Group Blog All Blog
|
อินดี้ เฮ้าส์ @นิมมาน ที่พักเล็กๆ ย่านนิมมานเหมินทร์
Indie House @Nimmarn โฮสเทลเล็กๆ ที่ได้รับการพูดถึงมากพอสมควร แต่เรายังหาไม่เจอว่ามีคนมารีวิวไว้ เลยเอาประสบการณ์ 4 วัน 3 คืนมาแชร์ไว้เผื่อเป็นทางเลือกให้เพื่อนๆ พี่ๆ ที่ไปเยี่ยมเยียนเมืองเชียงใหม่ค่ะ จขกท.จองที่พักผ่าน Agoda สนนราคาประมาณ 7XX-. ต่อคืนพร้อมอาหารเช้า เมื่อใกล้เดินทางก็โทร.คอนเฟิร์มตามปกติ พี่จ๋า(เจ้าของคนสวยและใจดีมากๆ) ก็แนะนำวิธีการเดินทางไปที่พักให้เรียบร้อยค่ะ เราบินไปเชียงใหม่เมื่อวันเสาร์ที่ 9 ส.ค. โดยหางแดง FD 3431 ไปถึงเชียงใหม่ประมาณห้าโมง แล้วต่อแท็กซี่สนามบินไปยังที่พักในราคาเหมา 120-. ที่พักก็หาไม่ยากค่ะ อยู่ในซอยนิมมานเหมินทร์ 9 ด้านหน้าโฮสเทลจะมีร้านทำผม O B One ร้านเบ้อเริ่มตั้งอยู่ ลานจอดรถด้านหน้า ให้พี่เจ้าของช่วยติดต่อรถเช่าจาก Bikky ให้เลย พอจัดการเรื่องรถมอเตอร์ไซค์เช่าเสร็จก็เข้าห้องกันเลยค่ะ เป็นห้องธรรมดาอยู่หลังฟรอนท์ มีห้องน้ำในตัว(ค่อนข้างเล็ก) ทีวี แอร์ อาหารเช้าของที่นี่จะจัดบริเวณลานด้านหน้า มีไข่ แฮม ข้าว ขนมปัง ชากาแฟ แต่เจ๋งตรงที่ให้เราลงมือทำอาหารเองค่ะ ถ้ามาเป็นครอบครัวช่วยกันคนละไม้คนละมือก็น่ารักดี เรากะแฟนเองก็ไปช่วยกันทอดไข่ ซึ่งปกติแฟนเราไม่ทำอาหารค่ะ (แอบรู้สึกชอบตรงนี้แหละ ) สรุปข้อดีข้อเสียของที่นี่นะคะ ข้อดี - ราคาพร้อมอาหารเช้าไม่แพงเลยถ้าเทียบกับทำเลนี้ - ทำเลดี สามารถเดินทางไปเที่ยวต่อได้ง่ายมาก - มีความเป็นส่วนตัวและเงียบสงบอย่างไม่น่าเชื่อ ทั้งที่ล้อมรอบด้วยผับและร้านอาหารหลายร้าน - พี่เจ้าของน่ารักมาก กันเอง ให้คำแนะนำและช่วยเหลือเราทุกอย่างเลย ข้อเสีย - ห้องพักขนาดเล็กพอสมควร บางคนที่ชอบความสะดวกสบายแบบโรงแรมอาจจะไม่ชอบ - ห้องน้ำในห้องเล็กมากและเพดานเปิดโล่ง ตอนอาบน้ำลมแอร์เข้ามาอาจจะหนาวได้ ห้องพัก : อาหารเช้า : ความประทับใจ : ความคุ้มค่า : นั่งรถไฟไปพระราชวังบางปะอิน.....ย้อนสู่อดีตในวันฝนพรำ
ละทิ้งชีวิตวุ่นวายสไตล์มนุษย์เงินเดือน (ชั่วคราว) ค้นหาความสุขเล็กๆ น้อยๆ ในการท่องเที่ยววันธรรมดาอีกครั้ง ซึ่งจุดหมายแรกที่นึกถึงและตัดสินใจเลือกให้เป็น จุดหมายแรก คือ พระราชวังบางปะอิน จ.พระนครศรีอยุธยาค่ะ รูปอาจจะไม่ค่อยสวยเท่าไร (ปกติก็ไม่สวย อันนี้ยิ่งแย่) เพราะถ่ายด้วยโทรศัพท์มือถือ Sony Xperia ZL แถมมาเจอฟ้าครึ้มๆ เลยไปกันใหญ่ เลยปรับสีให้ออกแนววินเทจๆ ไปเลย อิอิอิ๊ สำหรับคนที่ชอบอ่านหนังสือหรือศึกษาประวัติศาสตร์ จะทราบว่าพระราชวังบางปะอินนั้นมีความสำคัญกับพระบรมวงศานุวงศ์และชาววังในสมัยรัชกาลที่ 5 เป็นอย่างมาก โดยมีปรากฎทั้งในบันทึกความทรงจำ จดหมายเหตุ หรือแม้แต่วรรณกรรมร่วมสมัยอย่าง สี่แผ่นดิน ทำให้เราต้องมาสัมผัสความสวยงามของ Summer Palace แห่งนี้ให้ได้สักครั้งค่ะ ทริปนี้ไปกัน 2 คนกับเพื่อนรัก ออกเดินทางในวันฝนพรำ จากสถานีรถไฟบางเขนเวลา 10.25น. ด้วยขบวนรถธรรมดา กรุงเทพ พิษณุโลก ถึงบางปะอิน 11.45น. แล้วก็เหมาะสองแถวเข้าไปยังพระราชวังบางปะอิน (พอมาถึงก็เจอแดดเปรี้ยง...เดินไม่ไหว) สนนราคา 2 คน 50 บาทค่ะ มาถึงแล้วก็เดินไปที่กระเช้าข้ามไปวัดนิเวศธรรมประวัติก่อน ตั้งใจพาเพื่อนไปไหว้พระและเก็บภาพสวยๆ ภายในวัด แต่รออยู่นานก็ไม่มีคนกดกระเช้าให้ข้ามฝั่ง จนกระทั่งมีคุณยายเดินมาบอกว่า หนูเอ๊ย คนเฝ้ากระเช้าพักเที่ยงลูก แป่วววว เป็นอันว่าซื่อบื้อทั้งคู่ ตัดใจไปเดินเที่ยวชมภายในพระราชวังกันก่อนดีกว่า ซื้อบัตรเข้าชมคนละ 30บาทแล้วก็เดินเที่ยวกัน อากาศแปรปรวนนิดหน่อย แดดเปรี้ยงสลับกับฝนเม็ดใหญ่โปรยปราย แต่ไม่หวั่นอยู่แล้ว.... พระราชวังบางปะอิน ตั้งอยู่บนพื้นที่เกาะกลางแม่น้ำเจ้าพระยา ณ ตำบลบ้านเลน อำเภอบางปะอิน จังหวัดพระนครศรีอยุธยา บันทึกในพงศาวดารกล่าวว่า พระราชวังบางปะอินสร้างในรัชสมัยพระเจ้าปราสาททอง ซึ่งมีพระราชดำริให้สร้างขึ้น ณ นิวาศสถานเดิมของพระราชมารดา (มีพระนามเดิมว่า อิน เป็นสามัญชนที่ต่อมาได้เป็นพระสนมในสมเด็จพระเอกาทศรถ) เพื่อใช้เป็นพระราชวังสำหรับเสด็จแปรพระราชฐาน ภายหลังถูกปล่อยทิ้งร้างนานหลายปีเนื่องจากสงครามเสียกรุงครั้งที่ 2 จนกระทั่งถูกกล่าวถึงอีกครั้งในนิราศพระบาทของสุนทรภู่ ต่อมาจึงได้รับการบูรณะขึ้นใหม่อีกครั้งในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว และเจริญสูงสุดในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่ พระพุทธเจ้าหลวงทรงมีพระราชดำริให้บูรณะพื้นที่พระราชวังเดิม รวมถึงสร้างพระที่นั่งและพระตำหนักขึ้นใหม่ ซึ่งตลอดรัชกาลทรงเสด็จพระราชดำเนินแปรพระราชฐาน และใช้พระราชวังบางปะอินรับรองพระราชอาคันตุกะหลายครั้งด้วยกันค่ะ ศาลพระเจ้าปราสาททอง จากศาลพระเจ้าปราสาททอง เราเริ่มเดินชมเขตพระราชฐานชั้นนอกกันก่อน เริ่มจากสภาคารราชประยูร ที่ประทับสำหรับเจ้านายฝ่ายหน้าในสมัยรัชกาลที่ 5 เป็นอาคารริมน้ำสไตล์ยุโรปที่สง่างามมากๆ แต่เราไม่ได้เข้าชมด้านในเนื่องจากมีคณะทัวร์เข้าชมอยู่และค่อนข้างวุ่นวายค่ะ สภาคารราชประยูร จากนั้นก็เดินข้ามสะพานไปยังพระที่นั่งวโรภาษพิมาน บริเวณสะพานมีรูปปั้นสวยๆ ประดับอยู่มากมาย และยังสามารถเก็บภาพสวยๆ ของทางเดินเชื่อมระหว่างพระที่นั่งวโรภาษพิมานกับ ประตูเทวราชครรไล (เขตกั้นระหว่างเขตพระราชฐานชั้นนอก - ใน) รวมถึงพระที่นั่งไอศวรรย์ทิพยอาสน์ ซึ่งประดิษฐานพระบรมรูปพระพุทธเจ้าหัว กระโจมแตร และวิวทิวทัศน์ที่ร่มรื่นย์สวยงามได้อย่างชัดเจน พระที่นั่งวโรภาษพิมาน ประตูเทวราชครรไล และพระที่นั่งไอศวรรย์ทิพยอาสน์ กระโจมแตร สำหรับการเข้าชมภายในพระที่นั่งวโรภาษพิมาน สุภาพสตรีต้องนุ่งซิ่นยาวกรอมเท้าก่อนเข้าชมทุกครั้งค่ะ ภายในประดิษฐานพระที่นั่งภายใต้พระมหาเศวตฉัตรในห้องท้องพระโรง ไม่อนุญาตให้ถ่ายภาพด้านในค่ะ จากนั้นเดินผ่านทางเชื่อมที่มีบานเกล็ดไม้บังไว้ เปรียบเหมือนเป็นข้าหลวงนางในที่เดินกลับเข้าสู่เขตพระราชฐานฝ่ายใน... เข้ามาก็จะเจอกับพระตำหรักหลังน้อยสีชมพูสดใสนามบุปผาประพาส ตั้งอยู่ตรงข้ามกับพระที่นั่งอุทยานภูมิเสถียร ซึ่งถูกสร้างขึ้นใหม่ในปี พ.ศ. 2537 แทนองค์เดิมที่ถูกไฟไหม้ในปี พ.ศ. 2481 ค่ะ บุปผาประพาส พระที่นั่งอุทยานภูมิเสถียร จากนั้นก็ข้ามสะพานไปชมวิวสวยๆ บนหอวิฑูรทัศนา หอคอยสูงยอดมนที่สร้างขึ้นในปี พ.ศ. 2424 พระที่นั่งเวหาศจำรูญมุมสูง พระที่นั่งอุทยานภูมิเสถียรมุมสูง ชมวิวสวยๆ และรับลมเย็นๆ จนพอใจแล้ว ก็เข้าชมพระที่นั่งเวหาศจำรูญ (เทียนเหมงเต้ย) กันต่อเลยค่ะ พระที่นั่งแบบจีนองค์นี้สร้างขึ้นในปี พ.ศ. 2432 โดยพ่อค้าชาวจีนในสยามน้อมเกล้าถวายพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ภายในประดิษฐานพระที่นั่งเก๋งจีน 3 องค์ และมีบางส่วนภายในที่ห้ามถ่ายภาพค่ะ จากนั้นก็เดินข้ามสะพานเข้าไปชมพระตำหนักฝ่ายในอีกนิดหน่อย ฝนก็เทลงมาซะจนต้องล่าถอยไปหลบฝนที่ซุ่มทางเข้า ก่อนจะออกเดินไปขึ้นกระเช้าข้ามไปวัดอีกครั้งนึง พระตำหนักพระราชชายา เจ้าดารารัศมี พระตำหนักเก้าห้อง พระตำหนักพระวิมาดาเธอ พระองค์เจ้าสายสวลีภิรมย์ กรมพระสุทธาสินีนาฏ ย้อนออกมาทางประตูเทวราชครรไล นั่งกระเช้าข้ามไปยังวัดนิเวศธรรมประวัติ เก็บภาพบรรยากาศร่มรื่นรอบๆ วัด เพื่อนเราก็ไหว้พระขอพร รดน้ำมนต์ และไม่ลืมอธิษฐานใต้ต้นสาละพร้อมกับตบมือเสี่ยงทาย น่าเสียดายจังที่ดอกสาละไม่ร่วมลงมาดังปรารถนา อิอิ พระอุโบสถ อาคารพิพิธภัณฑ์ ดอกสาละ บ่ายสามโมงตรง เราก็เดินทางกลับโดยรถสามล้อเครื่องที่มีคุณป้าใจดีเป็นคนขับ 2 คน 30 บาทเท่านั้นเอง แล้วก็ติดต่อจนท.ขอตั๋วรถไฟฟรีรอบ 15.20น. (รถไฟมาถึงจริง 15.35น.) gxHoขบวนธรรมดา สุรินทร์ - กรุงเทพ กลับสู่สถานีบางเขนในเวลา 16.10น. เหลือเชื่อว่าใช้เวลาเดินทางแค่ 20 นาทีเอง เห็นมั๊ยว่ารถไฟก็ไม่แย่เสมอไปนะคะ จบทริปเรียบๆ ง่ายๆ สไตล์ย้อนวันวานแต่เพียงเท่านี้ โอกาสหน้าจะพาไปเที่ยวแบบประหยัดด้วยรถไฟไทยอีกค่ะ เที่ยวประหยัดด้วยรถไฟ หนึ่งวัน....ฉัน ทุ่งทานตะวัน และรถไฟ ภาคจบ หนึ่งวัน....ฉัน ทุ่งทานตะวัน และรถไฟ นั่งรถไฟไปน้ำตก........สมหวังบ้าง ผิดหวังบ้าง นี่แหละคือชีวิตจริง!!!!!! 2 วัน 1 คืน......กับหัวหินที่ฉันไม่รู้จัก (ภาคจบ อีกครึ่งวัน แว๊นมันอย่าบอกใคร) 2 วัน 1 คืน......กับหัวหินที่ฉันไม่รู้จัก (ภาคแรก ตะเวนราตรี) นั่งรถไฟไปคนเดียว............รำลึกความหลังที่หัวหิน หนึ่งวัน....ฉัน ทุ่งทานตะวัน และรถไฟ ภาคจบ
ความเดิมตอนที่แล้ว //www.bloggang.com/mainblog.php?id=bongbongstory&month=25-12-2012&group=5&gblog=16 เมื่อรถไฟออกจากทุ่งทานตะวันแล้ว ก็มุ่งหน้าสู่จุดหมายต่อไป "เขื่อนป่าสักชลสิทธิ์" และในขณะที่รถไฟแล่นสู่ตัวเขื่อน เหล่าผู้เดินทางทั้งหลายก็รีบทาคาลามายด์แก้คัน ที่ทางจนท.รถไฟจัดเตรียมไว้ให้ ก็แหม! เข้าไปยืนท่ามกลางดอกทานตะวันกันซะขนาดนั้น ไม่คันก็แปลกแล้วเนอะ อิอิ... คันได้ใจจริง...จริ๊งงงง นั่งเพลินๆ มาสักแป๊ปนึงก็ถึงตัวเขื่อน ขบวนรถจะวิ่งไปบนสันเขื่อนและจอดให้เราชมวิวและเก็บภาพสวยๆ ได้อย่างเต็มที่ 15 นาทีด้วยกันค่ะ เก็บภาพกันจนพอใจแล้ว รถไฟก็จะมาส่งเราที่สถานีป่าสักชลสิทธิ์ และให้เวลาเราได้พักผ่อนตามอัธยาศัย 2 ชั่วโมงครึ่งด้วยกัน พวกเราก็เลยไปเติมพลังด้วยอาหารประจำชาติอย่าง 'ข้าวเหนียว-ส้มตำ-ไก่ย่าง' กันก่อนเลยค่ะ รอคิวนานมากๆ แต่ก็รสชาติดีใช้ได้เลย และราคาก็ไม่ธรรมดาด้วย (แพงหูดับเลยน่ะสิ กระซิกๆๆๆ) อิ่มท้องแล้วก็เดินชมทั่วๆ บริเวณเขื่อนกัน แม้แดดจะร้อนเปรี้ยง แต่ก็มีนักท่องเที่ยวเยอะพอสมควรเลยล่ะ เดินเที่ยวกันจนเหนื่อยแล้ว บ่ายสามโมงเศษๆ ขบวนรถก็มารับและพาพวกเรากลับสู่สถานีกรุงเทพฯ ในเวลาประมาณหนึ่งทุ่ม จบทริปหรรษากับรถไฟในราคาประหยัดโดยสวัสดิภาพ หน้าหนาวครั้งหน้าคงได้ร่วมเดินทางด้วยกันอีกครั้ง สัญญานะ เที่ยวแบบประหยัดด้วยรถไฟ นั่งรถไฟไปพระราชวังบางปะอิน.....ย้อนสู่อดีตในวันฝนพรำ หนึ่งวัน....ฉัน ทุ่งทานตะวัน และรถไฟ นั่งรถไฟไปคนเดียว............รำลึกความหลังที่หัวหิน นั่งรถไฟไปน้ำตก........สมหวังบ้าง ผิดหวังบ้าง นี่แหละคือชีวิตจริง!!!!!! 2 วัน 1 คืน......กับหัวหินที่ฉันไม่รู้จัก (ภาคจบ อีกครึ่งวัน แว๊นมันอย่าบอกใคร) 2 วัน 1 คืน......กับหัวหินที่ฉันไม่รู้จัก (ภาคแรก ตะเวนราตรี) Xanadu Resort ที่พักสีสวยที่เกาะล้าน....รีวิวละเอียดยิบ!!
วันนี้มารีวิวที่พักสีสวยที่เราหลงรักตั้งแต่เห็นรูปครั้งแรก และตกลงใจจะใช้เวลาช่วงวันหยุดปีใหม่ที่รีสอร์ตริมหาดแสมสวยๆของเกาะล้านแห่งนี้......เมื่อตกลงใจแล้วก็จัดการโทร.จองทันที เสียดายที่จองได้แค่คืนเดียวเท่านั้น แต่ก็ไม่เป็นไรถือว่าไป servey รอบแรกก่อนแล้วกัน เช้าวันเสาร์ที่ 29 ธ.ค. (แหม ดองซะนาน) เราก็เดินทางสู่เกาะล้านโดยรถตู้จากอนุสาวรีย์ชัย มาลที่แหลมบาลีฮาย แล้วต่อเรือข้ามมายังท่าหน้าบ้าน จากนั้นเราก็โทร.แจ้งให้รีสอร์ตส่งรถมารับ รอประมาณ ท่าเรือหน้าบ้าน ท่าเรือหน้าบ้าน 5 นาทีต่อมา รถสีสวยก็มาพาเราข้ามไปสู่หาดแสมซึ่งเงียบสงบและคนน้อยกว่าหาดอื่นๆ "ซานาดู" เป็นภาษาบราซิล แปลว่า สวรรค์ ซานาดู บีช รีสอร์ต เป็นรีสอร์ตแห่งเดียวบนหาดแสม พร้อมบริการห้องพัก 70 ห้อง และห้องประชุมสัมมนา 160 ที่นั่งค่ะ เมื่อมาถึงล็อบบี้ความประทับใจแรกก็มาถึง เมื่อเราต้องรอเช็คอินนานถึง45นาที เหตุเพราะดันโชคร้ายมาถึงที่พักพร้อมกับกรุ๊ปชาวต่างชาติที่มาฮันนีมูนกัน 16 คน พนักงานทั้งหมดที่ฟรอนต์ต่างพากันเทคแคร์ลูกค้ากลุ่มนั้น และบอกให้เรารออย่างใจเย็นสักครู่เพราะเค้าไม่สามารถบริการทั้งหมดได้ทัน???? เอาน่าวันหยุดทั้งทีรอนิดรอหน่อยจะเป็นไรไป!! เวลาบ่ายสามโมงตรงเราได้เช็คอินเข้าสู่ห้องพักจนได้ ต้องบอกว่าประทับใจสีสันและการตกแต่งในรีสอร์ตมากๆๆๆ ทุกที่เน้นการใช้สีสดๆของแม่สี บรรจงทาสลับไปสลับมาให้ตัดกันอย่างตั้งใจ ไม่เว้นแม้แต่ในห้องพักแบบ Deluxe ของเรา ทุกมุมเต็มไปด้วยสีสันและความสดใส แบบนี้คงต้องมองข้ามบริการแย่ๆไปก่อนล่ะ ภายในห้อง Deluxe พื้นห้องน้ำเต็มไปด้วยทราย หลังจากเล่นน้ำจนหมดแรง คืนนั้นเราฝากท้องไว้กับร้านอาหารของรีสอร์ตซึ่งครัวปิดไวมากกกกก 2ทุ่มก็ไม่อยากรับออเดอร์แล้ว ทั้งที่ลูกค้าอยากสั่งอาหารกันจะแย่ เราเองดันเผลอหลับไปตั้งแต่เย็นและตื่นออกมาตอนเกือบสามทุ่ม เลยต้องอ้อนวอนพนักงานอยู่นานกว่าจะใจอ่อนทำอาหารให้เราทานกันได้(คล้ายว่ามาขอกินฟรี อันนี้ผิดเองเพราะออกมาดึกไปนิด) ซึ่งเราก็สั่งอาหารมา3รายการ ได้แก่ ต้มข่าทะเล-ยำรวมมิตร-กุ้งแช่น้ำปลา-ข้าวสวย 2 จาน สนนราคามื้อนี้ 700 กว่าบาท ก็ถือว่าทำใจไปเพราะอาหารบนเกาะราคาสูงอยู่แล้ว แต่ก็เสียดายมากเพราะรสชาติออกจะหวานอย่างเดียวไม่เผ็ดไม่เปรี้ยวเลย ก็ทำใจอีกแหละเพราะเน้นรสชาติแบบเอาใจฝรั่งซึ่งเป็นลูกค้าหลักๆของรีสอร์ตไป กะเหรี่ยง(อย่างเรา)ก็ทำใจตามระเบียบ เมื่อถึงมื้อเช้า เราสามารถออกมาทานได้ตั้งแต่ 7 โมงจนถึง 10 โมง เราก็จัดเต็มเพราะลงเล่นน้ำไปทานไปแบบวนหลายรอบ อาหารเช้าก็เป็น ABF ไข่ดาว-ไส้กรอก-แฮม-เบคอน-ขนมปังปิ้ง-คอนเฟล็ก อาหารไทยมีข้าวต้มกุ๊ยจืดๆ-ผัดผักบุ้งไฟแดง คอยให้บริการ สรุปโดยภาพรวมแล้ว รีอสร์ตที่นี่น่ารักมากๆ ทั้งในแง่ของการตกแต่งและสิ่งอำนวยความสะดวกถือว่าพร้อมเป๊ะๆ แต่.....สิ่งที่ต้องปรับปรุงด่วนเลยคือการบริการ โดยเฉพาะมารยาทของพนักงาน..ที่ออกจะแย่มากกกก เวลาลูกค้าสอบถามหรือเรียกร้องอะไร ก็จะหน้าหงิกและตะคอกกลับทุกครั้ง รวมถึงความสะอาดภายในห้อง (เราเจอทรายเต็มพื้นในห้องและห้องน้ำ) ถือว่าเป็นจุดด้อยที่คนเข้าพักบ่นกันทุกคนค่ะ สนนราคาห้องพักแบบ Deluxe 1 คืน พร้อมอาหารเช้า 2 คน = 2,500 บาทค่ะ ห้องพัก : อาหารเช้า : ความประทับใจ : ความคุ้มค่า : หนึ่งวัน....ฉัน ทุ่งทานตะวัน และรถไฟ
ถึงเดือนธันวาทั้งที ได้เวลาไปชมความงามของทุ่งทานตะวันเหลืองอร่ามแล้วละ!!!
ปีนี้ขอลองเส้นทางท่องเที่ยวของการรถไฟ ใช้เวลาแค่สองชั่วโมงเศษๆก็ถึงทุ่งทานตะวันริมทางรถไฟแล้วล่ะค่ะ แดดร้อนเปรี้ยงแต่ก็สู้ตายนะ คนดูอย่างเราก็ได้แต่เห็นใจธรรมชาติน้อยๆที่โดนมนุษย์อย่างเรารังแกจนบาดเจ็บ ไปเที่ยวที่ไหนเก็บมาแค่ความประทับใจและภาพสวยๆดีกว่านะคะ อย่าไปทำร้ายเค้าเลย เที่ยวแบบประหยัดด้วยรถไฟ นั่งรถไฟไปพระราชวังบางปะอิน.....ย้อนสู่อดีตในวันฝนพรำ หนึ่งวัน....ฉัน ทุ่งทานตะวัน และรถไฟ ภาคจบ นั่งรถไฟไปคนเดียว............รำลึกความหลังที่หัวหิน นั่งรถไฟไปน้ำตก........สมหวังบ้าง ผิดหวังบ้าง นี่แหละคือชีวิตจริง!!!!!! 2 วัน 1 คืน......กับหัวหินที่ฉันไม่รู้จัก (ภาคจบ อีกครึ่งวัน แว๊นมันอย่าบอกใคร) 2 วัน 1 คืน......กับหัวหินที่ฉันไม่รู้จัก (ภาคแรก ตะเวนราตรี) |
ต๊องต๊อง กะ บ๊องบ๊อง
Rss Feed Smember ผู้ติดตามบล็อก : 5 คน [?] Just a little step in the Big World โลกกว้างใหญ่ มีอะไรให้เรียนรู้อีกมาก ต๊องต๊อง กะ บ๊องบ๊อง All rights reserved [สงวนลิขสิทธิ์ ตาม พรบ.ลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2539] Link |