A balanced state of mind is YOGA 
 
เยี่ยมเกาะเชจู เกาะสวรรค์แห่งเกาหลีใต้

ถึงเวลาเดินทางอีกครั้งหนึ่งของครูหยีแล้วค่ะ การเดินทางของแต่ละคนอาจจะมีเป้าหมายที่ต่างกัน สำหรับตนเองแล้ว การเดินทางคือการเรียนรู้ เรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ  และที่สำคัญเรียนรู้ตนเองค่ะ โดยเลือกใช้ชีวิตแบบสบาย ๆ อยู่กับธรรมชาติ กินน้อย อยู่ง่าย ลดละตัวตนให้มากที่สุด คราวนี้เลือกไปที่ที่ธรรมชาติสวยงาม สงบและไม่ไกลจากเมืองไทย เลือกไปเกาะสวรรค์ เชจู เกาหลีใต้ และไม่ผิดหวังเลยค่ะ เกาะสวรรค์มีจริง ๆ ด้วยนะ

กาะเชจู หรือ เจจู (Jeju) เป็นเกาะที่ใหญ่ที่สุดและเป็นเมืองทางใต้ในเขตของประเทศเกาหลีใต้ เกาะแห่งนี้เป็นแหล่งท่องเที่ยวและเมืองฮันนีมูนยอดนิยมเพราะมีอากาศกำลังสบายทั้งปี คือ ไม่หนาวเหน็บในฤดูหนาวเช่นเมืองอื่นของเกาหลีใต้ และไม่ร้อนจัดในช่วงฤดูร้อน อุณหภูมิเฉลี่ยตลอดปีอยู่ที่ราว 15 องศา และในหน้าร้อนอยู่ที่ 22-26 องศา

นอกจากนั้นเกาะเชจูยังมีสถานที่ท่องเที่ยวทั้งทางธรรมชาติและวัฒนธรรมอีกมากมายหลายแห่ง

ครูหยีเดินทางคนเดียวเหมือนเคยค่ะ โดยเลือกเดินทางช่วง วันที่ 5-16 เมษายน 2558 พักที่เกาะเชจูทั้งหมด 10 คืน และแวะพักที่ พูซานอีก 1 คืน การเดินทางเริ่มจากกรุงเทพไปพูซานโดยเวียดนามแอร์ และต่อด้วยเครื่องของ เชจูแอร์ไปยังเกาะ ไปถึงช่วงบ่าย ๆ อากาศกำลังดีเลยค่ะ ประมาณ 15 องศา (ในขณะที่เมืองไทยกำลังร้อนสุด ๆ 40 องศา) Smiley

เกาะเชจูมีที่ให้เที่ยวทั่วเกาะเลย เมืองหลัก ๆ ก็มี 2 แห่งคือ Jeju และ Seogwipo ทั้งสองแห่งก็ไปถึงกันง่ายโดยรถประจำทาง ครูหยีเลือกพักอยู่เที่ยว Jeju city เพื่อการเดินทางที่สะดวก






แนะนำสถานที่ท่องเที่ยว เกาะเชจู
เกาะเชจู ถือเป็นเกาะสวรรค์ของชาวเกาหลี ซึ่งจะแวดล้อมด้วยธรรมชาติที่สวยงาม อากาศบริสุทธิ์ และอาหารทะเลที่สด ๆ จากทะเล มีแหล่งท่องเที่ยวอยู่กระจายกันไปทั่วเกาะ




ได้รับการต้อนรับอย่างดีจากเกาะเลยค่ะ ด้วยฟ้าใส ๆ ทะเลสงบ อากาศสดชื่น และหญิงงามแห่งเกาะ จะบอกว่านี่เป็นวิวจากแถว ๆ guesthouse ที่พักค่ะ เดินเพียง 5 นาที




หน้า guest house ที่พักค่ะ location ดีมาก ๆ สามารถนั่งรถประจำทางจากสนามบินมาได้เลย หน้าที่พักเป็น emart (เหมือนห้างโลตัส บ้านเรา)  ทะเล ตลาดสด เดินเพียงไม่กี่นาทีเองด้วย ราคาก็ถูกมาก ๆ มีอาหารเช้าด้วย หากสนใจก็เข้าไปดูที่ //www.hkjeju.com/jeju1/



ดาดฟ้าที่พักค่ะ เหมาะมากสำหรับโยคะทุกเช้าเลย  มาฝึกด้วยกันมั๊ยค่ะ  Smiley




หรือมาวิ่งออกกำลังกายรอบชายฝั่งทะเลอันสวยงามแทนดีน้า......Smiley(บริเวณชายฝั่งจะเป็นลู่วิ่งอย่างที่เห็นค่ะ ตอนเช้าและเย็นจะมีคนเกาหลีมาวิ่งออกกำลังกายกัน ตอนนี้ก็เพิ่มคนไทยอีก 1 คน) 





หนาวมาก Smiley



อากาศดีมาก ๆ หายใจเข้าลึก หายใจออกยาวกันหลาย ๆ รอบ Smiley


บริเวณในเมือง มีสถานที่สวยงามหลาย ๆ แห่ง สามารถเดินเล่นได้สบายในวันที่อากาศดี ๆ เช่นนี้



เปลี่ยนบรรยกาศมาเที่ยววัดบ้าง วัดยักชอนซา (Yakcheonsa / 약천사) หรือ ยักชุนซา (Yakchunsa) เป็นวัดที่สร้างขึ้นในปี 1990 ในรูปแบบสถาปัตยกรรมของวัดทางพุทธศาสนาในสมัยต้นราชวงศ์โชซอน ครอบคลุมพื้นที่กว่า 3,305 ตารางเมตรยก ถือเป็นวัดที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในภาคตะวันออก




เพื่อนใหม่ค่ะ "ทอลฮารุบัง" หรือหินปู่ เป็นรูปปั้นทำจากหินลาวาสลัก เป็นรูปคนแก่ใจดี มีให้เห็นอยู่ทั่วเกาะ


เกาะเชจู เป็นเกาะแห่งส้มเลย เกือบทุกแห่งที่ไปจะเห็นต้นส้มและคุณปู่อยู่ทั่วไป 



ส้มอร่อยมาก ๆ เลยคะ ราคาประมาณกิโลละ 10000 วอน (ประมาณ 300 บาท/กิโล) 


นอกจากส้มแล้ว ก็ยังผลไม้อื่น ๆ อีกค่ะ เช่น สตรเบอรี่ ราคาประมาณ 7000 วอน (ประมาณ 200 กว่าบาท)  ไม่รู้อร่อยหรือเปล่านะ เพราะไม่ได้ซื้อค่ะ


กองทัพเดินด้วยท้อง มาถึงอาหารการกินก่อน มื้อแรกลองเลยค่ะ บิบิมบับ ข้าวยำเกาหลี แบบจานร้อน อร่อยมาก (ราคา 65000 วอน ประมาณ 200 บาท)

บิบิมบับ ข้าวยำเกาหลีแบบธรรมดา ก็อร่อยเหมือนกันนะ แต่ชอบแบบแรกมากกว่า ราคาถูกกว่า ประมาณ 5000 วอน 




ิวันหลัง ๆ ลองเปลี่ยนมากินอย่างอื่นบ้าง ไม่รู้ชื่อค่ะ เหมือนต้มยำมาพร้อมข้าว ส่วนอีกชามก็เป็นเส้นข้าวบัควีท ปริมาณอาหารมาเป็นกะละมัง กินมื้อหนึ่งก็อยู่ได้ทั้งวันเลย 



ข้าวห่อสาหร่ายคิมบิบ



นอกจากอาหารหลักแล้ว ชาวเกาหลียังชอบทานขนมร้อน ๆ อย่างที่เห็น เนื่องจากอากาศที่หนาวเย็น พอเห็นแล้วก็เข้าไปลองมาเกือบทุกอย่างแล้วเหมือนกัน Smiley ราคาก็มีตั้งแต่ 500 - 2000 วอน (ประมาณ 15 - 60 บาท)






แวะตลาดสดที่ใหญ่ที่สุดของเมืองค่ะ Dongmun Market เน้นอาหารทะเลสด ๆ นอกจากนั้นก็เป็นผักสด ผลไม้ ขนมและกิมจิ










ประเดิมเดินขึ้นเขาวันแรกที่ ซองซานอิลชุงบง (Seongsan Ilchulbong) หรือยอดเขาตะวันรุ่ง คือปากปล่องภูเขาไฟที่มีลักษณะที่เป็นรูปกรวยคว่ำมองคล้ายมงกุฎ และเป็นจุดชมพระอาทิตย์ขึ้นที่สวยงามมากที่สุดในเชจู ใช้เวลาเดินไปกลับประมาณ 45 นาที


บันทึกภาพก่อนขึ้นค่ะ เขาด้านหลังนั้นแหละค่ะที่ต้องพิชิต


นักท่องเที่ยวมากจริง ๆ ตอนเดินต้องเรียงหนึ่ง แต่ก็ดีมีเวลาชมวิวนาน ๆ ในแต่ละจุด




อีกหลาย ๆ วัน ใช้เวลาส่วนใหญ่เดินขึ้นเขาฮัลลา (Hallasan) เนื่องจากมีทางขึ้นหลายทาง ก็เลยลองขึ้นเกือบทุกทาง ซึ่งก็มีวิวที่สวยงามแตกต่างกัน


ภาพบางส่วนจากแต่ละจุดที่ได้เดินขึ้น สีสันอยู่ที่แฟชั่นชุดเดินเขาของชาวเกาหลี ซึ่งแต่ละคนจะมาแบบครบชุดตั้งแต่หัวถึงเท้า ถึงแม้การเดินขึ้นจะเดินนานแต่ก็เดินแบบสบาย ๆ




แต่ละจุดมีฐานให้พัก มีห้องน้ำ น้ำดื่มบริการด้วย

ยืนยันว่ามาถึงฐานด้วยนะ



ช่วงเวลาสั้น ๆ ที่ได้ใช้ชีวิตแบบสบาย ๆ และอย่างมีความสุขที่สุดที่เกาะเชจู เห็นถึงวิถีชีวิตของชาวพื้นเมือง กินอาหารท้องถิ่น สัมผัสอากาศที่แปรเปลี่ยนทุกวัน ได้เจอทั้งร้อน หนาวและฝน ได้เจอคนมากมายทั้งคนเกาหลี จีน ฝรั่ง ถึงแม้วัฒนธรรมและภาษาจะแตกต่างกัน แต่เราทุกคนก็กำลังแสวงหาความสุข ตามแต่คำนิยามของแต่ละคนว่าสุขของตนนั้นคืออะไร บางคนก็วิ่งตามอัตตตัวตนที่สร้างขึ้นมา ยิ่งอยากมากก็ต้องดิ้นรนหามามาก ๆ โลกกำลังบอกเราว่าสนองความยากซิแล้วเราจะสุข แต่พระพุทธองค์ตรัสว่าลดความอยากซิแล้วเจ้าจะสุขยิ่งๆ ขึ้น ชีวิตเป็นของเราและทุกคนก็มีสิทธิเลือก จงเลือกแนวทางที่เหมาะของตนเถอะค่ะ เพราะชีวิตนี้น้อยนัก

ขอขอบคุณกับทุกสิ่งที่ผ่านเข้ามาในชีวิตที่ทำให้ตนเข้มแข็งและพัฒนาทางด้านจิตวิญญาณมากขึ้น..... ขอขอบคุณชีวิตที่ยังเหลืออยู่ เพื่อสร้างคุณค่าทั้งต่อตนและผู้อื่นให้มากยิ่ง ๆ ขึ้น

หวังว่าการเดินทางในแต่ละเที่ยวจะนำพาให้ตนลดละในตัวตนให้มีอยู่น้อยลง น้อยลง มีความสุขอยู่กับทุกลมหายใจเข้า-ออก แด่นี้เองมิใช่หรือที่เราต้องการจริง ๆ 


Smiley






Create Date : 18 เมษายน 2558
Last Update : 26 เมษายน 2558 10:12:00 น. 1 comments
Counter : 2357 Pageviews.

 
อยากไปหาของรับประทาน 555


โดย: nniidd IP: 223.206.176.148 วันที่: 17 สิงหาคม 2558 เวลา:15:24:23 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 
 
 

ดอยวาวี
Location :
เชียงใหม่ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 17 คน [?]




ชื่อจริง บุษรา รัตนวาวี ชื่อเล่น ลูกหยี ค่ะ เป็นคนเหนือโดยกำเนิด ศึกษาและทำงานที่เชียงใหม่ จนอายุเกือบ 30 ปี จึงได้ตัดสินใจไปศึกษาปริญญาโทที่ประเทศอังกฤษ ซึ่งตอนที่เรียนที่ประเทศอังกฤษ ได้มีโอกาสรู้จักโยคะเป็นครั้งแรกและได้ฝึกมาตลอด ถึงแม้ว่าหลังจากสำเร็จการศึกษาและได้งานประจำที่กรุงเทพ แต่ก็ไม่เคยละทิ้งโยคะเลย ได้ศึกษโยคะหลาย ๆ แบบ ได้เข้าฝึกกับผู้ฝึกทั้งชาวไทย และชาวต่างประเทศ จนค้นพบว่าโยคะที่เหมาะกับตนเองและคิดว่าจะฝึกไปตลอดชีวิตเลยคือ หะฐะโยคะ ซึ่งถือเป็นโยคะดั้งเดิมจากอินเดีย จึงได้ฝึกเฉพาะหะฐะโยคะตั้งแต่นั้นมา และมีโอกาสที่เข้าฝึกเป็นครูโยคะ ที่สุนีย์โยคะ กรุงเทพ เป็นเวลา 100 ชั่วโมง และได้สอนในโอกาสต่าง ๆ ในวันที่ว่างเว้นจากงานประจำ จนกระทั่งสิ้นปี 2009 จึงตัดสินใจลาออกจากงานประจำ เดินทางไปศึกษาโยคะและอายุรเวทที่อินเดียอย่างจริงจัง เป็นเวลา 3 เดือน (หลักสูตรครูโยคะ 1000 ชั่วโมง) ซึ่งเป็นเวลา 3 เดือนที่ได้ใช้โยคะเป็นวิถีแห่งชีวิต ได้มีโอกาสสอนคนทั้งคนแก่ คนท้อง เด็ก ใช้ชีวิตอย่างพอเพียง และรู้สึกถึงความสุขที่แท้จริง จึงได้ตัดสินใจที่จะแบ่งปันความรู้ ประสบการณ์ที่ตนเองได้ประสบมาจากการรู้จักโยคะ และได้ใช้โยคะเป็นวิถึชีวิต กับชาวเชียงใหม่ค่ะ

มารู้จัก บ้านหยีโยคะ ด้วยนะคะ
**ปัจจุบันนี้ ปี 2561 บ้านหยีโยคะ ได้เปิดมาครบ 7 ปีแล้วค่ะ
.....................................................................

บ้านหยีโยคะ ถูกสร้างขึ้นในบริเวณที่แวดล้อมด้วยต้นไม้น้อยใหญ่ในเดือนธันวาคม 2553 ด้วยความรักบวกกับความตั้งใจของครูหยีเพื่อโยคะโดยเฉพาะ และเน้นนโยบายของครูหยีเองว่า เพื่อช่วยเหลือคนอื่น โดยใช้ประสบการณ์ ความรู้ของตน พร้อมแบ่งปัน แลกเปลี่ยนความรู้กับสมาชุก ที่สำคัญสุดรายได้ส่วนหนึ่งจากค่าสมาชิกจะใช้เพื่อการกุศล ตลอดเวลา 1 ปีที่ครูหยีได้เปิดสอนมานั้น ได้รับการต้อนรับจากชาวเชียงใหม่หรือแม้แต่คนต่างจังหวัดเป็นอย่างดีมาก ถึงแม้ครูหยีจะเปิดสอนเพียง 3 วันต่ออาทิตย์ก็ตาม รายได้ได้ถูกนำไปสร้างบุญสร้างกุศลอย่างมากมาย ตั้งแต่ช่วยเหลือผู้ประสบภัยต่าง ๆ จนถึงร่วมทำบุญซื้อที่ดินถวายวัด ช่วยเหลือเป็นทุนการศึกษา ค่าอาหารต่อเด็กยากจน ตลอดจนเป็นปัจจัยสำหรับอาหารสำหรับผู้ปฏิบัตธรรมตามสถานที่ปฏิบัติธรรมต่าง ๆ แต่สิ่งที่ครูหยีประทับใจที่สุดคือสมาชิกหลายท่านมีสุขภาพทั้งกายและใจดีขึ้นมาก มีสติ หันมาศึกษาธรรมะ ดูแลสุขภาพของตนจากภายใน รักตนเองมีความมั่นใจในตนเอง พร้อมสิ่งดี ๆ อีกมากมาย ถึงแม้ว่าสิ่งที่ครูหยีทำอยู่อาจจะไม่ใช่สิ่งยิ่งใหญ่ แต่ตนเองก็ภูมิใจที่ได้ทำและจะทำไปเรื่อย ๆ เท่าที่เหตุปัจจัยจะนำพาไป ครูหยีขอถือโอกาสนี้กราบขอบคุณสมาชิกทุก ๆ ท่าน ที่ได้ให้การสนับสนุนบ้านหยีโยคะ และให้กำลังใจครูหยีในการทำความดีตลอดมา (ไป) ค่ะ
------------------------------------------------------------
update มกราคม 2556

ผ่านไปอีกปีหนึ่งแล้วค่ะ บ้านหยีโยคะก็เปิดมาแล้วครบ 2 ปี และกำลังก้าวย่างสู่ปีที่ 3 ในปีที่สองที่ผานมาบ้านหยีโยคะได้มีกิจกรรมทำร่วมกับสมาชิกมากขึ้น ไม่ว่าจะไปปฏิบัติธรรมร่วมกัน ร่วมออกโรงทาน หรือไปแสวงบุญไกลถึงอินเดียร่วมกัน ซึ่งกิจกรรมดี ๆ หลายอย่างก็ยังจะทำต่อเนื่องกันไปต่อไปค่ะ และการเปลี่ยนแปลงอีกอย่างก็คือบ้านหยีโยคะได้เน้นกลุ่มลูกค้าที่ชัดเจนขึ้นคือจะเน้นรับสมาชิกที่เป็นวัยทำงาน ตั้งแต่ 30 ปีขั้นไป และในช่วงเช้าจะเน้นวัยผู้ใหญ่ที่ 40 ปีขึ้นไป เพราะครูหยีเห็นว่าผู้หญิงในแต่ละวัยมีการเปลี่ยนแปลงทั้งร่างกายและจิตใจที่ต่างกัน ควรจะได้รับการดูแลที่ถูกต้อง พร้อมกันนี้ ครูหยีได้เพิ่มและเน้นเรื่องของโภชนาการมากขึ้น แบ่งปันความรู้ในด้านของอายุรเวทมากขึ้น โดยมีจุดมุ่งหมายอย่างชัดเจนเลยค่ะ คือให้สมาชิกของเรานั้นได้มีความสมบูรณ์ทั้งกายและใจ ฝึกเป็นหมอของตนเองค่ะ สังเกตุการเปลี่ยนแปลงในร่างกาย ปรับธาตุด้วยอาหาร ด้วยอารมณ์ ซึ่งได้รับความสนใจนำไปปฏิบัติจากสมาชิก เช่น การรับประทานอาหารเช้าที่เป็นประโยชน์มากขึ้น ลดกินแป้ง ลดน้ำตาล ลดชา ลดกาแฟ ล้างพิษ ดำเนินชีวิตประจำวันอย่างผู้ฉลาด อย่างมีสติเป็นต้น และสมาชิกหลาย ๆ ท่านก็ได้นำความรู้ด้านอื่น ๆ มาแบ่งปันกันในกลุ่มสมาชิกด้วย ซึ่งครูหยีจะเน้นให้สมาชิกให้ดูแลร่างกายและจิตใจไปพร้อม ๆ กันอย่างเป็นองค์รวม ให้รักตนเองและดูแลตนเองให้ดีที่สุด เพื่อที่เราจะได้มัพลัง มีแรงที่จะไปรักและดูแลตนอื่นได้ค่ะ

แน่นอนว่าการที่บ้านหยีโยคะได้อยู่จนครบ 2 ปี และยังก้าวต่อไปพร้อมทั้งกิจกรรมมากมายที่เกิดขึ้นและกำลังจะเกิดขึ้นนั้น ได้รับการสนับสนุนและให้กำลังใจจากสมาชิกทุก ๆ ท่านและร่วมถึงครอบครัวของสมาชิกด้วย ครูหยีขอกราบขอบพระคุณเป็นอย่างยิ่งมา ณ โอกาสนี้ด้วยค่ะ ขอความดีทั้งหลายที่ท่านทั้งหลายได้ทำและสะสมมาจงคุ้มครองให้ท่านได้พบเจอแต่สิ่งดีงามและพบทางพ้นทุกข์ด้วยเทอญ

สำหรับตัวครูหยีเองก็ยังดำเนินชีวิตตามอุดมการณ์เดิมค่ะ ขอใช้ชีวิตอย่างพอเพียง แบ่งปันให้มากที่สุด มีความสุขกับทุกลมหายใจ ปฏิบัติธรรมเพื่อศึกษาจิตตนให้ละเลิกกิเลสให้มากที่สุดและพัฒนาปัญญาให้เกิดขึ้นได้เห็นทุกข์และมีโอากาสได้ออกจากทุกข์ในเร็ววันค่ะ
--------------------------------------------------------------
update มกราคม 2557

ผ่านไปอีกปีแล้วค่ะ บ้านหยีโยคะได้อยู่ครบ 3 ปีแล้ว และกำลังก้าวเข้าสู่ปีที่ 4 ตลอด 2556 ที่ผ่านมาบ้านหยีโยคะได้มีโอกาสต้อนรับพี่ ๆ น้อง ๆ อา ๆ ป้า ๆ กว่าร้อยท่าน หลาย ๆ ท่านอยู่ด้วยกันมาตั้งแต่เปิดครั้งแรกจนถึงปัจจุบัน ได้เห็นถึงสุขภาพกายและใจที่ดีขึ้น ๆ ของสมาชิก เป็นความรู้สึกปลาบปลื้มปิติจริง ๆ ค่ะ ขอขอบคุณที่รักตัวท่านเอง ขอขอบคุณที่ท่านได้ให้โอกาสกับบ้านหยีโยคะได้สร้างสิ่งดี ๆ ร่วมกันกับท่าน การพบแล้วจากเป็นธรรมดาของโลก แต่การเจอของเราในครั้งนี้ ไม่ธรรมดาค่ะ เพราะเราได้สร้างบุญสร้างกุศลร่วมกันและต่างก็เป็นเนื้อนาบุญของกันและกัน ของบุญรักษาท่านด้วยเทอญ

สำหรับตัวครูหยีเอง เป็นปีที่เดินทางบ่อยถึงบ่อยมาก อย่างที่ครูหยีชอบพูดอยู่เสมอว่าการเดินทางเป็นการเรียนรู้ค่ะ ระหว่างทางเราอาจจะเจอคนมากมาย ได้พบและเรียนรู้วัฒนธรรมใหม่ และที่สำคัญที่สุดคือเรียนรู้ตนเองค่ะ ตลอดเวลาตั้งแต่เกิดมาพวกเราก็เรียน เรียนกันมาตลอด เราติดตามข่าว รู้เรื่องชาวบ้าน เพื่อนบ้าน แต่คนที่เรารู้จักน้อยที่สุดกลับเป็นตนเราเอง ตลอดเวลาที่ใช้ชีวิตอย่างสงบ โดยเฉพาะช่วงปีที่ผ่านมาได้เรียนรู้ตนเองมากขึ้นอีกนิดหนึ่งแล้วค่ะ มีชิวิตที่เป็นอิสระ เบา สบายมากขึ้น ทรัพสินภายนอกอาจจะไม่เพิ่ม แต่อริยทรัพย์ภายในเริ่มมีบ้างแล้ว ก็เป็นกำลังใจที่จะเดินเส้นทางนี้ต่อไปอีก ครูหยีซาบซึ้งใจอยู่ตลอดเวลาว่าสิ่งดี ๆ ในชีวิตที่เกิดขึ้นกับครูหยีนั้นต้องขอบคุณครอบครัวที่ประกอบด้วยน้องชายทั้งสอง น้องสาว น้องสะใภ้ทั้งสองและหลาน ๆ ที่เป็นกำลังใจและช่วยเหลืออยู่เสมอ สมาชิกบ้านหยีโยคะทุก ๆ ท่าน และกัลยาณมิตรทุกท่าน ที่ให้การสนับสนุน ช่วยเหลือ ให้กำลังใจอยู่เสมอมา ขอกราบขอบพระคุณอย่างสูงค่ะ

----------------------------------------------------------------
update เมษายน 2558

ผ่านไปแล้วอีก 1 ปี บ้านหยีโยคะอยู่อย่างมั่นคงครบ 4 ปี และกำลังก้าวเข้าสู่ปีที่ 5 แล้วค่ะ ตลอดปีที่ผ่านมาบ้านหยีโยคะได้ต้อนรับสมาชิกมากมาย บางท่านอยู่กันหลายเดือน บางท่านก็ฝึกด้วยกันเพียงเดือนเดียว ซึ่งดิฉันเชื่อเสมอค่ะ พวกเราได้มาเจอกันก็ด้วยบุญ -กุศลที่ได้ร่วมสร้างกันมา ทุกคนที่เข้าสู่บ้านหยีโยคะจึงเสมอเหมือนญาติพี่น้องที่ได้กลับมาพบกันอีกครั้ง และพวกเราก็หนี้สัจธรรมไม่พ้นค่ะ ทุกอย่างคือความไม่แน่นอน ทุกอย่างคือการเปลี่ยนแปลง เมื่อมีพบย่อมมีจากเป็นธรรมดาของโลกจริง ๆ นะคะ อย่างไรก็ตาม ก็ขอขอบพระคุณท่านสมาชิกที่ได้แวะเวียนเข้าสู่ครอบครัวบ้านหยีโยคะ ท่านมาเราดีใจ ท่านจากเราคิดถึงนะคะ

ตลอดปีที่ผ่านมา พวกเราก็ยังมุ่งในการสร้างบุญสร้างกุศลมิได้ขาด โดยเฉพาะช่วงหลัง ๆ มีภัยพิบัติเกิดขึ้นอย่างมากมาย ปัจจัยส่วนหนึ่งก็ได้แบ่งปันไปยังผู้ประสบภัยเหล่านั้นด้วยค่ะ ยิ่งอยู่นาน คงทำให้ประจักษ์ว่า ชีวิตนี้เหลือน้อยแล้ว ก็จำต้องเร่งสร้างบุญสร้างกุศล ฝึกจิตให้สูงขึ้น ลด ละ เลิก ในความโลภ ความโกรธ ความหลง ให้ได้มากขึ้น

ขอบุญรักษา
----------------------------------------------------------------
ประวัติโดยย่อ ของครูหยี

ปัจจุบัน
เจ้าของและครูสอนโยคะที่บ้านหยีโยคะเชียงใหม่
ดำเนินชีวิตอย่างพอเพียง สงบ และมีความสุขกับทุกลมหายใจ
* ศึกษาและปฏิบัติธรรม
* ทำความดี
* นักเดินทาง

**สนใจและศึกษาเกี่ยวกับ

* จิต
* ธรรมชาติบำบัด
* อาหารบำบัดโรด
* สมาธิกับการดำเนินชีวิตประจำวัน
* เข้าอบรม และศึกษาโยคะอยู่สม่ำเสมอตั้งในประเทศและ
ต่างประทศ


ประวัติด้านโยคะ

- หลักสูตร Yoga Teacher training course จำนวน 1 ,000 ชั่วโมง ณ Yoga Institute, Mumbai อินเดีย (ปี2010)
- หลักสูตร ครูผู้นำโยคะ โดย โรงเรียนสุนีย์ โยคะ กรุงเทพ จำนวน 100 ชั่วโมง
- ฝึกและสอนโยคะมามากกว่า 10 ปี ทั้งในประเทศอินเดีย และไทย

** สำเร็จหลักสูตรครูสมาธิรุ่นที่ 29 กับสถาบันพลังจิตตานุภาพ วัดธรรมมงคล ปี 2555

ประวัติการศึกษา
- ปริญญาโท ด้านการโรงแรมและการท่องเที่ยว Bournemouth University ณ ประเทศ อังกฤษ (ปี 2000)
- ปริญญาตรี ด้านการบริหารธุรกิจ มหาวิทยาลัย พายัพ เชียงใหม่


ประวัติการทำงาน

- ผู้จัดการแผนกการศึกษาต่อ ณ ประเทศอังกฤษ บริษัท Planit Consultants Bangkok กรุงเทพฯ (ปี2001-2009)
- ผู้จัดการฝ่ายการตลาดโรงพยาบาลราชเวช เชียงใหม่
- หัวหน้าแผนกลูกค้าสัมพันธ์โรงพยาบาลราชเวช อุมลราชธานี
- ผู้ช่วยผู้จัดการฝ่ายขาย โรงแรมสุริวงค์เชียงใหม่
- ผู้ช่วยผู้จัดการฝ่ายขาย โรงแรมเชียงใหม่พลาซ่า เชียงใหม่
- เจ้าหน้าที่ฝ่ายขาย โรงแรมดิเอ็มเพรส เชียงใหม่

[Add ดอยวาวี's blog to your web]

 
pantip.com pantipmarket.com pantown.com
pantip.com pantipmarket.com pantown.com