A balanced state of mind is YOGA 
 
แบกเป้ ตลุยเดี่ยวของครูหยี (อีกแล้ว) สู่ดาร์จีลิ่ง ราชีนีแห่งขุนเขา อินเดีย

Namaste India เมื่อพูดถึงอินเดีย แต่ละคนก็จะมีความรู้สึกที่แตกต่างกันไป โดยอิงจากประสบการณ์
เองบ้าง จากเรื่องเล่าหรือแม้ถึงเห็นจากในทีวีหรือหนังสือบ้าง ซึ่งก็จะมีทั้งในทางที่ดีและทางที่ไม่ดี สำหรับครูหยีแล้ว เมื่อพูดถึงอินเดียก็จะได้กลิ่นเครื่องเทศหอม ๆ ลอยมาเลยค่ะ  จิตสัมผัสถึงจิตวิญญาอันดีงามของคนท้องถิ่น ลุ่มหลงในเสน่ห์ของหมู่ขุนเขาน้อยใหญ่ที่ปกคลุมด้วยหิมะ แล้วยังจะหนุ่มอินเดียหน้าคมตาหวานอีก ไม่รอช้าค่ะ แค่คิดใจก็ไปถึงแล้ว คราวนี้เลือกไปที่เมืองดาร์จีลิ่ง เมืองแห่งชาและขุนเขา โดยส่วนตัวเป็นคนชอบเขา ชอบไต่เขา ชอบต้นไม้ ธรรมชาติ เพราะฉนั้นแค่ได้ยินชื่อก็เก็บเสื้อผ้าเตรียมเลยค่ะ


ทำไมต้องดาร์จีลิ่ง มีคนเคยถาม ก็ไม่รู้เหมือนกัน อยู่ ๆ เมืองนี้ก็เข้ามาในสมอง ได้ถามนักเดินทางที่เจอที่เมืองในคำถามเดียวกัน ก็ได้คำตอบว่าก็ไม่รู้เหมือนกันอยู่ ๆ ก็อยากมาขึ้นมา ได้เจอผู้เฒ่าของเมือง ท่านบอกว่าขุนเขาที่ดาร์จีลิงมีพลังบางอย่างที่ศักดิ์สิทธิ์มาก ขอสิ่งใดก็จะเป็นอย่างหวัง และสิ่งที่ทำให้เราได้มาที่เมืองนี้ก็อาจจะเป็นพลังเรียกจากขุนเขาเพื่อภาระกิจบางอย่าง (ก็เชื่อไว้แหละค่ะ ท่านบอกมา)


ถึงแม้จะแบกเป้ ลุยเดี่ยวมากว่า 5 ปี แต่ในการเดินทางแต่ละครั้งก็จะทำการบ้านเป็นอย่างดี ศึกษาข้อมูลของเมืองที่จะไป ไปอย่างไร คนเป็นเช่นไร จนถึงดินฟ้าอากาศเลยที่เดียว สิ่งใดที่ทำได้ก่อนก็จะเตรียมเลย เช่นจองตั๋วเครื่องบิน ขอวีซ่า แลกเงิน ยังค่ะ ยังไม่พอ สิ่งที่สำคัญที่สุดยังมีอีก ก็่เตรียมฟิตร่างกายให้แข็งแรง และที่สำคัญสุด ๆ สร้างบุญสร้างกุศลมาก ๆ เข้าไว้ เมื่อเดินทางหลาย ๆ ครั้งแล้วจะรู้ค่ะว่า ในบางสถานนะการณ์ประกันใด ๆ ก็ช่วยท่านไม่ได้ นอกจากต้องให้บุญรักษาค่ะ เพราะฉนั้นจงเป็นผู้คิดดี พูดดี ทำดี เสียตั้งแต่วันนี้เลยค่ะ สิ่งที่กระทำในวันนี้จะเป็นผลในวันข้างหน้า แล้วก็ทำใจให้พร้อมรับกับความไม่แน่นอนของชีวิตและการเดินทางอีกด้วยนะ พร้อมแล้วลุยเลยค่ะ



ทริปนี้กำหนดไว้เป็น 18-31 ธันวาคม 2558 การเดินทางไปดาร์จีลิ่งก็ไม่ยุ่งยากเลยค่ะ หยีนั่งเครื่องจากเชียงใหม่ ลงกรุงเทพ จากกรุงเทพ ต่อไป กัลกัตตา อินเดีย และต่อสายการบินภายในไปลงที่ Bagdogra บิน Indigo airline ต้องเปลี่ยนเครื่องที่ กัลกัตตา รอหลายชั่วโมงค่ะ ราคาประมาณ 11000 บาท หรือจ่ายแพงนิดหนึ่งประมาณ 15000 บินตรงกับ Drukair หลังจากนั้นก็ต้องนั่งรถแล้วค่ะ ต่อ taxi จากสนามบินไปเมืองสิลิกูรี เพื่อตามหารถ ซูโมขึ้นเขา ซึ่งเราสามารถเลือกแบบเหมาทั้งคัน หรือแบบแชร์กับคนอื่นก็ได้ค่ะ หยีเลือกแบบแชร์ จ่ายไป 130 รูปิ แล้วขึ้นไปเบียดกับคนท้องถิ่น 10กว่าชีวิตในรถคันเล็ก ๆ ใช้เวลากว่า 3 ชั่วโมงก็ถึงแล้วค่ะ เป็นการขึ้นเขาตลอดและระหว่างทางจะเป็นสวนชา และหมู่บ้านที่ปลูกสร้างกันตามไหล่เขา สวยงามและอากาศก็ค่อย ๆ เย็นขึ้น เย็นขึ้น จงถึงหนาวสุด ๆ




นี่เลยค่ะ รถ Sumo แรงและอึดสุด ๆ คนขับก็เก่งสุด ๆ คันเเล็กต้องนั่งให้แน่นประมาณ 10-12 คน รถถึงจะออก ระหว่างทางก็ยังรับผู้โดยสารอีก ก็อัดเป็นปลากระป๋องเลย Smiley  นั่งชิ่ว ๆ 3 ชั่วโมง มีรถไฟด้วยค่ะ 8 ชั่วโมง (เลือกเอาที่สบายใจเลยค่ะ)

----------------------------------------


ตามแบบของ back packer มาถึงแล้วก็เดินหาที่พักค่ะ เริ่มมืดแล้ว 4 โมงเย็นเองค่ะ หนาวก็หนาว หลายโรงแรมแพงเกิน หลายโรงแรมเต็ม ใจเริ่มหวั่นเล็กน้อย เอาไงดีล่ะ เดินไปแล้ว 2 ชั่วโมงแป้หลังเริ่มหนักแล้วแหละ เจอเทวดาในร่างของคนธิเบต แนะนำแหล่งที่พักราคาถูก (คงเหมือนถนนข้าวสารบ้านเรา) เดินอีกครึ่งชั่วโมง มีแววแล้วเห็นฝรั่งหัวแดงเดินกันเต็ม แล้วก็เจอ นี้เลยค่ะ ที่พักตลอด 2 อาทิตย์ ดีและถูก (แต่กว่าจะเจอ เหมือนในคัมภีร์บอกไว้เลยว่า : เจ้าต้องช่วยตนเองก่อนและพระเจ้าจะช่วยเจ้า) ย่านนี้ชื่อ Dr.Zakir Hussain Road มี guest house ตลอดเส้นทางค่ะ แต่อาจจะหายากนิดหนึ่ง เหตุที่ไม่จองห้องพักล่วงหน้าเพราะราคาใน website จะค่อนข้างแพงกว่าเดินหาเอง แต่ก็เสี่ยงว่าอาจจะไม่มีห้องเหลือให้พักก็ได้





Golden Orchid guest house ราคาห้องนี้คืนละ 500 รูปิ ประมาณ 300 บาท มีห้องน้ำ น้ำอุ่นด้วยนะ วิวจากหน้าต่างทุกเช้า สวยมาก ๆ (วิวดีได้ 3 วัน เจ้าของโรงแรมมาแจ้งว่าหากต้องการพักต่อ ก็ต้องย้ายลงไปห้องข้างล่างเพราะช่วงคริสมาสปีใหม่ ราคาห้องวิวสวยนี้ปรับเป็น 1500 รูปิ แล้วจ้า) แฮะ ๆ ทำไงได้ล่ะ ก็ย้ายล่ะซิ แต่ก็ไม่เลวร้ายค่ะ ห้องเหมือนกันแต่วิวอาจจะไม่สวยเท่าเท่านั้นเอง โดยรวมโรงแรมดีค่ะ มี wifi ด้วยนะ หากสนใจติดต่อตาม email ได้เลย golden.orchid.darj@gmail.com  เจ้าของชื่อ Satyen โทร. 0354 2252916, 7384122794 เจ้าของอัธยาศัยดี เป็นคนอินเดีย สัญชาติอังกฤษ โตที่ฮ่องกง (น่าสนมั้ยล่ะ)
----------------------------------------



ถึงดาร์จีลิ่ง (Darjeeling ) ราชีนีแห่งขุนเขาแล้ว ก็มาดูประวัติสักนิดเถิดค่ะ เมืองดาร์จีลิ่งอยู่ตอนเหนือสุดของรัฐเบงกอลตะวันตกในประเทศอินเดีย อยู่บนความสูง 2143 เมตรจากระดับน้ำทะเล ขนาบด้วยทิเบตและเนปาล จึงได้กลิ่นอายวัฒนธรรมจากประเทศดังกล่าวไปด้วย เดิมทีดาร์จีลิงไม่ได้เป็นดินแดนของอินเดียมาแต่แรก แต่เป็นส่วนหนึ่งของรัฐสิกขิม จนในราวปี ค.ศ 1835 กษัตริย์แห่งลิกขิมได้มอบดาร์จีลิงให้กับอังกฤษ ซึ่งปกครองอินเดียอยู่ในขณะนั้น เป็นสิ่งตอบแทนหลังจากอังกฤษช่วยทำสงครามยึดเอาดินแดนบางสวน ซึ่งสิกขิมเสียไปให้กับเนปาลกลับคืนมาได้ นับแต่นั้น ดาร์จีลิงจึงถูกพัฒนาให้เป็นเมืองรีสอร์ตในขุนเขา ชาวเมืองผู้ดีได้พากันหลบลมร้อนอ้าวของอินเดียตอนล่างมาพำนักอยู่ที่นี่ ซึ่งมีอาสภาพภูมิอากาศเป็นที่ชื่นชอบมากว่า พร้อมกับตั้งสมญานามเมืองนี้ใหม่ไว้ว่า Queen of the Hill หรือราชีนีแห่งขุนเขา 





นอกจากอากาศที่ดีแล้ว สิ่งที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวทั้งชาวอินเดียและต่างชาติ ก็นี่เลยค่ะ ยอดเขาคันเซ็งจุงก้า ในระดับความสูง 8,598 เมตรจากระดับน้ำทะเล ซึ่งสูงเป็นอันดับสามของโลกเลยค่ะ โดยอันดับหนึ่งคือ ยอดเขาเอเวอร์เรสต์ (Everest) สูง 8,858 เมตร อันดับสองคือ ยอดเขา K2 หรือ Godwin Austen สูง 8,611 เมตร และสามก็นางเองของเราค่ะ 





หมู่บ้านของเมืองดาร์จีลิงจะอยู่ตามไหล่เขา โดยมีขุนเขาอยู่รายรอบ มองจากทางไหนก็เห็นแต่เขาและเมฆ







ครูหยีได้รับการต้อนรับอย่างดีเหมือนเคยค่ะ ฟ้าใส เขาสวย แล้วยังเด็กๆ ที่น่ารัก (เสียอย่างเดียว หนาวมาก 0 อาศา) อ้อ รูปนี้จะให้ดูเสื้อที่ตากไว้ด้วยค่ะ ที่ถ่ายรูปคือสถานีรถไฟค่ะ เนื่องจากอากาศที่หนาวเย็น แม่บ้านจะตากผ้าทุกแห่งที่มีแดดส่องถึง บนหลังค่าก็เห็นบ่อย ๆ ค่ะ



***เมืองดาร์จีลิงแทบไม่เห็นของทานเหมือนอย่างในเมืองอินเดียทัว ๆ ไปค่ะ เด็ก ๆ ก็ไม่วิ่งมาขอด้วยนะ ถ่ายรูปแล้วก็ซื้อขนมแจก เด็ก ๆก็ยังมารับอย่างอาย ๆ น่ารักค่ะ*****

****************************************







ศูนย์รวมของเมืองดาร์จีลิง เป็นที่นัดหมาย จุดแสดงกลางแจ้ง จุดพักผ่อน จุดตากแดด หรือลานเอเนกประสงค์ของทั้งคนท้องถิ่นและนักท่องเที่ยว

******************



กองทัพเดินด้วยท้องได้ที่พักที่สมใจแล้ว ก็ต้องตามหาที่กินเลยค่ะ บริเวณที่พักถือเป็นแหล่งที่พักราคาถูก แล้วก็พ้วงเอาอาหารถูกเข้าไปด้วยค่ะ



แหล่งอาหารเช้าแบบง่าย ๆ หลัก ๆ ก็เป็นไข่เจียว momo หมีผัด ไก่ทอด egg roll ที่ขาดไม่ได้คือ Chai ชาใส่นม อากาศเย็น ๆ แบบนี้ก็อร่อยอยู่ค่ะ






อาหารหลักที่กินประจำค่ะ รวมเลยค่ะ มีอินเดีย เนปาล และธิเบต อร่อยทุกอย่าง และถูกมาก ๆ เฉลี่ยที่ราคา 80-130 รูปิ ก็ประมาณ 50-70 บาทต่อมื้อ แล้วเติบข้าวกับน้ำแกงได้ฟรีอีกค่ะ กินมื้อหนึ่งอิ่มทั้งวัน Smiley





พี่แขกขายถั่วยำ เข้าไปดูหลายรอบ แต่เห็นว่าเป็นแบบ handmade คือยำด้วยมือล้วน ๆ ก็เลยไม่ได้ชิมค่ะ สำหรับเครื่องเทศ และถั่วอีกเจ้าหนึ่งถูกและคุณภาพดี ซื้ออัลมอนด์และลูกเกดกินทุกวัน แล้วข้าวโพดปิ้ง เห็นคนกินแล้วฟันดำด้วยแหละ (เพราะเผาจนไหม้) ขอบายนะ

*******************************









ก่อนที่จะสำรวจบ้านเมือง ขอแนะนำไกด์และช่างภาพกิตติมศักดิ์ของหยีค่ะ น้องอ๊อบ (เธอเป็นทั้งนักเดินทาง นักดนตรี ่นักเขียน เจ้าของร้านชาที่ระยอง และอื่น ๆ อีกนะ) เจอโดยบังอัญบริเวณสามแยกใกล้ที่พัก เจอกัน ทักกัน คุยกัน น้องอาสาถ่ายรูปให้ แล้วยังพาเที่ยมชมเมือง แนะนำร้านอาหารดีอีก สวย เก่งแล้วก็ใจดีอีกด้วยแหละ ภาพสวยๆ นี้ส่วนใหญ่ก็จากฝีมือเธอเลยค่ะ จึงขอขอบคุณมา ณ โอกาสนี้ด้วยนะจ้า

*************************************************


ปัจจุบันเมืองดาร์จีลิง ถือเป็นเมืองตากอากาศที่ได้รับความนิยมโดยเฉพาะจากคนอินเดียเป็นอย่างมาก ฤดูที่เหมาะสำหรับการมาเยื่อนก็ช่วงตั้งแต่ มีนาคม - พฤษภาคม และอีกช่วงคือ ตุลาคม - พฤศจิกายน ที่เมืองนี้จึงประกอบด้วยรีสอร์ท โรงแรมระดับ 5 ดาว homestay และแบบ Guest house มากมายให้เลือก คนท้องถิ่นก็มีหลายเชื้อชาติค่ะ เท่าที่สังเกตุก็จะมีชาวอินเดีย เนปาล ธิเบต ภาษาที่ใช้ก็จะใช้ภาษาอินเดีย ภาษาเนปาล และภาษาอังกฤษเป็นภาษากลางที่สื่อสารกันอย่างกว้างขวาง

ช่วงที่หยีไปจะเป็นช่วงปลายเดื่อนธันวาคม อากาศก็จะหนาวมาก อุณหภูมิก็ระหว่าง 0 - 5 องศา โรงแรมส่วนใหญ่จะบริการฮิตเตอร์ แต่ถ้าเป็นแบบ Guesthouse ส่วนใหญ่ก็ต้องเช่าต่างหาก อากาศโดยรวมถือว่าฟ้าใส แดดแรงเป็นส่วนใหญ่ นักท่องเที่ยวช่วงนี้ก็เป็นอินเดียประมาณถึง 80% และจะมีคนต่างชาติมาเรียนภาษา หรือมาเรียนระดับมัธยมมากพอสมควร นักเรียนไทยก็เห็นว่ามีมากกว่า 200 กว่าคน


การรเดินทางมายังดาร์จีลิงจะไม่สมบูรณ์ได้ถ้าไม่ได้เดินทางไปยังเนินเขาเสือ (Tiger Hill) เพื่อดูยอดเขา Kanchendzonga  ซึ่งจะสามารถชมพระอาทิตย์ขึ้นที่สวยงามมากที่สุดในโลกได้ที่นี่ โดยจะมีรถออกจากในเมืองประมาณตี 4 เพื่อไปทันพระอาทิตย์ขึ้นนี้  ซึ่งนักท่องเที่ยวจากทั่วทุกมุมโลกได้เดินทางมายังดาร์จีลิงเพียงเพื่อเป็นสักขีพยานปรากฏการณ์นี้ 




เห็นกันชัด ๆ ยอดเขาคันเซ้งจุงก้า การขึ้นไปชมพระอาทิตย์ขึ้นต้องขึ้นไปชมจาก Tiger hill โดยมีสองทางเลือกคือ โดยการนั่งรถประมาณ 45 นาที ขึ้นไปบน Tiger Hill ตอนตี 4 เพื่อทันชมพระอาทิตย์ขึ้น ซึ่ง 90% ของนักท่องเที่ยวจะเลือกแบบนี้ หรือเดินขึ้น 4 ชั่วโมง ก็คำนวนเองเลยค่ะว่าต้องเริ่มเดินกี่โมง Smiley

ครูหยีพร้อมเพื่อนใหม่เลือกเดินขึ้นค่ะ โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อเดินเขา (เพราะรู้ว่าอย่างไงก็ไม่ทันพระอาทิตย์ขึ้นแหละ) ระหว่างทางก็จะมีวัดวาอารามให้ชม ดอกไม้ป่า และได้สนทนาแลกเปลี่ยนประสบการณกับเพื่อนใหม่ ระยะทาง 14 กิโลเมตร ใช้เวลาประมาณ 4 ชั่วโมงแบบสบายและอิ่มตาอิ่มใจเลยที่เดียวกับวิวข้างทาง จริง ๆ แล้ววิวยอดเขาก็สามารถชมจากในเมืองได้นะ เมื่ออยู่หลาย ๆ วันเข้า อากาศเริ่มเปิด สามารถมองเห็นยอดเขาโดยไม่จำเป็นต้องขึ้น Tiger Hill เลยค่ะ สามารถเห็นได้จากจุดชมวิวที่ตัวเมือง (ดังภาพที่ถ่ายมา จะอยู่แค่บริเวณชมวิวในเมือง)







วัดธิเบตระหว่างเดินขึ้นเขา Tiger Hill กับเพื่อนใหม่ ชาวเนปาล ชาวเกาหลี




ระหว่างทางเดินขึ้นเขาเช่นกันค่ะ จะมีประตูวัดและธงธิเบตอยู่ตลอดทาง





ดงดอกไม้ป่าแห้ง ระหว่างทางเดินขึ้นเขา กับเพื่อนร่วมทางใหม่





วิวอันสวยงาม บริเวณสวน Shrubbery ในวันฟ้าเปิดและหากอากาศไม่หนาวมากจะมีการฝึกโยคะ สอนโดยครูชาวอินเดีย บรรยากาศเงียบสงบ อากาศบริสุทธิ์ สวยจนสุดบรรยายจริง ๆ เลยค่ะ

****************************************



แหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญของเมืองนี้ หลัก ๆ * ชมยอดเขาคันเซ้งจุงก้า   * เดินชมสัตว์แถบเทือกเขาหิมาลัย ในสวนสัตว์ Padmaja Naidu Himalayan Zoological Park ซึ่งทีนี่จะมีสถาบันหิมาลายัน เมาเทนเนียริ่ง (Himalayan Mountaineering Institute) เป็นสถานที่แสดงผลงานของเหล่านักปิีนเขา อีกทั้งยังเป็นพิพิธภัณฑ์ของนักปีนเขา และยังเป็นสถานทีฝึกนักปีนเขารุ่นใหม่ ๆ อีกด้วยค่ะ  * มาชิมชาดาร์จิลิงและเยียมชมไร่ชา ซึ่งมีอยู่หลายแห่งที่เปิดให้เข้าชมพร้อมสาธิตถึงวิธีการปลูกชา เช่น Happy Valley, Castleon Estate และอีกหลาย ๆ ที ซึ่งในแต่ละแห่งก็จะมีชาที่ตนผลิตได้จำหน่ายในราคาที่เป็นมิตรด้วยค่ะ และขาดเสียไม่ได้เลยก็ได้นั่ง ทอยเทรน (Toy Train)  ทางรถไฟดาร์จีลิ่งหิมาลายันเรลเวย์ (Darjeeling Himalayan Railway) ที่เรียกว่า ทอยเทรน เพราะเป็นรถไฟขนาดของเล่น สร้างขึ้นระหว่างปี ค.ศ.1879-1881 โดยใช้ระบบเครื่องจักรไอน้ำ ปัจจุบันเป็นหนึ่งในทางรถไฟภูเขาที่ยังเปิดบริการให้อยู่ในอินเดีย เส้นนี้วิ่งระหว่างดาร์จีลิงและสิลิกูริ ใช้เวลาประมาณ 8 ชั่วโมง ซึ่งได้รับการยกย่องจากองค์การยูเนสโกให้ทางรถไฟสายนี้เป็นมรดกโลกด้วย







ชาดาร์จีลิง แค่ดมกลิ่นก็สัมผัสได้ถึงความเป็นเลิศของชา ไร่ชาจะมีให้เห็นอยู่ทั่วหุขเขาเลยค่ะ ชาที่ดาร์จีลิง นับว่ามีคุณภาพสูง และไร่ชาหลายแห่งผลิตแบบไร้สารพิษ ซึ่งได้เปิดให้เข้าชมถึงวิธิการผลิตทุกขั้นตอน และมีจำหน่ายในหีบห่อที่สวยงาม หรือแม้แต่ในตลาดก็มีร้านชาให้ชิมและซื้อกลับมากมายค่ะ





มาถึงเมืองแห่งชาอย่างดาร์จีลิงก็ต้องชิมชาค่ะ มีแหล่งให้นั่งจิบชาอยู่มากมาย แต่ร้านที่เก๋ไก๋ ได้บรรยายกาศ ชาหอม ขนมอร่อย ก็ต้องร้านนี้เลยค่ะ Glenary ชาก็มีให้เลือกหลัก ๆ ชาดำ ชาเขียว (คอกาแฟอาจจะต้องผิดหวัง เพราะที่นี่ไม่มีกาแฟนะ) จะสั่งเป็นกา หรือเป็นถ้วย ก็ได้ค่ะ ราคาก็เบา ๆ


*********************************************


ดาร์จีลิงมีประชากรหลายเชื้อชาติ ทำให้มีจุดท่องเที่ยวที่มีความสวยงามเป็นอารามแบบทิเบตและวัดทางพุทธศาสนา  ฮินดูและแม้แต่คริส  โดยสถานทีส่วนใหญ่จะอยู่ในตัวเมืองหรือใช้เวลาเดินไม่เกินหนึ่งชั่วโมง นอกจากได้เยี่ยมชมสถานที่แล้ว บางวันก็ได้มีโอกาสเข้าไปสนทนาธรรมกับพระนักบวชในแต่ละนิกายอีกด้วยค่ะ






วัดแห่งนี้อยู่ในใจกลางเมืองเลยค่ะ รวมวัดฮินดูและวัดธิเบตอยู่ในบริเวณเดียวกัน กงล้ออธิฐานของธิเบต และธงธิเบตมีให้เห็นอยู่ทั่วไป

****************************************


Dali Monastery อยู่นอกเมืองดาร์จีลิง ใช้เวลาเดินประมาณ 45 นาที -1 ชั่วโมง เป็นวัดธิเบตที่ใหญ่มากในบริเวณนี้ มีพระธิเบตอยู่ประจำประมาณ 50-60 รูป ครูหยีและเพื่อนได้มีโอกาสเข้าร่วมพิธีสวดมนต์ช่วงเย็น ซึ่งเป็นพิธีอันงดงามประกอบด้วยเสียงสวดอันตรึงใจ คั่นด้วยเสียงเครื่องดนครีแบบธิเบตเป็นจังหวะเป็นช่วง ๆ เป็นประสบการณ์อันมีค่าที่จะจดจำไปอีกนาน




ช่วงเย็นหลังพระอาทิตย์ตกดิน พระธิเบตกำลังเตรียมตัว เดินเข้าสู่ห้องโถ่งเพื่อเตรียมการสวดมนต์ทำวัตรเย็น



ประตูจะเปิดเวลา 17.30 น. เพื่อจัดทำพิธีการสวดมนต์ของพระธิเบต




บริเวณหน้าวัด ในอากาศที่หนาวเย็น (ประมาณ 0-1 องศา)









วัดญี่ปุ่น




โบสถ์แบบคริสก็มีให้เห็นค่ะ



วัดแบบนิกายเถรวาทเหมือนไทยค่ะ พระสงฆ์เป็นชาวอินเดีย




นักเดินทางทั้งหมดนี้ไม่เคยรู้จักกันมาก่อนค่ะ ต่างชาติต่างภาษา เจอกันที่บนเขานี้ คุยกัน ทักกันแล้วนัดการมาทำบุญที่วัดนี้ ซึ่งมีนามว่า Kripasaran Buddhist Mission วัดพุทธสายเถรวาทเหมือนไทยเจ้าอาวาสเป็นชาวอินเดีย ชื่อว่า Bhante Pema ซึ่งสถานที่แห่งนี้ นอกจากจะเป็นวัดที่ดำรงซึ่งไว้การปฏิบัติกิจทางสงฆ์แล้ว ยังเป็นสถานที่รับเลี้ยงเด็กชายและหญิงที่ยากจนหรือกำพร้า ให้ทั้งที่พัก อาหารและการศึกษา โดยเงินสนับสนุนส่วนใหญ่เป็นเงินบริจาด เข้าไปชมสถานที่แล้ว อยู่ในฐานะที่ยังต้องการความช่วยเหลืออีกมากค่ะ มีเด็กชาย 50 คน เด็กหญิง 50 คน  กรุ๊ปคนไทยก็มาทำบุญที่นี่บ่อย ๆ ค่ะ พวกเราได้มีโอกาสบริจาดเงินเพื่อช่วยเหลือการก่อสร้าง และเพื่อเป็นค่าอาหารให้กับศูนย์ด้วยค่ะ สาธุ (ผู้มีจิตศรัทธาสามารถติดต่อบริจาคเงิน ได้ที่า Bhante Pema : bhantepema@gmail.com, โทร. 091 943424799)  หรือหากแวะเวียนไปที่ดาร์จีลิงก็และเยี่ยมได้ค่ะ ที่ Kripasaran Buddhist Mission , H.C Road Darjeeling 734101

***************************************



สถานีรถไฟ นอกจาก Toy train อันมีชื่อแล้ว ตัวสถานีเองก็มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวที่ดึงดูดให้นักท่องเที่ยวแวะเวียนมาถ่ายรูป และเป็นจุดชมวิวที่สวยงามอีกด้วยค่ะ









//i2.wp.com/darjeelingtimes.com/wp-content/uploads/2014/12/Darjeeling-Himalayan-Railway-India.jpg

Toy Train








นอกจากสถานที่ท่องเที่ยวทั้งหมดแล้ว ที่น่าสนใจไม่น้อยกว่าที่อื่นเลยก็คือ ตัวเมืองดาร์จีลิงเอง ซึ่งจะมีถนนห้ามรถเข้าไว้ให้เดิน-วิ่งออกกำลังกาย มีถนนหลักสำหรับเดินช้อปปิ่ง มีถนนหลักสำหรับเดินชมร้านชาและชิมชา และยังมีถนนหลายสายที่มีร้านอาหารทุกแบบให้เลือกสรร ยังมีห้างเล็ก ๆ มีโรงหนังที่ฉายหนังอินเดียให้ชมอีกด้วย โดยรวมแล้วเมืองดาร์จีลิงเป็นเมืองตากอากาศที่มีครบทุกรสชาติเลยค่ะ อยู่มามากว่า 2 อาทิตย์ก็ยังมีความสุขอยู่ค่ะ










แถว Northing Hill ที่ london มีประตูฟ้าในหนังเรื่อง Northing Hill อันโด่งดัง ที่ดาร์จีลิงก็มีประตูเขียวที่ล็อกกุญแจไว้อย่างแน่นหนา







ผลไม้เด่น ๆ ในช่วงนี้ก็ส้ม แอปเปิ้ล ทับทิมอินเดีย องุ่นดำและเขียว กล้วยหอม ราคาย่อมเยาว์กว่าไทยมากค่ะ




ที่นี่ซ่อมรองเท้าฝึมือดีและราคาสมเหตุสมผล และยังมีบริการขัดรองเท้าให้มันวาวอีก ตั้งอยู่ตามมุมมืออยู่ทั่ว ๆ ไป



 วิวกลางคืนก็สวยไปอีกแบบหนึ่งค่ะ

*************************************



มาเดี่ยวแต่ไม่โดดเดี่ยวค่ะ ระหว่างที่พักอยู่สองอาทิตย์มีเพื่อนใหม่ ๆ หลายชาติหลายภาษา แต่..ถือเป็นกฏเหล็กของการเดินทางคนเดียวเลยค่ะ ห้ามตั้งหน้าตั้งตาหาเพื่อนค่ะ กฏธรรมชาติคือยิ่งอยากได้อะไรมาก ๆ พลังที่ส่งออกไปจะเป็นการผลักออกนะคะ นักเดินทางที่จะออกเดินทางคนเดียวสิ่งที่ต้องมีก่อนเลยค่ะ การสามารถอยู่กับตนเองได้อย่างมีความสุขให้ได้ก่อนค่ะ จัดการกับการเดินทางและความเป็นอยู่ของตนให้ดีที่สุด เป็นคนที่แข็งแรงทั้งกายและใจ มีสุขภาพจิตที่ดี ยิ้มแย้มแจ่มใสและมีความสุข โดยแบบนี้พลังที่ส่งออกก็จะเป็นพลังทางบวกที่จะดึงดูดคนดี ๆ หรืออย่างน้อยที่สุดก็คนที่ใกล้เคียงกับเราเข้ามาค่ะ (กฏธรรมชาติอีกค่ะ อยากได้เพื่อนแบบไหนก็จงทำตัวให้เป็นแบบนั้นให้ได้ก่อน)  และให้ถือว่าเพื่อนใหม่ ๆ ที่เพิ่มเข้ามาเป็นแค่สีสันในการเดินทาง  ตัวเราควรจะมีแผนการท่องเที่ยวของเราเองอย่างชัดเจน ไปเองได้ทำกิจกรรมด้วยตนเองได้  นักเดินทางส่วนใหญ่จะมีเป้าหมายในการเดินทางที่ชัดเจนของตน รู้ว่าตนมาทำไม ต้องการอะไร พวกเราเจอกันบ้างเพื่อทานข้าว หรือดื่มชาบ้าง หรือบางครั้งก็ชวนกันไปเดินขึ้นเขา หรือไปทำบุญ แต่โดยรวมคือเราทำกิจกรรมของตนสัก 80% อีก 20% ก็มาเจอกัน แลกเปลี่ยนประสบการณ์บ้างเท่านั้นเอง (ด้วยเหตุนี้เราก็ต้องมีภูมิบ้าง เพื่อที่จะมีอะไรอะไรไปแชร์กับคนอื่นด้วยนะ)Smiley






***********************************




มีผู้ถามมาว่า เดินทางคนเดียวไม่เหงาบ้างหรือ???? Smiley มันก็อยู่ที่ว่าเรามองความเหงาเป็นอย่างไร หากเรามองว่าความเหงาเป็นศัตรูที่ต้องขจัดทิ้งให้เร็วไว โดยวิธิการต่าง ๆ เช่นรีบหาเพื่อนร่วมเดินทาง โทรหรือไลน์คุยกับเพื่อน หาของกิน และอื่น ๆ......... แต่ขณะเดียวกันหากเรามองความเหงาเป็นเพื่อนที่ดีคนหนึ่ง เป็นช่วงเวลาที่ได้จะได้อยู่อย่างเงียบๆ บ้าง ได้ชื่นชมกับสิ่งรอบข้างมากขึ้น ได้เห็นถึงความแปลกและสวยงามของสถานทีด้วยจิตใจที่เป็นสุขและสงบ ได้พบเจอกับเพื่อนเดินทางอื่น ๆ  หากเราสังเกตุ สิ่งดี ๆ ในชีวิตมักจะเกิดขึ้นช่วงที่เราอยู่ว่าง ๆ ด้วยจิตที่เป็นสุขและสงบนี้แหละ ชีวิตของทุกคนนั้น มันสมบูรณ์อยู่ในตัวมันเองอยู่แล้ว มันอยู่ที่การจัดการของตัวเราเองต่างหาก ที่ทำให้วิถีและชะตาชีวิตของแต่ละคนเปลี่ยนไป เราทุกคนได้พรอันวิเศษมาแล้วเหมือน ๆ กัน คือการได้เกิดเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ ส่วนที่เหลืออยู่ที่การจัดการอย่างมีปัญญาของแต่ละบุคคลจริง ๆ ค่ะ

**************************************








การเดินทางของครูหยีถือเป็นสิ่งที่ต้องกระทำ(Must) ในแต่ละปี อย่างน้อย 3-4 ครั้ง โดยถือคติคือ กินง่าย อยู่ง่าย คลุกคลีอยู่กับคนท้องถิ่น อยู่กับธรรมชาติ ฝึกโยคะ ฝึกสมาธิ ออกกำลัง ไต่เขา และที่สำคัญการเดินทางเป็นการฝึกตน ฝึกการชนะตนเอง ฝึกการแก้ปัญหา ฝึการยอมรับสิ่งใหม่ ๆ ยิ่งเดินทางมากขึ้นก็ค้นพบถึงจิตใจที่มีความเมตตาและมีความอ่อนโยนมากขึ้น เข้าใจชีวิตทั้งของตนและคนอื่นมากขึ้น เอาใจเขามาใส่ใจเรามากขึ้น ยอมเสียเปรียบบ้างเพื่อทำให้อีกคนมีความสุข ยอมจ่ายแพงขึ้นอีกสักนิดพื่อนำรอยยิ้มมาสู่อีกคน สิ่งเล็ก ๆ น้อย ๆ เหล่านี้ก็เรียนรู้จากการเดินทาง  ได้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงที่ยิ่งใหญ่คือเรามีความสุขได้ง่ายขึ้น ตื่นขึ้นมาทุกเช้าด้วยรอยยิ้ม และจิตที่เบาสบายมากขึ้น ถึงแม้อายุจะย่างเข้า 50 ขวบในอีก 2 ปี แต่ใจก็ยังหลงไหลเสน่ห์แห่งการเดินทาง โดยเฉพาะในทรีปนี้ได้มีโอกาสคุยกับนักปั่นจักรยานที่ปั่นทั่วอินเดียและเนปาลเป็นเวลา 6 เดือนเพื่อฝึกชนะใจของตนเองที่กลัวความลำบาก ได้คุยกับชาวอิสราเอล ที่คิดว่าตนเป็นลามะธิเบตกลับชาติมาเกิด จึงต้องมาเรียนภาษาธิเบตและศึกษาธรรม เพื่อจะได้บวชในที่สุด หรือแม้แต่เจอน้องคนไทยที่อดีตเป็นนักดนตรีมีชื่อ มาใช้ชีวิตแบบง่าย ๆ สบาย ๆ อยู่กับธรรมชาติช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ที่ลำบากกว่าตน อะไรเป็นสิ่งดลใจที่ทำให้สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นในชีวิตของคนคนหนึ่ง ก็เรียนรู้จากการเดินทางนี้แหละค่ะ เพราะฉนั้นก็จะเดินทางอีกเรื่อย ๆ ฝึกตน เรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ ไปอีกเรื่อย ๆ ค่ะ    Smiley



Create Date : 05 มกราคม 2559
Last Update : 25 มกราคม 2559 11:59:12 น. 3 comments
Counter : 1722 Pageviews.

 
ประทับใจค่ะ ชอบมากเลย ^___^


โดย: auau_py วันที่: 22 มกราคม 2559 เวลา:8:17:58 น.  

 
เที่ยวแบบนี้ สนุก... ได้เห็นภาพของจริงเป็นส่วนใหญ่

ราคาที่พัก กับอาหาร โอเคเลยครับ 555

ได้อ่าน ได้ดูภาพเพลินเลย งั้นโหวต

ผู้เขียน Blog หมวดเนื้อหา Blog ได้รับโหวต
kwan_3023 Diarist ดู Blog
เนินน้ำ Food Blog ดู Blog
ดอยวาวี Travel Blog ดู Blog


โดย: ไวน์กับสายน้ำ วันที่: 22 มกราคม 2559 เวลา:16:32:26 น.  

 
เมื่อกี้ ได้ดูประวัติขวามือ

อ้าว เป็นครูสมาธิสถาบันพลังจิต รุ่น 29 เดียวกันด้วย
ดีใจครับ..

ตอนนั้นผมเรียนที่วัดธรรมมงคลครับ


โดย: ไวน์กับสายน้ำ วันที่: 22 มกราคม 2559 เวลา:16:34:57 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 
 
 

ดอยวาวี
Location :
เชียงใหม่ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 17 คน [?]




ชื่อจริง บุษรา รัตนวาวี ชื่อเล่น ลูกหยี ค่ะ เป็นคนเหนือโดยกำเนิด ศึกษาและทำงานที่เชียงใหม่ จนอายุเกือบ 30 ปี จึงได้ตัดสินใจไปศึกษาปริญญาโทที่ประเทศอังกฤษ ซึ่งตอนที่เรียนที่ประเทศอังกฤษ ได้มีโอกาสรู้จักโยคะเป็นครั้งแรกและได้ฝึกมาตลอด ถึงแม้ว่าหลังจากสำเร็จการศึกษาและได้งานประจำที่กรุงเทพ แต่ก็ไม่เคยละทิ้งโยคะเลย ได้ศึกษโยคะหลาย ๆ แบบ ได้เข้าฝึกกับผู้ฝึกทั้งชาวไทย และชาวต่างประเทศ จนค้นพบว่าโยคะที่เหมาะกับตนเองและคิดว่าจะฝึกไปตลอดชีวิตเลยคือ หะฐะโยคะ ซึ่งถือเป็นโยคะดั้งเดิมจากอินเดีย จึงได้ฝึกเฉพาะหะฐะโยคะตั้งแต่นั้นมา และมีโอกาสที่เข้าฝึกเป็นครูโยคะ ที่สุนีย์โยคะ กรุงเทพ เป็นเวลา 100 ชั่วโมง และได้สอนในโอกาสต่าง ๆ ในวันที่ว่างเว้นจากงานประจำ จนกระทั่งสิ้นปี 2009 จึงตัดสินใจลาออกจากงานประจำ เดินทางไปศึกษาโยคะและอายุรเวทที่อินเดียอย่างจริงจัง เป็นเวลา 3 เดือน (หลักสูตรครูโยคะ 1000 ชั่วโมง) ซึ่งเป็นเวลา 3 เดือนที่ได้ใช้โยคะเป็นวิถีแห่งชีวิต ได้มีโอกาสสอนคนทั้งคนแก่ คนท้อง เด็ก ใช้ชีวิตอย่างพอเพียง และรู้สึกถึงความสุขที่แท้จริง จึงได้ตัดสินใจที่จะแบ่งปันความรู้ ประสบการณ์ที่ตนเองได้ประสบมาจากการรู้จักโยคะ และได้ใช้โยคะเป็นวิถึชีวิต กับชาวเชียงใหม่ค่ะ

มารู้จัก บ้านหยีโยคะ ด้วยนะคะ
**ปัจจุบันนี้ ปี 2561 บ้านหยีโยคะ ได้เปิดมาครบ 7 ปีแล้วค่ะ
.....................................................................

บ้านหยีโยคะ ถูกสร้างขึ้นในบริเวณที่แวดล้อมด้วยต้นไม้น้อยใหญ่ในเดือนธันวาคม 2553 ด้วยความรักบวกกับความตั้งใจของครูหยีเพื่อโยคะโดยเฉพาะ และเน้นนโยบายของครูหยีเองว่า เพื่อช่วยเหลือคนอื่น โดยใช้ประสบการณ์ ความรู้ของตน พร้อมแบ่งปัน แลกเปลี่ยนความรู้กับสมาชุก ที่สำคัญสุดรายได้ส่วนหนึ่งจากค่าสมาชิกจะใช้เพื่อการกุศล ตลอดเวลา 1 ปีที่ครูหยีได้เปิดสอนมานั้น ได้รับการต้อนรับจากชาวเชียงใหม่หรือแม้แต่คนต่างจังหวัดเป็นอย่างดีมาก ถึงแม้ครูหยีจะเปิดสอนเพียง 3 วันต่ออาทิตย์ก็ตาม รายได้ได้ถูกนำไปสร้างบุญสร้างกุศลอย่างมากมาย ตั้งแต่ช่วยเหลือผู้ประสบภัยต่าง ๆ จนถึงร่วมทำบุญซื้อที่ดินถวายวัด ช่วยเหลือเป็นทุนการศึกษา ค่าอาหารต่อเด็กยากจน ตลอดจนเป็นปัจจัยสำหรับอาหารสำหรับผู้ปฏิบัตธรรมตามสถานที่ปฏิบัติธรรมต่าง ๆ แต่สิ่งที่ครูหยีประทับใจที่สุดคือสมาชิกหลายท่านมีสุขภาพทั้งกายและใจดีขึ้นมาก มีสติ หันมาศึกษาธรรมะ ดูแลสุขภาพของตนจากภายใน รักตนเองมีความมั่นใจในตนเอง พร้อมสิ่งดี ๆ อีกมากมาย ถึงแม้ว่าสิ่งที่ครูหยีทำอยู่อาจจะไม่ใช่สิ่งยิ่งใหญ่ แต่ตนเองก็ภูมิใจที่ได้ทำและจะทำไปเรื่อย ๆ เท่าที่เหตุปัจจัยจะนำพาไป ครูหยีขอถือโอกาสนี้กราบขอบคุณสมาชิกทุก ๆ ท่าน ที่ได้ให้การสนับสนุนบ้านหยีโยคะ และให้กำลังใจครูหยีในการทำความดีตลอดมา (ไป) ค่ะ
------------------------------------------------------------
update มกราคม 2556

ผ่านไปอีกปีหนึ่งแล้วค่ะ บ้านหยีโยคะก็เปิดมาแล้วครบ 2 ปี และกำลังก้าวย่างสู่ปีที่ 3 ในปีที่สองที่ผานมาบ้านหยีโยคะได้มีกิจกรรมทำร่วมกับสมาชิกมากขึ้น ไม่ว่าจะไปปฏิบัติธรรมร่วมกัน ร่วมออกโรงทาน หรือไปแสวงบุญไกลถึงอินเดียร่วมกัน ซึ่งกิจกรรมดี ๆ หลายอย่างก็ยังจะทำต่อเนื่องกันไปต่อไปค่ะ และการเปลี่ยนแปลงอีกอย่างก็คือบ้านหยีโยคะได้เน้นกลุ่มลูกค้าที่ชัดเจนขึ้นคือจะเน้นรับสมาชิกที่เป็นวัยทำงาน ตั้งแต่ 30 ปีขั้นไป และในช่วงเช้าจะเน้นวัยผู้ใหญ่ที่ 40 ปีขึ้นไป เพราะครูหยีเห็นว่าผู้หญิงในแต่ละวัยมีการเปลี่ยนแปลงทั้งร่างกายและจิตใจที่ต่างกัน ควรจะได้รับการดูแลที่ถูกต้อง พร้อมกันนี้ ครูหยีได้เพิ่มและเน้นเรื่องของโภชนาการมากขึ้น แบ่งปันความรู้ในด้านของอายุรเวทมากขึ้น โดยมีจุดมุ่งหมายอย่างชัดเจนเลยค่ะ คือให้สมาชิกของเรานั้นได้มีความสมบูรณ์ทั้งกายและใจ ฝึกเป็นหมอของตนเองค่ะ สังเกตุการเปลี่ยนแปลงในร่างกาย ปรับธาตุด้วยอาหาร ด้วยอารมณ์ ซึ่งได้รับความสนใจนำไปปฏิบัติจากสมาชิก เช่น การรับประทานอาหารเช้าที่เป็นประโยชน์มากขึ้น ลดกินแป้ง ลดน้ำตาล ลดชา ลดกาแฟ ล้างพิษ ดำเนินชีวิตประจำวันอย่างผู้ฉลาด อย่างมีสติเป็นต้น และสมาชิกหลาย ๆ ท่านก็ได้นำความรู้ด้านอื่น ๆ มาแบ่งปันกันในกลุ่มสมาชิกด้วย ซึ่งครูหยีจะเน้นให้สมาชิกให้ดูแลร่างกายและจิตใจไปพร้อม ๆ กันอย่างเป็นองค์รวม ให้รักตนเองและดูแลตนเองให้ดีที่สุด เพื่อที่เราจะได้มัพลัง มีแรงที่จะไปรักและดูแลตนอื่นได้ค่ะ

แน่นอนว่าการที่บ้านหยีโยคะได้อยู่จนครบ 2 ปี และยังก้าวต่อไปพร้อมทั้งกิจกรรมมากมายที่เกิดขึ้นและกำลังจะเกิดขึ้นนั้น ได้รับการสนับสนุนและให้กำลังใจจากสมาชิกทุก ๆ ท่านและร่วมถึงครอบครัวของสมาชิกด้วย ครูหยีขอกราบขอบพระคุณเป็นอย่างยิ่งมา ณ โอกาสนี้ด้วยค่ะ ขอความดีทั้งหลายที่ท่านทั้งหลายได้ทำและสะสมมาจงคุ้มครองให้ท่านได้พบเจอแต่สิ่งดีงามและพบทางพ้นทุกข์ด้วยเทอญ

สำหรับตัวครูหยีเองก็ยังดำเนินชีวิตตามอุดมการณ์เดิมค่ะ ขอใช้ชีวิตอย่างพอเพียง แบ่งปันให้มากที่สุด มีความสุขกับทุกลมหายใจ ปฏิบัติธรรมเพื่อศึกษาจิตตนให้ละเลิกกิเลสให้มากที่สุดและพัฒนาปัญญาให้เกิดขึ้นได้เห็นทุกข์และมีโอากาสได้ออกจากทุกข์ในเร็ววันค่ะ
--------------------------------------------------------------
update มกราคม 2557

ผ่านไปอีกปีแล้วค่ะ บ้านหยีโยคะได้อยู่ครบ 3 ปีแล้ว และกำลังก้าวเข้าสู่ปีที่ 4 ตลอด 2556 ที่ผ่านมาบ้านหยีโยคะได้มีโอกาสต้อนรับพี่ ๆ น้อง ๆ อา ๆ ป้า ๆ กว่าร้อยท่าน หลาย ๆ ท่านอยู่ด้วยกันมาตั้งแต่เปิดครั้งแรกจนถึงปัจจุบัน ได้เห็นถึงสุขภาพกายและใจที่ดีขึ้น ๆ ของสมาชิก เป็นความรู้สึกปลาบปลื้มปิติจริง ๆ ค่ะ ขอขอบคุณที่รักตัวท่านเอง ขอขอบคุณที่ท่านได้ให้โอกาสกับบ้านหยีโยคะได้สร้างสิ่งดี ๆ ร่วมกันกับท่าน การพบแล้วจากเป็นธรรมดาของโลก แต่การเจอของเราในครั้งนี้ ไม่ธรรมดาค่ะ เพราะเราได้สร้างบุญสร้างกุศลร่วมกันและต่างก็เป็นเนื้อนาบุญของกันและกัน ของบุญรักษาท่านด้วยเทอญ

สำหรับตัวครูหยีเอง เป็นปีที่เดินทางบ่อยถึงบ่อยมาก อย่างที่ครูหยีชอบพูดอยู่เสมอว่าการเดินทางเป็นการเรียนรู้ค่ะ ระหว่างทางเราอาจจะเจอคนมากมาย ได้พบและเรียนรู้วัฒนธรรมใหม่ และที่สำคัญที่สุดคือเรียนรู้ตนเองค่ะ ตลอดเวลาตั้งแต่เกิดมาพวกเราก็เรียน เรียนกันมาตลอด เราติดตามข่าว รู้เรื่องชาวบ้าน เพื่อนบ้าน แต่คนที่เรารู้จักน้อยที่สุดกลับเป็นตนเราเอง ตลอดเวลาที่ใช้ชีวิตอย่างสงบ โดยเฉพาะช่วงปีที่ผ่านมาได้เรียนรู้ตนเองมากขึ้นอีกนิดหนึ่งแล้วค่ะ มีชิวิตที่เป็นอิสระ เบา สบายมากขึ้น ทรัพสินภายนอกอาจจะไม่เพิ่ม แต่อริยทรัพย์ภายในเริ่มมีบ้างแล้ว ก็เป็นกำลังใจที่จะเดินเส้นทางนี้ต่อไปอีก ครูหยีซาบซึ้งใจอยู่ตลอดเวลาว่าสิ่งดี ๆ ในชีวิตที่เกิดขึ้นกับครูหยีนั้นต้องขอบคุณครอบครัวที่ประกอบด้วยน้องชายทั้งสอง น้องสาว น้องสะใภ้ทั้งสองและหลาน ๆ ที่เป็นกำลังใจและช่วยเหลืออยู่เสมอ สมาชิกบ้านหยีโยคะทุก ๆ ท่าน และกัลยาณมิตรทุกท่าน ที่ให้การสนับสนุน ช่วยเหลือ ให้กำลังใจอยู่เสมอมา ขอกราบขอบพระคุณอย่างสูงค่ะ

----------------------------------------------------------------
update เมษายน 2558

ผ่านไปแล้วอีก 1 ปี บ้านหยีโยคะอยู่อย่างมั่นคงครบ 4 ปี และกำลังก้าวเข้าสู่ปีที่ 5 แล้วค่ะ ตลอดปีที่ผ่านมาบ้านหยีโยคะได้ต้อนรับสมาชิกมากมาย บางท่านอยู่กันหลายเดือน บางท่านก็ฝึกด้วยกันเพียงเดือนเดียว ซึ่งดิฉันเชื่อเสมอค่ะ พวกเราได้มาเจอกันก็ด้วยบุญ -กุศลที่ได้ร่วมสร้างกันมา ทุกคนที่เข้าสู่บ้านหยีโยคะจึงเสมอเหมือนญาติพี่น้องที่ได้กลับมาพบกันอีกครั้ง และพวกเราก็หนี้สัจธรรมไม่พ้นค่ะ ทุกอย่างคือความไม่แน่นอน ทุกอย่างคือการเปลี่ยนแปลง เมื่อมีพบย่อมมีจากเป็นธรรมดาของโลกจริง ๆ นะคะ อย่างไรก็ตาม ก็ขอขอบพระคุณท่านสมาชิกที่ได้แวะเวียนเข้าสู่ครอบครัวบ้านหยีโยคะ ท่านมาเราดีใจ ท่านจากเราคิดถึงนะคะ

ตลอดปีที่ผ่านมา พวกเราก็ยังมุ่งในการสร้างบุญสร้างกุศลมิได้ขาด โดยเฉพาะช่วงหลัง ๆ มีภัยพิบัติเกิดขึ้นอย่างมากมาย ปัจจัยส่วนหนึ่งก็ได้แบ่งปันไปยังผู้ประสบภัยเหล่านั้นด้วยค่ะ ยิ่งอยู่นาน คงทำให้ประจักษ์ว่า ชีวิตนี้เหลือน้อยแล้ว ก็จำต้องเร่งสร้างบุญสร้างกุศล ฝึกจิตให้สูงขึ้น ลด ละ เลิก ในความโลภ ความโกรธ ความหลง ให้ได้มากขึ้น

ขอบุญรักษา
----------------------------------------------------------------
ประวัติโดยย่อ ของครูหยี

ปัจจุบัน
เจ้าของและครูสอนโยคะที่บ้านหยีโยคะเชียงใหม่
ดำเนินชีวิตอย่างพอเพียง สงบ และมีความสุขกับทุกลมหายใจ
* ศึกษาและปฏิบัติธรรม
* ทำความดี
* นักเดินทาง

**สนใจและศึกษาเกี่ยวกับ

* จิต
* ธรรมชาติบำบัด
* อาหารบำบัดโรด
* สมาธิกับการดำเนินชีวิตประจำวัน
* เข้าอบรม และศึกษาโยคะอยู่สม่ำเสมอตั้งในประเทศและ
ต่างประทศ


ประวัติด้านโยคะ

- หลักสูตร Yoga Teacher training course จำนวน 1 ,000 ชั่วโมง ณ Yoga Institute, Mumbai อินเดีย (ปี2010)
- หลักสูตร ครูผู้นำโยคะ โดย โรงเรียนสุนีย์ โยคะ กรุงเทพ จำนวน 100 ชั่วโมง
- ฝึกและสอนโยคะมามากกว่า 10 ปี ทั้งในประเทศอินเดีย และไทย

** สำเร็จหลักสูตรครูสมาธิรุ่นที่ 29 กับสถาบันพลังจิตตานุภาพ วัดธรรมมงคล ปี 2555

ประวัติการศึกษา
- ปริญญาโท ด้านการโรงแรมและการท่องเที่ยว Bournemouth University ณ ประเทศ อังกฤษ (ปี 2000)
- ปริญญาตรี ด้านการบริหารธุรกิจ มหาวิทยาลัย พายัพ เชียงใหม่


ประวัติการทำงาน

- ผู้จัดการแผนกการศึกษาต่อ ณ ประเทศอังกฤษ บริษัท Planit Consultants Bangkok กรุงเทพฯ (ปี2001-2009)
- ผู้จัดการฝ่ายการตลาดโรงพยาบาลราชเวช เชียงใหม่
- หัวหน้าแผนกลูกค้าสัมพันธ์โรงพยาบาลราชเวช อุมลราชธานี
- ผู้ช่วยผู้จัดการฝ่ายขาย โรงแรมสุริวงค์เชียงใหม่
- ผู้ช่วยผู้จัดการฝ่ายขาย โรงแรมเชียงใหม่พลาซ่า เชียงใหม่
- เจ้าหน้าที่ฝ่ายขาย โรงแรมดิเอ็มเพรส เชียงใหม่

[Add ดอยวาวี's blog to your web]

 
pantip.com pantipmarket.com pantown.com
pantip.com pantipmarket.com pantown.com