Lost in Shangrila | แชงกรีล่า สุดขอบฟ้า #Shangri-La


01 . 06 . 15
คุนหมิง-แชงกรีล่า



ได้เวลาเดินทางต่อแล้ว เช้านี้พระอาทิตย์ขึ้นที่สนามบินคุนหมิง
กระเป๋าพาสปอร์ตที่ตามหาด้วยความยากลำบากอยู่ติดตัวตลอดเวลา และเป็นสิ่งแรกที่คิดถึง



แน่นอนว่ามันเป็นไฟล์ทเช้าสุดของสายการบินในประเทศ Lucky Air บินเพียง 1 ชม. ก็ถึงแชงกรีล่า



สนามบินเล็กๆ ท่ามกลางภูเขา เมฆลอยต่ำ อากาศในหน้าร้อนยังคงเย็นสบาย



แชงกรีล่าคือเมือง จงเตี้ยน ที่เปลี่ยนตามชื่อแดนสมมุติในหนังสือนิยาย Lost Horizon อันโด่งดังของ เจมส์ ฮิลตัน 
เมืองสวรรค์บนดินอันสงบสุขที่อยู่ในเทือกเขาสูง มีคนแนะนำว่าให้เตรียมตัวก่อนมาให้พร้อมทั้งร่างกายและจิตใจ 
ฉันเลยจัดยาความดันไป 1 เม็ดเบาๆ กันไว้ดีกว่าแก้



ให้แท็กซี่พาไปส่งในเมืองโบราณ ตอนแรกพี่แท็กซี่แนะนำที่พักให้ด้วยแต่ไม่มีห้องว่าง 
เลยพาเราไปส่งกลางเมืองโบราณ เพื่อให้เราเดินหาที่พักกันเอง



ที่พักของเราอยู่ห่างจากวัดต้าฝอไม่เกิน 500 ม. เก็บกระเป๋าพักผ่อน และเตรียมแผนที่จะออกไปเที่ยวที่วัดซงจ้านหลิน



มี 2 วิธีที่จะไปคือ รถประจำทางและรถรับจ้าง เราเลือกติดต่อรถเหมาที่ทางโรงแรมแนะนำให้
เพราะจะได้ไม่ต้องกังวลเรื่องเวลา และเยี่ยมชมวัดได้เต็มที่



รถพาเรามาจอดหน้าทางเข้าเพื่อซื้อบัตรเข้าชม และต้องนั่งรถ shuttle bus พาไปส่งด้านในอีกที
ชาวบ้านบริเวณวัดส่วนใหญ่ยังคงแต่งตัวด้วยชุดพื้นเมือง มือหนึ่งถือสร้อยประคำดูขลังดี



ของกินง่ายๆ ข้างทางยังเป็นตัวเลือกฉุกเฉินได้เสมอ สังเกตุว่าอาหารทุกอย่างจะมีพริกเป็นเครื่องปรุงหลัก



วัดซงจ้านหลินหรือวัดโปตาลาน้อย เป็นวัดนิกายลามะที่สำคัญ และใหญ่ที่สุดในมณฑลยูนาน
สร้างจำลองพระราชวังโปตาลา ในกรุงลาซา ทิเบต อายุเก่าแก่กว่า 300 ปี 


มีนักท่องเที่ยวสาวๆ มาเที่ยวและถ่ายรูปในชุดท้องถิ่นดูน่ารักได้บรรยากาศดี



มุ่งหน้าเดินขึ้นขึ้นบันไดสวรรค์ไต่ระดับความสูงขึ้นไป เดินนับไปเรื่อยๆ แต่เอ๊ะ! มันกี่ขั้นแล้วเนี่ย



สภาพอาคารเป็นศิลปะแบบทิเบตดูมีเสน่ห์ สีสันสดใสสไตล์เอเชีย



ยิ่งเห็นพระลามะตัวเป็นๆ ยิ่งได้มนต์ขลัง



เราขึ้นไปทำความเคารพสิ่งศักดิ์สิทธิ์ด้านในซึ่งไม่อนุญาติให้ถ่ายรูป ได้ยินมาว่าเค้ามีความเชื่อว่า
เราจะนำพาสิ่งศักดิ์สิทธิ์เหล่านั้นกลับออกไปด้วย จริงเท็จยังไงก็ไม่รู้สินะ
ภายในอารามมีเครื่องสัการะไว้จำหน่าย มีองค์พระพุทธรูปและเทพเรียงรายรอบอาราม
บริเวณตรงกลางเป็นโต๊ะและอาสนะสำหรับลามะ ดูคล้ายห้องเรียนพระพุทธศาสนา



มองจากด้านบนเห็นชื่อวัดเป็นภาษาทิเบตและจีนบนเนินเขาในระยะไกล



หลังจากเสร็จภาระกิจด้านใน เห็นลามะกำลังเตรียมพิธีอะไรสักอย่างที่ลานด้านนอก อยากอยู่รอดูแต่เกรงว่าจะนานไป





เวลาที่ได้แหงนหน้ามองจุดหมายในตอนขึ้นมันอาจดูเหน็ดเหนื่อยและอยากถอยหลังในบางขั้น
แม้ว่าเราจะจำไม่ได้ว่าเราผ่านมันมากี่ก้าวก็ตาม แต่ในตอนที่ก้าวไปถึงจุดหมายมันรู้สึกดีอย่างบอกไม่ถูก 





ลงมานั่งชิวรับลมแรง ดูฝูงเป็ด ห่าน หงส์ ว่ายน้ำเล่น บริเวณทะเลสาบ 
เมฆฝนตั้งเค้ามา ท้องก็เริ่มหิว ใกล้เวลานัดกับคนรถพอดี เราจึงกลับไปหาอาหารกินในเมือง



คนขับรถพาเราไปกินกลางวันที่คาเฟ่ในเมืองใหม่ที่มีเมนูภาษาอังกฤษและมีให้เลือกทั้งอาหารจีน และอาหารฝรั่ง 
มื้อนี้ค่อนข้างถูกปาก ยกความดีความชอบให้พี่คนขับไปเต็มๆ 



หลังอาหารกลางวัน เดินเล่นในเมืองเก่าที่แสนเงียบสงบ แวะคาเฟ่เล็กๆ แถวที่พัก หาเครื่องดื่มอุ่นๆ คลายหนาว



ได้เค้กสักชิ้นสองชิ้นมาเป็นของหวานด้วยยิ่งฟิน เห็นหน้าตาธรรมดาแต่อร่อยเหมือนกันแฮะ



นม...เนย...ชา Yak Butter Tea ขอลองเครื่องดื่มพื้นเมืองของชาวทิเบตสักหน่อย


วอร์มร่างกายพร้อมก็ไปต่อกันที่วัดต้าฝอ ไปสามัคคีหมุนกงล้อมนต์ยักษ์กัน ยิ่งหลายรอบยิ่งดี 
ที่นี่เป็นที่เดียวในทริปที่ไม่เสียค่าเข้า แอบแปลกใจเล็กๆ แต่ยินดีมาก



ด้านบนวัดต้าฝอสามารถมองวิวเมืองโบราณได้ทั่ว ส่องไกลเลยไปถึงเมืองใหม่ด้วย



ลมแรงพัดสบัดมนตราแห่งศรัทธาจากธงพุทธธิเบต 


อากาศตอนหัวค่ำเย็นลงเรื่อยๆ แต่ท้องฟ้าในเวลา 1 ทุ่มไม่เห็นมืดลงตามเวลา



อย่าลืมไปไหว้เจ้าแม่กวนอิมพันมือที่อารามด้านข้างด้วย




คนในเมืองออกมาชุมนุมกันที่ลานกลางเมืองหน้าวัดต้าฝอ
ไม่แน่ใจว่ากิจกรรมล้อมวงเต้นเป็นวัฒนธรรมชุมชนหรือเป็นการแสดงโชว์ของชาวเมือง
รู้แต่ว่าใครสนใจก็สามารถเข้าไปร่วมออกสเต็ปแจมได้ เหมือนแอโรบิกที่ลานชุมชนบ้านเรานั่นแหละ



ไม่ถนัดเต้นก็ออกเดินเล่นชมเมืองดีกว่า







มีร้านขายสินค้าท้องถิ่นให้เลือกซื้อเป็นของฝาก ส่วนใหญ่เท่าที่เห็นจะเป็นพวกผ้าทอ อุปกรณ์กันหนาว และขนสัตว์
แน่นอนว่าต้องมีขนจามรีด้วยชัวส์ ดูได้จากกะโหลกที่แขวนหน้าร้าน



ออกจากวัดต้าฝอเดินมาทางขวามือ เข้าซอยเดินตรงไปทางที่พักเจอร้านอาหารเล็กๆ น่าสนใจ





เลือกเข้าไปเพราะป้ายภาษาอังกฤษด้านหน้า อย่างน้อยคงพอสื่อสารกันได้บ้างล่ะ



แล้วเราก็ได้เมนูภาษาอังกฤษมา มองดูโต๊ะรอบข้างเห็นเป็นหม้อร้อน 
พวกเราสั่งอาหารด้วยวิธีอ่านเมนูและจิ้ม คนรับออเดอร์ไม่พูดอะไรนอกจากดูตามนิ้วที่เราชี้แล้วพยักหน้า



ลุ้นอยู่สักพักเราก็ได้อาหารหน้าตาเหมือนเค้ก รสชาติคล้ายหมั่นโถวมากินเป็นออเดิร์ฟคู่กับชาร้อน



อีกพักใหญ่ก็ได้ขาหมูตุ๋นหม้อร้อน หนักเครื่อง น้ำจิ้มรสเด็ดมากินจนอิ่ม 
บอกตรงๆว่า ตอนแรกแอบกลัวว่าจะกินไม่ได้ แต่พอได้ลองก็กินซะเรียบเลย





ก่อนกลับไปซุกตัวใต้ผ้าห่มไฟฟ้า แวะส่งโปสการ์ด หวังให้สัมผัสจากแดนสวรรค์ส่งกลับไปที่พื้นดิน
ขอให้คืนนี้หลับสนิทเพื่อเตรียมตัวไปเต๋อชิงในตอนเช้า




ค่าใช้จ่าย
  • แท็กซี่สนามบินเข้าเมืองเก่าประมาณ 40 หยวน
  • ห้อง Triple  200 หยวน
  • รถเหมาไปวัดซงจ้านหลินประมาณ 20 หยวน
  • เข้าวัดซงจ้านหลิน 115 หยวน
  • อาหารและอื่นๆประมาณ 200 หยวน
รวม 575 หยวน




 

Create Date : 11 กันยายน 2558    
Last Update : 16 กันยายน 2558 13:03:12 น.
Counter : 1184 Pageviews.  

Lost in Shangrila | แชงกรีล่า สุดขอบฟ้า #Kunming


หลังจากติดต่อพูดคุยกับเพื่อนไทยในจีนทางโซเชียลที่เล่าประสบการณ์ของคนที่รู้จักว่า
ถ้าพาสปอร์ตหายให้แจ้งความและติดต่อสถานทูตไทย และอาจต้องใช้เวลาเดินเรื่องไม่ต่ำกว่า 2 อาทิตย์ 
ถึงได้กลับประเทศ พวกเราจึงตัดสินใจว่าต้องเปลี่ยนแผนเที่ยวใหม่ เราจะเที่ยวต้าลี่และไปติดต่อสถานทูต
หลังจากนั้นก็จะปล่อยให้เพื่อนเที่ยวกันต่อตามแผนเดิม ทริปของฉันจะจบแค่ที่ต้าลี่เพียงคนเดียว

31 . 05 . 15
ต้าลี่ - คุณหมิง



แล้วเช้าวันใหม่ก็มาถึง พร้อมเสียงเคาะประตูหน้าห้องพักจาก "หลินเจียง" สาวจีนผู้จัดการเกสเฮ้าส์
เธอรีบแจ้งข่าวเราด้วยภาษามือ และ app ภาษาในมือถือ เพื่อจะสื่อสารกับเราว่า
ติดต่อกับสนามบินได้แล้ว และทางสนามบินบอกว่า...พบกระเป๋าพาสปอร์ตของเรา
วินาทีนั้นฉันเห็นแสงเปล่งประกายออกจากตัวหลินเจียง กระโดดดีใจ ยิ่งกว่าถูกหวยรางวัลใหญ่
ทุกคนๆ ตื่นมาร่วมดีใจกับโชคชะตาของฉัน ขอบคุณสวรรค์   T A T //



หลินเจียงส่งกระดาษโน้ตภาษาจีนให้ฉัน บอกว่านี่เป็นข้อความที่เอาไว้ให้คนที่ส่นามบินเพื่อติดต่อเรื่องของที่หาย 
และมีเบอร์โทรของเธอเผื่อฉุกเฉินด้วย โอ....น้ำตาจิไหล ซึ้งกับความมีน้ำใจของนางจริงๆ 



พวกเราตัดสินใจเก็บกระเป๋าเดินกลับไปที่สนามบินคุนหมิงเพื่อไปรับกระเป๋าพาสปอร์ตแล้วค่อยเดินทางไปลี่เจียง 




บอกลาหลินเจียง แล้วนางก็ติดต่อแท็กซี่ให้ไปส่งที่สถานีรถบัส 



แอบเสียดายที่ไม่ได้เที่ยวต้าลี่เมืองบรรยากาศดี และเพื่อนใหม่แสนดีของฉัน เราหวังว่าสักวันคงได้เจอกันอีก



อาหารเช้าของเราที่หน้าสถานีรถบัส แป้งปิ้งห่อผักกับไส้กรอกทาพริกหมาล่า ดูคล้ายโรตี รสชาติเฉพาะตัวพอกินได้



ซื้อผลไม้ไปเป็นเสบียงอีกนิดหน่อย โชคดีที่พวกเรารวมเงินกองกลางไว้ส่วนหนึ่ง จึงพอมีเงินให้ได้ใช้จ่ายบ้าง



แผนการเดินทางใหม่ของพวกเราคือ ไปสถานีรถไฟคุนหมิงซื้อตั๋วไปลี่เจียง
และจองตั๋วนอนจากลี่เจียงไปคุนหมิงในวันกลับ



ถึงคุนหมิงตอน 5 โมงเย็น รีบหาแท็กซี่ไปสถานีรถไฟเพื่อซื้อตั๋ว แต่ตั๋วไปลี่เจียงเต็มเราจึงจองแค่ตั๋วนอนในวันกลับ
แต่เกือบซื้อไม่ได้เพราะต้องใช้พาสปอร์ตในการจองด้วย โชคดีที่ฉันมีสำเนาหน้าพาสปอร์ตติดไว้ในกระเป๋าเดินทาง
เราถึงได้ตั๋วรถไฟขากลับมาไว้ให้อุ่นใจ 



ไม่ลืมหาของกินก่อนมุ่งหน้าไปตามหาพาสปอร์ตต่อที่สนามบิน



พอมาถึงสนามบินฉันรีบมองหา information เพื่อติดต่อเรื่องกระเป๋าในทันที
ยื่นโน๊ตจากสวรรค์ให้เจ้าหน้าที่ ทางเจ้าหน้าที่บอกว่าให้ไปติดต่อแจ้งความก่อน 
แต่ฉันยืนยันว่าได้ติดต่อมาก่อนแล้ว จึงได้ให้เบอร์หลินเจียงไป 



หลังจากเจ้าหน้าที่ได้คุยโทรศัพท์ก็ได้ประสานงานกับศูนย์ lost&found อยู่พักใหญ่ 
กว่าจะได้กระเป๋าพาสปอร์ตคืน แทบไม่น่าเชื่อว่าของทุกอย่างในกระเป๋าอยู่ครบ



เสียเวลามากกว่าที่คิด พวกเราจึงเปลี่ยนแผนการเดินทางใหม่ เราจะบินไปแชงกรีล่าในเช้าวันรุ่งขึ้น
ฉะนั้น...คืนนี้เราจะนอนกันที่สนามบินคุณหมิง!! 
หลับไม่ลงจริงๆ นั่งรอ data roaming ที่จะเปิดใช้ได้หลังเที่ยงคืนละกัน




ค่าใช้จ่าย
  • แท็กซี่ต้าลี่  50 หยวน
  • รถบัสต้าลี่-คุนหมิง 138 หยวน
  • แท็กซี่ไปสถานีรถไฟประมาณ 40 หยวน
  • แท็กซี่ไปสนามบินประมาณ 40 หยวน
  • ตั๋วรถไฟนอนลี่เจียง-คุนหมิง 221 หยวน
  • อาหารและอื่นๆ 100 หยวน
  • ตั๋วเครื่องบินไปแชงกรีล่า 430 หยวน
รวม 1,019 หยวน




 

Create Date : 09 กันยายน 2558    
Last Update : 16 กันยายน 2558 13:01:03 น.
Counter : 685 Pageviews.  

Lost in Shangrila | แชงกรีล่า สุดขอบฟ้า #Dali


ทริปแชงกรีล่าเป็นทริปใจง่ายมีเวลาเตรียมตัวเพียงแค่ 3 อาทิตย์จากการชวนของเพื่อนร่วมทริป 
ข้อมูลหลักๆ เพื่อนก็เป็นคนจัดการ แผนการเดินทางทั้ง 8 วัน คือ ต้าลี่ > ลี่เจียง > แชงกรีล่า > 
เต๋อชิง > แชงกรีล่า > คุนหมิง โดยมี แชงกรีล่า และภูเขาหิมะ เป็นเป้าหมายหลัก 
การเดินทางที่ไม่ทันตั้งตัวและเหตุการณ์ที่ไม่ได้ตั้งใจจึงเกิดขึ้น

30 . 05 . 15
ดอนเมือง-ต้าลี่



ออกเดินทางจากดอนเมืองด้วยเครื่องหางแดงตรงเวลาเป๊ะ 8.20 น. 
บินผ่านก้อนเมฆเหนือน่านฟ้าเมืองคุณหมิงจนเครื่องสั่น ประชากรชาวจีนเกือบเต็มลำส่งเสียงโล้งเล้ง
ชวนให้เสียวไส้กันทั้งลำ แล้วก็ลงจอดอย่างปลอดภัยในเวลา 11.00 น. อากาศในหน้าร้อนของจีนเย็นสบายกำลังดี



เดินทางเข้าเมืองด้วยแท็กซี่ตรงทางออกหมายเลข 3 เพื่อต่อไปสถานีรถบัส
เปิดตำราภาษาจีนให้ไปสถานีรถบัสพี่แกทำหน้างง เลยต้องเอารูปสถานีจากมือถือส่งให้แกดู 
กว่าจะถึงบางอ้อเล่นเอาเหงื่อหยด จะนั่งแท็กซี่ที่จีนต้องตกลงเรื่องการจ่ายเงินก่อนว่าจะกดมิตเตอร์หรือเหมา 
ส่วนใหญ่ถ้าเห็นเป็นนักท่องเที่ยว พี่จีนจะให้เหมาอย่างเดียวพวกมิตเตอร์จะหายาก 



ใช้เวลาประมาณ 1 ชม. มาถึงสถานีรถบัสที่เราจะต่อรถไปต้าลี่ พอเดินเข้าไปก็จะมีนายหน้า
ส่งเสียงเรียกตามสถานที่ๆ เราจะไป มีคุณป้าเดินเข้ามาหาพวกเราพูดมาแค่ "ต้าลี่" เป็นอันรู้กัน 
เราพยักหน้าเดินตามป้าไปออกตั๋วกันหน้าทางขึ้นบัสเลย 



เราดีใจกับราคาตั๋วที่ได้มาถูกกว่าข้อมูลที่หาไว้ ยังมีเวลาเหลือนิดหน่อยก็เดินไปหาของกินรองท้อง
เพราะระยะทางจากคุณหมิงไปต้าลี่ใช้เวลาไม่ต่ำกว่า 4 ชั่วโมง รถออกเที่ยงครึ่ง แวะจอดพัก 10 นาที ที่ปั๊ม
ตอนเกือบบ่าย 3 ฉันยังเพลิดเพลินกับบรรยากาศรอบตัวโดยคิดไม่ถึงว่าความสุขที่เข้ามามันช่างสั้นนัก
....

ฉันสำรวจกระเป๋าเป้จะหยิบเอกสารในกระเป๋าถือมาดู ควานหา ค้นหา เทกระเป๋าหา 
และก็ต้องอุทานในใจ ตาย..่า!! กระเป๋า เอกสาร พาสปอร์ต บัตรประชาชน บัตรเครดิต เงินหยวน...!!
นิ่งไปหนึ่งอึดใจ ทบทวนความจำอันน้อยนิด....
ใช่แล้ว!! ฉันวางกระเป๋าถือที่มีของสำคัญเหล่านั้นไว้ในรถเข็นสนามบิน 
....

เมื่อความมั่นใจมันตอกย้ำความสะเพร่าของตัวเอง ตัดสินใจหันไปบอกเพื่อนร่วมทางว่า 
"แก...งาน เข้า แล้ว... ฉันลืมกระเป๋าสำคัญ ไว้ที่สนามบินว่ะ" สุดเสียง ความทุกข์ก็มาเยือน
ทำยังไงต่อไปดี ตั้งสติและทำใจร่มๆ รอเวลาให้รถพาเราไปถึงต้าลี่ก่อนแล้วค่อยหาทางอยู่ให้รอดต่อไป 
แต่ใจที่หายไปพร้อมกระเป๋ามันบอกว่าหมดเวลาสนุกแล้วสิ  TT__TT



หลังจากลงรถบัสก็ต้องหารถไปเมืองเก่าต้าลี่ มีแท็กซี่ผีเต็มไปหมด เราเลือกเหมารถสามล้อไป
ตกลงกันเข้าใจดีแล้วว่าจะไปไหนราคาเท่าไหร่ แต่พอไปถึงพี่แกขอขึ้นราคาหน้าตาเฉย โดนไปอีก 1 ดอก  > '' <



เราได้ที่พักไม่ไกลจากประตูทิศเหนือ ฉันพยายามหาทางติดต่อสนามบินคุณหมิงโดยมีสาวจีนผู้ดูแลที่พักเป็นคนช่วย 
และพยายามที่จะติดต่อเพื่อนที่ประเทศไทยแต่ก็ลำบากมากๆ เพราะประเทศจีนมีข้อจำกัดในการใช้โซเชียล 
google ไม่ได้ line ไม่ได้ แล้วโรมมิ่งที่ซื้อไว้ก็อีก 2 วันถึงจะใช้ได้ โชคดีที่เพื่อนมี app สำหรับเชื่อมต่อเนตในจีนได้ 



ฉันวุ่นวายกับการติดต่อสื่อสาร โชคดีที่แขกในที่พักสื่อสารอังกฤษได้ และช่วยประสานงานให้คนดูแลที่พักช่วย
ติดต่อสนามบินจนได้เรื่องว่า ต้องติดต่อที่แผนก lost&found ในเวลาทำการแต่จะรับเรื่องไว้ 
นั่งคิดแผนการอยู่รอดในจีน ถอนหายใจเฮือกใหญ่ แล้วก็ออกไปเดินสำรวจต้าลี่ยามค่ำคืน



ต้าลี่เป็นเมืองท่องเที่ยว เป็นที่พักตากอากาศของชาวจีนในมณทลยูนาน บรรยากาศเต็มไปด้วยนักท่องเที่ยวชาวจีน 





ร้านค้าส่วนใหญ่อยู่ในอาคารจีนดั้งเดิม 





ไส้กรอกจีนย่างหินภูเขา รสชาติคล้ายกุนเชียงบ้านเรา



ขนมเปี๊ยะกุหลาบ เป็นของฝากที่ขึ้นชื่อ



ผลิตภัณฑ์นมก็ไม่น้อยหน้ามีให้เลือกทั้งนมวัวและนมจามรี



ชา และน้ำผลไม่ เหมาะสำหรับหน้าร้อนที่สุด



ร้านอาหารปิ้งย่าง กินง่าย และเปิดดึก



จะเนื้อหมู เนื้อไก่ หรือเนื้อจามรี เต้าหู้ ผักสด เสียบไม้เลือกได้ตามชอบ



สินค้าประเภทของใช้ กระจุ๊กกระจิ๊ก ก็มี ตาดีได้ตาร้ายเสียคืนไม่ได้นะจ๊ะ



การเดินในเมืองเก่าต้าลี่ ต้องคอยระวังรถและมอเตอร์ไซด์



ประตูทางเข้าเมืองเก่าเปิดไฟสวยงาม



มีศิลปินเปิดหมวก และสินค้าทำมือทั้งเก่าใหม่ ตลอดสองข้างทาง



มีร้านคาเฟ่ ผับ บาร์ อยู่บ้างพอให้ไม่เงียบเหงา ให้อารมณ์คล้ายถนนคนเดินที่เชียงใหม่



เสียดายที่ฉันไม่มีอารมณ์ชิวในเวลานั้น ขอกลับมานอนพักเอาแรง คิดหาทางรอดในวันต่อไปดีกว่า 




ค่าใช้จ่าย
  • ตั๋วเครื่องบินไป-กลับ 7,823 บาท
  • แท็กซี่มิตเตอร์สนามบินคุนหมิง-สถานีรถบัสประมาณ 80 หยวน
  • ตั๋วรถบัสคุนหมิง-ต้าลี่ 112 หยวน
  • รถสามล้อไปเมืองเก่าต้าลี่ 45 หยวน
  • เกสเฮ้าส์ห้อง 3 คน 200 หยวน
  • อาหารประมาณ  50 หยวน
รวม 7,823 บาท + 487 หยวน




 

Create Date : 09 กันยายน 2558    
Last Update : 16 กันยายน 2558 13:00:14 น.
Counter : 536 Pageviews.  

To Live a Slow Life | น่าน เนิบ เนิบ 05

22 - 2 - 2015

หลังจากได้กินอิ่ม หลับเต็มตื่นในคืนวาน วันนี้จึงเป็นเช้าวันอาทิตย์ที่สดใส



แมวน้อยวิ่งเล่นอยู่หน้าที่พักเลยออกไปทักทายซะหน่อย


วันนี้ไปสำรวจตลาดและหามื้อเช้าที่ "ตลาดตั้งจิตนุสรณ์" เหมือนเคย





ก๋วยจับน้ำข้น และบะหมี่เกี๋ยว "ร้านนายหนุ่ม" คงไม่ได้เป็นอาหารเช้าเบาๆ อย่างที่ควรจะเป็น





แล้วก็ออกไปเดินเที่ยวในเมือง



อาจจะโดนเหยียดหยามถ้ามาน่านแล้วไม่ได้ไป "วัดภูมิณทร์" 
แต่ก่อนเข้าไปก็ต้องเตรียมตัวให้พร้อมสักหน่อย





ในวันเสาร์-อาทิตย์จะมีมัคคุเทศก์น้อยคอยต้อนรับนักท่องเที่ยว



ไปลา มาไหว้ เป็นธรรมเนียมประจำใจในการเดินทาง 
ไหว้พระก่อนกลับเพื่อความสบายใจ



จิตรกรรมฝาผนังเก่าแก่ ปู่ม่าน ย่าม่าน ต้นกำเนิด กระซิบรักบันลือโลก



ด้านข้างมีภาพเขียนเลียนแบบจิตรกรรมฝาผนังให้เลือกซื้อ





ข่วงเมืองคงเป็นลานกิจกรรม และสถานที่นัดของเด็กในเมืองน่าน



เวลาน้อยนิดในช่วงเช้าที่คิดจะต่อนยอน ทำให้ได้เพียงแค่เดินเล่นบริเวณข่วงเมือง



อยากเข้าพิพิธภัณฑ์น่าน แต่ปิดปรับปรุง เลยได้แค่แวะ "วัดน้อย" 
วัดที่เล็กที่สุดในประเทศ



รู้สึกดีที่ได้ใช้ชีวิตเนิบๆ ที่น่าน ไปเที่ยวเท่าที่สองขาจะพาไปได้ในไม่กี่วัน



การเดินทางเนิบช้า แต่เวลาเดินไว สักวันคงได้กลับไปเนิบ เนิบ ที่น่านอีกนะ
น่าน... เมืองน่ารัก คนก็น่าฮัก




ค่าใช้จ่าย
  • มอเตอร์ไซด์วินไปสนามบิน 50 บาท
  • ตั๋วเครื่องบินแอร์เอเชีย 993.50 บาท
  • อาหารและของฝาก 300 บาท




 

Create Date : 16 สิงหาคม 2558    
Last Update : 17 สิงหาคม 2558 17:10:02 น.
Counter : 669 Pageviews.  

To Live a Slow Life | น่าน เนิบ เนิบ 04

21 - 2 - 2015

บรรยากาศรอบหมู่บ้านเต้นท์ครึกครื้นด้วยเสียงกรน ข่มตาหลับได้ไม่เต็มตาก็ถึงเวลาตื่น
เพื่อมาดูพระอาทิตย์ในเช้าวันใหม่



รอพี่อาทิตย์ รอดพ้นหมอกบางๆ พร้อมคลื่นมหาชน



รอ...ฟ้าสีเทาจางๆ อากาศเย็นสบาย น่าจิบชาร้อน จะชิวมากถ้าปริมาณประชากร
ไม่หนาแน่นขนาดนี้



พี่อาทิตย์ต่อนยอน กว่าจะโผล่พ้นเมฆหมอกออกมาก็เกือบ 8 โมงเช้า 
ขอชื่นชมให้สมใจ มองภาพธรรมชาติข้างหน้าผ่านเลนส์ไม่สวยเท่าตาเห็น



เสียดายไม่ได้ขึ้นผาหัวสิงห์ เจ้าหน้าที่บอกเราว่ามีแผ่นดินไหวที่พม่า
ซึ่งเราก็ไม่ควรจะเสี่ยง หลังจากชื่นชมอาทิตย์ต่อนยอน ผู้คนก็เริ่มจางตา
ไปพร้อมกับสายหมอก



ขากลับยังใช้บริการรถกระบะคันเดิม แต่เพิ่มเพื่อนใหม่อีก 2 เป็น 7 คน
แต่เราก็แยกกับเพื่อนใหม่ 2 คนที่จะไปแพร่ต่อ ส่วนเรา 5 คนก็มุ่งหน้าไปน่านเลยเจ้า



กว่าจะถึงเมืองน่านก็เที่ยงกว่า เก็บสัมภาระเข้า checkin ที่ "ศรีนวลลอร์ด"



"ที่พักหลักร้อยที่ไม่น้อยหน้าใคร" สโลแกนบอกนิยามของสถานที่ได้อย่างชัดเจน







เป็นที่พักที่ตั้งอยู่กลางเมืองน่าน เดินทางสะดวก ดูแลกันแบบครอบครัว 



พักผ่อนจากการเดินทางพอหายเหนื่อย ก็เตรียมออกไปเที่ยวต่อได้



เราออกมาดักรอขึ้นรถ น่าน-ท่าช้าง ที่ถนนใหญ่ เพื่อที่จะไป "หอศิลป์ริมน่าน" และ 
"วัดหนองบัว" กะจะกินข้าวซอยเมืองน่านก่อนไป แต่ไม่ทันจะนั่งรถท่าวังผาก็มา 
รีบวิ่งขึ้นรถกันหน้าตั้ง



บอกเป้าหมายให้กระเป๋ารถช่วยสะกิดจะได้ไม่เลย นั่งรถหวานเย็นแต่แรงดีไม่มีตก
ออกนอกเมืองไปสัก 30 นาทีก็ถึงแล้ว



"หอศิลป์ริมน่าน" ชื่อบอกเลยว่าเป็นหอศิลป์ที่ตั้งอยู่ริมแม่น้ำน่าน
ก่อตั้งและดำเนินการโดย คุณวินัย ปราบริปู ศิลปินชื่อดังชาวน่าน



เสียค่าเข้าบำรุงสถานที่เล็กน้อยก็ได้เข้าไปดูผลงานศิลปะของศิลปินมากมาย 
ทั้งในและนอกพื้นที่





ภายในบริเวณมีเนื้อที่กว่า 13 ไร่ จัดแสดงนิทรรศการทั้งถาวร และหมุนเวียน







เดินเนิบๆ ดูผลงานศิลปะ แล้วก็ไปนั่งต่อที่ศาลาริมน้ำต่อนยอนกันไป



หากสนใจผลงานชิ้นไหน หรืออยากได้ของที่ระลึก ก็แวะ "เฮือนศรีนวล"
ร้านขายของที่ระลึกเรือนไม้ริมน้ำ





เราเดินออกจากหอศิลป์ในเวลาบ่าย 2 โมง กะว่าจะลองไปโบกรถหรือไม่ก็รอรถสายเดิม
เพื่อต่อไป "วัดหนองบัว"



โบกรถกระบะคันแรกจอดรับ แต่เสียดายที่เค้าไม่ผ่านทางนั้น เลยรอโบกคันที่ 2
รถแล่นด้วยความเร็วผ่านหน้าพวกเราไป แต่ชะลอและหยุดในระยะห่างออกไป 200 ม.
สอบถามพูดคุยกันแล้ว พี่คนขับก็บอกว่าจะไปส่งให้ถึงวัดเลย ด้วยความดีใจ
เราจึงรีบกล่าวขอบคุณแล้วกระโดดขึ้นกระบะหลังกันเลย เราเชื่อแล้วว่าคนน่านใจดี



คุณครูเกตุ อยู่บ้านดอนตัน คือเจ้าของรถที่พาเรามาส่งถึงวัดหนองบัว แถมยังอาสา
จะรอพวกเราเดินเที่ยวแล้วพาไปส่งถนนใหญ่ตอนกลับด้วย แต่พวกเราเกรงใจ
เลยกล่าวขอบคุณพร้อมร่ำลากันตรงหน้าวัด



วัดหนองบัวเป็นวัดเก่าแก่ของหมู่บ้านหนองบัว จ.น่าน ซึ่งเป็นหมู่บ้านไทยลื้อ ที่สงบร่มเย็น
ภายในมีจิตรกรรมผาผนังที่เก่าแก่ งดงามไม่แพ้วัดภูมินทร์



ทางเข้าด้านหน้า ต้อนรับนักท่องเที่ยวด้วยวงดนตรีพื้นเมืองของชาวบ้าน



ด้านหลังเป็นที่ตั้งของเรือนไม้ชาวไทยลื้อ หรือศูนร์บริการวัฒนธรรมชุมชน 
ที่ผลิตและขายสินค้าจากผ้าทอมือ 



บ้านไม้โบราณจัดแสดงความเป็นอยู่ของชาวบ้านในสมัยก่อน





ได้เวลาที่พวกเราต้องออกไปรอรถท่าช้างรอบสุดท้ายก่อน 6 โมงเย็น
จากถนนใหญ่เข้ามาถึงวัดระยะทางประมาณ 5 กม. พวกเราเลือกวิธีโบกรถเหมือนเดิม



เดินไปตามทางเรื่อยๆ รถในหมู่บ้านไม่เยอะเหมือนถนนใหญ่ ยังคงเชื่อในความใจดีของคนน่าน
แต่กว่าเราจะได้รถก็เดินมาเกือบโลหนึ่งแล้ว



เรารอรถท่าช้างอยู่เกือบครึ่งชม. สอบถามคนแถวนั้นเพื่อให้มั่นใจว่าเราจะไม่พลาด
รถรอบสุดท้ายชัวส์



ตลอดหลายวันในน่านเราได้เดินทาง พร้อมกับสายลมและแสงแดดที่อบอุ่น
ใช้เวลาให้หมดไปอย่างเนิบช้า มีบ้างบางครั้งที่แอบเปรียบกับชีวิตในเมือง
แล้วนึกอิจฉาคนที่นี่ อากาศก็ดี คนก็น่ารัก



ใกล้เวลาที่จะต้องกลับไปดำเนินชีวิตที่เร่งรีบแล้วซินะ



เราเลือกฉลองการได้พบกันด้วยมื้อค้ำชุดใหญ่ บุฟเฟ่ท์ปิ้งย่างที่ร้านข้างที่พัก 
ทั้งปิ้งย่าง ทั้งลวกต้ม เต็มอิ่มกันไปเลย



ต่อด้วยของหวานร้านป้านิ่ม ที่ขึ้นชื่อ



ขนาดไม่ค่อยชอบขนมน้ำกระทิ แต่บัวลอยน้ำกระทิชามนี้ไม่ควรพลาด 
หวานมันกำลังดี จบมื้ออย่างสวยงาม



ต่อด้วยการเดินเล่นย่อยอาหารที่ถนนคนเดินแถวข่วงเมือง วัดภูมินทร์




ค่าใช้จ่าย
  • รถกระบะพี่ดิเรก 400 บาท
  • รถนาน้อย-นาหมื่น 40 บาท
  • รถน่าน-เวียงสา 20 บาท
  • สองแถวไปที่พัก 20 บาท
  • รถท่าช้างไปหอศิลป์ 25 บาท
  • หอศิลป์ริมน่าน 20 บาท
  • รถท่าช้าง-น่าน 35 บาท
  • ศรีนวลลอร์ด 800 / คืน
  • อาหารและของฝาก 800 บาท




 

Create Date : 13 สิงหาคม 2558    
Last Update : 16 สิงหาคม 2558 14:52:53 น.
Counter : 718 Pageviews.  

1  2  3  

bepoom
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




free from freedom
Group Blog
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add bepoom's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.