All Blog
หนึ่งวัน พิพิธภัณฑ์ วัง ย่านเก่า (ภาคจบ)
ไปต่อที่โรงเก็บราชรถค่ะ ประตูสีเทาๆ ด้านซ้ายนั้นเลย



ใหญ่โตอลังการและสวยงามที่่สุด

พระมหาพิชัยราชรถ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชโปรดให้สร้างขึ้นในปี พ.ศ. ๒๓๓๘ ใช้งานครั้งสุดท้ายคือประดิษฐานพระโกศพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ก่อนจะพักการใช้งานนานถึง ๘๖ ปี ก่อนจะเชิญออกอีกครั้งในงานพระบรมศพสมเด็จพระศรีนครินทรา บรมราชชนนี ในปีพ.ศ. ๒๕๓๙

การเชิญพระโกศพระบรมศพและพระศพ

๒๓๓๙   เชิญพระโกศพระบรมศพสมเด็จพระปฐมบรมมหาชนก
๒๓๔๒   เชิญพระโกศพระบรมศพสมเด็จพระพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากรมพระเทพสุดาวดี สมเด็จพระพี่นางเธอในรัชกาลที่ ๑
๒๓๕๕   เชิญพระโกศพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช
๒๓๖๑    เชิญพระโกศพระบรมศพสมเด็จพระบวรราชเจ้า กรมพระราชวังบวรมหาศักดิพลเสพ
๒๓๖๘   เชิญพระโกศพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย
๒๓๖๙   เชิญพระโกศพระบรมศพสมเด็จพระอมรินทราบรมราชินี ในรัชกาลที่ ๑
๒๓๘๐   เชิญพระโกศพระบรมศพสมเด็จพระศรีสุลาไลย พระบรมราชชนนี ในรัชกาลที่ ๓
๒๓๙๕   เชิญพระโกศพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว
๒๔๐๕   เชิญพระโกศพระบรมศพสมเด็จพระเทพศิรินทราบรมราชินี
๒๔๐๙   เชิญพระโกศพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว
๒๔๑๒   เชิญพระโกศพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
๒๔๒๓   เชิญพระโกศพระบรมศพสมเด็จพระนางเจ้าสุนันทากุมารีรัตน์ พระบรมราชเทวี
๒๔๕๓   เชิญพระโกศพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
๒๕๓๙   เชิญพระโกศพระบรมศพสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี
๒๕๕๑   เชิญพระโกศพระศพสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์
๒๕๕๕   เชิญพระโกศพระศพสมเด็จพระเจ้าภคินีเธอ เจ้าฟ้าเพชรรัตนราชสุดา สิริโสภาพัณณวดี


แถม ในงานพระบรมศพ/พระศพ เมื่อมีการใช้พระเวชยันตราชรถเชิญพระโกศ จะออกนามตามพระอิสริยศว่าเชิญพระโกศโดยพระมหาพิชัยราชรถ




สัปตปฎลเศวตฉัตรหรือฉัตร๗ชั้น ใช้ประกอบอิสริยยศพระบรมราชินีนาถ พระบรมราชินี พระบรมราชชนก พระบรมราชชนนี สมเด็จพระยุพราชและพระบรมวงศานุวงศ์ที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าเป็นพิเศษ เช่น สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์และสมเด็จพระเจ้าภคินีเธอ เจ้าฟ้าเพชรรัตน์ราชกัญญา ศิริวัฒนาพรรณวดี (เดิมทูลกระหม่อมหญิงใช้ฉัตรเจ้าฟ้า 5 ชั้น)



พระราชยาน(ไม่ทราบชื่อ) ด้านหลังคือพระเวชยันตราชรถ สร้างในคราวเดียวกับพระมหาพิชัยราชรถ มีศักดิ์เป็นรองพระมหาพิชัยราชรถ

การเชิญพระโกศพระบรมศพและพระศพ
๒๓๔๒   สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ากรมพระศรีสุดารักษ์ ออกเคียงพระมหาพิชัยราชรถซึ่งเชิญพระโกศพระบรมศพสมเด็จพระพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากรมพระเทพสุดาวดี
๒๔๖๙   พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว (ออกนามพระมหาพิชัยราชรถ)
๒๔๙๓   พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล พระอัฐมรามาธิบดินทร (ออกนามพระมหาพิชัยราชรถ)
๒๔๙๘   สมเด็จพระศรีสวรินทิราบรมราชเทวี พระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า (ออกนามพระมหาพิชัยราชรถ)
๒๕๒๘   สมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินี (ออกนามพระมหาพิชัยราชรถ)

เดิมพระโกศพระศพสมเด็จพระเจ้าภคินีเธอ เจ้าฟ้าเพชรรัตนราชสุดา สิริโสภาพัณณวดีจะเชิญโดยพระเวชยันตราชรถ แต่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้อัญเชิญพระศพด้วยพระมหาพิชัยราชรถ เพื่อเป็นการถวายพระเกียรติยศสูงสุดตามโบราณราชประเพณี








เสร็จธุระก็เข้าไปในศาลาเครื่องราชอิสริยาภรณ์ ค่าเข้าชม๑๐บาท เสียดายปิดปรับปรุงเกือบทั้งหมด ได้มีโอกาสเห็นแค่เครื่องยศเจ้านายฝ่ายในชั้นเจ้าฟ้า(ไม่แน่ใจว่าเป็นของสมเด็จพระเทพฯหรือไม่)และเครื่องประกอบพิธีขึ้นพระอู่เท่านั้น

พิพิธภัณฑ์ผ้าในสมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินีนาถก็เพิ่งเปิดให้บริการเมื่อวันที่ ๙ แต่วันนี้เย็นแล้ว ไว้โอกาสหน้าถ้าไปจะเก็บภาพมาฝากค่ะ






เดินเกือบ๑๐นาทีก็มาถึงจนได้  มาถึงแพร่งนราไม่เดินมาชมอดีตโรงละครปรีดาลัยก็กระไรอยู่  

โรงละครปรีดาลัย เดิมเป็นเรือนไม้หลังเล็กในวังวรวรรณ ที่ประทับส่วนพระองค์ของพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระนราธิปประพันธ์พงศ์และราชสกุลวรวรรณ ต่อมาถูกไฟไหม้และมีการเวณคืนที่ดินเพื่อทำถนน

พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าวรวรรณากร กรมพระนราธิปประพันธ์พงศ์ เป็นพระบิดาในพระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าวัลลภาเทวี อดีตพระคู่หมั้นในล้นเกล้ารัชกาลที่๖  และพระนางเธอลักษมีลาวัณ พระมเหสีในล้นเกล้ารัชกาลที่๖ ในอดีตวังนี้ถูกร่ำลือว่ามีหม่อมเจ้าหญิงสิริโฉมงดงามหลายพระองค์ด้วยกัน








หันหลังมาจากร้านขนมเบื้อง ลางร้ายเริ่มมาเยือน ร้านอาหารเจ้าอร่อยในแพร่งนราปิดกันหมดเลย ไม่นะ!!!!! แล้วก็จริงตามคาด ร้านผัดไทยปิดค่ะ หิวก็หิวร้อนก็ร้อน  เลยลากจูงคุณชาย(ซึ่งเป็นลมไปแล้ว เธอว่าแดดร้อนเกิน)ไปร้านโจเรส  ร้านโจเรสเจ้าของเดียวกับร้านนมโจอันโด่งดังนั่นแหละค่ะ  อยู่ติดกับร้านข้าวเหนียวก.พานิชอันโด่งดัง(อีกแร้ว)  เป็นร้านติดแอร์ดูชิคและมีอาหารให้เลือกเยอะแยะมากมาย เราการันตีว่าอร่อยเกือบทุกอย่าง(คือ....บางอย่างยังไม่ได้กินอ่า) โดยเฉพาะก๋วยเตี๋ยวต้มยำ มันเริดมากๆๆๆๆๆ

บรรยากาศในร้าน(หิวจัด ลืมถ่ายหน้าร้านเลย ฮ่าๆๆ)





๓นาทีผ่านไปไวยังกะโกหก อาหารเช้า(ตอนสี่โมงเย็น...)ก็มาเสิร์ฟแล้ว  ของเราคือเส้นเล็กก๋วยเตี๋ยวต้มยำไข่ไม่ผัก คุณชายกินเมนูเดิมตลอดชาติ กะเพราไก่ไข่ดาว

ในก๋วยเตี๋ยวมีกระดูกหมูอ่อนมาด้วย อ่อนปวกเปียกนุ่มนิ่มละลายได้เอง ปลื้มมาก

ระหว่างซาบซึ้งกับก๋วยเตี๋ยว คุณชายหันไปสั่งโจ๊กกระดูกหมูและสำเร็จโทษตามกะเพราไปอย่างรวดเร็ว










Create Date : 14 พฤษภาคม 2555
Last Update : 14 พฤษภาคม 2555 14:41:58 น.
Counter : 967 Pageviews.

0 comment
หนึ่งวัน พิพิธภัณฑ์ วัง ย่านเก่า (ภาคแรก)
สุดสัป่ดาห์ทั้งทีจะนอนเล่นเกมอยู่บ้านเฉยๆ ก็กระไรอยู่ แถมคุณแฟนขอห่างกันสักพักไปทำหน้าที่ชวนป๊วยปีแป่กอตราลูกกตัญญูอยู่กับคุณพ่อหนึ่งวัน   นั่งคิดสระตะแล้วก็จัดทริปเดินเล่นพิพิธภัณฑ์คนเดียวซะเลย ทำการบ้านมาอย่างดี ที่ไหนเปิดใหม่ที่ไหนยังไม่เคยไป เตรียมข้อมูลทัวร์พร้อม  วันนี้เราจะพาทัวร์(แบบงงๆ) ตั้งแต่พิพิธภัณฑ์ วัง ยันย่านเก่ากันค่ะ


ออกเดินทางประมาณ10โมงก็มีเรื่องผิดแผนตามเคยเพราะคุณแฟนโทรมาบอกว่าจะไปด้วย กะว่าจะไปแบบประหยัดก็เลยต้องพับโครงการไปเลย(ตัวเปลือง)  มาถึงหน้าพระลานประมาณ11โมงนิดๆ ก็ข้ามฝั่งมาทางม.ศิลปากร เดินไปเรื่อยๆ จนถึงอาคารถาวรวัตถุหรือตึกแดง เราจะเริ่มทัวร์ที่นี่กันเป็นที่แรก เชื่อว่าหลายๆ ท่านเคยเดินผ่านไปผ่านมาหลายต่อหลายครั้ง แต่อาจจะไม่เคยแวะเข้าไปชมนิทรรศการด้านในมาก่อน เหมือนกับจขกท.

อาคารถาวรวัตถุ ออกแบบและควบคุมการก่อสร้างโดยสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าฯกรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์  พระบิดาแห่งศิลปะไทย



มีการดูแลและบูรณะอาคารถาวรวัตถุให้อยู่ในสภาพดีตลอดมาแต่ไม่ได้ใช้ประโยชน์ใดเป็นพิเศษ  จนกระทั่งเปิดแสดงนิทรรศการเฉลิมพระเกียรติ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เพื่อน้อมรำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณในวาระ๑๐๐ ปี แห่งการสวรรคต เมื่อ๒๓ ตุลาคม ๒๕๕๓   โดยทางด้านซ้ายของอาคารเป็นนิทรรศการเฉลิมพระเกียรติ ด้านขวาเป็นร้านหนังสือหายาก(ขนาดเล็ก)ของกรมศิลปากร

เปิดให้เข้าชมวันพุธ - อาทิตย์ ไม่มีค่าใช้จ่ายค่ะ^^



จริงๆ แล้วการจัดแสดงนิทรรศการภายใน มีการแบ่งเป็นห้องต่างๆ  แต่ไม่มีป้ายบอกชัดเจน(หรือมีแต่เราอาจจะไม่ได้สนใจ)  ข้อมูลนิทรรศการจัดครอบคลุมตั้งแต่พระราชประวัติ พระราชกรณียกิจด้านต่างๆ  ที่สำคัญมีพระบรมฉายาลักษณ์ในพระพุทธเจ้าหลวงแสดงอยู่จำนวนมาก  คนชอบเรื่องราวเก่าๆ แบบจขกท.ก็มีความสุขในการชม



ฉายพระรูปร่วมกับ "เสนาบดีพระหัตถ์ซ้ายและขวา"

เบื้องขวา(ด้านซ้ายของพระรูป) สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาเทววงศ์วโรปการ เสนาบดีการต่างประเทศ

เบื้องซ้าย(ด้าขวาของพระรูป) สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ เสนาบดีมหาดไทยและพระบิดาแห่งประวัติศาสตร์ไทย


ภาพๆ นึง สื่อถึงอะไรมากมาย



พระพุทธเจ้าหลวงกับพระกรณียกิจสำคัญ การเลิกทาส





พระราชกรณียกิจ การรถไฟ





พระราชกรณียกิจ การสื่อสาร-โทรศัพท์



ระเบียงด้านนอก มีพระรูปให้ชมมากมาย สามารถนั่งพักร้อนได้




ฝั่งร้านหนังสือหายากของกรมศิลปากร จัดห้องให้นั่งพัก เขียนโปสการ์ด (อยากได้หนังสือ”ให้ดำรง” มากเพราะหาซื้อที่อื่นไม่ได้  แต่คุณแฟนบอกรอสิ้นเดือน(แอบเศร้า TT-TT)  



ด้านข้างของห้องนั่งเล่น ไม่ทราบว่าจัดแสดงเลียนแบบอะไร แต่ไม่ได้เปิดให้ชมค่ะ แอบถ่ายรูปมา



ออกจากอาคารถาวรวัตถุ ต่อกันด้วยพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร เดินจากอาคารถาวรวัตถุต้องผ่านพระบวรราชานุสาวรีย์กรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาทก่อนค่ะ


พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร




ค่าเข้าชมสำหรับคนไทยก็ ๓๐ บาทค่ะ คุ้มค่าสุดๆ (ถูกกว่าตั๋วหนังนะ)



พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร  ตั้งอยู่ในส่วนหนึ่งของพระราชวังบวรสถานมงคล(วังหน้า)   ประกอบด้วยหมู่พระที่นั่งหลายองค์และอาคารจัดแสดงหลายหลังด้วยกัน  

เริ่มจากพระที่นั่งพระที่นั่งศิวโมกขพิมาน เมื่อแรกสร้างกรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาทใช้เป็นที่ออกขุนนางและว่าราชการ ต่อเมื่อพระมหามณเฑียรแล้วเสร็จจึงใช้เป็นสถานที่บำเพ็ญพระราชกุศล  





พระที่นั่งพระที่นั่งศิวโมกขพิมาน จัดแสดงความเป็นมาของชนชาติไทย อาณาจักรต่างๆ ตั้งแต่สุโขทัยจนกระทั่งถึงรัชสมัยปัจจุบัน  

อาณาจักรสุโขทัย-ศิลาจารึก


กรุงศรีอยุธยา-เครื่องทอง



สงครามยุทธหัตถี



กรุงธนบุรี-พระแท่นที่ประทับในสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช



กรุงรัตนโกสินทร์-พระราชวงศ์จักรี

ที่ประทับในพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชและสมเด็จกรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาถ สันนิษฐานว่าใช้ในการรบ




เครื่องยศและดาบของเจ้าพระยาบดินทรเดชา ขุนพลแก้วในรัชกาลที่๓



ปลอกและด้ามดาบแกะสลักอย่างวิจิตร โดยดาบทั้ง ๓ เรียงจากบนลงล่าง คือ
ดาบอาญาสิทธิ์-ดาบประจำตำแหน่งแม่ทัพ-ดาบประจำตัวของท่านเจ้าคุณสิงห์
(สายสกุลของเจ้าพระยาบดินทรเดชาคือ สิงหเสนี ซึ่งยังคงรับราชการสนองเบื้องพระยุคลบาทพระราชวงศ์เรื่อยมาจนปัจจุบัน
)




พระแสงปืนในสมัยรัชกาลที่๔



พระที่นั่งประจำพระองค์พระพุทธเจ้าหลวงประทับ  ณ พระราชวังบางปะอิน



พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล




ออกมาด้านนอกกันบ้าง 
ศาลาลงสระสรงในล้นเกล้า รัชกาลที่๖



พระที่นังพุทไธสวรรย์ ภายในประดิษฐานพระพุทธสิหิงค์



เมื่อสิ้นกรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาท มีการอัญเชิญพระพุทธสิหิงค์ไปยังวัดพระศรีรัตนศาสดาราม  ต่อมาเมื่อพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จประทับวังหน้า จึงทรงอัญเชิญกลับมาประดิษฐานดังเดิม



พระตำหนักแดง  พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ทรงสร้างขึ้นภายในพระบรมมหาราชวัง เพื่อถวายสมเด็จเจ้าฟ้ากรมพระศรีสุดารักษ์  พระพี่นางในพระองค์   เมื่อกรมพระศรีสุดารักษ์สิ้นพระชนม์ พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยจึงถวายเป็นที่ประทับในสมเด็จพระอมรินทราบรมราชินี(อัครมเหสีในรักาลที่๑ พระราชชนนีในรัชกาลที่๒)  ซึ่งประทับที่ตำหนักแดงจนสิ้นพระชนม์  ต่อมาในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว มีย้ายตำหนักแดงไปปลูกยังพระราชวังเดิม กรุงธนบุรี เพื่อเป็นที่ประทับในสมเด็จพระศรีสุริเยนทราบรมราชินี(เจ้าฟ้าบุญรอด อัครมเหสีในรัชกาลที่๒ แต่ไม่ได้เป็นพระชนนีในรัชกาลที่๓ จึงเสด็จมาประทับภายนอกพระบรมมหาราชวัง) และกรมขุนอิศเรศรังสรรค์(พระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว) จนเมื่อพระอัครมเหสีสิ้นพระชนม์ จึงมีการรื้อตำหนักแดงในส่วนที่เป็นที่ประทับในพระองค์ถวายวัด เหลือเพียงส่วนที่ประทับของกรมขุนอิศเรศรังสรรค์ไว้ที่พระราชวังเดิม จนกระทั่งพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จเถลิงถวัลยราชสมบัติ พระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัวได้รื้อมาปลูกไว้ที่วังหน้าและคงอยู่จนถึงปัจจุบัน

เมื่อตำหนักแดงทรุดโทรมลง สมเด็จพระพันวสาอัยยิกาเจ้า ทรงพระราชทานเงินเพื่อใช้เป็นค่าใช้จ่ายในการบูรณะตลอดมา



ภายในจัดแสดงของใช้ส่วนพระองค์ในสมเด็จพระศรีสุริเยนทราพระบรมราชินี



พระแท่นบรรทมและโต๊ะเครื่องพระสำอางค์






ต่อภาค๒ นะคะ เนื้อหาค่อนข้างเยอะSmiley



















Create Date : 14 พฤษภาคม 2555
Last Update : 14 พฤษภาคม 2555 14:29:16 น.
Counter : 1167 Pageviews.

2 comment
2 วัน 1 คืน......กับหัวหินที่ฉันไม่รู้จัก (ภาคจบ อีกครึ่งวัน แว๊นมันอย่าบอกใคร)

วันรุ่งขึ้นเราตื่นกันตั้งแต่6โมงเช้าเลยค่ะ บึ่งไปสถานีรถไฟเพื่อเช็ครถเที่ยวกลับกรุงเทพ

คุณแฟนตกลงจะกลับรถท่องเที่ยวสวนสนประดิพัทธ์ก็เลยไม่ต้องซื้อตั๋วไว้ก่อน(จ่ายบนรถ)

สถานีตอนเช้าตรู่ เงียบสงบและว่างเปล่าสุดๆเหมาะจะถ่ายกับป้ายหัวหิน 555++



จากสถานีรถไฟ เราขับเรื่อยๆเอื่อยเฉื่อยไปตามเส้นทางขึ้นเขาหิน เหล็ก ไฟ ใช่แล้ว!!!!

เราจะไปเสพอากาศยามเช้าบนจุดชมวิวหัวหินกันค่ะ เช้าๆแบบนี้ รถน้อยถนนโล่ง ขับไปแบบไม่

รีบร้อน



ขึ้นมาอีกนิด เจอคุณเจ้าหน้าที่บอกว่าไม่ให้ขี่รถขึ้นไปเนื่องจากมีการแข่งวิ่งบนเขา เราก็ต้อง

จอดรถไว้ที่จุดจอดรถ แล้วพาใช้สองเท้าพาตัวเราขึ้นไปยังจุดชมวิวที่4, 5, 6


ดูนักวิ่งและกองเชียร์น่ารักๆ



ปวดขาปวดแข้ง เหนื่อยหอบแฮ่กๆๆ แฟนประนามว่าไออ้วนตัวหนัก เดินขึ้นเขาไม่ไหว TT^TT



ขึ้นมาแล้วก็เดินออกไปทางจุดชมวิวเป็นทางหินลื่นนิดนึง แล้วเราดันใส่อีแตะสุดลื่น เกือบล้ม ตั้งหลายทีแน่ะ ยิ่งพอมองเห็นวิวและความสูง จขกท.ก็ขาสั่นขึ้นมาซะเฉยๆ แฟนชวนปีขึ้นไปดูวิวที่ก้อนหินด้านบน ก็ไม่กล้าปีนขึ้นไป ตอนนั้นกลัวมากๆไม่เอาท่าเดียว สุดท้ายก็ต้องดูวิวที่มีต้นไม้บัง



ลงจากจุดชมวิวประมาณ7โมงครึ่งก็ไปต่อที่สะพานปลาหัวหิน ดูเรือรบแบบใกล้ๆกัน





พูดถึงบ้าน-วังเก่าที่หัวหิน  ไม่พูดถึงสำนักดิศกุลไม่ได้ เพราะเป็นบ้านพักตากอากาศหลังแรกๆ ในหัวหินตัวตำหนักขนาดเล็กกระทัดรัดและเรียบง่ายตามแบบองค์ท่านเจ้าของวัง ปัจจุบันยังอยู่ในการครอบครองของทายาท แม้จะปรับเปลี่ยนเป้นร้านอาหารและที่พักก็ยังคงเอกลักษณ์แบบในอดีตไว้ได้อย่างสวยงาม น่าชื่นชมมากๆ

สำนักดิศกุล>>>>TheHen Hua Hin+Living Room+Green Gallery





หลังข้างๆ สำนักดิศกุล



จากแนบเคหาสน์ เราก็ซิ่งออกจากตัวอ.หัวหินไปอีก 13 กม. เพื่อไปยังหาดสุดท้ายของหัวหิน ที่เขาเต่า ออกมาถ.เพชรเกษมในตัวอำเภอ รถเริ่มติดแล้ว ใช้เวลาขี่รถไปประมาณ 10 นาทีก็ถึงจุดหมายแล้วค่ะ เขาเต่ามีอ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่ที่มีปลาเยอะแยะ



มาถึงแล้วก็ต้องขึ้นไปบนวัดเขาเต่าก่อน ภายในวันมีโรงเจ โรงทานและจุดชมวิวสวยๆ แต่ตอนที่ไปถึง ฝนเริ่มตั้งเค้ามาแต่ไกลแล้วค่ะ



รอคุณแฟนไหว้พระเสร็จแล้วก็ออกมานอกวัดและหาอะไรทานตอน 9โมงกว่าๆ ได้ข้าวราดแกงร้านคุณป้าใกล้ๆ หน้าวัดมาประทังหิว จานละ 30-. รสชาติแบบพื้นเมืองจริงๆเผ็ดจัดจ้านได้ใจ




พอออกจากเขาเต่ามาก็ไม่มีวี่แววฝนอีก ท้องฟ้าที่หาดหัวหินแถวๆ โรงแรม PrincessBeach ใสมากๆ คนก็ลงเล่นน้ำกันเยอะ มาทะเลแล้วจะไม่เปียกเลยก็กระไรอยู่ จัดแจงถอดเสื้อผ้า ลงน้ำกันซักกะนี๊ดดดดด



ล่นน้ำถึง11โมง ก็กลับที่พักไปอาบ้ำอาบท่าและจัดการเช็คเอาท์ แต่เราจะกลับรถไฟเที่ยว

15.20น. จึงมีเวลาไปแว๊นอีกนานค่ะ

บ๊ายบาย บ้านเพิ่มจันทร์ โดยรวมที่พักไม่มีปัญหาอะไรใกล้แหล่งสาธารณูปโภคทุกสิ่งอย่าง

เสียที่คุณพี่พนง. ไม่ค่อยรู้อะไรเลยถามอะไรก็งงตลอดเวลา v_v



เที่ยงตรงเป๊ะเริ่มออกเดินทางไปยังวัดห้วยมงคล ซึ่งจขกท.ไม่เคยไปและไม่รู้จักเส้นทาง

เนื่องจากวัดนี้เพิ่งมามีชื่อเสียงไม่กี่ปีนี้เองค่ะ ดังนั้นเราก็เดินทางไปตามป้ายบอกทางเป๊ะๆเลย

ไปทางน้ำตกป่าละอู ผ่านทางหมู่บ้านศิลปิน อยากบอกว่า.................มันไกลมากอ่า

ขับรถอาจดูนิดเดียวแต่มอเตอร์ไซค์มันดูเหมือนขับไปไกลมากนั่งจนเจ็บก้น แต่ยังดีที่วิวข้าง

สวยแปลกตา พอจะหายเบื่อได้บ้าง



มาถึงวัด12.45น. ไม่ได้หลงทางอะไรทั้งสิ้น ไกลจริงอะไรจริงอ่ะ



แน่นอนว่าคนเยอะแบบมืดฟ้ามัวดินตามเคยคุณแฟนไปไหว้พระเจ้าตากที่เค้าเคารพเป็นพิเศษ



ต่อด้วยไหว้หลวงปู่ทวด  คนเยอะจริงๆ ค่ะ เห็นบางคนเอาอะไรมาขัดๆ ถูๆ ดูเลขด้วยอ่ะ แฟนบอกไปแอบดูมาก็ไม่เห็นเลขอะไรเลยSmiley




เสร็จแล้วคุณแฟนไปถามทางกลับจากรปภ.ภายในวัด ได้คำตอบว่าให้กลับทางตลาดน้ำหัวหิน ไปออกที่ซอยใกล้ๆ เขาตะเกียบ ระยะทางแค่15กม. ทางที่เรากับแฟนอ้อมโลกมาน่ะมันตั้ง 20กว่ากม. ฟังแล้วลมจะใส่อ่ะ TT^TT ทางกลับจะผ่านตลาดน้ำหัวหินและตลาดน้ำหัวหินสามพันนามด้วย



แต่ทางใกล้ใช่ว่าจะดี ดูสภาพถนนสิคะ แถมบริเวณหน้าตลาดน้ำทั้งสอง รถเยอะมากๆ ขับเบียดบี้กันจนเราแทบตกข้างทาง กลัวก็กลัว โกรธก็โกรธ เลยตัดใจไม่เข้าตลาดน้ำเลย เข็ดกับการมาเที่ยววันหยุดยาวๆ คนเยอะจนทำอะไรก็ไม่สนุก



บ่ายสองตรงเราก็ไปถึงบ้านถั่วเย็นถ.แนบเคหาสน์ ปรากฎว่าคิวเต็ม!!! แม้จะซื้อแบบtake away ก้ต้องรอถึง45 นาที ซึ่งเราต้องไปรอรถไฟแล้ว ก็เลยต้องตัดใจ อดกินไปตามระเบียบ Smiley



เราเลยพาแฟนไปกินร้านธรรมดาบ้านๆ ที่คนหัวหินนิยมกันมายาวนานอย่าง บ้านป้าปรางค์ที่นั่งก็ว่าง ขนมอร่อย ราคาถูกๆ ได้ขนมคนละถ้วย อารมณ์ดีขึ้นแยะ สนนราคา 45-.




หม่ำขนมเสร็จก็ยังเหลือเวลาเลยไปเพลินวานอีกทีนึง คนเยอะกว่าเดิมอีกจ้า พนง.คงหงุดหงิดเหวี่ยงใส่เรากระจายเลย เหอๆ เลยต้องกลับไปคืนรถแล้วนั่งรอรถไฟเงียบๆ ที่สถานีดีกว่า

15.20น.รถไฟท่องเที่ยวกรุงเทพ-สวนสนประดิพัทธ์ก็มาถึง ที่นั่งชั้น3 เต็มเอี้ยดที่นั่งชั้น2 แอร์มีเหลืออยู่ 2 ที่พอดีได้ที่นั่งแล้วก็จ่ายเงินค่าเดินทางบนนั้นเลย คนละ 240-. ราคาเต็มนะคะ แล้วก็นอนหลับพักผ่อนกันไปยาวๆ



ถึงชุมทางบางซื่อสองทุ่มตรง ขึ้นรถไฟฟ้ากลับบ้าน ทั้งเหนื่อย ทั้งเมื่อย ทั้งเพลีย แต่เป็นอีกหนึ่งทริปที่สนุก โหดมันส์ฮา ที่สำคัญราคาไม่แพงเลยค่ะ แต่ถ้าจะให้ดีต้องไปวันที่คนไม่เยอะแบบนี้ เทศกาลเป็นช่วงที่ของกินและสถานที่เที่ยวจะราคาแพงขึ้น แต่คุณภาพต่ำกว่าปกติ แถมรถติดหงุดหงิดอีกตะหาก

ขอจบรีวิวแต่เพียงเท่านี้นะคะ ผิดพลาดตรงไหนต้องขออภัย ณ ที่นี้ด้วยค่ะ ^^"


Super Moon 





Create Date : 09 พฤษภาคม 2555
Last Update : 9 พฤษภาคม 2555 14:14:33 น.
Counter : 1633 Pageviews.

3 comment
2 วัน 1 คืน......กับหัวหินที่ฉันไม่รู้จัก (ภาคแรก ตระเวนราตรี)
เกริ่นก่อนว่าตอนแรกจขกท.เกิดไอเดียว่าอยากโบกรถไปหัวหิน แต่มีพี่ๆในพันทิปหลายคนส่งหลังไมค์มาว่ามันอันตรายเกินไปให้ล้มเลิกซะแฟนก็ไม่เห็นด้วยก็เลยสรุปว่าจะเดินทางโดยรถไฟเหมือนเดิม

ปรากฎว่าทั้ง sprinter และรถไฟท่องเที่ยวสวนสนเต็มหมดทุกที่นั่ง จนท.บอกว่าให้มาขึ้นรถไฟฟรีรอบ9.20น.แทน ในใจก็หวั่นๆแล้วล่ะค่ะ แต่จะนั่งรถตู้ก็ไม่ไหวเดี๋ยวอ้วกกันตลอดทางพอดี(จขกท.เมารถง่ายมาก) ก็เลยตกลงใจจะไปกับรถไฟฟรีค่ะ อิอิ





เริ่มออกเดินทางกับขบวนรถ 261 เส้นทางกรุงเทพ - หัวหิน เวลา 9.20น. เรามาจับจองที่นั่งตั้งแต่แปดโมงค่ะ เพราะกลัวว่าจะต้องยืนยาวๆ ถึงหัวหิน  ก็เป็นไปตามที่คิดไว้ รถแน่นมากๆ แต่เรายังชิลอยู่เพราะอย่างน้อยก็มีที่นั่งระหว่างรอรถออกก็หม่ำอาหารที่เตรียมมาเองไปด้วย


รถไฟออกจากสถานีกรุงเทพ(หัวลำโพง) 9.20น. ตรงเป๊ะ ที่นี้ดราม่าก็เริ่มเกิดเพราะคุณลุงที่นั่งตรงข้ามกับเราเค้าไปต่อว่าคู่ชายหญิงที่นั่งเบาะใหญ่แคสองคนว่าใจแคบ ทำไมไม่กระเถิบใหคนอื่นมานั่งด้วยอีกคน ทางน้องเค้าก็บอกว่าไม่มีคนมานั่งเองครับถ้ามีผมก็กระเถิบให้ ลุงแกก็ไม่จบไปว่าน้องผู้หญิงแรงๆอีกหลายคน จนแฟนเค้าโมโหเริ่มทะเลาะกันแรงขึ้นคุณลุงก็ควักบัตรปชช.ให้ดูว่าเป็นตำรวจนะ เดี๋ยวจะจับเข้าคุกให้ดูน้องผู้หญิงเค้าก็เริ่มแรงว่าจะจับข้อหาอะไร  แฟน เราก็เลยห้ามทัพให้น้องเค้าเงียบๆไปดีกว่าจะได้จบๆ เราว่าจริงๆน้องสองคนนิสัยโอเคนะคะ พูดก็เพราะแต่ลุงตำรวจกัดไม่เลิกอ่ะ น้องเค้าก็ตอบโต้บ้าง

สักพักดราม่าที่สองก็เกิดอีก คือตอนนั้นเรานั่งริมหน้าต่างแล้วมันร้อนและอึดอัดมาก ก็เลยพิงไหล่แฟนแล้วหลับไป แฟนเราก็เคลิ้มๆกำลังจะหลับและสายตาเค้าก็มองไปนอกหน้าต่างแล้วลุงตำรวจคนเดิม ก็นั่งมองหน้าแฟนเราเหมือนไม่พอใจมากๆมองจนแฟนเรารู้ตัว แต่แฟนเราเริ่มง่วงแล้วก็เลยไม่สนใจและก็พิงเราหลับไป สักพักก็สะดุ้งตื่นกันทั้งคู่เพราะลุงตำรวจลุกขึ้นและกระแทกพวกเราแรงมากๆ พร้อมด่าว่าไอ้พวกเด็กเ_ยแล้วแกก็ไปดึงให้ผู้หญิงคนนึงที่อุ้มเด็กแดงๆมาด้วยและให้นั่งที่แกแทน เราก็งงๆ นะแต่เข้าใจว่าแกรอให้แฟนเราลุกให้ผู้หญิงคนนี้นั่งแต่แฟนเราไม่เห็น(เพราะเค้ายืนข้างหลังแฟนเรา) ก็เลยไม่สนใจ แกก็เลยออกอาการโมโหใส่ซะเลย อดทนกับความอึดอัดไป 5 ชั่วโมงเต็ม  สุดท้ายถึงหัวหิน 14.15น. พร้อมกับสายฝนที่โปรยปรายไม่หยุดของหัวหิน 





ออกจากสถานีรถไฟก็ตรงดิ่งมาที่พักซึ่งเราได้จองไว้ก่อนแล้ว เดินไปประมาณ 3 นาที
ถนนเดชานุชิต ก็เจอที่พักของเราแล้วค่ะ ชื่อบ้านเพิ่มจันทร์เป็นเกสต์เฮ้าส์ขนาดไม่ใหญ่มาก
อยู่บนถนนที่เป็นตลาดโต้รุ่งเลยล่ะใกล้สถานีรถไฟและร้านเช่ามอเตอร์ไซค์ด้วย เราว่าสะดวกดีค่ะ



ที่นี้ก็มีจุดให้เรารู้สึกไม่ดีนิดหน่อยตอนเช็คอินก็มีการแจ้งชื่อและกรอกข้อมูลของเรา ทาง
พนง.ก็แจ้งว่าขอใบโอนค่าห้องด้วย   เราก็หยิบให้โดยดีเพราะเตรียมไปอยู่แล้ว แต่ประเด็นคือตอนเราโอนเราโทรมาแจ้งและสอบถามว่าให้เราส่งหลักฐานการโอนยังไง ปกติที่อื่นจะให้เราส่งเมล์ให้ซึ่งเราสะดวกที่สุดเพราะปกติโอนออนไลน์ ตอนเราโทรแจ้งโอนที่นี่ พนง.บอกไม่ต้องส่งหลักฐานการโอนค่ะ อัพบุ๊คเจอแล้วโอเคแล้ว เราก็งงๆ แต่หยิบสลิปมาด้วยเพราะรอบนี้โอนตู้  สรุปต้องใช้จริงๆ แล้วถ้าเราไม่ได้เอามาจะเป็นยังไงเนี่ย



บรรยากาศในบ้านเพิ่มจันทร์ ชั้น 3 มีระเบียงใหญ่นั่งกินข้าวได้ แต่เราพักชั้น 4 ห้องตรงบันไดเลย (กลัวผีจริงๆ นะตอนแรก)



ภายในห้องสะอาดสะอ้านดีมากค่ะ แต่ห้องจะเล็กหน่อยนะคะ บางคนอาจจะไม่ชอบพอดีเรากะใช้นอนอย่างเดียว


อีกเรื่องนึงที่่เราไม่พอใจก็คือเรื่องรถมอเตอร์ไซค์เช่า ตอนโทรสอบถามห้องพักเราเจอพี่ผู้ชาย(น่าจะเป็นเจ้าของ)  เราก็ถามเรื่องรถเช่าซึ่งแกบอกว่าแกโทรตามให้ได้ตลอดเลย ราคาไม่เกิน 250-. เราก็ถามย้ำว่าจะต้องจองมั๊ย เพราะเรารู้ว่าคนเยอะแน่ๆ กลัวจะไม่ได้รถ แกยืนยันว่าแกตามได้ไม่ต้องห่วง ปรากฎมาจริงๆ พี่พนง.ไม่แม้แต่โทรตามแต่ยื่นเบอร์ร้านเช่าให้เราโทรเอง  และมันก็เป็นตามที่คิดไว้เลยค่ะรถไม่เหลือสักคัน เราก็เริ่มหงุดหงิดแล้วล่ะ เพราะแพลนที่วางไว้มันต้องใช้รถตะลอนเที่ยว แฟนก็เลยไปเดินหาเช่าแถวๆ ในตลาด ผ่านไป4-5ร้านถึงได้รถเช่า ในราคา 250-. ไม่มีน้ำมันให้เราต้องมาเติมกันเอง เต็มถัง 130-.



ฝนหยุด รถพร้อม คนพร้อม ก็ไปหาของกินก่อนค่ะเพราะหิวมากๆ บิดรถมุ่งไปเขาตะเกียบ
อย่างไว เดินเลือกร้านจนพอใจแล้วก็สั่งกุ้ง ปลาหมึก หอย ให้ทางร้านเค้าทำอาหารให้เลย
ระหว่างรอเราก็ไปเดินชิลที่ชายหาด เห็นว่ากลางคืนมีการเปิดร้านเหล้าปั่น-บาร์เบียร์ที่
ชายหาดด้วย จริงๆเมื่อก่อนหาดเขาตะเกียบตรงนี้จะไม่มีคนลงเล่นน้ำ เพราะมันค่อนข้างสกปรก  แต่เดี๋ยวนี้มีคนลงเยอะ และมีบานาน่าโบ้ทมารอให้บริการด้วย อากาศยังครึ้มฟ้าครึ้มฝน แต่ไม่มีกะพรุนสักตัว



เดินเล่นจนพอใจก็กลับไปรับน้องกุ้งของเราดีกว่าฮ่าๆๆ ค่าเสียหาย460-. ถ้วนๆ ได้กุ้งมาโลนึง
เต็มๆ เอาให้หายอยากกันเลย

นั่งกินไปดูบางรักซอย9ไป อิ่มจนแน่นท้องมากๆแล้วก็ล้างมือล้างไม้ออกไปแว๊นตระเวนราตรี
กันดีกว่าค่ะเริ่มด้วยสถานที่สุดฮิตอย่างเพลินวาน ที่คนเยอะจนหน้ามืด ถ่ายรูปออกมาติดหัวคน
โน้นนิด ตูดคนนี้หน่อย พอน่าเอ็นดู คุณแฟนไปครั้งแรกก็แอบบ่นว่ามองไมเห็นอะไรเลยนอก
คนกรุง อิอิ

เสร็จจากกระหน่ำชัตเตอร์ทีเพลินวานแล้วก็ยูเทิร์นกลับมุ่งหน้าไปสวนหลวงราชินี ซึ่งกำลังมีงาน
หัวหินรำลึกและงานกาชาด แต่ว่า.....ทำไมเข้าไปลึกจังเลยอ่ะขี่วนไปวนมาจนถึง แล้วเราก็
พบว่า........มันไม่มีอะไรเลย!!!!คืองานวัดยังน่าสนใจกว่าอ่ะค่ะ ไม่มีอะไรจริงๆ นอกจากร้าน
ขายของ ร้านบิงโก แค่นั้นอ่ะอย่างเซ็งเลยอุตส่าห์เข้ามาตั้งไกล ก็เลยไปนั่งเล่นชมวิวทะเล
เรือรบและsuper moon ริมฝั่งสักพัก เหลือบไปเห็นเครื่องออกกำลังแบบในฟิตเนสตั้งอยู่ก็เอา
ซะหน่อย

เสร็จจากสวนหลวงก็ไปต่อที่เขาตะเกียบ(รอบสองอิอิ) กับสถานที่ยอดนิยมของชาวกรุงเช่นเรา
ไปถึงทางเข้าเขาตะเกียบก็เจอรถติดแล้วค่ะได้รับความนิยมกันอย่างสูงงงงงงงง ที่จอดหายาก
ทางเข้าก็แคบ แต่เรามันขาแว๊นนี่นาเข้าซอยปั๊บคุณแฟนก็หามุมจิ้มๆรถเข้าไป แล้วก็พร้อมลุย
Cicada Market หรือตลาดจั๊กจั่นจัดที่สวนศรีเขาตะเกียบ เป็นพื้นที่บริหารของบ.แสนสิริ จ.
(มหาชน) เป็นตลาดงานศิลปะ สินค้าจะเป็นแบบอาร์ตๆมีการใช้ไอเดียต่างๆกับสินค้าของตัวเอง
อย่างเต็มที่ มีพื้นที่จัดการแสดงโชว์แสง สี เสียง มีน้องๆบีบอยและนักดนตรีเปิดหมวกมาแสดง
ด้วยค่ะ แต่ตอนนี้เรามองไม่ค่อยเห็นอะไรเลยเพราะคน เยอะ มากกกกกกกก

มุมถ่ายภาพยอดนิยม ถ่ายแล้วฟินาเล่!!!!!!! (รอคิวถ่ายนานมากนะนี่)

ภายในตลาดมีการตกแต่งน่ารักๆ มีงานนิทรรศการ GumptionStyle สินค้าไอเดียหลุดโลกและ
มุมป้ายชื่อสวนศรี จุดถ่ายรูปสุดฟินอีกจุดนึง(ถ่ายแล้ว ฟินาเล่จิงๆ นะคะ >..<)


ดูปริมาณผู้คนในตลาดจั๊กจั่นจิคะ คนกรุงทั้งนั้นล่ะ หนีความวุ่นวายในเมืองกรุงมาวุ่น
วายที่หัวหินแทน ฮ่าๆๆๆๆๆ



เดินตั้งนาน ได้น้ำปั่นมาแก้วเดียว 40-. น้ำแตงโม+ลิ้นจี่ ไม่มีความอร่อยเลย

เดินจนถึง4ทุ่ม ก็ได้เวลากลับละ จอดรถแล้วก็ลงเดินตลาดโต้รุ่งดีกว่า มองซ้ายมองขวา สินค้าหลายๆตัวเหมือนกับที่Cicada
และเพลินวานเลย แต่ราคาเบากว่านิดหน่อย

ใจกลางตลาดโต้รุ่ง มีพื้่นที่เล็กๆเพิ่งทำใหม่ให้อารมณ์แบบเพลินวานกับCicada คือเน้นขายของ
เล็กๆน้อยๆ จัดพื้นที่สวยๆไว้ให้ถ่ายรูปชื่อว่าฉัตรศิลาค่ะ คนไม่เยอะมากถ่ายรูปได้เยอะดี ^^
มีพื้นที่ขายของเป็นบล็อกๆ มีการตกแต่งแนวRetroHua Hin ไว้ถ่ายรูปกัน

ด้านข้างตลาดมีบ้านไม้สองชั้นเล็กๆไว้จัดแสดงรูปหัวหินในอดีตและชีวิต ความเป็นอยู่ในอดีต
ของหัวหิน ประมาณยุคปริศนาที่ผู้ดีชาวกรุงจัดบ้านพักทีหัวหินอ่ะค่ะ น่ารักดีนะ

 วันรุ่งขึ้นทริปของเราจะเริ่มแต่เช้า รอดูต่อในภาคจบนะคะ 





Create Date : 07 พฤษภาคม 2555
Last Update : 5 มิถุนายน 2556 20:38:43 น.
Counter : 12758 Pageviews.

8 comment
นั่งรถไฟไปคนเดียว............รำลึกความหลังที่หัวหิน
สืบเนื่องจากคุณแฟนต้องทำงานในวันหยุด 6-7 เม.ย.  เราก็เลยหาทริปแบบone day trip มาซ้อมมือหลังจากไม่ได้Backpackเที่ยวแบบบินเดี่ยวมานานเกือบ4ปี  และได้ชมกระทู้ของคุณmineday ที่ไปเที่ยวหัวหินแบบไปเช้ากลับเย็นกับการรถไฟ  เลยตกลงใจซ้อมมือด้วยทริปง่ายๆ ที่หัวหินเป็นที่แรก  ถือเป็นการไปหัวหินในรอบ15ปีเลยค่ะ  เพราะเมื่อก่อนคุณตารับราชการที่นั่น เราจะไปเที่ยวแทบทุกปิดเทอม  จนท่านย้ายไปประจำที่ระยองก็ไม่ได้ไปหัวหินอีกเลย  เป็นทริปรำลึกความหลังสมัยวัยเยาว์ไปด้วย

กระทู้คุณmineday แรงบันดาลใจ ขอบคุณมา ณ ที่นี้ด้วยนะคะ
//www.pantip.com/cafe/blueplanet/topic/E11879802/E11879802.html

รถไฟท่องเที่ยวให้บริการในวันเสาร์ - อาทิต์และวันหยุดนักขัตฤกษ์  มีหลายเส้นทาง หลายราคาให้เลือก สำหรับสายกรุงเทพ - สวยสนประดิพัทธ์  ชั้น 3 ราคา 120-.  ปรับอากาศชั้น2 ราคา 240-.  เราจองรอบวันศุกร์ที่ 6 เม.ย. ได้แบบชั้น3 ค่ะ  เพราะแบบปรับอากาศโดนเหมาทั้งโบกี้  ไปซื้อตั๋วที่ช่องจองตั๋วล่วงหน้าตั้งแต่วันอังคาร ที่สถานีหัวลำโพง


ตอนเช้า ไปขึ้นรถไฟตอน6โมงเป๊ะ  พอเห็นที่นั่งเป็นแบบเบ่าะยาว3คนก็เซ็งเล็กน้อย  เพราะเราไม่ได้ดูวิวข้างทางเลย (อาจดูไร้สาระ  แต่เราเพิ่งขึ้นรถไฟครั้งแรกเมื่อปลายปีที่แล้วเองค่ะ ยังเห่ออยู่)  แฟนที่มาส่งก็เลยลองถามคุณเจ้าหน้าที่ในรถไฟว่าเปลี่ยนที่นั่งได้มั๊ย  คุณเจ้าหน้าที่ก็ชี้แจงให้ฟังว่าลูกค้าที่เดินทางคนเดียว โดยเฉพาะอย่างยิ่งเป็นผู้หญิงด้วยแล้ว   เจ้าหน้าที่ขายตั๋วจะเลือกที่นั่งที่ปลอดภัยที่สุดให้ลูกค้า (ซึ่งที่นั่งของเราอยู่โบกี้หน้าสุด ที่นั่งเราก็มีคุณเจ้าหน้านั่งอยู่ข้างหน้าเลย)  แฟนเราก็เลยโอเค  รถไฟมีกำหนดออกจากหัวลำโพง 6.30น.  ออกเลทไปประมาณ 20นาที เนื่องจากกรุ๊ปใหญ่ที่เหมาโบกี้มาสายค่ะ

มีแวะรับผู้โดยสารที่สถานีใหญ่ๆ 3-4ที่ หลังจากนั้นเจ้าหน้าที่ก็มาทักทายและแจ้งกำหนดการต่างๆในการเดินทาง  ซึ่งมีเจ้าหน้าที่มาสอบถามเราว่าเดินทางคนเดียวใช่มั๊ย ลงที่ไหน จะกลับขบวนนี้รึเปล่า  ตอนนั้นก็งงๆนิดนึงว่าถามทำไม แล้วเราได้เพื่อนร่วมทางน่ารักมากๆด้วยค่ะ  ข้างๆเราอีก2ที่นั่งเป็นสามี-ภรรยา ที่ตั้งใจไปนั่งเล่นริมทะเล  ส่วนฝั่งตรงข้ามเป็นคู่รัก2หนุ่มพาหลานชายไปเล่นน้ำทะเล  ทั้งสองครอบครัวคอยชวนเราคุยตลอดทางค่ะ สนุกดี

ภาพบรรยากาศบนรถไฟ  โบกี้ที่เรานั่งมีกลุ่มใหญ่10กว่าคนด้วย เลยเฮฮาเสียงดังกันใหญ๋


ประมาณแปดโมง  รถไฟจอดที่สถานีนครปฐมและให้เราเดินเที่ยวได้40นาที  เราก็เดินไปถ่ายรูปพระปฐมเจดีย์นิดหน่อย(เป็นคริสเตียนค่ะ ไม่ได้เข้าไปไหว้)  แล้วก็ออกมาเดินชมบรรยากาศตลาดตอนเช้าๆ แดดแรงพอสมควรก็เดินหาซื้อหมวกไปเรื่อย  ได้หมวกสานแบบบ้านๆ 1ใบช่วยบังแดดให้ค่ะ (สาวๆนครปฐมทั้งขาวทั้งสวยเลยค่ะ ผิวเด้งมากๆ สาวกรุงเทพดำๆอย่างเราอายจังเลย)




ครบ40 นาทีก็เดินทางต่อ  ในรถก็มีเสียงพูดคุยกันบ้างประปราย  ส่วนมากก็เริ่มหลับเอาแรงเพราะออกเดินทางกันแต่เช้า  เราก็นั่งอ่านหนังสือไปค่ะ  เอาติดมือมาเล่มนึงซึ่งช่วยส่งเสริมบรรยากาศมาก  เพราะมีเนื้อหาเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ช่วงรัชกาลที่7 ที่ในหลวงและพระบรมวงศ์หลายพระองค์เสด็จประทับหัวหินและเสด็จไปสงสขลาโดยรถไฟในเส้นทางเดียวกับเราในวันนี้  ให้อารมณ์เส้นทางสายประวัติศาสตร์มากๆ


ในที่สุดก็ถึงสถานีหัวหินจนได้ ราวๆ11.15น.ค่ะ  รถไฟจะไปสุดที่สวนสนประดิพัทธ์ แต่เราจะลงที่นี่เพื่อเดินชมเมืองให้หายคิดถึงก่อนค่ะ  เนื่องจากเป็นวันหยุด ที่สถานีหัวหินมีนักท่องเที่ยวช่าวไทยเยอะมากๆ ส่วนชาวต่างชาติก็มีพอสมควรตามปกติของหัวหินค่ะ




เดินดูสภาพบ้านเมืองและวิวทิวทัศน์ไปเรื่อยๆ ทางซ้ายของสถานีรถไฟ จนถึงตลาดในที่สุด  ก็นั่งรถสองแถวเขียวหัวหิน-เขาตะเกียบเพื่อไปเพลินวาน  ระหว่างทางก็ดูสองข้างถนนที่เปลี่ยนไปมากของหัวหินไปด้วย  10กว่าปีก่อนร้านอาหารริมถนนแทบไม่มี  เดี๋ยวนี้เยอะมากทั้งร้านอาหาร ร้านกาแฟ มองเพลินๆแค่5นาทีก็ถึงแล้วค่ะ เพลินวานอยู่ระหว่างซอยหัวหิน38และ40 ติดถนนเลยหาง่ายมากๆ  เห็นเพื่อนๆร่ำลือ+รีวิวในพันทิปก็ตั้งใจว่าจะมาสักครั้งให้ได้



ไปถึงตอน11โมงครึ่ง เพิ่งเปิดครึ่งชั่วโมงแต่คนเริ่มเยอะแล้วค่ะ  เดินดูทั่วๆและถ่ายรูปในช็อตยอดนิยมทั้งหลาย  พูดตามจริงก็ผิดหวังเล็กน้อยค่ะ คิดว่าจะมีอะไรมากกว่านี้  คือถ้ามาเพื่อถ่ายรูปก็คงสมหวังมาความสุขดี  แต่เรามาคนเดียวไม่มีใครถ่ายรูปให้ก็ได้แต่เดินเล่นเพลินๆไปเรื่อย ดูไม่ค่อยมีจุดประสงค์น่ะค่ะ แหะๆๆ


เดินจนพอใจแล้วก็หาอะไรใส่ท้องหน่อย  ได้ผัดไทยกุ้งสดจานนึงก็โอเคค่ะ รสชาติธรรมดาไม่ได้อร่อยเหาะ ราคาพอรับได้ ปริมาณก็กำลังอิ่มดีค่ะไม่น้อยไป มาช้ำใจกับราคาน้ำซะมากกว่า เพราะเราติดกินโค้กแล้วต้องซื้อน้ำเปล่าเพื่อทานยาด้วย  ส่วนตัวคิดว่าน้ำแพงไปมากเลยค่ะ  อาหารหรือขนมอื่นๆ ราคาโอเคเลย



อยู่เพลินวานจนถึงเที่ยงครึ่ง นั่งวางแพลนว่าจะไปไหนต่อดี  ก่อนมาตั้งใจจะไปเดินหาของกินที่ถ.แนบเคหาสน์  แต่ว่าแดดค่อนข้างร้อน(กลัวดำกว่าเดิม)และอิ่มแล้วด้วย  เลยตัดสินใจไปสวนสนเลยดีกว่า ไปนั่งกินลมชมทะเลชิลๆ จนกว่าจะถึงเวลากลับ ย้อนกลับโดยนั่งสองแถวสายเดิมจากเพลินวานกลับมาในตลาดราคา10-. เท่านั้น  แล้วไปต่อรถสองแถวที่่เหมือนกับมินิบัสสีส้มๆ เส้นทางหัวหิน-ปราณบุรีเพื่อไปยังสวนสนค่ะ  รถจะออกทุก20นาที  แต่เท่าที่นั่งรอ เหมือนคนขับแกรอคนขึ้นเต็มรึเปล่าไม่รู้ รอเกินครึ่งชั่วโมงได้  ค่ารถ20-.ค่ะ


นั่งดูสภาพความเปลี่ยนแปลงของหัวหินจากตลาดถึงสวนสน  โครงการคอนโดริมทะเลเยอะมากๆๆๆๆ มองไปในซอยที่เคยมีบ้านพักของคนรู้จักซึ่งเป็นมรดกของราชตระกูล ก็กลายเป้นอนโดหรูไปซะแล้ว  ห้างสรรพสินค้าและร้านฟาสต์ฟู้ดก็เยอะมาก อารมณ์เหมือนอยู่ในกรุงเทพ ถือว่าเป็นเมืองเล็กๆที่สะดวกสบายน่าอยู่เหมือนกัน  เป็นป้ายว่ามีสวนน้ำกับตลาดน้ำเปิดใหม่ด้วย

บ่นเหมือนคนแก่ประมาณ10นาที ก็ถึงสวนสนแล้วค่ะะลงสองแถวริมถนนแล้วเดินเข้าไปในพื้นที่ของทหารได้เลย ทะเลรออยู่ปลายทางแล้ว^^





จัดแจงหามุมร่มๆใต้ต้นสนแล้วก็เช่าเก้าอี้ผ้าใบหนึ่งตัว วางของไว้แล้วก็เดินเล่นกินบรรยากาศทะเลให้ชื่นใจ  วันนี้วันหยุดคนเลยเยอะเป็นพิเศษ เห็นรถทะเบียนไกลอย่างมุกดาหาร พิษณุโลก พิจิตร จอดเต็มเลย ส่วนมากก้มาแบบครอบครัว มีเตาย่างมาปิ้งอาหารทะเลสดๆกันด้วย  เด็กๆก็ลงน้ำท้าแดดกันเลยที่เดียว
ด้านซ้ายของหาดมองเห็นเขาตะเกียบชัดเจน


ด้านขวามองเห็นเขาเต่าลิบๆ   10กว่าปีก่อนเขาเต่าไม่มีอะไรเลยค่ะนอกจากโครงการหลวง(จำไม่ได้ว่าทอผ้าหรืออะไร)บ้านพักอาศัยของคนท้องที่และวัดเขาเต่าตั้งอยุ่ริมทะเล เราเคยไปหัดขี่จักรยานในลานวัด ล้มๆลุกๆหลายรอบกว่าจะเป็น พระในวัดเคยพาเราไปดูต้นมะม่วงหิมพานต์ด้วยเพราะท่านเห้นเป็นเด็กกรุงเทพ ท่านว่าน่าจะไม่เคยเห็น  เรายังเก็บลูกมะม่วงหิมพานต์มาฝากยาย5-6ลูกเลย  จำได้ว่าขั้วมันเอามาเผาไฟได้เม็ดมะม่วงหิมพานต์ที่เราชอบ  ส่วนเนื้อมันยายเอาไปตำน้ำพริกค่ะ  ปัจจุบันทราบว่าเต็มไปด้วยโครงการบ้านจัดสรร คอนโดและโรงแรมห้าดาว (ย้อนอดีตวัยหวานอีกแล้ว สงสัยจะแก่จริงๆ
)


เดินจนพอใจก็ไปนั่งที่เก้าอี้ผ้าใบแล้วจัดการถ่ายรูปตัวเองบ้าง  เอียงซ้ายเอียงขวาสักพักหันไปข้างๆ ที่มีครอบครัวนึงนั่งอยุ่  คุณยายวัย60กว่าๆก็ทักทายและชวนคุยไปเรื่อย พอเราบอกว่ามาคนเดียวคุณยายก็ทำหน้าแบบเห็นใจเรา แล้วแกก็หันไปบอกลูกแกว่าเรามาคนเดียว  ลูกแกก็ถามใหญ่เลยว่าทำไมมาคนเดียว สนุกมั๊ย แฟนไม่มีเหรอ ทำไมไม่ชวนเพื่อนมา บลาๆๆๆๆ ทำให้เราเห็นชัดเจนเลยว่าการเที่ยวคนเดียวในสายตาคนไทยค่อนข้างเป็นเรื่องแปลก  โดยเฉพาะสำหรับผู้หญิงยิ่งแล้วใหญ่  แม้แต่แฟนเราเองยังบอกว่าแปลกเลยค่ะ

ไม่มีใครถ่ายให้ ถ่ายเองโลด


พอบ่ายสามเราก็เริ่มเก็บสัมภาระเตรียมกลับ(รถไฟออกบ่ายสามครึ่งค่ะ)  เดินไปหาซื้อน้ำติดมือไปด้วย  พอเดินไปที่จุดจอดรถไฟก็เจอกับพี่ๆ ที่นั่งมาด้วยกันตอนแรก  พี่เค้าบอกว่าเจ้าหน้าที่รถไฟหาเราอยู่  เราก็งงว่าหาเราทำไม พี่เค้าบอกว่าเจ้าหน้าที่เห็นเรามาคนเดียวก็เลยเป็นห่วงมาก ให้เรากับพี่เค้าย้ายไปนั่งโบกี้แรกด้วย(โบกี้แรกตอนขากลับคือโบกี้ที่อยู่ท้ายสุดตอนขามา  ส่วนโบกี้หัวขบวนที่เรานั่งตอนมา จะกลายเป็นท้ายขบวนตอนขากลับ มันจะสลับกันค่ะ) โอ้!!!มีดูแลความปลอดภัยให้ด้วย  น่ารักจังเลย

รถไฟออกจากสวนสนตอนบ่ายสามครึ่งพอดี  ตอนนี้รถว่างไปเยอะแล้วเพราะกลุ่มที่มากันเยอะๆ ค้างคืนที่สวนสน เราก็เลยนั่งคนเดียวที่เบาะคู่สบายๆ เหยียดขาเหยียดแข้งได้ตามอัธยาศัย  เจ้าหน้าที่เดินตามหาจนเจอเราด้วยค่ะ เค้าบอกนั่งตรงนี้ดีแล้วเพราะใกล้เจ้าหน้าที่และคนขับรถไฟ จะได้หลับได้ไม่ต้องกังวล  แหมๆๆๆ รู้ด้วยอ่ะว่าเราง่วงมาก เหอๆๆ 

ดูวิวสวยๆสองข้างทาง อากาศดีมาก ท้องฟ้าใสปิ๊งเลย





จากนั้นก็หลับยาว...........มาถึงสถานีหัวลำโพงสองทุ่มครึ่ง!!!!! เลทไปหนึ่งชั่วโมงเต็มเนื่องจากติดขบวนเสด็จสองครั้ง ที่สถานีสามเสนและสถานียมราช  คุณแฟนบ่นเป็นหมีเลยค่ะ >,,<

สรุปความประทับใจครั้งนี้ให้เต็มสิบเลยค่ะ  ทริปง่ายๆใกล้กรุงเทพที่ไปมาสะดวกและปลอดภัย เจ้าหน้าที่ดูแลเป็นอย่างดี  ได้เพื่อนร่วมทางน่ารักๆ แถมได้อิสระเสรีแบบ100%เต็ม อยากไปไหนอยากทำอะไรได้เต็มที่  ถือว่าเป็นทริปประเดิมที่เราว่าเวิร์กมากค่ะ ค่าใช้จ่ายก็ถูกมากๆ ต่อไปคงได้อุดหนุนการรถไฟบ่อยๆแล้วล่ะค่ะ

ความประทับใจ
- การดูแลของเจ้าหน้าที่
- น้ำใจจากเพื่อนร่วมทาง
- เที่ยวแบบราคาประหยัด  ใช้เงินไปประมาณ 400-. ค่าเดินทาง120-. ถูกซะยิ่งกว่าถูก!!!!
- พอเห็นเราเริ่มกลับมาเที่ยวฉายเดี่ยวแบบไม่ง้อใคร  คุณแฟนเริ่มเคลียร์ตารางงานให้เบาบางลงแล้วค่ะ  วันจันทร์นี้จะให้พาไปหัวหินอีกรอบ จองตั๋วรถไฟท่องเที่ยวเรียบร้อย  อันนี้ถือเป็นผลพลอยได้นะเนี่ย ฮ่าๆๆๆๆ

 ลาไปด้วย"รูปที่มีทุกบ้าน" ถ่ายจากเพลินวานค่ะ ^^





เที่ยวประหยัดด้วยรถไฟ

Smiley นั่งรถไฟไปพระราชวังบางปะอิน.....ย้อนสู่อดีตในวันฝนพรำ




Create Date : 24 เมษายน 2555
Last Update : 5 มิถุนายน 2556 16:13:05 น.
Counter : 10992 Pageviews.

10 comment
1  2  3  

ต๊องต๊อง กะ บ๊องบ๊อง
Location :
กรุงเทพฯ  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 5 คน [?]



Just a little step in the Big World
โลกกว้างใหญ่ มีอะไรให้เรียนรู้อีกมาก

ต๊องต๊อง กะ บ๊องบ๊อง
All rights reserved
[สงวนลิขสิทธิ์ ตาม พรบ.ลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2539]