โฟล์คเหน่อ เล่นดนตรี เขียนกวี วิถีชีวิตริมฝั่งแม่น้ำสุพรรณฯ

Group Blog
 
All blogs
 

• แมวหลังบ้าน

ทาวน์เฮ้าผนังข้างฝาติดกันกับบ้านเช่าของผมไม่มีคนอยู่ เป็นบ้านร้าง ไม่รู้ใครเป็นเจ้าของ แต่บ้านหลังถัดไปเขาใช้หน้าบ้านหลังนี้เป็นที่จอดรถยนต์

จำได้ว่าตั้งแต่มาเข้าอยู่ที่นี่มีแมวมาอาศัยคลอดลูกในบ้านหลังนี้ประมาณ 6 -7 ครั้ง แต่ไม่มีแมวครอกไหนอาศัยในบ้านหลังนี้แบบถาวร

เติบโตพอประมาณ พวกมันก็พากันหายไป และอีกไม่ช้านานแม่แมวตัวใหม่ หรืออาจเป็นตัวเดิมก็จะห้อยท้องโย้มาอาศัยบ้านร้างหลังนี้เป็นห้องคลอดอีก

กว่าผมจะรู้ว่ามีแมวมาคลอด ก็จะประมาณว่าเห็นฝูงแมวตัวเล็ก ๆ ร้องเหมียว ๆ เดินขวักไขว่  อยู่บริเวณพื้นที่หลังบ้านร้างซึ่งล้อมรอบด้วยกำแพงปูนสูงเสมอหน้าอกและต่อด้วยลูกกรงเหล็กดัด

  • ไม่มีแมวฝูงไหนเลย ที่ไม่ได้ลิ้มรสปลากระป๋องขยำข้าวสวยจากฝีมือผม

พอโตได้วัยปีนป่าย เจ้าแมวตัวย่อมทั้งฝูงก็จะเริ่มกระโดดขึ้นบนกำแพงปุนหลังบ้าน แล้วเริ่มทำตัวสอดรู้ สอดเห็น แอบตูศิลปินรูปหล่อ ซํกผ้า ล้างจาน ล้างหม้อ ที่หลังบ้าน

ครั้นพอหันไปพบประสบตา เขาก็จะทำท่าตกใจเล็กน้อย และถ้าจะถึงขั้นเอื้อมมือเพื่อขออุ้มหรือสัมผัสตัว ฝูงแมวทั้งฝูงก็จะพากันหนีแตกกระเจิงข้ามไปอีกฝั่งรั้วเหล็กดัด ชนิดแบบไม่อยากนับญาติ

พอรู้ว่าฝูงแมวปีนป่ายขึ้นกำแพงไต่ข้ามมาฝั่งหลังบ้านผมได้ ปลากระป๋องจึงเป็นอีกชนิดอาหารที่ผมต้องซื้อตุนไว้ในบ้าน

หลังมื่ออาหารของผม คือการขยำข้าวสวยให้แมวอย่างเต็มใจ  เว้นก็แต่วันไหนที่ต้องเดินทางไปเล่นดนตรี ก็ให้เป็นหน้าที่พวกเขาไปวิ่งหาจับหนูกินกันเอง

แมว 6 -7 ฝูงที่มาคลอดในบ้านร้างล้วนได้กินปลากระป๋องขยำข้าวจากผมทั้งนั้น แต่เชื่อมั๊ยผมไม่เคยได้สัมผัสถึงตัวแมวเหล่านั้นได้เลยสักตัว

ขยำข้าวเสร็จผมต้องวางจานไว้บนกำแพงรั้วหลังบ้าน แล้วเดินหลบเข้าบ้านไป ปล่อยทิ้งให้พวกเขากินกันจนอิ่มจึงเก็บจานไปล้าง

 

  • ผมไม่อยากเลี้ยงสัตว์ไว้ในบ้าน ชีวิตผมไม่ได้อยู่ในบ้านตลอด การเดินทางตระเวนเล่นดนตรีคือเงือนไขที่ทำให้ผมไม่กล้ามีสัตว์เลี้ยง แต่ก็พยายามแสดงออกให้ฝูงแมวเหล่านั้นเห็นว่า”ศิลปินรักนะแต่ไม่ผูกพัน” ขณะฝูงแมวทุกครอกทุกตัวก็เหมือนจะรับรู้และก็แสดงออกให้เห็นว่า “พวกเรากินปลากระป๋องของแกนะแต่ไม่ผูกพันกับแกเหมือนกัน”  หุ หุ (อ่ะ...ล้อเล่น)

 

  • แมวฝูงใหม่ ณ. วันนี้มีอยู่ด้วยกันสามตัว คือ แม่ และลูกอีกสองตัว

ขณะนี้พวกเขากำลังโตพอที่จะหากินเองได้แล้ว พวกเขายังแอบดู ผมล้างจาน ซักผ้า และกินข้าวขยำปลากระป๋องของผม แต่ยังไม่ยอมให้ผมเข้าใกล้ แถมยังแยกเขี้ยวขู่ฟ่อฟ่อ ใส่ผมด้วยซ้ำ

ใจจริงผมอยากจะคว้าพวกเขามาอุ้ม มากอดใจจะขาด แต่รั้วเหล็กดัดที่แค่เพียงพวกเขาเดินข้ามไป ผมก็หมดสิทธิ์ในตัวพวกเขาซะแล้ว

อีกสองเดือนผมจะต้องย้ายออกจากบ้านหลังนี้ ถึงวันนั้นผมไม่รู้ว่าพวกเขาจะไปจากผมก่อน หรือผมจะไปก่อนพวกเขา แต่ผมก็เตรียมใจ เตรียมความรู้สึก ไว้พร้อมแล้วสำหรับวันนั้น....

ขณะพวกเขามีเกราะป้องตัวเองที่รั้วเหล็กดัดและความรวดเร็วหลบหลีก ผมก็มีรั้วป้องกันความรู้สึกแห่งการพลัดพรากเตรียมพร้อมอยู่แล้วเช่นกัน

“รักพวกแกนะแต่ไม่ผูกพัน” นั่นล่ะคือรั้วป้องกันความรู้สึกของผม เมื่อถึงวันที่ต้องย้ายบ้าน จากพวกเขาไป




 

Create Date : 21 กันยายน 2553    
Last Update : 23 ตุลาคม 2553 14:30:31 น.
Counter : 539 Pageviews.  

• ขนมจีน

• เลือกเอาช่วงเวลาหลังบ่าย วันฟ้าใส คว้ามอเตอร์ไซด์คันเก่า สวมหมวกกันน็อค ออกจากหมู่บ้านบึ่งขึ้นเส้นทางเลี่ยงเมือง

ฝนตกต่อเนื่องมาหลายวันถึงไม่มากปริมาณนัก แต่ก็พอให้ชาวนาได้ ไถหว่านทำนา

ข้าวแตกหน่อ กำลังเปลี่ยนระบายสีริมสองข้างให้กลายเป็นพรมผืนเขียวอ่อน ชาวนากำลังสาละวนอยู่กับเครื่องฉีดพ่นสารพัดสารเคมีเพื่อภารกิจการฆ่าและป้องกัน...

ชาวนาถูกโฆษกเสียงหวานจากวิทยุชมชนปลุกระดมให้เชื่อว่า หญ้าหนึ่งต้นในแปลงนา ควรถูกตีค่าว่าเป็นศัตรูข้าว ที่ต้องกำจัด ด้วยผลิตภัณท์สารเคมีเกษตรที่เขาเป็นตัวแทนจำหน่าย

ผ่านนาบางแปลงกลิ่นฉุนสารเคมีจากละอองฉีดพ่น เหม็นโชยเข้ามาในหมวกกันน็อค จนต้องเร่งเครื่องหนี

 

• ต้นไม้สองข้างทาง ของถนนสายไหว้พระ ๙ วัด เลียบริมฝั่งแม่น้ำสุพรรณฯ เขียวร่มรื่นรับกับเนียนแดดใส ของบ่าย ๓ โมง

จอดแผงร้านเล็ก ๆ น่ารัก ริมทาง

หน้าร้านเขียนป้ายลายมือด้วยสีขาวบนแผ่นกระดานไม้ ตัวหนังสือออกโย้เย้ แต่ก็อ่านได้ใจความว่า “ขนมจีนไร้สารกันบูด น้ำยาปลาช่อนแม่น้ำ”

ถ้าไม่มีคำว่า “ไร้สารกันบูด” ผมคงไม่จอด

คุณจะรู้สึกดีเหมือนผมมั๊ย ถ้าเราจะมีสักช่วงเวลาหนึ่ง เสาะหาอาหารดี ๆ ไม่มีสารพิษเปื้อนปนให้กับร่างกายของเราบ้าง แม้มันจะดูยากสักหน่อย กับความจริงในสภาพแวดล้อม อย่างบ้านเรา ทุกวันนี้

วันนี้ผมรู้สึกดี ๆ กับขนมจีนไร้สารกันบูด ผสมน้ำยาปลาช่อนแม่น้ำ

แต่ผมไม่มีเวลานั่งกินที่ร้านแผงลอยริมทางนี่หรอก ผมจะขอใช้เวลาวันอาทิตย์ขี่มอเตอร์ไซด์ กินลม ชมวิว หาแรงบันดาลใจแบบศิลปินนักแต่งเพลงของผมไปเรื่อย ๆ 

สั่งขนมจีนน้ำยาใส่ถุงสองชุด วางไว้ในตะกร้าหน้ารถมอเตอร์ไซด์ เพื่อเอาไปกินที่บ้านเป็นมื้อค่ำของศิลปินวันนี้..

 

• กินลมชมวิว เข้าโน่น ออกนี่ แวะนั่น คุยโน่น จนมืดค่ำ

ขี่มอเตอร์ไซด์กลับเข้าบ้านหิวจนตาลาย แกะถุงขนมจีนไร้สารกันบูดใส่จาน เทน้ำยาปลาช่อนแม่น้ำเข้มข้นตามลงไป กลิ่นกระชายหอมฉุย น้ำยาข้นยุ่ยเนื้อปลาเป็นแพจับบนขนมจีน ใช้ช้อนคนผสมให้เข้ากัน น้ำปลาเหยาะนิด ขยุ้มถั่วงอก พร้อมหอมห้วงของใบแมงลัก ใช้ช้อนตัดเส้นขนมจีนให้สั้นพอดีคำ ค่อย ๆ บรรจงเชยช้อนป้อนคำแรกใส่ปากอย่างระมัดระวัง กลัวเส้นส่วนเกินที่ห้อยโยงระยาง ช่วงชิงจังหวะบางเสี้ยววินาทีดิ้นตีพงหนวด

• และทันทีที่ลิ้นสัมผัส รสชาติ เต็มอุ้มคำขณะบดเคี้ยว...

 

• ผมนอนแผ่หรา หมดแรง กับพื้นบ้าน หลังบ้วนคายขนมจีนคำแรกทิ้ง แล้วบ้วนน้ำไล่อีกหลายครั้ง รู้สึกผิดหวัง และหิวมาก ๆ

เหลือบชำเลืองมองจานที่ยังพูนด้วยขนมจีนน้ำยาพร้อมกลิ่นหอมกระชายโชยเคล้าใบแมงลัก

“แมร่ง!! บูด แกบูดแล้วรู้ตัวมั๊ย? ขนมจีน” ผมหันไปพูดกับขนมจีนไร้สารกันบูดเสมือนคนบ้า....

โฟล์คเหน่อ | เรื่อง

อินเตอร์เน็ต | ภาพ




 

Create Date : 20 กันยายน 2553    
Last Update : 20 กันยายน 2553 10:28:39 น.
Counter : 479 Pageviews.  

• ชะตากรรม


        วิถีชีวิตของการขับเคลื่อนตำแหน่งตัวเองอยู่บนท้องถนนที่ทอดยาว โดยอาศัยรูปโครงคันรถ ครอบคลุมป้องกันแดด ลม ฝน



        ขณะกลไกเครื่องยนต์ทำงาน หมุนเคลื่อนวงล้อ  ในอัตราความเร็ว แต่ละช่วงเข็มขีดเลขบนหน้าปัดที่ขยับขึ้น ยิ่งองศาของเข็มบอกความเร็วชี้เอียงเพิ่มขึ้นไปเท่าไร อัตราเสี่ยงอันนำไปสู่อุบัติเหตุย่อมสูงเพิ่มขึ้นเป็นเงาตามตัว



       ดังนั้นแต่ละวันก่อนการก้าวพ้นข้ามจากประตูบ้าน เพื่อขึ้นพาหนะออกไปสู่ถนนหนทาง ผมมักใช้เวลาหนึ่งนาที สำรวจตรวจตราความเรียบร้อย ภายในบ้าน นอกเหนือจากปิดไฟทุกดวง ถอดสายทุกสายออกจากปลั๊ก ผมมักแอบใช้เวลาตรงนี้บอกกล่าวร่ำลา หับห้องบ้านเช่า ด้วยคิดคำนึงอยู่เสมอว่าการเดินพ้นจากขอบประตูบ้านทุกครั้ง โอกาสที่จะไม่ได้ย้อนกลับมาสู่ชายคาบ้านนั้นมีอัตราส่วนเท่ากันกับโอกาสที่จะได้เดินกลับเข้าบ้านอีกครั้ง



      ตลอดห้วงเวลา หลัง 6 ปีมานี้ ผมดำเนินวิถีชีวิตของนักดนตรี โดยฝากชีวิตไว้กับพาหนะรถยนต์กะบะดัตสันรุ่นช้างเหยียบ



เริ่มตั้งแต่การไต่ไปตามถนน ที่ทอดยาวไปสู่ตลาดนัดเปิดท้ายทั่วจังหวัดภาคกลาง เพื่อนำผลงานไปเผยแพร่ในรูปแบบของนักดนตรีเปิดหมวก ขายเทป ซีดี  เสื้อ และหนังสือบทกวีทำมือ แต่ด้วยภาระที่ผูกควบด้วยนักดนตรีร้านเหล้าอีกหนึ่งตำแหน่ง ดังนั้นหลัง 2 ทุ่ม ผมต้องเร่งรีบเก็บสินค้าและอุปกรณ์แสดง โยนใส่ท้ายรถกะบะ แล้วรีบห้อตะบึงเรียกความเร็วสุดตามศํกยภาพของรถ เพื่อแข่งกับเวลา หมุนวงล้อย้อนกลับมาให้ทันได้ขึ้นเวทีที่ร้านเหล้าประจำตอน สามทุ่มครึ่งน่าจะเกิน 4 ปีที่วิถีชีวิต ต้องฝากชะตากรรมชีวิตไว้กับความเร็วบนท้องถนน



      จวบจนวันนี้ ผมมิได้ตระเวนเปิดหมวกเล่นดนตรีเหมือนดังก่อน



      แต่เส้นทางที่ทอดยาวไกล ณ ขณะวันนี้ คือการที่ต้องไต่ไปตามถนนเพื่อมุ่งสู่ งานบ้าน งานวัด อย่างไม่มีเว้นแม้สักสัปดาห์



      แน่นอนพาหนะรถยนต์ แลนด์โรว์เวอร์ ที่หนักอึ้งไปด้วยจำนวนนักดนตรีและอุปกรณ์การแสดง ที่วิ่งทั้งขาไปขากลับคืออัตราความเสี่ยงไม่แพ้กัน โดยเฉพาะในห้วงเวลากลางคืน



       ตลอดห้วงวันเวลาแห่งการเดินทาง ภาพอุบัติเหตุรถชน รถคว่ำ ที่เกิดขึ้นระหว่างทางก่อนหน้าที่เราจะไปถึง มักมีเห็นบ่อย ๆ ตามริมรายทาง



      นั่นเป็นสาเหตุหนึ่ง ที่ผมต้องคำนึงอยู่เสมอ และแอบบอกลาบ้านเช่าทุกครั้ง ก่อนออกเดินทาง



      ทีมงานวงดนตรีของเรา มิได้มีโชเฟอร์ไว้เพื่อขับรถไปเพื่อการแสดงโดยเฉพาะ  หากแต่ต้องอาศัย อ้น โฟล์คเหน่อ อันมีตำแหน่งเป็นมือเพอร์คัสชั่น และมีความคุ้นชินเนื่องจากเป็นเจ้าของรถ เป็นโชว์เฟอร์มือหนึ่ง ให้กับพาหะนะการเดินทางของพวกเราด้วย



      อัตราความเสี่ยงของพวกเราระหว่างการเดินทาง จึงอยู่ที่ปัจจัย ของความเมาและความง่วง



      ไม่มีข้อห้ามเรื่องการร่ำสุราขณะแสดงบนเวทีของศิลปินโฟล์คเหน่อ ใครใคร่ดื่ม ดื่มไป ขออย่าให้เสียงานเป็นใช้ได้



      อ้น เป็นนักดื่มตัวยง ดังนั้นการห้ามไม่ให้อ้นดื่มสุรา จึงเป็นเรื่องยาก ในทางกลับกันหาก อ้น ไม่ได้ดื่มซะอีกที่ทำให้สำเนียงลั่นรัวของเพอร์คัสชั่น ขาดชีวิตชีวาจนผมรู้สึกได้ขณะบรรเลง



      หลังลงเวทีอันยืดเยื้อเวลาเกินห้าทุ่ม นั่นเป็นอีกเหตุหนึ่งที่นำไปสู่อาการง่วงเหงาหาวนอนของ อ้น ขณะบึ่งรถกลับบ้าน



      เสม โฟล์คเหน่อ คือมือแอคคอร์เดี้ยนประจำวง ถ้าหากถึงคราวที่อ้นไปไม่ไหวจริง ๆ ไม่ว่าจะเมา หรือง่วง เสมจะรับหน้าที่หลังพวงมาลัยแทน เป็นตำแหน่งโชว์เฟอร์มือสอง



     แต่คุณสมบัติ ของเสมก็มิได้แตกต่างจากอ้น คือต้องร่ำสุราก่อนเล่นดนตรี ต่างกันแต่ว่าอัตราส่วนการดื่มของเสมอาจจะน้อยกว่า อ้น



     แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นถึงแม้จะมีอัตราความเสี่ยงของอุบัติเหตุในยามวิกาล แต่พวกเราที่ยังมิเคยได้รับสัณญาณอันตรายใด ๆ ให้พวกเรารู้สึกถึงความไม่ปลอดภัยขณะเดินทาง...



     จวบจนกระทั่งคืนวันหนึ่ง.......



     หลังกลับจบการแสดงดนตรีที่ ผึ้งหวานรีสอร์ต ริมแม่น้ำแคว จังหวัดกาญจนบุรี อ้นอยู่ในสภาพที่เมาจนขับรถไม่ไหว ปล่อยให้เสมทำหน้าที่หลังพวงมาลัย



       ขณะแล่นรถยนต์ฝ่าความมืด บนถนนแยกเส้นดอนตาเพชรมุ่งสู่ทุ่งคอก



       หลังเงียบเสียงคุยไปไม่ถึงนาที ขณะถึงช่วงทางโค้ง ทันที่ไฟหน้ารถฉายกระทบสีสะท้อนจากหลักเรียงตามวงโค้ง พลันผมหันไปเห็นเงาของเสมสะดุ้งเฮือก พร้อมกับจังหวะเบรกรถแบบกระทันหัน จนเสียงอุปกรณ์การแสดงท้ายรถดังโครมคราม



       เสียงน้องเล็กนักร้องหญิง ของเราหวีดร้อง และเรียกชื่อเสมดังลั่น !!!!



       รถแลนด์โรว์เวอร์จอดสนิทอยู่ที่กลางทางโค้ง



       เสมพึมพำบอก ว่า “หลับใน”



       เสมสารภาพว่าคืนก่อนหน้านี้ นั่งตกปลาทั้งคืน และได้หลับเพียงครึ่งชั่วโมง ก่อนออกเดินทางมาเล่นดนตรี



       ผมเองก็เข้าใจเพราะงานที่รับเล่นคืนนี้เป็นงานติดต่อมาแบบกระทันหัน ไม่ทันได้ตั้งตัว และเตรียมตัว



       แต่ผมก็ไม่คุ้นชินกับการขับรถแลนด์โรว์เวอร์ จึงบอกให้เสมขับต่อไป  ถึงแม้จะมีอัตราความเสี่ยงกับอุบัติเหตุระหว่างทางข้างหน้า ผมถือว่าผมได้บอกลาบ้านเช่าของผมมาแล้ว ชะตากรรมและเหตุการณ์ข้างหน้าจะเป็นอย่างไรผมเตรียมใจพร้อมรับ



       ขณะที่อ้นโชว์เฟอร์มือหนึ่งของผม ยังนั่งหงายหน้าอ้าปากหวอ กรนคร่อก ๆ อยู่ที่เบาะท้ายรถด้วยความเมาฯและมิได้แสดงอาการรับรู้กับเหตุการณ์ที่เพิ่งเกิดขึ้น...

























































เพลง  ฝากหวัง



คำร้อง  พจนาถ พจนาพิทักษ์



ทำนอง  ปราศ ราหุล



ขับร้อง  ลำภา  มัคศรีพงษ์



___________________________________________________




 



 



 



:::กีตาร์โปร่งตัวแรกของฉัน:::




 ไอ้รัญ เพื่อนร่วมชั้นเรียน แบกกีตาร์โปร่งตัวนั้นมาให้ผมถึงบ้าน เมื่อผมบอกว่า เงินร้อยห้าสิบบาทของผมพร้อมแล้วสำหรับการซื้อขายแลกเปลี่ยนกีตาร์โปร่งสีดำ ขีดวงสีขาวบนหน้าโปร่ง ถูกเปลี่ยนมือมาอยู่กับผม ทั้ง ๆ ที่ผมยังไม่รุ้จักคอร์ดกีตาร์เลยซักคอร์ดอาจเป็นเพราะ เพื่อนร่วมชั้นเรียนช่วง ม.ปลาย เป็นนักดนตรี กันอยู่หลายคน ผมจึงมีโอกาสได้เห็นการล้อมวง ดีดกีตาร์ เคาะโต๊ะ ในชั้นเรียนแทบจะทุกวัน อาจเป็นเพราะ การซึมซับภาพและเพลงของศิลปินเพลงเพื่อชีวิตคนสุพรรณอย่างพี่แอ๊ด คาราบาว แน่นล้นจนจุกอก กระมัง ทำให้ความทะยานอยาก จนต้องบากบั่น และใฝ่ฝันเพื่อการนี้ อาจเป็นเพราะฝันไกลไปถึงภาพข้างหน้าว่าวันหนึ่ง อาจจะได้ นุ่งกางเกงยีนส์ขาด ๆ ใส่รองเท้าคอนเวิร์ส เสื้อลายพราง สวมหมวกทหารกัมพูชา ขึ้นไปยืนถ่างขา ยกไหล่ โก่งคอร้องเพลงเพื่อชีวิต อยู่หน้าเวทีแบบพี่เขา>> อ่านต่อ



__________________________________________________________






 



 :::หลักกิโลเมตรที่สี่สิบสอง:::



นอกเหนือจากกลิ่นหอมแปลกของดินสอ ยางลบ และสมุดแจกเล่มใหม่ที่เป็นความทรงจำติดชนิดขนาดนึกย้อนไปก็ได้กลิ่นแล้ว อีกความทรงจำที่มิอาจลืมเลือนไปได้เลย ของวันแรกแห่งการเดินไปสู่โรงเรียน คือบาดแผลที่หัวแม่เท้าซ้าย ของนักเรียนชายที่ไร้รองเท้าสวมใส่ ลองนึกภาพย้อนไปสู่เหลี่ยมคมของถนนลูกรังเมื่อ 30 กว่าปีก่อน จินตนาการวิถีชีวิตของก้อนลูกรังขนาดย่อมกลางถนนก้อนหนึ่งที่มีความหวังลม ๆ แล้ง ๆ ไปวัน ๆ เพียงเพื่อชะเง้อคมคอยว่าเมื่อใดหนาจะมีเนื้อนิ่มหนังเท้าเปล่าเปลือย ของคนเซ่อซ่าแต่หน้าตาดี มาสะดุด เฉี่ยวเฉียด เบียดเหลี่ยมให้ลับคมก้อนและพอเป็นผลงานได้บ้าง แล้ววันหนึ่งเด็กชายหัวดื้อ ก็ผ่านมารับสัมผัสคมของเหลี่ยมก้อนลูกรังบาดแผลจากลูกรังทำให้งานดึงถูลู่ถูกังของแม่กับพี่สาวเบาลงไปพอสมควรบาดแผลแค่เล็ก...>> อ่านต่อ



 






 

Create Date : 30 ตุลาคม 2552    
Last Update : 21 กันยายน 2553 1:10:58 น.
Counter : 361 Pageviews.  

• หนังสือทำมือ | Blog สู่ Book:

เช้า วันที่ 16 ตุลาคม

แสงอุ่นอ่อนเริ่มเรื่อระบายตีนฟ้าฝั่งตะวันออก ฝนเพิ่งขาดเม็ด ยังคงเหลือไอละอองว่อนวิ่งในสายลม หยดน้ำจากชายคาทิ้งตัวลงบนพุ่มไม้หน้าบ้านเช่า เปาะแปะ

ผมสตาร์ทมอเตอร์ไซด์ปลุกความเงียบของหมู่บ้านก่อนรุ่งอรุณวันนี้

วันที่ผมผ่านค่ำคืนแห่งการกรำงาน โดยไม่ได้หลับไม่ได้นอน

สี่คืนเต็ม ๆ ที่ผมไม่ได้หลับนอน โดยใช้ภาวะของการบังคับตัวเอง เพื่อไปสู่จุดแห่งความมุ่งหวังการเสร็จสิ้นของชิ้นงาน โดยมีเส้นตายของกำหนดวันเวลา

ชิ้นงานที่ผมกล่าวถึง คือชิ้นงานออกแบบเพื่อไปสู่การรวมเล่มหนังสือทำมือ

หนังสือทำมือที่ชื่อ “บันทึกการเดินทางของ ศิลปินโฟล์คเหน่อ”

กล่าวโดยรวม ๆ ก็คืองานเขียนที่เป็นรูปแบบความเรียงบอกเล่าเรื่องราว และวิถีชีวิตของคนเขียนกวี เล่นดนตรี รวมไปถึงการดำเนินชีวิตริมฝั่งแม่น้ำสุพรรณฯ

ก่อนหน้านี้ 4 วัน คือจุดเริ่มต้นสู่กาละแห่งการทำงานในห้องนอน

ห้องนอนซึ่งเป็นห้องเดียวกับห้องทำงาน โดยหวังอาศัยความเงียบงันของช่วงเวลากลางคืน เพื่อให้มีสมาธิเพียงพอ เพื่อนำพาผลงานไปสู่คนอ่านในแบบรูปเล่มหนังสือทำมือ

แต่การณ์กลับไม่เป็นดังนั้น ตลอด 4 คืน ที่ผมนั่งทำงาน สายฝนสั่งลาฤดูกลับเทกระหน่ำทับท่วมหลังคาบ้านตลอด ทั้ง 4 คืน แถมบางค่ำคืน มีเสียงหวีดร้องหาคู่ของแมวติดสัด ดังเข้ามาจากหน้าบ้านเป็นระยะ

การเรียกสมาธิที่แตกกระเจิง เพื่อเข้าสู่ภาวะแห่งการงาน จึงเกิดขึ้นบ่อยครั้ง หลังการหยุดชะงัก ไปกับเสียงรอบข้าง ที่คาดคิดว่าจะเงียบสนิท แต่ก็มิได้สนิทอย่างที่คิด

ตลอดเกือบสัปดาห์ ผมใช้เวลาเริ่มต้นสู่ห้วงหลับนอนที่ 6 โมงเช้า เพื่อไปตื่นอีกทีตอนเที่ยง อาบน้ำ กินกาแฟ ก็เข้ามาทบทวนงานช่วงคืนผ่าน ก่อนออกไปกินข้าว แล้วกลับเข้ามาลุยงานต่อจนถึง 6 โมงเย็น แล้วใช้เวลางีบหลับเอาแรง 1 ชั่วโมงตื่นอีกทีตอน 1 ทุ่ม ทบทวนงานก่อนอาบน้ำแต่งตัว แล้วคว้ากีตาร์ใส่ท้ายรถเก๋ง บึ่งตรงสู่เวทีดนตรีในร้านอาหารกลางใจตัวเมือง

ตั้งแต่ 2 ทุ่มเป็นต้นไปผมใช้เวลา 1 ชั่วโมง ในการขับขานบทเพลงโฟล์คซองกล่อมลูกค้า

หลัง 3 ทุ่มกีตาร์โปร่งถูกเก็บโยนใส่รถ แล้วขับบึ่งกลับเข้าบ้านเช่า ลงมือลุยงานต่อจนรุ่งสาง

ช่วงฟ้าสางของทุกวัน ผมต้องสตาร์ทมอเตอร์ไซด์คันเก่าปลุกความเงียบของหมู่บ้าน ขับมุ่งไปสู่ร้านกาแฟ ที่ริมฝั่งแม่น้ำ

กาแฟ ปาท่องโก๋ ไข่ลวก อ่านหนังสือพิมพ์ หรือถ้าหิวมากก็หาโจ๊กใส่ท้อง ก่อนบึ่งมอเตอร์ไซด์ กลับเข้าบ้านเช่า ปิดบานประตูหน้าต่าง ปิดโทรศัพท์มือถือ แล้วทิ้งตัวลงนอนหลับใหลเป็นตาย ก่อนจะเปิดเปลือกตาอีกทีตอนเที่ยงวัน

คืนวันที่ 13 ตุลาคม ผมเริ่มต้นงานด้วยการดึงงานเขียนประเภทความเรียงมาจากบล๊อคโอเคเนชั่น เรียงลำดับเรื่องโดยยึดวันเวลาของเหตุการณ์เรื่องราวที่เขียน แล้วจัดแบ่งเป็นหมวดหมู่

มีนักเขียนท่านหนึ่งเคยบอกว่า การแก้ไข ขัดเกลางานเขียนนั้น มันยากแสนเข็ญกว่าการเขียนงานซะอีก

เห็นจะจริงอย่างท่านว่า

ตลอดค่ำคืนนั้น หลังการลำดับงาน และจัดหมวดหมู่เสร็จ ผมต้องนั่งแก้ไขงานที่เขียน ทั้งแก้คำผิด เรียบเรียงประโยค วางลำดับโครงเรื่องใหม่ ซึ่งไอ้ที่คิดว่าง่าย ๆ กับงานที่เขียนเสร็จแล้ว แต่สุดท้าย ผมต้องใช้เวลาหนึ่งคืนกับอีกครึ่งวัน เพื่อนั่งแก้ไขงานเขียนของตัวเอง

ค่ำคืนวันที่ 14 ผมเริ่มต้นงานที่โปรแกรมจัดหน้าหนังสือ Pagemaker 7.0 โดยมีหลักในการจัดหน้าคือ ต้องใช้พื้นที่ในหนึ่งหน้ากระดาษให้คุ้มค่าที่สุด เพราะหลังปริ้นงานออกมาเป็นต้นแบบ ผมต้องนำต้นแบบนี้ไปสู่ร้านถ่ายเอกสาร

ซึ่งพอถึงตรงนั้น จำนวนแผ่นกระดาษแต่ละแผ่นที่ถ่ายเอกสารออกมานั้นคือต้นทุนของเล่มหนังสือทำมือ

ผมจึงเลือกที่จะออกแบบเพื่อถ่ายเอกสารใน Page Size Lagal คือ กว้าง 8.5 นิ้ว ยาว 14 นิ้ว แล้วแบ่งเป็นสามคอลัมน์ จัดขนาดคอลัมน์ให้เต็มทั้งหน้ากระดาษ เพื่อประหยัดต้นทุน

หลังกำหนดจุดคอลัมน์หนึ่งด้าน ก็ต้องไปวางคอลัมน์สำหรับอีกด้านเพื่อให้ตรงกันเวลาถ่ายเอกสาร รายละเอียดปลีกย่อยตรงนี้ก็ยากอีกครับ กว่าจัดวางให้ตรงกันแต่ละคอลัมภ์ ก็ใช้เวลาไปมากโข และเสียแผ่นกระดาษเพื่อทดลองปริ๊นออกมาดู ไปหลายแผ่นทีเดียว

เที่ยงคืนของวันที่ 14 หลังเสร็จสิ้นการกำหนดจุดวางคอลัมน์ ก็ได้เวลาเข้าสู่งานวางตัวอักษร และจัดลำดับหน้า นั่นก็รวมไปถึงการจัดหน้า ลำดับหมวดหมู่ สารบัญ และประวัติส่วนตัวด้วย และยังมีการจัดวางภาพประกอบอีก ขั้นตอนนี้ ใช้เวลารวมแล้ว 2 วัน 2 คืน

คืนสุดท้าย ท่ามกลางสายฝนเทกระหน่ำ และเสียงหวีดร้องของแมวติดสัด

เที่ยงคืน หลังงานจัดหน้าเสร็จเรียบร้อย ปริ๊นออกมาวางเรียง ผมก็เริ่มสู่งานออกแบบปก ในโปรแกรม Photoshop งานออกแบบปก เป็นงานที่คุ้นชิน จึงไม่รู้สึกยาก โดยเลือกรูป ที่ปรากฏในหน้าบล็อก โอเคเนชั่น นั่นแหละ มาเป็นหน้าปกหนังสือ

ก่อนรุ่งสางของวันที่ 16 ผมปิดเครื่องคอมพิวเตอร์ หลังปริ๊นแผ่นปก สี่สีออกมา 15 ปก เท่าจำนวนเล่มหนังสือที่ต้องการสั่งทำ ด้วยข้อจำกัดของเงินทุนผลิต

เบ็ดเสร็จแล้วหนังสือทำมือ บันทึกการเดินทาง เล่มนี้จะมีทั้งหมด 140 หน้า แบ่งภาคเรื่องได้ 4 ภาค คือ ภาคหนึ่ง “ถนนกวี” ภาคสอง “ถนนดนตรี” ภาคสาม “ถนนสู่เวที” และภาคสี่ “ถนนแห่งชีวิต”

ผมขับมอเตอร์ไซด์ ฝ่าละอองน้ำเล็ก ๆ หลังฝนปลายฤดูสั่งลา มุ่งสู่ร้านกาแฟ ริมแม่น้ำสุพรรณ ด้วยความรู้สึกที่ปลอดโปร่ง เมื่อได้เห็นชิ้นงานของตัวเอง เสร็จเรียบร้อย

หากไม่รับปาก กับเพื่อนที่กำลังจะไปเปิดบูธ ขายหนังสือที่ งานมหกรรมหนังสือแห่งชาติ ว่าจะรวมเล่มหนังสือทำมือไปฝากขายพร้อมซีดีเพลงด้วย ผมคงไม่อดตาหลับขับตานอน ได้ขนาดนี้หรอกครับ

แต่เมื่อรับปากไว้แล้ว ก็ต้องทำให้ได้ แม้หลังวันเสร็จเล่มหนังสือผมแอบส่องกระจกแล้วเห็นเงาตัวเองไม่ผิดอะไรกับผีตายซาก

เช้าวันนี้ ผมสั่งกาแฟ ไข่ลวก ปาท่องโก๋ เหมือนเคย นั่งอ่านหนังสือพิมพ์ เห็นข่าวพาดหัว “ แชตลวงข่มขืน เด็ก 14 ยับเยิน” อ่านแล้วก็ให้ถอนหายใจ

เหลี่ยมมุมของโลกออนไลน์ มีหลายด้าน แบ่งแยกชัด ๆ ก็คือ ด้านดีและด้านไม่ดี แล้วแต่ใครจะเลือกเหลี่ยมมุมไหน ผมเลือกที่เหลี่ยมมุมในบล็อกโอเคเนชั่น ซึ่งผมมั่นใจว่านี่คือเหลี่ยมมุมที่ดี

เสร็จสิ้น กาแฟเช้า ผมขับรถกลับเข้าบ้าน หวังนอนพักเอาแรงสักงีบ สายหน่อย พอร้านถ่ายเอกสารเปิดทำการ ผมคงต้องรีบนำต้นฉบับ ไปให้เขาจัดการถ่ายเอกสารและตัดเข้าเล่ม ซึ่งก็คือขั้นตอนสุดท้าย พอรุ่งอีกวัน ผมก็คงได้หนังสือทำมือ 15 เล่ม ไปให้เพื่อนวางขายในงานมหกรรมหนังสือได้เสร็จเรียบร้อย

ก่อนเข้าสู่ห้องทำงานและห้องนอน ผมแอบส่องกระจกดูตัวเองอีกครั้ง เห็นสารรูปของคนพักผ่อนไม่เพียงพอแล้ว มันไม่น่าดูจริง ๆ

ครั้นพอเปิดประตูเข้าห้อง ผมก็แทบผงะ

อะไรกันนี่ สภาพห้องของผมทำไมถึงเป็นเช่นนี้

ตลอด คืนวันที่ผมทำงาน ผมไม่เคยได้หยิบจับอะไรในห้องทำงานเพื่อจัดให้เป็นระเบียบเรียบร้อยเลย เศษกระดาษที่ปริ๊นทดลองงาน หนังสือเล่มที่ถูกรื้อเอามาเป็นแบบอย่าง แบบงานของหนังสือทำมือเล่มเก่า แก้วกาแฟที่มีคราบกาแฟค้างเขลอะ ถ้วยชามที่ใส่ข้าวมากินในห้องแล้วไม่ได้ล้าง เสื้อผ้าที่ถอดทิ้ง ทุกสิ่งทุกอย่าง วางเกลื่อนกลาดอยู่เต็มพื้นห้องและบนโต๊ะหน้าจอคอมพิวเตอร์

4 วันมานี้ผมไม่มีเวลาจัดห้อง ไม่มีเวลาเก็บล้างถ้วยชาม ไม่มีเวลาเก็บซักเสื้อผ้า ไม่แม้แต่จะเก็บสิ่งของที่เสมือนกองขยะสุมห้อง ให้อยู่เป็นที่เป็นทางสักชิ้น

4 วันมานี้ ผมทุ่มเทให้กับหนังสือทำมือ เล่มนี้ของผมแบบเต็ม ๆ โดยไม่ได้สนใจสิ่งรอบตัวจริง ๆ หรือนี่

ผมทิ้งตัวลงบนที่นอน กลางห้องที่กระจัดกระจายไปด้วยแผ่นกระดาษ ถ้วยชาม และเสื้อผ้า

“ใครมาแอบข่มขืนกูหรือเปล่าวะเนี่ย ห้องกระจุยกระจาย ร่างกายดูโทรมเชียว หรือเราจะเลือกเหลี่ยมมุมของโลกออนไลน์ผิด” ผมแอบคิดอยู่ในใจ ก่อนปิดเปลือกตาหลับสนิทอีกครั้ง

.....................................................

ป.ล. เอนทรี่นี้เขียนไว้เมื่อปี 2550 และหนังสือทำมือก็เป็นหนังสือที่ทำไว้ตั้งแต่ปี 50 ก็ยังพอเหลืออยู่บ้าง แต่งานมหกรรมหนังสือปีนี้ หนังสือทำมือที่ค้างในสต๊อคของผมไม่สามารถนำไปวางขายในงานได้ สาเหตุเพราะ หน้าปกหนังสือทำมือได้โดนแดดเลียจนซีดหมดราคา และหมดสภาพแล้ว ...อุ๊บส์ อึ๊ย เจริญฯ!!!…

ดังนั้นจึงขอแสดงความเสียดายมา ณ. โอกาสนี้ (ว่าไป อิ อิ ครายไปเสียดายกับเมิง ฮึ)

เพลง จดหมายของนักเขียน

ศิลปินโฟล์คเหน่อ




 

Create Date : 19 ตุลาคม 2552    
Last Update : 21 กันยายน 2553 1:11:54 น.
Counter : 403 Pageviews.  

• ถนนกลับบ้าน

1.

เกือบทุก ๆ เย็นของวันอาทิตย์ หากไม่ติดธุระที่ไหน ผมมักจะขับรถเก๋งส่วนตัว เพื่อกลับไปนอนพักค้างคืนที่บ้าน

ตลอดห้วง 6 คืน ในสัปดาห์ ผมโลดแล่นชีวิต ด้วยการขับขานบทเพลงอยู่บนเวทีดนตรีในร้านอาหารเพลงเพื่อชีวิต ที่คละคลุ้งไปด้วยกลิ่นบุหรี่ สุรา อาหาร และผู้คนมากมาย

ผมเลือกที่จะหยุดภาระการงานดนตรีในคืนวันอาทิตย์ เพื่อปิดบ้านเช่า ขนสัมภาระส่วนตัวที่จำเป็น ยัดขึ้นรถเก๋งแล้วบึ่งกลับบ้าน

ผมชอบขับรถกลับบ้าน ในช่วงเวลาเย็น

ภาพอุ่นไอ และนวลแสงแดดอ่อน ๆ ที่สาดแสงทาบทาท้องทุ่งสองข้างทาง คือเสน่ห์ที่ทำให้ ผมเลือกที่จะขับรถกลับบ้านเวลาหลังห้าโมงเย็น

ระยะทางจากบ้านเช่าชานเมือง ไปถึงบ้านอันเป็นจุดกำเนิดชีวิตของผม ห่างกันไม่เกิน 30 กิโล

หากไม่รีบร้อน ผมจะใช้เวลาเดินทางนานกว่าปกติ คือกว่าครึ่งชั่วโมง

และห้วงเวลาแห่งความไม่รีบร้อนนั้น ภาพความทรงจำเก่า ๆ มักผุดพรายขึ้นมาให้เห็นเป็นฉาก ๆ ทุกครั้ง ขณะเอื่อยล้อรถหมุน หลังหักเลี้ยวพวงมาลัยรถพ้นถนนสายหลักสี่เลน เพื่อเรื่อยไต่ไปตามถนนยางมะตอยสายเล็ก ๆ ซึ่งเลื้อยตัวคดเคี้ยวผ่านผืนทุ่งนากว้างใหญ่สุดลูกหูลูกตา อันเป็นทางแยกเข้าไปสู่บ้านของผม รวมระยะทางอีก 8 กิโล

ในระหว่างกลางทางถนนยางมะตอยมุ่งสู่บ้าน ผมต้องขับรถขึ้นผ่านสะพานปูนที่ทอดข้ามคลองส่งน้ำเล็ก ๆ สายหนึ่ง ผมเรียกสะพานนี้ ว่า “สะพานตาพุด” เพราะพอพ้นตีนสะพาน ก็จะมีทางแยกเข้าลานบ้านริมถนน คือบ้านของตาพุด คนเลี้ยงวัว

ขณะรถมุ่งขึ้นสะพาน ผมต้องปลดเกียร์ต่ำของรถ เพื่อไต่ความสูงชันขึ้นไปสู่คอสะพาน

และขณะมุ่งขึ้นสู่สะพานเช่นกัน ภาพความทรงจำในช่วงวัยเยาว์ ก็มักผุดพรายย้อนกลับมาฉายแบบซ้ำ ๆ ในห้วงคำนึงชนิดมิเคยลบลืม และบ่อยครั้งที่สุด

2.

“เกาะเอวแม่ไว้ลูก” เสียงแม่สั่งกำชับผม ขณะกำลังออกแรงเท้าเพิ่ม เร่งปั่นบันไดหมุนวงจานโซ่จักรยานคันใหญ่ เพื่อไต่ระดับทางฝุ่นลูกรังสีแดงที่เริ่มสูงชันเส้นนั้น และเป็นแรงส่งขึ้นไปสู่สะพานไม้สีดำ ซึ่งเป็นสะพานที่ทอดข้ามลำคลองสายเล็ก ๆ ระหว่างทางมุ่งไปสู่ตลาดหนองขาม

ผมนั่งตื่นเต้นและลุ้นอยู่บนตะแกรงจักรยาน ขณะที่มีกระบุงลูกใหญ่สูงท่วมหัวขนาบติดอยู่ข้างหลังอีกที

เสียงแม่ถอนหายใจเฮือกใหญ่ เมื่อพาจักรยานพ้นทางชันขึ้นสู่ตัวสะพาน ก่อนที่จะปล่อยให้จักรยานไหลลงทางลาดอีกฝั่ง โดยไม่ต้องออกแรงปั่น

“ถ่างขาไว้ นะลูก ระวังขาจะเข้ากำ” เสียงแม่กำชับบอกผมอีกครั้ง ขณะจักรยานไหลตัวลงจากตัวสะพาน

เป็นอีกหนึ่งความตื่นเต้นระหว่างการเดินทางไกลมุ่งไปสู่ตลาด ซึ่งนอกเหนือไปจากความตื่นเต้นก่อนหน้านี้

ความตื่นเต้นก่อนหน้าคือหลังจากที่รู้ว่าจะได้นั่งรถจักรยานของแม่ไปเที่ยวตลาดเป็นครั้งแรกของชีวิต

ทุกอาทิตย์ไม่วันใดก็วันหนึ่ง แม่จะต้องปั่นจักรยานคันโตออกไปจากบ้าน เพื่อซื้อหาจับจ่าย ของกิน ของใช้ในตลาดหนองขามที่อยู่ห่างจากบ้านของเราราว 8 กิโล

ผมเป็นลูกคนที่ห้า ในจำนวนพี่น้องเจ็ดคน ไม่ค่อยบ่อยครั้งนักที่แม่จะพาพวกเราพี่น้องคนใดคนหนึ่งไปเที่ยวตลาดด้วย แต่ทุก ๆ ครั้งที่แม่ไปตลาดพวกเราก็ล้วนต่างดีใจ และเฝ้าชะเง้อรอคอยเวลาที่แม่ปั่นจักรยานกลับมา

และทันทีที่เห็นเพียงแค่จุดเล็ก ๆ โผล่มาบนถนนเส้นนั้น อีกทั้งจนแน่ใจว่าเป็นแม่ปั่นจักรยานกลับมานั่นแหละ พวกเราก็จะกรูวิ่งแข่งกัน เพื่อไปรับหน้าแม่

ที่กระบุงใบใหญ่ท้ายตะแกรงรถจักรยานของแม่ตอนขากลับมาจากตลาดนั้น จะเต็มไปด้วย อาหารแห้ง ข้าวของ เครื่องใช้ที่จำเป็น และที่ขาดไม่ได้ ก็คือขนม และผลไม้จากตลาด

ขนมครกยายกิมลี้ในห่อกระทงใบตองที่ห้อยอยู่ที่แฮนด์จักรยานนั้น คือของโปรดของพวกเรา

ไม่เคยมีสักครั้งที่แม่ จะลืมของฝากสำหรับลูก ๆ

และนั่นก็คือความหวังเดียวของพวกเราพี่น้อง ที่ต่างนั่งชะเง้อคอคอย ตลอดเวลาที่จักรยานของแม่ลับตาหายไปไม่กี่นาที

กว่าผมจะได้มีโอกาสนั่งท้ายรถจักรยานของแม่ไปตลาด พวกพี่ชาย พี่สาวของผม ก็ได้ไปตลาดกับแม่มาแล้วคนละ 4 - 5 ครั้ง

เมื่อวันหนึ่งโอกาสมาถึงผมบ้าง ความตื่นเต้นอิ่มอกอิ่มใจ จึงถาโถมเข้ามาจนแทบจะไม่กินข้าวกินปลา

ก่อนไปตลาดแม่จับผมถูขี้ไคลในซอกหูซอกคอซะจนเกลี้ยง โดยไม่มีอาการขัดขืนเหมือนอย่างที่เคย ภาพตลาดในจินตนาการผุดพราย เข้ามาไม่หยุดหย่อน

ช่างเป็นวันที่สดใสอะไรเช่นนี้

แม่และผมมาถึงตลาดในช่วงบ่ายแก่ ๆ

นี่นะหรือคือตลาด ที่บรรจุข้าวของเครื่องใช้และขนมอร่อย ๆ ของพวกเรา

ภาพแรกที่ผมได้สัมผัส คือภาพห้องแถวไม้เก่า ๆ ที่บรรจุแน่นด้วยสินค้าข้าวของเครื่องใช้เต็มไปหมด เรียงยาวหลายห้อง ถัดออกไปจนจุดสิ้นสุดทางลูกรัง ถูกตัดขวางด้วยถนนยางมะตอยสีดำสูงระดับสายตา มีรถยนต์วิ่ง ผ่านไปผ่านมาด้วยความเร็ว และถี่คัน

แม่จอดรถจักรยาน ที่บริเวณหน้าห้องแถวห้องหนึ่ง

“เอาลูกมาด้วยหรือ วันนี้” เสียงผู้หญิงผิวขาววัยกลางคน ตัวสูงที่อยู่หน้าร้านร้องทักแม่ ขณะที่ แม่บอกให้ผมลงจากตะแกรงท้ายรถจักรยาน

“อืมน์..พามันมาเที่ยว” เสียงแม่ตอบไปอย่างนั้น

ร้านที่แม่พาผมมาสัมผัสครั้งแรก คือร้านเจ๊กสูง อาจจะเป็นเพราะตัวแกสูงโย่งนั่นแหละมั้ง แม่ถึงเรียกแกว่า เจ๊กสูง

ร้านเจ๊กสูง มีข้าวของบรรจุอยู่ในร้านมากมาย ทั้งข้าวสาร พริก หอม ถังน้ำสังกะสี กระบวย ปอแก้ว บุหรี่ หยูกยา สารพัด ละลานตาเต็มไปหมด

เจ๊กสูงมีลูกสาว ผิวขาวสวยอยู่คนหนึ่งด้วย กำลังนั่งเขียนหนังสืออยู่ที่ม้านั่งหน้าร้าน แต่ผมไม่ได้สนใจ รถยนต์ที่วิ่งผ่านไปผ่านมาบนถนนใหญ่นั่นต่างหากที่ดึงความสนใจของผม จนแม่ต้องเรียกให้ผมเดินตามเข้าไปในร้าน

ผมรู้สึกแปลกกลิ่นกับข้าวของในร้านเจ๊กสูง ที่วางไว้เป็นระเบียบบ้างไม่เป็นระเบียบบ้าง

ผมเห็นแม่เดินเข้าไปพูดคุยซุบซิบ กับเจ๊กสูงสองต่อสองอยู่สักพัก ส่วนผมยืนดูอยู่ห่าง ๆ

ผมไม่รู้ว่าแม่คุยเรื่องอะไรกับเจ๊กสูง แต่เห็นลักษณะอาการของแม่แล้ว เหมือนว่าแม่กำลังขอร้อง หรือเชิงขอความช่วยเหลืออะไรสักอย่างจากเจ๊กสูง ซึ่งอาการของเจ๊กสูงที่แสดงให้เห็นก็เหมือนอิดออด และดูเหมือนจะปฏิเสธกับคำขอของแม่ แต่ผมก็มิได้ให้ความสนใจ สายตาผมเปลี่ยนไปจับจ้องบนถนนใหญ่นั่นอีกครั้ง อย่างเนิ่นนาน

“อาหมวยเอ๊ย ไปหยิบแบงค์ตังค์ในกระป๋องแขวนมาสองร้อยซิ” เสียงเจ๊กสูงสั่งลูกสาวที่กำลังนั่งเขียนหนังสือ แต่ลูกสาวก็ยังนิ่งเฉยเหมือนแสดงอาการเหมือนไม่รับรู้

“ได้ยินไหม ให้ไปหยิบตังค์ มาให้น้าติ่งเขายืมไปใช้สองร้อย” เสียงคำสั่งของเจ๊กสูงดังขึ้นกว่าเดิม และมีอารมณ์

สิ้นคำเจ๊กสูง ลูกสาวคนสวยก็ขว้างปากกาใส่สมุดแรง ๆ แล้วผลุนผลัน ลุกเดินไปกระชากกระป๋องเงิน ที่แขวนเชือกถ่วงในร้าน ลงมาอย่างแรง พร้อมทำปากมุบมิบมุบมิบแสดงอาการไม่พอใจอย่างชัดเจน

พลันที่เสียงกระชากกระป่องเงินลงมาอย่างแรงนั้น สายตาของแม่ก็หันประสานกับสายตาของผมเข้าพอดี

แววตาบนใบหน้าริ้วรอยหยาบกร้านของหญิงวัยกลางคน ผู้เป็นชาวนามาทั้งชีวิต

แววตาของผู้หญิงผู้ผ่านภาระแห่งการโอบอุ้มเลี้ยงดูลูกหญิงลูกชาย ซึ่งมีจำนวนกว่าครึ่งโหล

แววตาของผู้หญิงที่เคยกร้าวใส่ หลังว่ากล่าวตักเตือนและลงไม้เรียวกับลูกคนดื้อรั้นบางคน กำลังสบประสานกับผมพอดีในภาวะเช่นนี้

ภาวะของคนที่ต้องปั่นจักรยานคันโตเข้าสู่ตลาดพร้อมลูกชาย โดยยังไม่มีเงินติดอยู่ในกระเป๋าซักแดงเดียว มีแต่ก็เพียงความคาดหวังเพื่อหยิบยืมเอาจากปลายทางข้างหน้า

ผมไม่อาจอ่านความรู้สึกของแม่ในเวลานั้นได้ทั้งหมด

แต่ ณ.วันนี้ผมพอที่จะรับรู้ ได้แล้ว ถึงบางสิ่งบางอย่างในห้วงยามแห่งความรู้สึกและความหวังของผู้เป็นแม่ในวันนั้น

วันที่กระบุงใบใหญ่หลังตะแกรงจักรยาน มีข้าวสาร น้ำตาล น้ำปลา หยูกยา วันที่หน้าแฮนด์จักรยาน มีห่อขนมครก ถุงผลไม้ ผูกติดย้อนกลับไปฝากให้ลูก ๆ ที่วิ่งแข่งตัวแดง ตัวดำ ส่งเสียงลั่น ข้ามทุ่ง ข้ามท่าออกมารับหน้าแม่อย่างลิงโลด

นั่นคือความหวังของแม่

แต่เบื้องหลังแห่งความหวังนั้นเล่า ใครจะรับรู้ได้ถึงความรู้สึก ของลูกผู้หญิงที่ต้องยอมทนอับอาย ยามเอื้อนเอ่ยคำอ้อนวอน เพื่อขอยืมเงิน

ใครจะรับรู้ความรู้สึกที่ซ่อนลึกภายในใจ

ผู้หญิงผู้ไม่เคยว่างเว้นจากงานไร่นา และภาระแห่งการโอบอุ้มเลี้ยงดูลูกหญิงลูกชายให้มีความสุขเท่าเทียมเสมอกัน นั่นแหละที่รับรู้

แต่หากต้องแลก กับความสมหวังให้กับลูก ๆ แม้จะต้องเหน็ดเหนื่อยและอับอายสักเท่าใด แม่ของผมยอมได้

ยิ่งยามได้เห็นรอยยิ้ม ยามลิ้มรสขนมหวาน ของลูก ๆ ในทุก ๆ ครั้งด้วยแล้ว

แววตาแห่งความปิติสุขของแม่ ก็จะปรากฏให้ลูก ๆ รู้สึกและสัมผัสได้...

3.

ช่วงใกล้ค่ำของวันที่ 12 สิงหาคม

ผมปลดเกียร์ต่ำรถเก๋ง ก่อนไต่ทางสูงขึ้นสู่สะพานตาพุดซึ่งเปลี่ยนจากสะพานไม้กลายเป็นสะพานปูนกว่ายี่สิบปีมาแล้ว

พอพ้นขึ้นบนสะพาน แสงแดดเหลืองอ่อน ลำสุดท้ายสาดเข้ามาในรถ ผมสบสายตากับตะวันดวงกลมโต ก่อนแอบชำเลืองมองห่อผ้าถุง เสื้อคอกระเช้า และดอกมะลิสีขาวที่วางอยู่บนเบาะข้างซ้ายมือของผม

อีกสี่กิโลจะถึงบ้านแล้ว.....

ผมแอบยิ้มเมื่อนึกถึงคนที่กำลังรออยู่ที่บ้าน...

เพลง สร้างฝันเพื่อแม่

คำร้อง / ทำนอง ศิลปินโฟล์คเหน่อ

ขับร้อง เต้ กีตาร์ซ้าย




 

Create Date : 12 สิงหาคม 2552    
Last Update : 21 กันยายน 2553 1:12:40 น.
Counter : 357 Pageviews.  

1  2  3  4  

โฟล์คเหน่อ
Location :
สุพรรณบุรี Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




ผลงานโฟล์คเหน่อ

สี่สิบสอง นักเขียน คนบ้า กวีหน้าราม กีตาร์โปร่ง
Friends' blogs
[Add โฟล์คเหน่อ's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.