู้สึกอย่างไรแน่
"สีฟ้า" กานุสยิ้มพราวทั้งใบหน้าและดวงตา เกเลมก้มหน้าหลบสายตาอีกฝ่าย เพราะรู้ว่ามันเป็นสีที่ไม่เคยปรากฏให้ใครเห็นมาก่อน
"มันหมายถึงอะไร" กานุสถามสงสัย
"เวลาข้าเกลียดใครมากๆ ตาข้าก็จะเป็นสีนี้แหละ" เกเลมมองสบตาชายหนุ่มอีกครั้ง หลังจากปรับอารมณ์ได้ และนัยตานางก็ค่อยๆ เข้มขึ้นจนกลับเป็นสีปกติ
"ข้าว่าดวงตาเจ้า คงโกหกไม่เก่งเท่าปากเจ้ากระมัง" กานุสยิ้มขำโอบรอบเอวหญิงสาวเข้ามาแนบชิดอีกครั้ง
"เจ้าอยากคิดอย่างไรก็เชิญ" เกเลมทำหน้างอผลักอกชายหนุ่มออก แล้วเดินเข้าหาฝั่ง
"ยังเล่นน้ำไม่สะใจเลย เจ้าจะรีบไปไหน" กานุสร้องถามอารมณ์ดี
"เชิญเจ้าเล่นไปคนเดียวเถอะ" เกเลมหันมามองค้อน แล้วขึ้นไปนั่งพักบนฝั่งที่เต็มไปด้วยหินกรวดก้อนกลมมน
กานุสเดินตามขึ้นมาบนฝั่งแล้วทิ้งตัวลงนอนข้างหญิงสาว เกเลมหันมองชายหนุ่มแว๊บนึง ก่อนจะหันกลับไปขว้างหินก้อนเล็กๆ ลงน้ำเล่น ชายหนุ่มนึกสนุก หยิบหินขึ้นขว้างสลับกันก้อนแล้วก้อนเล่า โดยปราศจากคำสนทนาใดๆ จนกระทั่งกานุสคว้าได้หินมีลักษณะแบนคล้ายเหรียญ จึงนำขึ้นมาพินิจดู และเห็นว่ามันเป็นหินรูปหัวใจสีแดงสวยแปลกตา
เกเลมหันมองชายหนุ่มอีกครั้ง เมื่อจังหวะการขว้างหินขาดช่วงไป
"เจ้าดูนี่สิ" กานุสอวดหินในมือ
"สวยจังเลย" เกเลมทำตาโต ตั้งใจจะหยิบขึ้นมาดู แต่ชายหนุ่มกำฝ่ามือเข้าทันควัน
"ข้าแค่ขอดู เอามาเดี๋ยวนี้นะ" เกเลมพยายามจะแย่งออกจากมือชายหนุ่ม
"ข้าไม่ให้ดู เจ้าจะทำไม" กานุสชูมือขึ้นเหนือศีรษะ หญิงสาวเอี้ยวตัวตาม ยืดจนสุดแขนเพื่อจะแย่งของในมือ ชายหนุ่มเห็นจวนตัว จึงรีบคว้าหินโยนลงในน้ำ
"นี่เจ้ายอมโยนมันทิ้ง ดีกว่าให้ข้าดูงั้นเหรอ" เกเลมว่าด้วยอารมณ์ขุ่น ก่อนจะลุกขึ้นยืน หันหลังให้ชายหนุ่ม
"ใครว่าล่ะ ข้าตั้งใจจะให้เจ้าอยู่แล้ว" กานุสเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้า กุมมือหญิงสาวให้หงายขึ้นแล้ววางหินก้อนนั้นลงบนฝ่ามือ
เกเลมยิ้มแล้วรีบตีหน้าบึ้ง แกล้งปล่อยให้หินหลุดร่วงลงพื้น หญิงสาวก้มลงเก็บ แล้วลุกขึ้นมองชายหนุ่มด้วยท่าทีท้าทายยั่วโทสะ
"ถึงเจ้าอยากให้ ก็ใช่ว่าข้าจะอยากรับไว้ มันก็แค่หินธรรมดาๆ ก้อนหนึ่ง" เกเลมว่าแล้วขว้างหินลงกลางแอ่งน้ำ
"เจ้านี่ร้ายจริงๆ" กานุสมองตามหินก้อนนั้นแล้วหันกลับมามองหน้าหญิงสาว เกเลมกลับหลังหันเดินห่างออกไป แอบยิ้มขำเพราะซ่อนหินหัวใจนั้นไว้กลางอกเสื้อเรียบร้อยแล้ว
เปกัสลุกออกจากที่นอนในตอนเช้า มองหากีวี่ไปรอบห้อง และพบว่านางกำลังนั่งอยู่ที่ราวระเบียง หญิงสาวนั่งชันเข่าทั้งสองข้างขึ้น ในชุดกระโปรงสีชมพูพริ้วไหว งามน่ารักราวนางฟ้า
"ข้านึกว่าเจ้าหนีข้าไปซะแล้ว" เปกัสนั่งลงตรงขอบราวระเบียงใกล้ปลายเท้าหญิงสาว
"ข้ายังไม่ไปไหนหรอก จนกว่าเจ้าจะหายดี" กีวี่มองใบหน้าชายหนุ่ม สายลมอ่อนๆ ไล้ไปตามเส้นผมและใบหน้าหล่อเหลาอาบด้วยแสงอาทิตย์ ซึ่งส่งให้ดวงตาดำขลับเปล่งประกายน่ามอง
"เจ้าคิดจะไปจากข้าจริงๆ เหรอ" เปกัสเอื้อมไปจับมือเรียวเล็กไว้ในอุ้งมือ
"เจ้าก็รู้อยู่แก่ใจว่าเราไม่อาจอยู่ร่วมกันได้ ข้าไม่อยากมีชีวิตหลบซ่อนเช่นนี้ไปตลอดกาล เช่นเดียวกับที่เจ้าคงไม่อาจเลิกกิน..อาหารโปรดของเจ้าไปชั่วชีวิต" กีวีี่พยายามจะถอนมือออกจากการเกาะกุม แต่เปกัสกลับเหนี่ยวรั้งไว้แล้วขยับเข้าใกล้หญิงสาวมากกว่าเดิม
"เพียงเจ้าบอกคำเดียวว่ารักข้า ข้าจะพิสูจน์ให้เห็นว่า ที่เจ้าพูดมาทั้งหมดมันไม่ใช่ปัญหาเลยแม้แต่น้อย" เปกัสว่าด้วยแววตาจริงจัง
"ข้า..." กีวี่ลังเล ก่อนตอบออกไป
"ไม่รู้ว่า..ข้ารู้สึกกับเจ้าเช่นไร"
เปกัสรู้สึกเห็นใจหญิงสาวเหมือนกัน หากจะให้บอกรักตนตอนนี้ ก็ดูจะเป็นการเร่งรัดนางจนเกินไป
"ให้โอกาสข้าพิสูจน์ความจริงใจที่มีต่อเจ้านะกีวี่" ชายหนุ่มอ้อนวอนด้วยแววตาและน้ำเสียง
"แต่ข้าสัญญากับกาเรนไว้แล้วว่าเราจะไปจากที่นี่" กีวี่ยังคงลังเลบ่ายเบี่ยง
"นี่เป็นชีวิตของเจ้า จะให้กาเรนคิดแทนได้อย่างไร"
"แต่นางพูดถูกทุกอย่าง เราไม่มีวันอยู่ร่วมกันได้"
"นั่นก็เป็นบรรทัดฐานของนาง เจ้าจะเอามาตัดสินเรื่องของเราไม่ได้ หากเจ้าฟังเหตุผลจากนางเพียงฝ่ายเดียว แล้วเดินจากข้าไป มันไม่ยุติธรรมสำหรับข้าเลยซักนิด" เปกัสพยายามหว่านล้อม
"ข้า..สับสนไปหมดแล้ว" กีวี่มองสบตาชายหนุ่มน้ำตาซึม
"ยังไม่ต้องตอบข้าตอนนี้ก็ได้" เปกัสเลิกรุกเร้าหญิงสาว ขยับไปยืนตรงหน้านาง
"เจ้ายังมีเวลาจนกว่าข้าจะหายดี" ชายหนุ่มกอดปลอบ กีวี่ซุกหน้าลงกับอกกว้างร้องไห้ระบายความอึดอัดใจ
"เจ้านี่ขี้แยจริงๆ " เปกัสประคองใบหน้านวลใสออกห่าง ยิ้มให้นางแล้วโน้มลงจุมพิตริมฝีปากบางแผ่วเบา
"เจ้าแน่ใจเหรอว่าจะบอกเรื่องนี้กับท่านพ่อท่านแม่" โตนุสถามน้องชายขณะที่ทั้งสองนั่งอยู่เพียงลำพังที่โต๊ะอาหารเช้า
"หากข้าไม่ทำเช่นนี้ กีวี่ต้องไปจากข้าแน่ๆ ข้าต้องพิสูจน์ให้นางรู้ว่าข้าจริงใจกับนาง" เปกัสว่า
"กับท่านแม่ข้าไม่แน่ใจ แต่ถ้าเป็นท่านพ่อข้าว่าไม่มีทางสำเร็จ" โตนุสว่าจากประสบการณ์
"พี่ว่าข้าควรทำอย่างไรดี" เปกัสขอความเห็น
"ข้าว่าเจ้าลองคุยกับท่านแม่ก่อนดีกว่า"
"เอางั้นก็ได้"
"บางที ข้าน่าจะบอกเรื่องของข้าบ้าง อย่างไรเสีย ข้าก็ภาษีดีกว่าเจ้าตรงที่กาเรนเป็นนางพญาอินทรีย์ ไม่ใช่กระต่าย" โตนุสยิ้มกว้างยักคิ้วใส่น้องชาย เปกัสมองพี่ชายอึ้งๆ ก่อนจะหัวเราะออกมาจนเจ็บระบมไปทั้งทรวงอก
"เจ้าหัวเราะอะไร" โตนุสมองน้องชายงงๆ
"ข้าว่านางเป็นได้อย่างมากก็แค่นกมีหูหนูมีปีกเท่านั้นแหละ" เปกัสหัวเราะจนตัวงอ ที่พี่ชายโดนหลอกได้ง่ายๆ
"เจ้าหมายความว่าไง" โตนุสรีบถามต่อ หากแต่มีเรียและโอตุสมาถึงโต๊ะอาหารพอดี อีกฝ่ายจึงไม่ทันตอบ
"หายดีแล้วหรือเปกัส เจ้าทำให้แม่เป็นห่วงเสียแทบแย่" มีเรียเอ่ยทักลูกชาย ก่อนเข้านั่งประจำที่
"ข้าดีขึ้นมากแล้วล่ะท่านแม่" เปกัสตอบด้วยยิ้มสดชื่น แม้จะยังดูอิดโรยและซีดเซียวไปบ้าง
"เจ้าไปทำท่าไหน ถึงให้มันกัดเอาได้ล่ะ" โอตุสตักอาหารใส่จานแล้วถาม ไม่ใส่ใจเท่าใดนัก เพราะสำหรับนักรบอย่างเขา แผลแค่นี้ยังไกลหัวใจอีกมาก
"ข้าไม่ทันระวังเองล่ะท่านพ่อ คราวหน้าข้าจะไม่ให้เกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้นอีก" เปกัสให้คำมั่น
"ไม่มีคราวหน้าแล้วล่ะ ข้าเพิ่งกินมันไปเมื่อวานนี้" โตนุสตบไหล่น้องชายแล้วหัวเราะ
"ข้าเลยอดร่วมวงด้วยเลย" เปกัสแกล้งทำท่าเสียดาย
"นี่กานุสกับเกเลมหายไปสามวันแล้วนะ" มีเรียว่าด้วยสีหน้ากังวล
"ให้ข้าสองคนออกตามหาดีไหมท่านพ่อ" โตนุสเสนอความคิดเห็น
โอตุสเงียบไปซักพัก ก่อนจะเอ่ยออกมาด้วยเสียงราบเรียบ
"ไม่ต้อง"
"ทำไมล่ะท่านพ่อ" เปกัสถามสงสัย
"ข้าเชื่อในคำทำนายของลีเมอร์ สองคนนั้นจะต้องปลอดภัย"
"ข้าก็ยังห่วงลูกอยู่ดี" มีเรียว่า
"หากภายในหนึ่งอาทิตย์ สองคนนั้นไม่กลับมา ค่อยออกตามหา" โอตุสยังคงยืนยันในความคิดตน และสมาชิกทุกคนรู้ว่าไม่มีประโยชน์ที่จะต่อรองใดๆ อีก
"ท่านแม่ ข้ามีเรื่องจะปรึกษา พอมีเวลาให้ข้าบ้างไหม" เปกัสบอกกล่าวหลังอาหารเช้า
"แม่มีเวลาให้เจ้าเสมอแหละ เจ้าต่างหากที่ไม่ค่อยมีเวลาให้แม่" มีเรียว่ากระเซ้าลูกชาย
"ข้าไม่อยากแย่งตำแหน่งลูกแหง่เจ้ากานุสต่างหากล่ะท่านแม่" เปกัสว่าอ้อนแล้วสวมกอดมารดา
"เจ้าอย่าแขวะน้องดีกว่า มีอะไรจะปรึกษาแม่ก็ว่ามา" มีเรียหยิกแขนลูุกชาย
"คุยตรงนี้คงไม่สะดวก ข้าขอกลับห้องพักสักครู่ แล้วจะตามท่านแม่ไปที่ห้องสมุด"
"ตามใจเจ้าเถอะ" มีเรียมองตามลูกชาย นึกเดาเรื่องได้ว่าเปกัสจะปรึกษาตนเรื่องใด หากแต่ต้องให้ลูกเอ่ยปากก่อน
เปกัสกลับมาถึงห้องพัก เห็นกีวี่กำลังนั่งคุยอยู่กับกาเรน และรู้ได้ทันทีจากสีหน้าแม่กระต่ายน้อยว่าทั้งสองกำลังสนทนาเรื่องอะไรกัน
"ข้าขออยู่กับกีวี่ตามลำพังได้ไหม" เปกัสว่า กาเรนลุกจากโซฟาเดินมาหาชายหนุ่ม
"เจ้าหลอกอะไรเพื่อนข้าอีก" กาเรนถามเสียงต่ำ เพราะดูกีวี่เริ่มจะลังเลเปลี่ยนความตั้งใจ
"แล้วเจ้าล่ะ หลอกอะไรพี่ชายข้า แม่นางพญาอินทรีย์" เปกัสหัวเราะเยาะอย่างรู้ทัน ด้วยระดับเสียงเท่ากัน
"ข้าไม่ได้หลอกอะไรใครทั้งนั้น" กาเรนรีบแก้
"จะให้ข้าพิสูจน์ไหมล่ะ" เปกัสเลิกคิ้วถาม
"อย่ายุ่งเรื่องของข้า" กาเรนว่าขู่
"งั้นเจ้าก็ควรหยุดยุ่งเรื่องของข้าเช่นกัน" เปกัสเตือน
"แล้วข้าจะมาคุยด้วยใหม่นะกีวี่" กาเรนบอกเพื่อน แล้วหันกลับมามองชายหนุ่มตาขวาง ก่อนจะกระแทกเท้าจากไป
"อาหารของเจ้า" เปกัสยื่นผลสาลี่ให้ แล้วนั่งลงข้างๆ
"ขอบคุณ" กีวี่มองผลไม้หวานช่ำด้วยรอยยิ้ม
"ข้าจะบอกท่านแม่เรื่องของเรา" เปกัสพูดขึ้นมาแบบไม่มีปีมีขลุ่ย ทำเอากีวี่งับผลสาลี่ค้าง ต้องรีบเอาออกจากปาก
"ท่านแม่เจ้าไม่มีทางยอมรับข้าอยู่แล้วล่ะ"
"เจ้าไปรู้จักท่านแม่ข้าตั้งแต่เมื่อไหร่ ข้าเป็นลูกยังไม่รู้เลยว่าคำตอบจะเป็นอย่างไร"
"แม่จิ้งจอกที่ไหน จะยอมให้ลูกครองรักกับกระต่าย"
"เผอิญว่าแม่ข้าเป็นเสือดาวเสียด้วยสิ"
"ส..เสือ เจ้าล้อเล่นใช่ไหม" กีวี่ตาค้างเข้าไปอีก จิ้งจอกก็ว่าน่ากลัวแล้ว นี่เป็นถึงแม่เสือ
"ใช่ แม่ข้าก็ยังใช่ชีวิตอยู่กับพ่อข้าได้ ไม่เห็นจะมีปัญหาอะไร"
"แต่ข้าเป็นกระต่าย..."
"เจ้าไม่รู้วิธีที่จะทำให้ตัวเองกลายร่างเป็นกระต่ายด้วยซ้ำ ดูเจ้ากับข้าตอนนี้สิ เราก็เหมือนมนุษย์ทั่วๆ ไป"
"ถ้าท่านแม่เจ้าไม่เห็นด้วย เจ้าสัญญาไหมว่าจะปล่อยข้าไป"
"ข้าสัญญา แต่ข้าจะไปกับเจ้าด้วย" เปกัสยิ้มกว้าง
"เจ้าพูดจริงเหรอ" กีวี่ยิ้มตอบ
"ทำสัญญากันไว้ก่อนก็ได้นะ" เปกัสรวบเอวหญิงสาวแล้วโน้มใบหน้าเข้าใกล้ หมายจะประทับจูบแทนคำสัญญา กีวี่รีบเอาผลสาลี่ขวางไว้ทัน แล้วหัวเราะ ชายหนุ่มกัดผลสาลี่คำโต รับรู้ได้ถึงรสหวานของผลไม้ที่ไม่เคยใส่ใจมาก่อน
"หวานจริงๆ ให้ข้าป้อนเจ้าบ้างนะ" เปกัสคว้าผลสาลี่จากมือแล้วยื่นไปใกล้ปาก กีวี่ตั้งท่าจะงับเนื้อผลไม้ แต่เขากลับขยับมือออก โน้มริมฝีปากเข้าแทนที่
กีวี่ตกใจไม่น้อยกับการจู่โจมของชายหนุ่ม หากแต่จุมพิตหวานละมุมเคล้ากลิ่นสาลี่นั้น ทำให้เคลิบเคลิ้มได้มากกว่า ผลไม้ร่วงกระดอนออกจากนิ้วเรียวยาวซึ่งเปลี่ยนมาแนบอยู่ข้างแก้มนวลใส พร้อมกับไล้ปลายนิ้วหยอกล้อที่บริเวณใบหู หญิงสาวรู้สึกสะท้านไปกับสัมผัสแนบชิดจากริมฝีปากและปลายนิ้ว หลงใหลในมนต์เสน่ห์ที่จิ้งจอกหนุ่มกำลังร่ายจนทำให้ลืมหมดสิ้นซึ่งตัวตนของคนทั้งสอง
เปกัสถอนริมฝีปากออก มองหญิงสาวด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยไฟเสน่หาที่พยายามยับยั้งไว้สุดความสามารถ
"รอข้าอยู่นี่นะ ท่านแม่จะต้องเห็นด้วยกับเรา" เปกัสปัดปอยผมออกแผ่วเบา โน้มลงจูบหน้าผากหญิงสาวอีกครั้งด้วยความรักใคร่ และเพียงมองสบแววตาสั่นไหวนั้น เขารู้ได้ทันทีว่าคำตอบของนางคืออะไร
ชายหนุ่มออกจากห้องไปแล้ว ส่วนกีวี่ยังคงงุนงงสงสัยกับความรู้สึกของตนอยู่ที่เดิม หญิงสาวลุกนั่งแตะปลายนิ้วไปที่ริมฝีปากอบอุ่นแล้วยิ้มเขินระคนกังวลใจกับตัวเอง
เปกัสเล่าความเป็นมาทั้งหมดให้มีเรียรับรู้ และยืนยันว่าตนคิดจะจริงจังกับกีวี่ นางเสือดาวไม่ได้มีท่าทีประหลาดใจ หรือคัดค้านใดๆ ขณะนั่งฟังลูกชายว่าจนจบ
"ท่านพ่อมุ่งหวังเป็นอย่างยิ่งที่จะสร้างอาณาจักรของเราให้แข็งแกร่ง ข้าก็เลยคิดว่า..." เปกัสมองมารดาด้วยสายตาอ้อนวอน
"เรื่องพ่อของเจ้า แม่จะยกไว้ก่อน ที่แม่ยังกังขาอยู่ก็คือ เจ้าเพิ่งพบนางได้เพียงไม่กี่วัน เจ้าแน่ใจได้อย่างไรว่าเจ้ารักนางจริงๆ การตัดสินใจครั้งนี้จะผูกมัดชีวิตเจ้าไปตลอด แม่อยากให้เจ้าคิดให้ถ้วนทีกว่านี้"
"แต่ว่าท่านแม่..."
"หญิงงามที่จะทำให้เจ้าหลงใหลมีอยู่ทั่วปฐพี หากความรู้สึกของเจ้าที่มีต่อนางมีเพียงแค่นั้น มันจะสิ้นสุดลงเพียงไม่กี่ราตรีหลังจากที่เจ้าได้เชยชมนาง เจ้าเข้าใจใช่ไหม"
"ข้าว่าข้ารู้สึกกับนางมากกว่านั้น แต่ข้าไม่รู้ว่าจะพิสูจน์ให้ท่านแม่เห็นได้อย่างไร"
"เอาเป็นว่าแม่จะให้นางพำนักที่นี่ในฐานะแขกของเรา เจ้าจะได้ใช้เวลาดูใจนางไปอีกซักระยะ หากเจ้าแน่ใจเมื่อใด แม่ก็พร้อมจะช่วยพูดกับพ่อของเจ้า อีกอย่างนางคงไม่ปราถนาจะอยู่อย่างหลบซ่อนเช่นที่เจ้าปฏิบัติต่อนางอยู่ขณะนี้"
"ขอบคุณท่านแม่" เปกัสยิ้มจนแก้มปริ คิดว่านี่คงเป็นทางออกที่ดีที่สุดสำหรับทุกฝ่าย และกีวี่จะต้องไม่ปฏิเสธ
เปกัสลามารดาเพื่อไปแจ้งข่าวดีและจัดเตรียมห้องพักใหม่ให้กีวี่ หากแต่ระหว่างทางได้พบกับโตนุสเสียก่อน จึงบอกเล่าเรื่องราวกับพี่ชาย
"เออ ท่านแแม่ พอมีเวลาให้ข้าบ้างไหม" โตนุสรีบดิ่งมาที่ห้องสมุด แล้วว่าเสียงอ่อมแอ่ม ด้วยอาการเขิน
"ถึงเจ้าจะบอกอะไรตอนนี้ แม่คงไม่ประหลาดใจแล้วล่ะ" มีเรียมองหน้าลูกชายรู้ทัน
"งั้นข้าคงไม่ต้องพูดอะไรแล้วใช่ไหมท่านแม่" โตนุสยิ้มกว้าง
"แล้วแม่จะรู้ได้อย่างไรว่าเจ้าต้องการอะไร" มีเรียเลิกคิ้วถาม
"เอ้า! ข้านึกว่าท่านแม่รู้แล้วเสียอีก คือว่า..."
มีเรียจัดให้กีวี่และกาเรนพักอยู่ด้วยกัน เพื่อป้องกันลูกชายตนทำการเสื่อมเสียก่อนเวลาอันควร เพราะระหว่างหนุ่มสาวทั้งสองคู่นี้ ยังเป็นเรื่องของโชคชะตาฟ้าลิขิต เส้นทางรักนั้นคงมิได้โรยด้วยกลีบกุหลาบเป็นแน่
"เย็นนี้เจ้าทั้งสองต้องไปร่วมมื้อค่ำ ข้ารู้ว่าคงทำให้พวกเจ้าลำบากใจ แต่ยังไงเจ้าก็ต้องไปแนะนำตัวกับเจ้าบ้าน หลังจากคืนนี้ข้าอนุญาติให้พวกเจ้าแยกโต๊ะอาหารได้" มีเรียบอกกล่าวหญิงสาวทั้งสอง
"ขอบคุณท่านป้าที่อนุญาติให้พวกข้าพักอยู่ที่นี่ หากกีวี่ฟื้นความจำเมื่อไหร่ พวกข้าสองคนคงไม่รบกวน" กาเรนว่า
"เจ้ามิได้รักใคร่ชอบพอกับลูกชายข้าหรอกรึ" มีเรียถามสงสัย
"ข้า.. คิดว่าคงยังไม่ถึงขั้นนั้น" กาเรนพูดตรงไปตรงมา
"เอาเถอะ พวกเจ้าเพียงไม่คิดร้ายกับลูกชายข้าก็พอ เรื่องอื่นให้เวลาเป็นเครื่องตัดสินก็แล้วกัน พวกเจ้าพักอยู่ที่นี่ได้จนกว่าจะพอใจ"
"ขอบคุณท่านป้า" กีวี่ยิ้มใจชื้นขึ้น เพราะมีเรียไม่ได้ดูดุร้ายอย่างที่หญิงสาวนึกกลัว ตรงกันข้ามนางดูเป็นผู้ใหญ่น่านับถือทีเดียว
"เอาล่ะ พวกเจ้าพักผ่อนกันตามสบาย ถึงเวลาอาหาร โตนุสกับเปกัสคงมาตามพวกเจ้าเอง" มีเรียว่าแล้วออกจากห้องไป
"ท่านป้าใจดีกว่าที่ข้าคิดไว้เสียอีก" กีวี่ทิ้งตัวลงบนที่นอน รู้สึกโล่งอก
"นางดูท่าทางหวงลูกน่าดู ถ้าเราคิดร้ายเจ้าสองคนนั่น นางคงฉีกเราเป็นชิ้นแน่" กาเรนนอนลงข้างๆ ตามองเพดาน
"เจ้าคิดยังไงกับโตนุส ห้ามโกหกข้า" กีวี่หันมองหน้าเพื่อนสาว
"เจ้าคงจำไม่ได้ ว่าข้าไม่เคยโกหกเจ้า" กาเรนหันมาสบตาแล้วยิ้มขำ
"อืม.. ข้าแค่ชอบ คงยังไม่ถึงขั้นรัก ความรักที่ข้าวาดฝันไว้มันสวยงามกว่านี้มากมาย หน้าตาคนรักข้าก็ควรจะเป็นแบบนี้" กาเรนหยิบภาพวาดที่นางเหน็บซ่อนไว้ที่เอวออกมาให้กีวี่ดู
"นี่ใคร?" กีวี่มองภาพชายหน้าตาดีมิได้ยิ่งหย่อนไปกว่าโตนุสหรือเปกัส สักเท่าใด
"เจ้าจำไม่ได้เหรอ กีวี่?? อืม.. ข้าลืมไป ข้าเก็บรูปนี้ได้ หากชายในรูปมีตัวตนจริง คงจะเป็นเนื้อคู่ของข้า ข้าคิดเช่นนั้นมาตลอด ถึงได้เก็บภาพนี้ไว้ไม่ห่างกาย" กาเรนว่าด้วยท่าทางเพ้อฝัน
"เพ้อเจ้อจริงๆ" กีวี่ยิ้มขำ
"นี่! เมื่อก่อนเจ้าก็ว่าข้าแบบนี้ เจ้าน่าจะลืมคำพูดนี้ไปซะด้วยนะ" กาเรนทำหน้างอน แล้วรีบพับรูปเก็บไว้ที่เดิม
"ข้าขอโทษ แต่ถ้าโตนุสมาได้ยินคำพูดของเจ้า คงคอตกไปเลยล่ะ" กีวี่ว่ากระเซ้า
"ว่าแต่เจ้าเถอะ คิดยังไงกับเปกัส อันที่จริงข้าไม่ควรถามเลยใช่ไหม" กาเรนล้อกลับ
"ดี งั้นข้าก็ไม่มีอะไรจะต้องตอบเจ้า" กีวี่ยิ้มยักคิ้ว
"ขี้โกงนี่!"...
"ก็เจ้าไม่อยากรู้เองนี่นา"...
โอตุสประหลาดใจไม่น้อยที่เห็นกาเรนและกีวี่มาร่วมโต๊ะอาหารด้วย เขามองหน้าสมาชิกในครอบครัว เป็นเชิงว่าใครจะอธิบายเรื่องนี้
"นี่กาเรนและกีวี่ เป็นเพื่อนของลูกเรา นางทั้งสองจะมาพำนักที่ปราสาทนี้ซักระยะหนึ่ง" มีเรียเอ่ยแนะนำ หญิงสาวทั้งสองซึ่งนั่งอยู่ฝั่งเดียวกัน ลุกขึ้นทำความเคารพเจ้าบ้านที่นั่งอยู่ตรงหัวโต๊ะ
"ตามสบายเถอะ" โอตุสดูจะมิได้ใส่ใจนัก หากลูกชายเพียงแค่จะจีบเล่นไม่จริงจัง เพราะดูจะเป็นเรื่องไร้สาระ ถ้าจะคิดเกี่ยวดองกับพวกสัตว์เล็กที่ไม่มีพิษสงอะไรเลย
ชายสูงวัยรับรู้ได้ด้วยสัญชาตญาณและประสบการณ์ โดยไม่ต้องไถ่ถามให้เสียเวลาว่ามาจากตระกูลใด
"ข้าได้รับสารมาว่า ลูกสาวอสรพิษและพญาอินทรีย์ จะมาเยือนเราในอีกเจ็ดราตรี และคงจะอยู่ที่นี่อีกซักระยะ คงทำให้ที่นี่คึกคักไม่เบา" โอตุสเปรยขึ้น
"พญาอินทรีย์เหรอ?" โตนุสมองหน้ากาเรน หากแต่เปกัสสะกิดพี่ชายไว้ทัน และนั่นทำให้โตนุสเริ่มรู้ว่ามีอะไรไม่ชอบมาพากล เพราะหากกาเรนเป็นอินทรีย์จริง นางต้องออกตัวกับท่านพ่อแล้ว แต่นางกลับนิ่งไม่ยอมสบตาเขาเสียด้วยซ้ำ
"ทานอาหารกันดีกว่า ข้าหิวแล้ว" เปกัสรีบว่าตัดบท ขณะที่ชามเนื้อสดๆ เริ่มลำเลียงผ่านหน้า
"ลองนี่ดูหน่อยสิกาเรน ของโปรดข้าเชียวนะ" โตนุสแกล้งยื่นชามไปตรงหน้าหญิงสาว
"ข้า..ไม่" กาเรนมองด้วยความรู้สึกพะอืดพะอม รู้ว่ามันต้องเป็นเนื้อหนูนาแน่นอน
"เออ ท่านลุงท่านป้า ข้าขอตัวก่อน" กาเรนรู้ว่าเสียมารยาท หากแต่ทนไม่ไหวแล้วจริงๆ หญิงสาวรีบถลันลุกออกจากที่นั่งไปทันที
"ท่านลุง ท่านป้า ข้าขอโทษ" กีวี่รีบตามเพื่อนสาวไป
"ทีนี้ เจ้าสองคนจะว่ายังไง" โอตุสมองหน้าลูกชายทั้งสอง
"ข้าคิดว่า...ปัญหาทุกอย่างมีทางแก้ ท่านพ่อ" โตนุสว่าด้วยน้ำเสียงมั่นใจ
"แล้วเจ้าล่ะเปกัส"
"ข้าเป็นลูกไม้หล่นใต้ต้น ยังไงเสียก็จะขอเจริญรอยตามท่านแม่" ชายหนุ่มยิ้มแล้วทานอาหารต่อ
"มันหมายความว่าอย่างไร" โอตุสหันไปถามภรรยา ซึ่งได้แต่นั่งอมยิ้ม
Create Date : 23 มิถุนายน 2554 | | |
Last Update : 29 มกราคม 2555 15:28:05 น. |
Counter : 429 Pageviews. |
| |
|
|
|
|
| |
|
|