|
Wild Love ตอนที่ 1
"ข้าไม่เคยเห็นหญิงใดแกร่งเท่าลูกเรามาก่อนเลย" นางพยัคชีต้าผู้เป็นแม่เอ่ยกับสามี ขณะจับจ้องการต่อสู้อันดุเดือดระหว่างเกเลมและอารอนสิงห์หนุ่มจากแดนใต้
"นางคือพรจากพระเจ้า แต่ในขณะที่ข้าชื่นชมความเก่งกาจของเกเลม ข้าก็อดหนักใจไม่ได้ แม้ลูกเราจะสามารถเพียงใด นางก็คงฝืนกฏธรรมชาติไปมิได้ นางต้องเป็นแม่และเป็นเมียของใครซักคน แต่ใครล่ะที่นางจะยอมสยบให้" พยัคทมิฬผู้พ่อส่อแววกังวลระคนชื่นชมในตัวบุตรสาว
"หากแม้แต่อารอนแห่งตระกูลเจ้าป่ายังเอาชนะลูกเราไม่ได้..." ชีต้าเอ่ยยังไม่ทันขาดคำ เหล่าสรรพสัตว์ทั้งหลายที่ล้อมดูการต่อสู้ก็ลุกฮือขึ้น เมื่ออารอนเสียที ถูกเกเลมตะปบและกัดเข้าที่ต้นคอ สิงห์หนุ่มคำรามสนั่นหวั่นไหวด้วยความเจ็บปวด
"พอได้แล้วเกเลม" บีอุสสั่งลูกสาว สายตาคมวาวราวกับจะฉีกเนื้ออารอนออกเป็นชิ้น ค่อยอ่อนกำลังลง ท่ามกลางเสียงหอบหายใจ และเสียงโห่ร้องเรียกชื่อนางเป็นจังหวะดังขึ้นกึกก้องไปทั้งขุนเขาในป่าอาลาบามัสแห่งนี้ เกเลมปล่อยเหยื่อของนางในที่สุด ด้วยความรู้สึกฮึกเหิมและยินดีในชัยชนะ แต่ฝ่ายที่พ่ายแพ้กลับเก็บความอัปยศและอาฆาตไว้ภายใน ฝังมันลงไปในส่วนที่ลึกที่สุดของหัวใจอันโหดเหี้ยม
จิ้งจอกหนุ่มสองตัววิ่งไล่กันออกมาจากสนามประลอง จนมาถึงทุ่งหญ้าสีเขียวมรกตโล่งกว้าง จึงกลายร่างเป็นมนุษย์ซึ่งเป็นคุณสมบัติของผู้ที่สืบเชื้อสายมาจากประมุขของสัตว์แต่ละสายพันธุ์เท่านั้นที่ทำได้ ทั้งสองนอนแผ่ลงบนพื้นหญ้า มองท้องฟ้าใสกระจ่างซึ่งมีหมู่เมฆอยู่รวมตัวกันกระจัดกระจาย แต่หาได้มีใจชื่นชมความงามไม่ เพราะจิตใจตอนนี้กำลังสั่นรัวไปกับภาพการต่อสู้ที่เพิ่งประสบมา
ทั้งสองนับว่าเป็นจิ้งจอกหนุ่มที่มีหน้าตาดีทีเดียว ด้วยผิวขาวใส จมูกโด่ง และริมฝีปากบาง เป็นที่ต้องตาของสตรีเพศทุกเผ่าพันธุ์ ที่ได้พบเห็น ทั้งพละกำลังและฝีปากก็ไม่เคยเป็นรองใคร แต่วันนี้ทั้งสองเริ่มไม่แน่ใจในเรื่องพลังที่ตนมีอยู่ขึ้นมาหลังจาก...
"เราจะทำยังไงกันดีโตนุส" เปกัสหันมองหน้าพี่ชาย
"ข้าไม่เห็นความเป็นหญิงในตัวนางเลยแม้แต่น้อย" โตนุสสารภาพ
"ถ้าเราอ่อนแอกว่านี้อีกซักนิด เหมือนเจ้ากานุส เราคงไม่ต้องตกอยู่ในที่นั่งลำบากแบบนี้" เปกัสพูดราวกับความอ่อนแอที่ตนหยามหยั่นน้องชายอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน เกิดจะมีประโยชน์ขึ้นมาในคราวนี้
"ข้าไม่รู้ท่านพ่อคิดอะไรอยู่ในใจ เห็นแค่นางงับคอเจ้าอารอน ข้าก็เสียวสันหลังแล้ว" โตนุสยังคงจำภาพนั้นได้ติดตา
"นั่นน่ะสิ ข้าว่านางต้องฉีกเราสองคนเป็นชิ้นก่อนจะได้แทะโลมนางซะอีก แต่นั่นอาจจะดีสำหรับข้าก็ได้ หากได้นางมาเป็นเมียจริงๆ ข้าคงต้องนอนแทบฝ่าเท้านางเป็นแน่" เปกัสว่าด้วยความรู้สึกเวทนาตนเอง
"เป็นไงบ้าง โตนุส เปกัส เล่าให้ข้าฟังเร็วเข้า พวกพี่ไปเห็นอะไรมาบ้าง" กานุสทะยานเข้ามาแล้วแปลงร่างยืนต่อหน้าทั้งสองด้วยสายตาคมเข้มส่อแววสงสัยใคร่รู้ จิ้งจอกหนุ่มน้องเล็กที่แม้หน้าตาผิวพรรณจะคมเข้มดูแข็งแกร่งกว่าใครเพื่อน กลับกลายเป็นจิ้งจอกน้อยที่อ่อนแอที่สุด เพราะเจ็บป่วยบ่อยมาตั้งแต่เด็ก ดังนั้นภาระกิจพิชิตใจนางพยัคจึงตกเป็นของพี่ๆ ทั้งสอง
"เจ้าอยากรู้เรื่องรูปสมบัติ หรือคุณสมบัติก่อนดีล่ะกานุส" โตนุสแกล้งแหย่เพราะเห็นแววกระตือรือร้นของน้องชาย
"แล้วแต่พี่เถอะ ข้าฟังได้ทั้งนั้น ยังไงเรื่องนี้ข้าก็ไม่มีส่วนได้เสียอยู่แล้ว" ชายหนุ่มทิ้งตัวลงนั่งระหว่างพี่ชายทั้งสอง
"งั้นข้าจะบอกเรื่องรูปสมบัติก่อน อันที่จริงข้าก็ไม่แน่ใจว่ามันเป็นสมบัติซักเท่าไหร่" เปกัสยังไม่รู้จะเริ่มยังไง
"อะไรของพี่เปกัส อย่าพูดให้ข้างงได้ไหม"
"ข้าว่า ข้าไม่ต้องอธิบายหรอก เจ้าลองบอกข้าซิว่าผู้หญิงในอุดมคติของเจ้าเป็นเช่นไร" เปกัสถามน้องชายกลับแทนคำตอบ
"ต้องถามข้าด้วยเหรอ ชายใดก็ต้องพึงประสงค์ หญิงตัวเล็ก อ่อนหวาน ผิวใสราวกลีบบัว พูดจาไพเราะ น่ารักน่าถนุถนอม ..." กานุสสาธยายไปเรื่อยๆ
"พอได้แล้ว ข้าจะบอกว่าสิ่งที่เจ้าพูดมาทั้งหมดไม่มีอยู่ในตัวนางพยัคเกเลมเป็นแน่" เปกัสยืนยัน
"ผิวนางทะมึนยิ่งกว่าเจ้าซะอีก ข้าไม่เคยได้ยินนางพูด แต่เสียงคำรามของนาง ฟังแล้วข้าขนลุกขนพองขึ้นมาทันที เท่านั้นยังไม่พอ นางเหยียบยอดอกเจ้าอารอน แล้วงับคอมันจนเลือดอาบกลางสนามประลองมาแล้ว" เปกัสทำท่าสยดสยอง
"ข้าสองคนถึงได้วิ่งหนีออกจากสนามมาแทบไม่ทัน" โตนุสช่วยเสริม
"นางต้องเป็นหญิงแกร่งที่สุดในปฐพีนี้เป็นแน่" กานุสกล่าวด้วยความชื่นชม นึกอยากจะเห็นนางซักครั้ง เพราะตัวเขาเฝ้าชื่นชมคนที่มีความแข็งแกร่งและอยากเป็นเช่นนั้นมาตลอดชีวิต แต่ดูเหมือนสภาพร่างกายจะไม่อำนวย
งานเลี้ยงอาหารค่ำภายในปราสาทเวสวู๊ด ซึ่งเป็นป้อมปราการหินตั้งตระหง่านด้วยหินผาอายุนับพันปีดูทะมึนเย็นชาน่าเกรงขาม แต่ภายในกลับดูอบอุ่นด้วยแสงไฟสีอำพัน บนโต๊ะที่เต็มไปด้วยอาหารชั้นดีเลิศรส
ทว่าแขกหนุ่มผู้มาเยือนกลับไม่รับรู้ถึงรสชาติ เพราะบาดแผลที่คอนั้นทำให้กลืนอะไรแทบไม่ลง ไม่ใช่เพราะความเจ็บหากแต่เป็นความอายเสียมากกว่า
"ข้าต้องขอโทษจริงๆ ที่ทำให้เจ้าต้องอับอาย แต่เจ้าคงเข้าใจว่ามันเป็นการประรอง มีแพ้ก็ต้องมีชนะ และข้าหวังว่ามันจะไม่บั่นทอนมิตรภาพระหว่างเผ่าพันธุ์ของเรา" บีอุสเอ่ยกับอารอน เพราะรู้แน่แกใจว่าสิงห์หนุ่มคงเจ็บแค้นไม่น้อย
"การแพ้ชนะในวันนี้ ไม่ได้ทำให้ข้ายอมรับว่าเกเลมมีพลังเหนือกว่าข้า เพราะวันนี้ร่างกายข้าไม่เต็มร้อย หากมีครั้งหน้า ข้าต้องทำให้นางสยบให้ได้" อารอนมองตอบผู้อาวุโสกว่าด้วยท่าทางจองหอง ไม่มีความยำเกรงเพราะคิดเสมอว่าเผ่าพันธุ์เจ้าป่าของตนนั้นแข็งแกร่งที่สุด
"ถ้าเช่นนั้น วันใดที่เจ้ารู้สึกว่าร่างกายเกินร้อย จงกลับมาท้าข้าใหม่ เพราะอันที่จริงวันนี้ข้าก็ใช่พลังไปเพียงบางส่วนเท่านั้น" เกเลมพูดท้าทายอารอน ด้วยเกินทนกับท่าทีหยิ่งยโส อวดดี ที่อีกฝ่ายแสดงออก
"ข้ากลับมาแน่ และอาจได้อะไรกลับไปมากกว่าชนะนางเสือปากดีอย่างเจ้า" อารอนมองหญิงสาวด้วยตาลุกวาว ทว่าสายตาที่มองโต้ตอบ ก็มิได้เปล่งประกายด้อยไปกว่ากัน
"เอาล่ะ พอได้แล้ว ขอให้เรื่องราวทั้งหมดจบในสนามประรองเท่านั้น" บีอุสพูดตัดบท เพราะเกรงความบาดหมางจะลุกลามใหญ่โต
"ข้าขอตัวไปพักผ่อน ท่านพ่อท่านแม่" เกเลมย่อตัวลงเล็กน้อย แล้วผละไปทันที โดยไม่มองหน้าอารอนอีก นางคิดว่าชายหนุ่มไม่มีอะไรน่ามองเลยซักนิด แม้จะมีมัดกล้ามใหญ่โตสมชายชาตรี พละกำลังก็ยังด้อยกว่านาง แถมยังตาลึก โหนกแก้มสูง ไม่มีดั้ง แม้นางจะไม่ได้คิดว่าตนสวย แต่ใบหน้าอารอนก็ไม่ถูกชะตากับนางเอาเสียเลย
เกเลมกลับไปถึงห้องแล้ว แต่ยังไม่รู้สึกอยากจะพักผ่อนดังที่อ้างไว้ นางมองจันทร์เต็มดวงประกายเจิดจ้างดงามกว่าทุกราตรี แล้วกลายร่างเป็นนางเสือปราดเปรียวสีดำทมึน กระโจนออกทางหน้าต่างสูงกว่าสิบเมตรลงสู้พื้นเบื้องล่างอย่างแผ่วเบา และออกตัวอย่างรวดเร็วเพื่อไปยังเนินผาสูงชันที่นางมักจะไปนั่งชมจันทร์เพียงลำพัง
แต่ค่ำคืนนี้กลับมีผู้มาจับจองที่ประจำของนางเสียแล้ว เกเลมเดินย่างเข้าไปบนหินผาด้วยเสียงเงียบกริบไม่อยากรบกวนเจ้าจิ้งจอกที่กำลังชมความงามของแสงจันทร์ เพราะนางไม่มีนิสัยชอบระรานสัตว์อื่นอยู่แล้ว
ด้วยสัญชาตญาณความไวในการรับกลิ่น กานุสรู้ได้ทันทีว่ามีสัตว์อื่นอยู่ในระยะใกล้ และพอหันไปมองว่าเป็นอะไร ก็ต้องผวาก้าวถอยหลังด้วยความตื่นตระหนก จากรูปร่างทมึนที่กำลังเยื้องย่าง ดวงตาสีทองวาววับ และสรีระใหญ่โตเกินสายพันธุ์ของตน
"ข้าเพิ่งกินมื้อค่ำมา" เกเลมว่าแล้วลงไปนอนเอาคางพาดขาหน้าไว้ แล้วไม่สนใจเจ้าจิ้งจอกขี้ตื่นตัวนั้นอีก
กานุสยืนนิ่งแอบมองนางเสือดำที่นอนอยู่ไม่ห่างเป็นระยะๆ ด้วยความตื่นกลัวระคนสงสัยใคร่รู้ จนกระทั่งนางหลับตาลง และนั่นทำให้จิ้งจอกหนุ่มรู้สึกผ่อนคลายขึ้น หันกลับไปสนใจดวงจันทร์กลมโตยั่วยวนทำให้เขาอยากจะเปล่งเสียงออกมาใต้เงาจันทร์นั้น
แล้วจู่ๆ กานุสก็ระเบิดเสียงสูงออกมาด้วยพลังทั้งหมดที่มีอยู่ เสียงนุ่มดังก้องกังวานไปทั่วป่า เพียงสองสามครั้ง ก็เกิดไอแค๊กๆ ออกมาเป็นชุด เกเลมลืมตาขึ้นกลั้นหัวเราะ
"ข้าแค่คอแห้งไปหน่อย มีอะไรน่าขำนักหนา" กานุสหันมาว่าเขินๆ
"โทษที ข้าแค่..." เกเลมยังคงกลั้นหัวเราะไปพูดไป
"ไม่ค่อยได้ยิน อะไรอย่างนี้มาก่อน"
"เสียงเจ้าไพเราะทีเดียว"
"ข้าคงจะเชื่อเจ้าได้มากกว่านี้ ถ้าเจ้าจะหยุดหัวเราะเยาะข้าเสียที" กานุสเอ่ยออกไปตรงๆ ไม่ได้มีทีท่าขุ่นเคืองแต่อย่างใด
"เจ้าทำให้ข้าอารมณ์ดีต่างหาก ขอบใจนะ ข้าไปล่ะ" เกเลมทะยานออกไปด้วยความเร็วสูง
"อย่างนี้ก็มีด้วย" กานุสแกว่งหางไปมา แล้วนั่งลงชมจันทร์ต่อ
ณ ปราสาทวูฟรินอันเป็นที่พำนักของประมุขแห่งมวลจิ้งจอก โอตุส พร้อมภรรยา มีเรีย และลูกๆ ทั้งสาม บนโต๊ะอาหารเช้าซึ่งทุกคนจะอยู่กันพร้อมหน้า เป็นโอกาสดีที่จะได้พูดคุยและมอบหมายภาระกิจให้ลูกๆ ในแต่ละวัน
"โตนุส เปกัส" เพียงโอตุสเอ่ยชื่อ ก็ทำให้ลูกๆ ทั้งสองสะดุ้งเฮือกขึ้นมาพร้อมๆ กัน เพราะรู้ว่าคำถามต่อไปคืออะไร
"ข้ากับน้องไปทำภาระกิจที่ท่านพ่อสั่งไว้เรียบร้อยแล้ว" โตนุสพี่ใหญ่รายงานด้วยท่าทีไม่มั่นใจ ไม่เหมือนงานชิ้นอื่นๆ ที่ให้ไปปฏิบัติ
โอตุสมองท่าทางกระอักกระอ่วนใจของลูกๆ อย่างเข้าใจ แต่จะไม่ยอมให้ทั้งสองละทิ้งหน้าที่นี้เป็นอันขาด
"นี่คือภาระกิจที่ยิ่งใหญ่เพื่อความเกรียงไกรของเผ่าพันธุ์เรา ข้ารู้ว่ามันคงไม่เกินความสามารถของพวกเจ้าทั้งสอง ถ้าเจ้าคนใดคนหนึ่งพิชิดใจนางพยัคเกเลมได้ จะเป็นการประกาศศักดาความยิ่งใหญ่เหนือผู้ใดในเขตป่าอาลาบามัสแห่งนี้ หากนางคือผู้ที่แข็งแรงที่สุด การได้นางมาจะทำให้เจ้าเป็นผู้ที่แข็งแกร่งกว่า" โอตุสร่ายยาวเพื่อให้ลูกชายมีกำลังใจในการทำงานชิ้นนี้ให้สำเร็จ
"แต่ท่านพ่อ..พวกข้าไม่คิดว่าจะมีโอกาส..แม้แต่จะใกล้ชิดนาง" โตนุสหาข้ออ้าง เพราะคิดว่าเกเลมคงจะฉีกตนเป็นอาหารก่อนจะได้เริ่มสนทนากันด้วยซ้ำ
"เรื่องนั้นไม่ต้องเป็นห่วง ข้ารู้ว่าบีอุสก็คงกังวลเรื่องลูกสาวไม่น้อย ข้าจะเจรจาให้เจ้าทั้งสองได้เข้าไปอยู่ในปราสาทเวสวู๊ดชั่วระยะเวลาหนึ่ง เพื่อทำหน้าที่ของเจ้า"
"ท่านพ่อล้อเล่นใช่ไหม" เปกัสหันมองบิดาตาค้าง
"เจ้าไม่เข้าถ้ำเสือ จะได้ลูกเสือฉันใด เปกัส" โอตุสหันมองหน้าลูกชาย มีเพียงกานุสเท่านั้นที่นั่งกลั้นหัวเราะฟังการสนทนา ส่วนพี่ๆ ทั้งสองถึงกับกลืนอาหารไม่ลง
"เจ้าหัวเราะอะไรกานุส" เปกัสหันไปพาลน้องชายทันที
"ข้าไม่เกี่ยวนะ อย่าหาเรื่องข้าดีกว่าเปกัส" กานุสยิ้มพราวด้วยดวงตาคมแล้วก้มหน้าก้มตากินอาหารต่อ
"ลำพังแค่นางคนเดียว พวกข้าสองคนก็... ถ้าต้องตกอยู่ในวงล้อมทั้งตระกูล เกิดพวกข้าทำอะไรไม่ถูกใจ มิต้องขึ้นไปอยู่บนโต๊ะอาหารหรือท่านพ่อ" โตนุสสารภาพอย่างไม่นึกอาย เมื่ออยู่ต่อหน้าสมาชิกในครอบครัว
"ถ้าพวกเจ้ากังวลเช่นนั้น ข้าจะลองคิดเรื่องนี้ดูอีกที ยังไงข้าก็จะหาโอกาสให้พวกเจ้าทั้งสองให้จงได้" โอตุสยังไม่ละความพยายาม
"พี่จะไปไหนกัน" กานุสถามพี่ชายหลังมื้ออาหารเช้า
"พวกข้าต้องไปฝึกฝีมือและพละกำลังไว้รับมือแม่เสือสาว" โตนุสว่า
"หลังจากนั้นก็ต้องไปลับคารมซักหน่อย" เปกัสทำสีหน้ากรุ่มกริ่มกับกิจกรรมโปรดปราน
"งั้นข้าไปคุยกับท่านแม่ดีกว่า" กานุสไม่ใส่ใจกับกิจกรรมที่ตนไม่เคยได้เข้าร่วมด้วย ทั้งการฝึกฝึมือ และการจีบหญิงของพี่ชาย เพราะรู้ดีว่าตนคงไม่มีทางตามทัน
"ข้านึกว่าเจ้าหย่านมมาหลายปีแล้วซะอีก" เปกัสแกล้งล้อแล้วหัวเราะ
"พูดแรงเกินไปแล้วเปกัส" โตนุสทำปรามน้องชายแต่กลับกลั้นหัวเราะซะเอง
"ข้าถูกพวกพี่กัดจนชินแล้วล่ะ อย่าให้เป็นทีข้าบ้างก็แล้วกัน" กานุสยิ้มยักไหล่แล้วเดินจากไป
"เจ้าไม่คิดจะเข้าร่วมภาระกิจกับพี่ๆ บางหรือกานุส" มีเรียก้มถามลูกชายซึ่งนอนหนุนอยู่บนตัก ในช่วงเวลาพักผ่อนส่วนตัวกับหนังสือเล่มโปรด บนม้านั่งตัวยาว ลูกชายตัวน้อยมักจะเข้ามาชวนคุยโน่นคุยนี่เสมอ จนกระทั่งบัดนี้แม้จะโตเต็มวัยแล้วแต่กานุสก็ยังทำตัวเหมือนเดิม
"ท่านแม่ล้อข้าเล่นใช่ไหม ท่านพ่อไม่เคยเอ่ยเรื่องนี้กับข้าซักคำ คงคิดว่าข้าไม่มีศักยภาพพอ" กานุสแหงนสบตามารดา
"หึ เพราะพ่อเจ้าคิดอย่างผู้ชายน่ะสิ หากความแข็งแกร่งวัดจากพละกำลังเพียงอย่างเดียว หรือเป็นเพียงสิ่งเดียวที่จะเอาชนะใจสตรีได้ แม่ไม่มีวันจะลงเอยกับพ่อของเจ้า" นางเสือดาวยิ้มสบตาลูกชาย
และเป็นสิ่งที่กานุสนึกสนเท่ห์อยู่เช่นกันว่าแม่ซึ่งเป็นเสือดาวน่าจะมีพละกำลังทางสรีระมากกว่าพ่อซึ่งเป็นจิ้งจอก แต่เหตุใดแม่จึงให้เกียรติและยกย่องพ่อตลอดเวลา จนเขาลืมนึกไปว่าแม่น่าจะแข็งแรงกว่าพ่อเสียด้วยซ้ำ
"แล้วมันจะอยู่ที่ใดได้อีกล่ะท่านแม่" กานุสถามสงสัย
"ตรงนี้ แล้วก็ตรงนี้" มีเรียชี้ไปที่ขมับและหัวใจของลูกชาย แล้วอธิบาย
"หากเจ้าคิดจะชนะใจหญิง เจ้าต้องแสดงให้นางเห็นถึงสติปัญญา และความเข้มแข็งของจิตใจ ให้นางรู้ว่าเจ้าจะเดินเคียงข้างนางตลอดไป เป็นมิตรแท้ เป็นคู่คิด เป็นทุกสิ่งเมื่อนางต้องการ และเมื่อถึงเวลานั้น เจ้าไม่จำเป็นต้องแสดงตัวว่าเป็นผู้นำ แต่นางจะเดินตามเจ้าหนึ่งก้าวตลอดไป"
"ขอบคุณท่านแม่ ข้าจะจำคำสอนนี้ไว้ แต่ถึงอย่างไรข้าก็จะไม่ขอเข้าร่วมภาระกิจนี้เด็ดขาด เพราะข้าเชื่อเรื่องพรหมลิขิต และข้าจะทำทุกสิ่งตามที่ท่านแม่สอนสั่งเมื่อเจอคนที่ใช่เท่านั้น"
"แม่ภูมิใจในตัวเจ้านะกานุส แม่เลี้ยงเจ้ามาและรู้ว่าเจ้าต้องต่อสู้กับอะไรมาบ้าง แม้ใครๆ จะคิดว่าเจ้าอ่อนแอ แต่แม่รู้ว่าจิตใจเจ้าเข้มแข็งหนักแน่นเพียงใด"
"คงมีเพียงท่านแม่ที่มองเห็นข้าในมุมที่แตกต่าง" ...
"เพราะเจ้าเก็บซ่อนมันไว้ต่างหากล่ะลูกรัก"...
เกเลมในร่างหญิงสาว รูปร่างสูงสง่าเกินกว่ามาตรฐานหญิงทั่วไป ดวงตาคมโตด้วยแววดุดัน จมูกสวยได้รูป และริมฝีปากที่เต็มไปด้วยความมุ่งมั่น ภายใต้ผิวสีแทนเนียนละเอียด ซึ่งมิได้ทำให้นางดูอ่อนหวานเหมือนหญิงทั่วไปเลยแม้แต่น้อย หากแต่เป็นความงามที่คมลึกมีเอกลักษณ์เฉพาะตัวที่น้อยคนนักจะเปิดใจยอมรับความสวยงามที่แตกต่างนี้ได้
หญิงสาวยืนมองออกไปยังขอบฟ้าบนเนินผาแห่งทุ่งหญ้าสะวันนาเขียวชอุ่มชุ่มน้ำในฤดูฝน พลางนึกสงสัยว่ามันจะสิ้นสุดลงที่ใด ขณะที่กำลังใช้ความคิดเพลินๆ สัญชาตญาณบอกนางว่ากำลังมีศัตรูอยู่ใกล้แค่คืบ เพียงหันกลับ ก็พบว่าร่างเจ้าสิงโตกำลังกระโจนเข้าหาในอากาศ และเพียงเสี้ยวนาที มันก็คร่อมร่างนางไว้
ดวงตาเกเลมที่มองสบเจ้าสิงห์หนุ่มนั้น ไม่ได้มีร่องรอยความหวาดกลัวแม้แต่น้อย แต่กลับทอประกายจากสีดำเป็นสีทองและกลายเป็นสีแดงฉานตามอารมณ์ที่ทีวีขึ้นเรื่อยๆ
"เจ้าจะขยับออกไปดีๆ หรือจะต้องให้ข้าใช้กำลัง" หญิงสาวว่าด้วยน้ำเสียงมั่นคงและเยือกเย็นราวภูผาน้ำแข็ง
"ข้าแค่ต้องการสอนให้เจ้ารู้จักความเป็นหญิงในตัวก็เท่านั้นเอง" อารอนกลายร่างเป็นมนุษย์ แล้วโน้มใบหน้าลงใกล้
"ข้าเตือนเจ้าแล้วนะ" เกเลมมองด้วยดวงตาลุกวาว ใช้เล็บมือแหลมคมทั้งสองข้างข่วนใบหน้าอารอนจนเลือดอาบ แล้วยกเข่าขึ้นกระทุ้งจุดยุทธศาสตร์จนชายหนุ่มกลิ้งหงายออกไปไม่เป็นท่า แล้วลุกผละไปทันที
"นางมารร้าย ข้าอุตส่าห์มีใจเมตตาหญิงอัปลักษณ์เยี่ยงเจ้า ชาตินี้เจ้าอย่าได้หวังเลยว่าจะมีคู่ครอง" อารอนร้องด่าสาปแช่งด้วยความเจ็บปวด แต่ใครล่ะจะได้ยิน...
"ท่านพ่อ เมื่อไหร่เจ้าสิงห์ขี้โอ่นั่นจะไปจากเราเสียที" เกเลมกลับมาถึงปราสาท แล้วเอ่ยถามทันทีเมื่อพบบิดาอยู่ในห้องหนังสือ
"เจ้าเป็นอะไรไป เกเลม" บีอุสนึกสงสัยในท่าทีของลูกสาว
"เมื่อกี้มันคิดจะลวนลามข้า เจ้าคนงี่เง่า มันก็รู้ว่าไม่มีทางสำเร็จ" เกเลมว่าด้วยน้ำเสียงขุ่นเคือง
"ในบรรดาสัตว์น้อยใหญ่ อารอนนับว่าน่าจะแข็งแรงที่สุดแล้ว เจ้าไม่คิด..." บีอุสรองยั่งเสียงลูกสาว
"ข้าคิดว่า ข้ายอมเป็นเมียสัตว์ที่อ่อนแอที่สุดในป่าแห่งนี้ ยังดีซะกว่า" เกเลมว่าด้วยน้ำเสียงแน่วแน่ เพราะไม่ถูกชะตากับอารอนเอาซะเลย
"เราไล่อารอนไปไม่ได้ เพราะนั่นจะเป็นข้ออ้างในการประกาศสงครามระหว่างเผ่าพันธุ์" บีอุสว่า
"งั้นข้าขอเป็นฝ่ายไปเอง"
"ถ้าเช่นนั้น พ่อก็มีทางเลือกให้เจ้า"
"ทางเลือกอะไรท่านพ่อ" เกเลมหันมาถามด้วยความสนใจ
"โอตุส ส่งสารมาเชิญเจ้าให้ไปเยี่ยมพำนักที่ปราสาทวูฟริน เพื่อดูการฝึกฝนของเหล่าจิ้งจอก แต่อันที่จริงพ่อรู้ว่าคงเป็นแผนให้เจ้าได้ลงเอยลูกชายคนใดคนหนึ่ง"
"เรื่องนั้นข้าไม่ใส่ใจหรอกท่านพ่อ ขอให้ข้าได้ไปจากที่นี่ก็พอ"
"เจ้าต้องคิดให้ดีนะเกเลม เหล่าจิ้งจอกแม้จะไม่ได้มีพละกำลังมากมาย แต่รูปร่างหน้าตา ฝีปาก และคารม อาจทำให้เจ้าเคลิ้มได้"
"ไม่ดีหรือท่านพ่อ จะได้เลิกห่วงว่าข้าจะไม่มีคู่ครองเสียที"
"พ่อแค่กลัวว่าเจ้าจะถูกลวง เพราะพวกจิ้งจอกขึ้นชื่อเรื่องเจ้าชู้มากรักมาแต่บรรพบุรุษ"
"เช่นนั้น ข้ายิ่งอยากรู้ว่าใครจะหลอกข้าได้" และนั่นทำให้เกเลมรู้สึกว่าการไปเยือนรังจิ้งจอกคงมีอะไรสนุกกว่าที่คิด
Create Date : 15 เมษายน 2554 | | |
Last Update : 12 มิถุนายน 2555 20:58:20 น. |
Counter : 644 Pageviews. |
| |
|
|
|
|
| |
|
|