โฟล์คเหน่อ เล่นดนตรี เขียนกวี วิถีชีวิตริมฝั่งแม่น้ำสุพรรณฯ

Group Blog
 
All blogs
 
::เรื่องของตาหมุน:::

วันก่อนได้รับรู้เรื่องราวของ “ตาหมุน” จากปากของเพื่อน ผมถึงกับนิ่งอึ้ง แอบรำพึงกับตัวเอง “ว่านี่คืออีกหนึ่งความมหัศจรรย์”

วันรุ่งขึ้นผมรีบโทรหา “พิทักษ์” เพื่อนซี้ ผู้เป็นหนึ่งในทีมงาน รายการ “คนค้นฅน” ของทีวีบูรพา อยากให้ลองส่งทีมงานลงไปติดตามชีวิตของ “ตาหมุน” ดูสิ ว่าช่วงต่อมาชีวิตของแกเป็นเช่นไรบ้างแล้ว.....

ย้อนหลังกลับไปเมื่อสัก 20 ปี ที่แล้ว ....

ช่วง 2 ปีเต็ม ๆ ที่ผมต้องห้อยโหนโดยสารรถเมล์สองแถวไปเรียนหนังสือในตัวเมือง ระยะทางจากบ้านถึงโรงเรียนรวมระยะทางยาวเกือบ 25 กิโลเมตร

และในช่วงหลักกิโลเมตรที่ 10 มีตลาดไม้เล็ก ๆ ตลาดหนึ่ง ขนาบ อยู่สองฝั่งถนน ชาวบ้านเรียกตลาดเล็ก ๆ นั้นว่า “ตลาดท่าเสด็จ”

พ้นจากปลายโค้งก่อนเข้าช่วงหัวตลาด มีศาลาพักผู้โดยสารตั้งอยู่ที่ริมถนนอยู่ 1 หลัง

ตลอดช่วง 2 ปีที่ผมใช้บริการไปมากับรถสองแถวโดยสาร ผมไม่เคยเห็นผู้โดยสารกลุ่มใดคนใดใช้ศาลาพักผู้โดยสารหลังนี้เป็นที่พักรอเรียกรถเมล์โดยสารเลยแม้แต่คนเดียว

ขณะเดียวกันตลอด 2 ช่วงปีนั้น ผมก็ยังไม่เคยเห็นผู้ร่วมคันรถโดยสารคนใดที่จะกดออดสัญญาณให้จอด เพื่อลงรถที่บริเวณหน้าศาลาพักหลังนี้เลยแม้สักคน เช่นกัน

ไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจนักหรอกสำหรับคนในท้องที่และผู้ที่สัญจรไปมาประจำบนถนนสายนี้

เพราะหลายคนรู้ถึงสาเหตุ และมีเหตุผลที่เข้าใจตรงกันเพียงเหตุผลเดียว คือ “ตาหมุน”

“ตาหมุน” แกเป็นคนสติไม่ดี และใช้ศาลาพักผู้โดยสารหลังนี้เป็นที่อยู่อาศัย หลับนอน กิน ถ่าย แบบครบวงจร

ฉะนั้นศาลาหลังนี้ นอกจากตาหมุนจะยึดครองแบบเบ็ดเสร็จเด็ดขาดแล้ว รอบ ๆ อาณาบริเวณศาลาหลังนี้ล้วนเต็มไปด้วยกองอุจจาระของตาหมุน

พูดให้ดูเหมือนยกระดับความหน้ากลัวขึ้นมาอีกหน่อย ก็อาจกล่าวได้ว่า รอบ ๆ ศาลาหลังนี้ ล้วนอันตราย เต็มไปด้วยทุ่นระเบิดของตาหมุน

ขณะภาพเก็บจำธรรมดาที่ผมได้เห็นทุกวี่วันขณะโดยสารรถผ่านตลาดท่าเสด็จ คือภาพของตาหมุนนุ่งกางเกงขาก๊วย ถอดเสื้อ เดินตีนเปล่า ไปมาอยู่กลางถนนบ้าง ริมถนนบ้าง เป็นอยู่เช่นนั้นประจำ

หากขณะบางช่วงเช้าเราอาจจะได้สิทธิ์พิเศษเห็นตาหมุนยืนเปลือยกาย โชว์อวัยวะ ของสงวน สัดส่วนกล้ามเนื้อหนัง และเดินโทงโทงอยู่กลางถนน และบางวันเช่นกันอาจได้สิทธิ์พิเศษเห็นตาหมุนยึดมุมใดมุมหนึ่งของศาลา นั่งอุจจาระโชว์ให้เห็นแบบจะจะ ท้าทายสายตาผู้คนนับสิบคู่ ที่ริมถนนสายนั้น

เพราะเหตุที่ได้รับสิทธิ์พิเศษนั้นบ่อย ๆ นั่นกระมัง ไอ้เรื่องที่เคยดูเหมือนจะตื่นเต้นท้าทายสายตา ก็กลับกลายเป็นเรื่องที่ธรรมด๊า ธรรมดาในครั้งต่อ ๆ มา

เรื่องเดินแก้ผ้าโทงโทง โก้งโค้งนั่งขี้ ของ"ตาหมุน" กลางตลาดท่าเสด็จ สำหรับผมในปี พ.ศ. นั้น ถือเป็นเรื่องปกติธรรมดา ไม่น่าค้นหา ไม่น่าตื่นเต้น

แต่แล้วเรื่องของตาหมุนกลับมาอยู่ในความสนใจของผมอีกครั้งหนึ่ง หลังจากนั้นในอีก 20 ปีต่อมา....

เรื่องของตาหมุนที่ผมได้รับรู้ในวันนี้เป็นเรื่องที่ ชวนตื่นเต้น ค้นหา และถือเป็นความมหัศจรรย์

หลังจบการศึกษา ผมจะได้ผ่านตลาดท่าเสด็จก็เป็นไปตามวาระ และธุระบางวันบางเวลาเท่านั้น มิได้ผ่านทุกวันดังแต่ก่อน ถนนสายเดิมนั้นถูกขยายจาก 2 เลน เป็นถนน 4 เลนในอีกหลายปีต่อมา ผ่านไปผ่านมาแต่ละครั้ง ก็เห็นความเปลี่ยนแปลงของตลาดท่าเสด็จจากตลาดเล็ก ๆ ก็ขยายตัวเป็นตลาดใหญ่ขึ้น จากตลาดไม้ก็กลายเป็นตลาดตึกปูน รถโดยสารสองแถวที่เคยวิ่งก็กลับกลายเป็นรถบัสขนาดเล็กไปหมดแล้ว

แต่ศาลาพักผู้โดยสารช่วงพ้นปลายโค้งยังคงเป็นศาลาหลังเดิม และตาหมุนก็ยังคงยึดครองศาลาอยู่อาศัย กิน นอน และขี้รอบ ๆ บริเวณเหมือนเดิม สิ่งหนึ่งที่เปลี่ยนไปจนสังเกตได้จากตาหมุน คือ ผมสีดอกเลา และริ้วรอยของความชรา

ปีนี้ตาหมุนน่าจะอายุเกิน 50 ปีแล้ว

ความชราไม่ใช่เรื่องน่ามหัศจรรย์ แต่เรื่องมหัศจรรย์ที่เกิดกับตาหมุนนั้น มันได้เกิดขึ้นในช่วงกลางวันของวันหนึ่ง

วันที่ตาหมุนเดินข้ามถนนตัดหน้ารถยนต์คันหนึ่ง และแกก็ถูกรถชนเข้าอย่างจัง....

หม่งและบอยเพื่อนที่เล่าเรื่องราวของตาหมุนให้ผมฟังนั้น ไม่ได้อยู่ร่วมและเห็นในเหตุการณ์ หากแต่เป็นเพียงแค่ผู้รับสารมาจากคำร่ำลือที่โจษจันกันไปทั้งตลาดท่าเสด็จ

เพื่อนผมบอกว่า หลังปีใหม่ที่ผ่านมาตาหมุนโดนรถยนต์ชนขณะเดินข้ามถนน แต่ไม่ได้รับบาดเจ็บ เป็นบาดแผลทางร่างกายมากมายนัก แต่ผลกระทบกระเทือนอย่างหนักที่เกิดกับสมองของแกนั่นต่างหากที่กลับกลายเป็นประเด็นใหญ่ให้เป็นเรื่องราวกล่าวขานบอกต่อ ๆ กันไป ว่า “ตาหมุนหายบ้าซะแล้ว”

หม่งเล่าให้ฟังต่อมาอีกว่า หลังได้รับการรักษาตัวหายดีแล้วมีรถเก๋งคันงามราคาแพงมารับตัวตาหมุนซึ่งอาการหายเป็นปกติกลับไปอยู่บ้านซึ่งอยู่ห่างจากจุดศาลาที่แกอยู่อาศัยไปอีก 40 กิโลเมตร และตาหมุนก็เริ่มลำดับญาติและปะติดปะต่อเหตุการณ์ก่อนบ้าได้เกือบ ๆ จะสมบูรณ์ และนั่นคือผลภาคขยายเพื่อคลี่คลายปมปัญหาคาใจ และคลายข้อสงสัยของคนทั่ว ๆ ไป ว่าเหตุใดตาหมุน จึงต้องมากลายมาเป็นคนบ้าเสียสติ ณ. ที่ตลาดท่าเสด็จแห่งนี้ มามากกว่า 20 ปี

หม่ง เพื่อนผมบอกว่า สาเหตุที่ตาหมุนเสียสตินั้น อันเนื่องมาจากเอาจริงเอาจังกับตำราเรียนมากเกินไป

ตาหมุนเสียสติขณะกำลังเรียนในระดับปริญญาโท....

หลังจบเรื่องเล่า ผมนิ่งอึ้งกับความมหัศจรรย์ ของชีวิตผู้ชายที่ชื่อ “ตาหมุน”

ผมแอบคิดต่อไปถึงผลพลิกกลับของชีวิตตาหมุน ตามแบบฉบับของคนคิดไปเรื่อยเปื่อยเรื่อยไป ไม่เหมือนชาวบ้านเขา โน่น นึกไปถึงเครือญาติพี่น้องหลังหมดช่วงเวลาแห่งการดีอกดีใจที่คนในครอบครัวที่เคยสติไม่ดีคนหนึ่ง กลับกลายมาเป็นเช่นคนปกติทั่วไปแล้ว แต่ ณ.วันนี้พี่น้องคนในครอบครัวทุกคนนั้นได้รับและแบ่งมรดกเป็นสัดส่วนของแต่ละคนเป็นที่เรียบร้อยแล้วนั้น ขาดหายไปก็แต่ในส่วนของตาหมุนซึ่งก่อนนั้น ไม่มีคุณสมบัติพอ ที่จะได้มีส่วนร่วมในการรับมรดกของตะกูล แต่พอถึงช่วงเวลาที่พลิกกลับตัวเองมากลายเป็นคนมีคุณสมบัติครบถ้วน และมีสิทธิ์ที่จะมีส่วนในมรดกเหล่านั้นของตระกูลด้วย อะไรจะเกิดขึ้นกับตาหมุน ล่ะทีนี้ ช่างน่าติดตามแท้ ๆ.....

นี่แหละเป็นเหตุผลที่อยากให้ “พิทักษ์” เพื่อนผม ไป คนค้นชีวิต “ตาหมุน” มาให้ติดตามที่เถอะ อยากรู้จริง ๆเรื่องของชาวบ้านเนี่ย...

เพลงนี้ยังไม่ได้ตั้งชื่อ
ประพันธ์และขับรัองโดย จ้อน ซาเล้ง
คำเตือน:::โปรดใช้วิจารณญาณ ในการรับฟัง ผู้ปกครองควรให้คำแนะนำลูกหลานก่อนฟัง



Create Date : 10 มิถุนายน 2552
Last Update : 14 มิถุนายน 2552 10:24:57 น. 0 comments
Counter : 367 Pageviews.

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

โฟล์คเหน่อ
Location :
สุพรรณบุรี Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




ผลงานโฟล์คเหน่อ

สี่สิบสอง นักเขียน คนบ้า กวีหน้าราม กีตาร์โปร่ง
Friends' blogs
[Add โฟล์คเหน่อ's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.