ความดีก็เหมือนกางเกงใน มีติดตัวไว้ แต่ไม่ต้องเอามาโชว์
Group Blog
 
All blogs
 

เสพศิลป์สิ่งมหัศจรรย์ยุโรป (ตอนที่ 2)

โลดแล่นจากเวนิสสู่สวิสเซอร์แลนด์



ในที่สุดก็ได้เวลาท่องเวนิสให้ชุ่มปอดซะที บ้านเมืองของที่นี่สวยงามตระการตาทีเดียวค่ะ เนื่องจากเป็นเมืองที่มีลำคลองมากที่สุดในโลก ฉันจึงไม่แปลกใจเลยที่ได้เห็นผู้คนส่วนใหญ่ใช้เรือเป็นพาหนะหลักในการเดินทางไปยังสถานที่ต่างๆ อ้อ!! คุณผู้อ่านทราบไหมคะว่า...ครั้งหนึ่งกรุงเทพฯ บ้านเราเคยถูกขนานนามให้เป็นเวนิสตะวันออกด้วย แต่ปัจจุบันสภาพแวดล้อมได้เปลี่ยนแปลงเป็นถนนหนทางตัดใหม่มากมาย แถมน้ำในลำคลองก็ส่งกลิ่นเน่าเหม็นจนไม่น่าพิสมัย แล้วอย่างนี้ใครจะกล้านั่งเรือชมเมืองเล่นอีกล่ะคะ

เอาล่ะ...เรามาทำความรู้จักกับเรื่องราวของเวนิสเพื่อเป็นการเรียกน้ำย่อยก่อนดีกว่า เวนิสเป็นเมืองหลวงของแคว้นเวเนโต ประเทศอิตาลี ซึ่งได้รับฉายาจากนักท่องเที่ยวมากมาย อาทิ ราชินีแห่งทะเลอาเดรียตริก (Queen of the Adriatic), เมืองแห่งสายน้ำ (City of Water), เมืองแห่งสะพาน (City of Bridges) และเมืองแห่งแสงสว่าง (The City of Light) นครเวนิสถูกสร้างขึ้นจากการเชื่อมเกาะเข้าด้วยกันในบริเวณทะเลสาบเวนิเทีย ซึ่งประกอบไปด้วยเกาะเล็กๆ จำนวน 117 เกาะ มีคลองประมาณ 150 สาย รวมทั้งมีสะพานเชื่อมถึง 409 แห่ง ว่ากันว่าในอดีตเวนิสมีความเจริญทางด้านการค้ามากทีเดียว และเป็นรัฐอิสระที่ไม่ได้ขึ้นกับใคร ก่อนที่จะมารวมกันเป็นประเทศอิตาลีอย่างเช่นปัจจุบันนี้



ขณะที่กำลังทบทวนประวัติศาสตร์เมืองเวนิสเพลินๆ ฉันก็เดินทางมาถึงเกาะซานมาร์โค (San Marco) และได้ผ่านชม “สะพานถอนหายใจ” (Bridge of Sight) ที่เชื่อมต่อระหว่างพระราชวังกับคุก ซึ่งนักโทษที่เดินผ่านสะพานนี้จะมีโอกาสได้เห็นแสงตะวันภายนอกเป็นครั้งสุดท้าย จึงต้องถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ด้วยความหดหู่ในชะตากรรมของตัวเอง...เฮ้อ...(อันนี้ได้ยินเขาเล่าต่อๆ กันมาอีกทีนะคะ แต่เห็นว่าท่าจะจริงค่ะ) แต่สิ่งหนึ่งที่ทำให้ฉันสนใจยิ่งกว่านั้นก็คือ จิอาโคโม จิโรลาโม คาสโนวา นักรักผู้ยิ่งใหญ่ก็เคยข้ามผ่านสะพานนี้มาแล้ว



จุดหมายต่อไปพลาดไม่ได้กับ “จัตุรัสเซนต์มาร์ค” ซึ่งมีวิหารเซนต์มาร์คเป็นฉากหลัง และล้อมรอบไปด้วยสถาปัตยกรรมงดงามแบบไบแซนไทน์ สถานที่แห่งนี้นโปเลียนเคยกล่าวเชยชมไว้ว่าเป็น “ห้องรับแขกที่สวยที่สุดในยุโรป” ด้านหน้าโบสถ์จะมีร้านรวงขายสินค้ามากมาย งานแฮนด์เมดบางชิ้นช่างสวยยั่วกิเลสเหลือเกิน โดยเฉพาะเครื่องแก้วมูราโน่ที่ได้แค่หยิบๆ จับๆ เท่านั้นเองค่ะ แหม...ถ้าราคาไม่แพงมหาโหดขนาดนี้ก็อยากจะซื้ออยู่หรอก ฉันจึงตัดสินใจเอาเงินไปจ่ายค่าล่องเรือกอนโดล่าแทนดีกว่า เพราะไม่งั้นเดี๋ยวถูกคำครหาจากเพื่อนๆ ว่ามาไม่ถึงเวนิส ภายในเรือสามารถนั่งได้ทั้งหมด 6 คน ฉันมาคนเดียวโด่เด่ก็เลยทำเนียนขอแจมไปกับนักท่องเที่ยวคนอื่นด้วย ตรงนี้ขอแนะนำนิดหนึ่งนะคะในการต่อรองราคาค่าแจวเรือชมเมือง อย่าใจร้อนรีบตกลงกับเรือที่อยู่ด้านหน้าเชียว ซึ่งส่วนใหญ่จะเรียกค่าจ้างต่อเที่ยวสูงถึง 150 ยูโร ลองเดินเข้ามาด้านในเรื่อยๆ หากโชคดีอาจเจอบางลำคิดแค่ 80-100 ยูโรเท่านั้น การล่องเรือใช้เวลาทั้งหมด 30 นาที มุ่งสู่ Grand Canal ลำคลองที่กว้างที่สุดของเกาะเวนิส ทิวทัศน์สองข้างทางงดงามไปด้วยศิลปะทางสถาปัตยกรรมอันน่าประทับใจที่ฉันเชื่อว่าหากใครมีโอกาสมาเยือนจะต้องตกหลุมรักเวนิสอย่างถอนตัวไม่ขึ้นแน่นอน



ฉันเพลินเพลินไปกับมนต์เสน่ห์ของเวนิสจนเต็มอิ่มก็กลับโรงแรมเพื่อพักผ่อน พร้อมกับไม่ลืมบอกรีเซฟชั่นให้โทรปลุกในตอนเช้าตรู่ด้วย ปรากฏว่าฉันตื่นก่อน Morning Call ซะอีก โปรแกรมในวันนี้คือการเดินทางไปยังลูเซิร์น เมืองตากอากาศที่โด่งดังของสวิสเซอร์แลนด์ ตั้งอยู่ริมทะเลสาบขนาดใหญ่ที่ชื่อว่า เวียวาลด์ สแตร์ทเตอร์ เป้าหมายแรกของฉันอยู่ที่สะพานคาเปล (Kapelbruck หรือ Chape Bridge) ซึ่งเป็นสะพานไม้เก่าแก่ที่มีอายุกว่า 600 ปี ทอดตัวข้ามแม่น้ำรอยส์ ตลอดทางบนสะพานจะประดับด้วยภาพเขียนที่บอกเล่าถึงประวัติศาสตร์ของประเทศได้เป็นอย่างดี ว่ากันว่าสะพานนี้เคยถูกไฟไหม้เสียหายมากๆ มาแล้วครั้งหนึ่ง แต่ก็ได้รับการซ่อมแซมใหม่จนอยู่ในสภาพที่ดีเหมือนเดิม หลังจากถ่ายรูปจนหนำใจแล้ว ฉันก็ออกเดินทางต่อไปยังเมืองแองเกิลเบิร์ก ขึ้นกระเช้าไฟฟ้าโรแตร์ที่สามารถหมุนได้รอบถึง 360 องศา เพื่อชมทิวทัศน์ของเทือกเขาแอลป์และมุ่งสู่ยอดเขาทิตลิสที่มีความสูง 3,028 เมตร ซึ่งปกคลุมไปด้วยหิมะตลอดทั้งปี ที่นี่นอกจากจะเป็นยอดเขาที่สวยงามแล้ว นักท่องเที่ยวยังนิยมมาเล่นสกีเป็นจำนวนมากอีกด้วย



จริงๆ แล้วฉันเล่นสกีไม่เป็นหรอกนะคะ ก็ได้แต่ยืนมองเขาเล่นสนุกด้วยความอิจฉาตาร้อน (ไม่แน่ใจว่าร้อนจนน้ำแข็งละลายหรือเปล่า ฮ่าๆๆๆ) พอดูนานเกือบชั่วโมงชักเริ่มเบื่อ เอาไงดีล่ะทีนี้....เดินไปดูถ้ำน้ำแข็ง Glacier Grotto ดีกว่า ถ้ำนี้มีอายุกว่าพันปี มีความยาวถึง 130 เมตร และลึกที่สุดถึง 15 เมตร มีน้ำแข็งปกคลุมตลอดทั้งปี แม้อุณหภูมิข้างในจะหนาวเหน็บแบบติดลบจนฉันจามน้ำมูกไหลไปหลายที แต่ก็ไม่อยากรีบออกมาเลยค่ะ เพราะติดใจในความแปลกตาของรูปทรงน้ำแข็งที่สวยใสวาววับราวกับคริสตัลของสวารอฟสกี้ เสียดายที่ไม่ได้กดชัตเตอร์เก็บภาพมาฝาก เนื่องจากกล้องของฉันอ่อนแอแพ้ความเย็นค่ะ



จากนั้นฉันก็ลงจากยอดเขา ระหว่างนั่งบนกระเช้าดันเกิดอาการเสียวไส้ติ่งแปล่บๆ ตลอดทาง กว่าจะถึงพื้นด้านล่างก็ทำเอาฉันเกร็งไปทั้งตัว สถานที่สุดท้ายของวันนี้คือ กรุงเจนีวา ซึ่งฉันมุ่งมั่นมากกับการถ่ายรูปแหล่งท่องเที่ยวสำคัญต่างๆ ให้ครบถ้วน ได้แก่ น้ำพุเซ็ตโตที่มีความสูง 145 เมตร, นาฬิกาดอกไม้, อนุสาวรีย์ชองชาร์ค รุสโว บนเกาะรุสโซ และทะเลสาบเจนีวาอันสวยงาม อ้าว...ลืมไปค่ะ ฉันมาคนเดียวนี่นะ แล้วใครจะถ่ายรูปให้ล่ะ (-_-“) ภาษาอังกฤษก็ไม่แข็งแรงซะด้วย สุดท้ายจึงถ่ายแต่ทิวทัศน์ล้วนๆ ไม่มีรูปฉันกับวิวสวยๆ ซักชอต เฮ้อ....และที่แย่กว่านั้น กล้องดิจิตอลเจ้ากรรมดันถ่านหมดตอนนี้พอดี Oh My God!!!!



วันนี้ขอจอดป้ายที่สวิสเซอร์แลนด์นะคะ ใครที่อยากเที่ยวเวนิสก็รีบหาโอกาสมาเยือนด่วน เพราะแว่วว่าอีกไม่กี่ปี หากวิกฤติการณ์จากภาวะโลกร้อนยังแย่ลงอย่างนี้ อาจส่งผลให้น้ำในลำคลองรอบๆ เอ่อล้นมากขึ้นจนเกาะแห่งนี้ต้องจมหายไปจากแผนที่โลกในที่สุด ฉันขอฝากให้ทุกคนช่วยกันรักษ์โลกก่อนทุกอย่างจะสายเกินแก้ด้วยนะคะ และอย่าลืมติดตามต่อในตอนจบกับการเดินทางสู่มหานครปารีสจนถึงอียิปต์ค่ะ





 

Create Date : 18 กุมภาพันธ์ 2552    
Last Update : 18 กุมภาพันธ์ 2552 23:19:02 น.
Counter : 761 Pageviews.  

เสพศิลป์สิ่งมหัศจรรย์ยุโรป (ตอนที่ 1)

ตะลุยเที่ยวอิตาลี



หลายคนอาจสงสัยใช่ไหมคะว่าฉันถูกลอตเตอรี่รางวัลใหญ่อะไรมา จึงมีเงินก้อนโตไปเที่ยวยุโรปได้อย่างสบายใจ แหม...ฉันคงไม่โชคดีขนาดนั้นหรอกค่ะ แต่ทั้งหมดนี้เป็นรางวัลชีวิตที่มาจากน้ำพักน้ำแรงของตัวเองล้วนๆ หลังจากอดทนเก็บหอมรอมริบมากว่าสองปี ในที่สุดฉันก็ได้โกอินเตอร์สู่ดินแดนแห่งวัฒนธรรมอันดับหนึ่งของโลกสมใจอยาก

เวลา 00.45 น. เครื่องยนต์โบอิ้งขนาดใหญ่ของสายการบินอียิปต์แอร์ทะยานสู่น่านฟ้าสู่กรุงไคโร ประเทศอียิปต์ เพื่อแวะเปลี่ยนเครื่องแล้วเดินทางต่อไปยังสนามบินลีโอนาร์โด ดาร์วินชี่ (หรือที่เรียกว่า Fiumicino) ซึ่งใช้เวลาทั้งหมด 8 ชั่วโมงเต็มๆ ก็ถึงอิตาลี เฮ้อ..ทำเอาสาวไฮเปอร์อย่างฉันแทบเดี้ยงเลยค่ะ เมื่อผ่านขั้นตอนการตรวจเอกสารเข้าเมืองเรียบร้อยแล้ว ฉันก็ใช้บริการแท็กซี่เพื่อไปเช็คอินและเก็บสัมภาระที่ Best Western Hotel

เอาล่ะ...ได้เวลาท่องโลกกันแล้ว แม้ครั้งนี้จะฉายเดี่ยวแบบวันเกิร์ลโชว์และมีเพียงคู่มือท่องยุโรปเล่มเล็กๆ เป็นไกด์นำทางเท่านั้น แต่ฉันก็ไม่หวั่นหรอกค่ะ วันแรกขอทัวร์กรุงโรมให้ชุ่มปอดก่อนดีกว่า ที่นี่เป็นอีกหนึ่งแหล่งท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียง ซึ่งในแต่ละปีจะมีนักท่องเที่ยวจากทั่วโลกหลั่งไหลมาชื่นชมความยิ่งใหญ่ของศิลปะและสถาปัตยกรรมไม่ขาดสาย ทุกมุมถนนมักเต็มไปด้วยโบสถ์ สิ่งปลูกสร้าง และรูปปั้นโบราณสวยงามมากมาย ด้วยเหตุนี้ฉันจึงตัดสินใจเดินชมเมืองไปเรื่อยๆ ดีกว่า เพราะอยากรู้จักกรุงโรมให้ลึกซึ้งที่สุด

ฉันเพลินกับการเดินเท้าจนกระทั่งมาหยุดตรงหน้ามหาวิหารเซนต์ปีเตอร์ ความโออ่าของสถานที่อันศักดิ์สิทธิ์ช่างงดงามจนฉันไม่พลาดที่จะเข้าไปสัมผัสอย่างใกล้ชิด ซึ่งการเข้าชมค่อนข้างเข้มงวดนิดนึง หากมีสิ่งของหรือสัมภาระติดตัวจะต้องผ่านเครื่องเอ็กซเรย์เสียก่อน (สงสัยหน้าตาฉันคงไม่น่าไว้ใจมั้ง) ว่ากันว่าที่นี่ถูกสร้างขึ้นเพื่อระลึกถึงนักบุญเซนต์ปีเตอร์ ผู้มีหน้าที่ดูแลและรักษากุญแจที่เปิดประตูสู่สวรรค์ นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่รวมถึงฉันต่างมุ่งหวังที่จะได้ชื่นชมผลงานแกะสลักอันเลื่องชื่อของศิลปินเอก “ไมเคิล แองเจโล” คือ ปิเอต้า (Pieta) เป็นรูปพระแม่มารีอุ้มพระศพของพระเยซู ซึ่งมีความอ่อนช้อยแต่ขณะเดียวกันก็แฝงไปด้วยอารมณ์เศร้าโศกอยู่ลึกๆ



หลังจากอิ่มเอมกับสถาปัตยกรรมทางศาสนาแล้ว ฉันก็แวะถ่ายรูปเล่นต่อที่ด้านหน้าสนามกีฬาโคลอสเซียม ซึ่งเป็น 1 ใน 7 สิ่งมหัศจรรย์ของโลกที่ใช้ระยะเวลาก่อสร้างทั้งหมด 8 ปี อาคารมีลักษณะกลมและมีความยาวโดยรอบ 527 เมตร จำนวน 4 ชั้น สามารถจุคนได้ราว 50,000 คน โบราณสถานแห่งนี้ไม่ได้สร้างขึ้นเพื่อแสดงความยิ่งใหญ่ของกรุงโรมเพียงอย่างเดียว ทว่ายังเป็นสถานที่ที่ฝูงชนมาชมการต่อสู้อย่างเลือดเย็น ทั้งระหว่างนักสู้กับสัตว์ร้าย หรือระหว่างนักสู้ด้วยกันเอง โดยการต่อสู้แบบนี้ได้รับความนิยมมากในยุคสมัยนั้น แม้แต่จักรพรรดิ์ Commodus ผู้มีชื่อเสียงในเรื่องการต่อสู้ก็ยังเคยลงแข่งขัน แต่สภาพดั้งเดิมของโคลอสเซียมไม่ใช่แบบนี้หรอกนะคะ เนื่องจากในช่วงศตวรรษที่ 8 นั้น พระสันตปาปา พอลล์ ที่ 3 ได้อนุญาตให้หลายชายของพระองค์ ทำการสกัดหินจากสนามต่อสู้ เพื่อนำไปใช้ก่อสร้างวังของตนเอง และยังได้อนุญาตให้ Cardinal (ตำแหน่งที่รองจากสันตปาปา) สามารถขนวัสดุหรือแม้แต่หินก้อนต่างๆ ออกไปใช้ได้ไม่จำกัด ด้วยเหตุนี้จึงเหลือเป็นรูปเป็นร่างเท่าที่เห็นอยู่ในปัจจุบันนี่แหละค่ะ



จุดหมายถัดมาคือ Trevi Fountain หรือน้ำพุเทรวี่ ต้นกำเนิดของเสียงเพลงในภาพยนตร์เรื่อง Three Coins in the Fountain อันโด่งดัง ซึ่งมีความสวยงามทางสถาปัตยกรรมอย่างมาก เป็นผลงานการดีไซน์ของสถาปนิกชื่อ Francesco Salvi ที่สร้างความประทับใจให้กับนักท่องเที่ยวทั่วโลกจวบจนทุกวันนี้ ตามตำนานกล่าวไว้ว่า หากใครมาเยือนแล้วโยนเหรียญอธิษฐานทิ้งไว้ในสระก็จะได้กลับมายังกรุงโรมอีกครั้งหนึ่ง และแน่นอนค่ะ...ฉันปฏิบัติตามด้วยความเชื่อมั่นอย่างเต็มเปี่ยม (เพี้ยง!!! ขอให้ได้กลับมาเถอะ)

ฉันหลงใหลไปกับประวัติศาสตร์ของอิตาลีจนลืมเวลา นึกขึ้นได้อีกทีก็จวนจะเย็นย่ำเสียแล้ว นี่ขนาดเที่ยวแบบไม่อ้อยอิ่งนะเนี่ย สุดท้ายต้องยอมตัดใจปิดโปรแกรมกับหอเอนปิซ่าที่ฉันแอบสงสัยว่าทำไมมันเอียง??? หญิงสาวชาวอิตาลีใจดีคนหนึ่งได้ให้ความกระจ่างกับฉันว่า สาเหตุที่เอียงนั้นเกิดขึ้นหลังจากเมื่อสร้างเสร็จ ฐานได้ทรุดไปข้างหนึ่ง โดยเอียงออกจากแนวดิ่งของฐานถึง 14 ฟุต แต่ไม่ล้ม ซึ่งครั้งหนึ่งกาลิเลโอยังเคยขึ้นไปทำการทดลองทางวิทยาศาสตร์เกี่ยวกับแรงโน้มถ่วงของโลกที่หอเอนปิซ่าแห่งนี้ด้วย



ขออนุญาตเล่าถึงอิตาลีเพียงเท่านี้นะคะ คราวหน้าจะพาไปล่องเรือกอนโดล่าที่เกาะเวนิสและชมเสน่ห์ของสวิสเซอร์แลนด์กันต่อค่ะ รับรองว่าต้องสนุกแน่นอน











 

Create Date : 01 กุมภาพันธ์ 2552    
Last Update : 18 กุมภาพันธ์ 2552 14:14:29 น.
Counter : 1260 Pageviews.  

สะบายดี หลวงพะบาง

    ชื่อเสียงของ “เมืองหลวงพระบาง” ในยามนี้ ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าหอมหวานชวนให้ไปเยือนขนาดไหน ด้วยเหตุผลหลักๆ คือการเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่ได้รับการขึ้นทะเบียนให้เป็นเมืองมรดกโลก โดดเด่นในเรื่องการรักษาเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมไว้ได้อย่างเหนียวแน่น มีวัดวาอารามเก่าแก่มากมาย บ้านเรือนคลาสิคแบบโคโลเนียลสไตล์ ตัวเมืองตั้งอยู่ริมน้ำโขงและน้ำคาน ซึ่งไหลบรรจบกันท่ามกลางธรรมชาติอันงดงาม ยิ่งไปกว่านั้น...ชาวหลวงพระบางส่วนใหญ่ล้วนมีบุคลิกยิ้มแย้มเป็นมิตร น่าคบหาสมาคมไม่แพ้ชาติใดๆ ในโลก
     ด้วยเสน่ห์เฉพาะตัวของหลวงพระบางที่กล่าวไว้ข้างต้น ทำให้ฉันต้องดั้นด้นมาสัมผัสด้วยตัวเองถึงที่ สายการบินบางกอกแอร์เวย์ทะยานขึ้นน่านฟ้าใช้เวลาประมาณสองชั่วโมงก็ลงสู่ผืนแผ่นดินของประเทศลาว การมาครั้งนี้เป็นครั้งแรกของฉัน จึงจำเป็นต้องใช้บริการไกด์พื้นที่ช่วยพาชมเมือง ก่อนเริ่มโปรแกรมทัวร์รายการแรก ฉันแวะไปยังโรงแรมเมืองหลวงเพื่อจัดแจงเก็บสัมภาระและเช็คอินก่อน โรงแรมนี้อยู่ในระดับสี่ดาว สถานที่ตั้งไม่ไกลจากตัวเมืองมากนัก เรียกว่าสามารถเดินเท้าชมบรรยากาศรอบๆ ได้สบายเลยล่ะ
     อากาศของหลวงพระบางช่วงเดือนธันวาคมหนาวเหน็บ โชคดีที่ฉันเตรียมเสื้อกันหนาวและยาแก้แพ้อากาศมาด้วย การตะลุยเที่ยวครั้งนี้จึงไม่มีอะไรให้น่าวิตก สถานที่ท่องเที่ยวที่ไกด์พาไปเยี่ยมชมในวันแรกคือ วัดเชียงทอง วัดหลวงคู่บ้านคู่เมืองเก่าแก่โบราณ มีสถาปัตยกรรมที่งดงาม สร้างขึ้นในสมัยพระเจ้าไชยเชษฐาธิราชก่อนที่จะย้ายเมืองหลวงไปเวียงจันทน์ บริเวณที่ตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือของตัวเมืองหลวงพระบาง ใกล้กับบริเวณที่แม่น้ำคานไหลมาบรรจบกันกับแม่น้ำโขง มีพระอุโบสถหรือภาษาลาวเรียกว่า "สิม" เป็นหลังไม่ใหญ่โตนัก หลังคาพระอุโบสถแอ่นโค้งและลาดต่ำลงมาก ซ้อนกันอยู่ 3 ชั้น ส่วนกลางมีช่อฟ้าประกอบด้วย 17 ช่อ เป็นที่สังเกตกันว่าวัดที่กษัตริย์สร้างขึ้นมี 17 ชั้น ส่วนสามัญมีแค่ 1-7 ชั้น ซึ่งน่าจะเก็บของมีค่าไว้ในนั้นด้วย
     จากนั้นไกด์ก็พาเราเดินทางต่อไปยัง พระธาตุภูษี ปกติสองข้างทางจะร่มรื่นด้วยต้นดอกจำปา แต่ฉันมาในช่วงหน้าหนาว จึงเห็นแค่กิ่งไม้ระโยงระยาง ดูๆ ไปก็งดงามเหมือนงานศิลปะไปอีกแบบ ที่นี่มีจุดชมวิวพระอาทิตย์ตกดินก่อนถึงยอดพระธาตุ ทำให้มองเห็นวัดและบ้านเรือนทอดยาวขนานแม่น้ำโขงจรดปากแม่น้ำคาน หลายคนบอกว่าหากใครไม่ได้ก้าวเท้าขึ้นพระธาตุภูษี นั่นหมายความว่ามาไม่ถึงเมืองหลวงพระบาง แม้บันไดจะมากมายถึง 328 ขั้น แต่เราก็ไม่ย่อท้อ กัดฟันย่ำเท้าจนถึงจุดหมาย จนได้มาเห็นทิวทัศน์อันสวยงามของตัวเมืองก็หายเหนื่อยเป็นปลิดทิ้ง ชาวต่างชาติแห่ขึ้นมาชมอาทิตย์อัสดงกันแน่นขนัด ไม่นานดวงอาทิตย์สีส้มกลมโตก็ลาลับขอบฟ้าไปอย่างรวดเร็ว อากาศหนาวเย็นเริ่มคืบคลานโอบล้อมรอบกาย ไกด์จึงพาเราลงจากพระธาตุฯ เพื่อไปช้อปปิ้งต่อที่ ถนนคนเดิน เป็นรายการสุดท้าย ซึ่งจะเปิดขายเฉพาะช่วงกลางคืนเท่านั้น มีของขายมากมายนับไม่ถ้วน ตั้งแต่ผ้าไหม ผ้าถุง กางเกงผ้าฝ้าย กระเป๋า เสื้อยืดลาว เครื่องเงิน ฯลฯ เสียดายที่ร้านรวงส่วนใหญ่มักจะขายของเหมือนกันหมด ฉะนั้น ต้องเดินไปเรื่อยๆ ถามราคาหลายๆ ร้าน เพื่อเปรียบเทียบว่าร้านไหนถูกกว่ากัน อย่าด่วนใจร้อนรีบซื้อเป็นอันขาด ไม่อย่างนั้นถ้าเจอร้านที่ขายถูกกว่าจะเจ็บใจตัวเองเปล่าๆ
     วันต่อมาก็ออกไปตะลอนทัวร์กับไกด์คนเดิม ทริปวันนี้เป็นการล่องแม่น้ำโขงเดินทางไปยัง ถ้ำติ่ง แต่ก่อนจะถึงถ้ำติ่งได้แวะช้อปปิ้งที่ บ้านช่างไห สถานที่จำหน่ายสินค้าพื้นเมือง งานหัตถรรมทอมือราคาไม่แพง แม่ค้ารายหนึ่งคะยั้นคะยอให้ฉันลองจิบเหล้าดองจากขวดที่ภายในอัดแน่นไปด้วยตุ๊กแกและงูพิษ ดูน่าขยะแขยงชวนขนลุกเลยต้องปฏิเสธอย่างนุ่มนวล เสร็จแล้วก็มุ่งหน้าไปยังถ้ำติ่ง ตื่นตาตื่นใจกับพระพุทธรูปไม้จำนวนนับ 2,000 องค์เรียงรายอยู่ บริเวณด้านนอกถ้ำมีเด็กหลายสิบคนยืนขายนกให้นักท่องเที่ยวซื้อไปปล่อย ฉันเห็นนกที่ถูกกักขังในกรงไม้ไผ่สานแคบๆ ก็รู้สึกหดหู่ใจ ไม่รู้ว่าจะควักเงินไถ่ชีวิตพวกมันดีหรือไม่ ใจหนึ่งคิดว่าหากฉันซื้อจะยิ่งทำให้พวกเขาจับนกมายังชีพต่อไปแบบไม่มีที่สิ้นสุดหรือเปล่า ชะตากรรมของนกเหล่านี้คงถูกลิขิตมาเช่นนี้กระมัง ขอสิ่งศักดิ์สิทธิ์คุ้มครองชีวิตน้อยๆ เหล่านี้ด้วยเถิด
     ในที่สุดก็ล่วงเข้าสู่วันสุดท้าย ฉันตื่นมาตั้งแต่ตีห้าครึ่งเพื่อร่วมทำบุญตักบาตรข้าวเหนียวกับชาวหลวงพระบาง พระสงฆ์เดินเรียงแถวตามถนนเป็นร้อยๆ รูป และเดินเร็วมากจนหยิบข้าวเหนียวใส่ลงในบาตรแทบไม่ทัน ภาพที่เห็นทำให้ฉันได้รู้ว่า ผู้คนที่นี่ศรัทธาและเลื่อมใสในพุทธศาสนามากน้อยเพียงใด ต่างกับเมืองไทยที่ทุกวันนี้หาได้น้อยเต็มที ศรัทธาเสื่อมลงเพราะเหตุใดกันหนอ......
     ก่อนจะลาจากเมืองหลวงพระบางที่น่ารัก ฉันได้แวะไปสูดอากาศยามเช้าที่ น้ำตกตาดกวงซี ซึ่งห่างจากหลวงพระบาง 30 กม. เป็นหนึ่งในน้ำตกที่สวยที่สุดของที่นี่ น้ำตกที่หลดหลั่นเป็นชั้นๆ เกิดจากการผสมของหินปูน มีความสูงราว 70 เมตร สภาพป่าร่มรื่น มีเส้นทางให้เดินชมน้ำตกรอบๆ และแล้วเวลาก็ผ่านไปไวเหมือนโกหก ต้องกลับเมืองไทยแล้วหรือนี่ ฉันยังบันทึกเรื่องราวดีๆ ลงในความทรงจำได้ไม่เต็มอิ่มเลย เครื่องบินพาฉันลงสู่สนามบินสุวรรณภูมิโดยสวัสดิภาพ พร้อมกับความประทับใจที่มิรู้ลืม ตั้งใจว่าหากมีโอกาสจะแวะไปเยือนอีกครั้ง


     โชคดี...หลวงพระบาง






Free TextEditor




 

Create Date : 20 สิงหาคม 2551    
Last Update : 1 กุมภาพันธ์ 2552 18:20:28 น.
Counter : 196 Pageviews.  


bambygirl2
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




ตกงานรอบสองแล้วค่ะ แก้อาการฟุ้งซ่านด้วยการเขียนบล็อกนี่แหละ เข้ามาอ่านและเม้นท์กันเยอะๆ นะค๊า....
Friends' blogs
[Add bambygirl2's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.