•  Bloggang.com
  • วันที่ 5 เยือนหอเอนเมือง Pisa, เมืองศิลปะ Florence

    ต่อเนื่องจากที่เมื่อวานนี้สัญญาว่าจะเล่าเหตุการณ์ตอนเย็นหลังจากที่มาถึงเมืองปิซาให้ฟัง

    เมื่อวานพวกเรามาถึงปิซาก็ประมาณเกือบ 4 ทุ่มเลยล่ะ เพราะว่ากว่าจะออกจากมิลานก็ค่อนข้างเย็นพอสมควร พอเข้าเขตเมืองปิซาเนี่ย ฉันก็โทรไปติดต่อเรื่องที่พัก กะว่าจะถามซักกะหน่อยว่าที่พักอยู่ตรงไหน ทั้งๆ ที่ตอนจองที่พักมานั้น ฉันก็รู้อยู่แล้วว่าที่พักตั้งอยู่ในตัวเมืองเลยทีเดียว แต่เนื่องจากในตัวเมืองนั้น มีซอยแยกเล็กๆ เต็วไปหมด จนฉันไม่แน่ใจเลยว่า พวกเราจะหาที่พักเจอ


    ตอนที่จองทางอินเตอร์เนตนั้นเนี่ย ฉันนึกว่าที่พักที่เราจะพักในปิซา เป็นโรงแรมที่ค่อนข้างสะดวกสบายพอสมคาร เนื่องจากมีหน้าเวปไซด์เป็นของตัวเอง แต่พอโทรศัพท์ไปตามเบอร์ที่จดมา ปรากฏว่าเป็นเสียงตาลุงแก่ๆ ที่ไหนมารับสายก็ไม่รู้ แล้วแกก็ยังพูดภาษาอังกฤษไม่ได้อีก ฉันก็เลยสางบทสนทนาสั้นๆ ไปว่า

    "Hotel ?"

    แกตอบกลับมาคำเดียวสั้นๆ ว่า "No"


    ฉันก็เลยเกิดอาการเอ๋อน่ะสิ ไหงงั้นหว่า เบอร์โทรก็ไม่ผิดนี่นา โทรไปอีกครั้งดีกว่า คราวนี้เป็นเด็กมารับ ถามเหมือนเดิม ก็ได้คำตอบเหมือนเดิม แต่คราวนี้ดีหน่อยตรงที่ว่า เด็กพูดออกมาคำนึงว่า

    "Bed and Breakfast"


    ฉันก็ยังใจชื้นขึ้นมาหน่อย เพราะว่าฉันอาจจะเข้าใจผิดไปเองว่ามันคือโรงแรม คราวนี้เราก็ขับรถหาที่พักต่อไปจนกระทั่งเจอ ซึ่งก็หาไม่ยากเท่าไหร่ แต่ก็เจอแค่ถนนเท่านั้นนะ ยังไม่ได้เจอตัวบ้านที่เราจะไปพักหรอก

    ฉันรับอาสาเดินลงมาหาตึกหมายเลย XX (จำไม่ได้) ซึ่งเป็นที่พักของเรา ฉันก็เดินหาจนเจอหมายเลขตึกที่ว่าแหละ แต่ไม่เห็นเจอป้ายอะไรซักอย่างที่บอกว่ามันคือ Bed & Breakfast ซึ่งขฯนั้นฉันก็เหนื่อยเต็มที ทั้งเหนื่อย ทั้งง่วง อยากจะพักผ่อนเหลือเกินแล้ว ฉันลองโทรศัพท์ตามเบอร์ที่จดมาอีกทีก็ยังสื่อสารกันไม่รู้เรื่อง จนในที่สุดพี่ห่งก็เสนอว่าให้หาล่ามดีกว่า พี่ห่งก็เลยเดินไปหาคนแถวๆ นั้น ซึ่งพูดได้ทั้งภาษาอิตาลีและภาษาอังกฤษ ให้เค้าช่วยคุยโทรศัพท์กับตาลุงให้หน่อย แล้วเอามาอธิบายเรา ปรากฏว่าวิธีนี้ WORK แฮะ ก็ไอ้บ้านที่ฉันไปด้อมๆ มองๆ นั่นแหละ คือที่พักของเรา เพียงแค่กดกริ่งเรียกให้ตาลุงมาเปิดประตุให้เท่านั้นเอง ... ดูความเบ๊อะของฉันสิ แต่...ใครจะคิดไปล่ะ ว่าบ้านที่มีลักษณะเหมือนตึกแถวแบบเมืองไทย เก่าๆ โทรมๆ เนี่ย ยังอุตส่าห์เอามาทำเป็น Bed & Breakfast แถมยังมีหน้าเวปไซต์ขึ้นอินเตอร์เนตอีกต่างหาก ^_^ กว่าจะจัดการเก็บของเข้าที่พัก เจรจาภาษาใบ้เรื่องตกลงราคาก็ปาเข้าไปเกือบเที่ยงคืน อาหารมื้อเย็นของเราในปิซา ซึ่งก็คือพิซซ่า ก็เลยล่วงไปอยู่ที่เกือบตีหนึ่งของวันรุ่งขึ้น

    สาหัสสากรรจ์ที่สุดแล้ว !!!


    *************************************


    มาเล่าเรื่องวันนี้กันดีกว่า

    ถึงแม้ว่าจะนอนดึกมากๆ เมื่อคืนนี้ และที่พักก็ดูไม่ค่อยดีเท่าไหร่ แต่ฉันก็ยังนอนหลับสนิท เนื่องจากเมื่อวานตอนหาที่พักนั้น เหนื่อยสุดๆ หลังจากที่นอนเต็มอิ่ม ฉันก็ตื่นขึ้นมาอาบน้ำแต่งตัว เตรียมตัวจะออกจากที่พักไปเที่ยว ฝนฟ้าก็ช่างไม่เป็นใจเอาเสียเลย เพราะว่าดันตกลงมาอย่างหนัก ระหว่างติดฝนอยู่นั้นเอง พี่ณีก็เสนอว่า เราควรไปหาอะไรรองท้องกินเป็นอาหารเช้าระหว่างที่ฝนยังไม่หยุดดีกว่าจะได้ไม่เป็นการเสียเวลา ซึ่งพวกเรา 2 คนที่เหลือ ก็เห็นด้วย เราก็เลยออกไปกินโกโก้ร้อน และขนมปังอีกนิดหน่อยที่ร้านหน้าที่พัก จนกระทั่งฝนหยุดตกนั่นแหละ เราถึงเดินทางไปเที่ยวหอเอนกัน เฮ้อ!!! ฟ้าหลังฝนที่ช่างสดใสจริงๆ

    วันนี้พวกเรามีโปรแกรมเที่ยวเมือง 2 เมืองใหญ่ในเขตToscana นั่นคือ เมือง Pisa และ Florence

    จริงๆ แล้วฉันก็ไม่ค่อยรู้หรอกว่า สถานที่เที่ยวที่สำคัญในเมือง Pisa มีอะไรมากน้องแค่ไหน แต่จุดที่สำคัญที่สุดที่ฉันจะพลาดไม่ได้ก็คือหอเอนนั่นแหละ พวกเราก็เลยมุ่งหน้าไปที่ Piazza del Duomo ซึ่งก็เป็นบริเวณที่ตั้งของหอเอน นอกจากหอเอนแล้วก็ยังมีตึกสีขาวๆ อยู่ 2-3 ตึก ซึ่งฉันก็ไม่รู้เหมือนกันว่ามันมีความสำคัญยังไง รูป 2 รูปข้างล่างก็เป็นรูปหอเอน และตึกที่ตั้งอยู่ในบริเวณนั้น





    หอเอน หรือที่เรียกกันโก้ๆ เป็นภาษาอังกฤษว่า The Leaning Tower นั้น ได้เริ่มสร้างขึ้นเมืองปี ค.ศ. 1174 โดยสถาปนิกที่ชื่อว่า Bonanno Pisano และเสร็จสิ้นในปี 1350 โดย Tommasso Pisano เจ้าหอเอนนี้มีความสูงถึง 58.36 เมตร และหนัก 14,453 ตัน ตอนที่สร้างฉันก็ไม่รู้หรอกว่าเค้าใช้วิธีไหนสร้าง ถึงได้นำเอาหินที่หนักขนาดนี้มาทำเป็นตึกได้ ไอ้เจ้าหอเอนเนี้ยแหละ ที่นักวิทยาศาสตร์ชื่อก้องโลกอย่างกาลิเลโอ ได้ทำการทดลองหาสูตรยากๆเกี่ยวกับแรงโน้มถ่วงของโลก มาให้เราๆ เรียนกัน นั่นก็คือ การทดลองโยนวัตถุ 2 ชนิดที่ขนาดต่างกัน แต่ว่ามีน้ำหนักไม่เท่ากันลงมาจากหอเอน ปรากฏว่าวัตถุทั้งสองตกถึงพื้นพร้อมกัน



    เนื่องจากตอนที่พวกเราไปถึงหอเอนนั้นเป็นเวลาที่ฝนเพิ่งหยุดตก และยังถือว่าค่อนข้างเช้าอยู่พอสมควร คือประมาณเกือบๆ 10 โมง ผู้คนก็เลยยังไม่ค่อยพลุกพล่านมากนัก การถ่ายรูปก็สะดวก ไม่ต้องคอยหลบนักท่องเที่ยวคนอื่นๆ แต่พอสายหน่อยที่เริ่มจะมีแดดออก ก็มีทั้งนักท่องเที่ยวชาวอิตาลีเอง ชาวยุโรป หรือแม้กระทั่งชาวเอเชียอย่างเราๆ ค่อยๆ ทยอยกันมาเยอะแยะซะเหลือเกิน เราก็เลยตัดสินใจถ่ายรูปต่ออีกนิดหน่อย แล้วก็เลือกซื้อของที่ระลึก โดยฉันก็เลือกซื้อโปสการ์ดมา 3-4 แผ่น เสร็จแล้วก็เผ่นดีกว่า



    *************************************


    หลังจากที่เราเผ่นออกจาก Pisa แล้ว ตามโปรแกรมเราจะต้องไปที่เมือง Florence แต่เนื่องจากเราทำเวลากันได้ดีพอสมควร และพี่ห่งก็บอกว่าจริงๆ แล้วเมือง Siena ซึ่งตั้งอยู่ทางทิศใต้ของ Florence ก็เป็นเมืองที่น่าไปเที่ยวพอสมควร แล้วก็ใช้เวลาเดินทางไม่ค่อยนานนัก พวกเราก็เลยตัดสินใจขับรถไปเที่ยวเมือง Siena ก่อน แล้วค่อยไป Florence

    โบสถ์ที่เมือง Siena (Siena Duomo) เป็นโบสถ์สไตล์ Romanesque-Gothic ซึ่งเริ่มสร้างขึ้นในช่วงศตวรรษที่ 12 โดย Nicola Pisano และสร้างเสร็จสมบูรณ์เมื่อปี ค.ศ. 1382 โบสถ์นี้ถือว่าเป็นโบสถ์ที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งในอิตาลีเลยแหละ


    น่าเสียดายที่ฉันไม่สามารถถ่ายรูปทั้งหมดของโบสถ์ได้ เพราะว่ากล้องเก็บรูปได้ไม่หมด


    นอกจากโบสถ์แล้ว ก็ยังมีจตุรัสขนาดใหญ่ ตั้งอยู่เป็นศูนย์กลางของเมืองนี้ เรียกว่า Piazza del Campo ตอนที่เราไปถึงก็บ่ายโมงกว่าๆ แล้ว ผู้คนชาวเมือง และนักท่องเที่ยวก็ออกมานั่งเล่นกันบริเวณจัตุรัสจำนวนมาก ในความรู้สึกของฉัน ฉันว่าผู้คนในเมืองนี้ช่างดูวุ่นวายและพลุกพล่านซะเหลือเกิน ร้านค้าบริเวณจัตุรัสก็เต็มไปด้วยผู้คนมากมาย เดินไปทางไหนก็เจอแต่ผู้คนเต็มไปหมด จนเริ่มรู้สึกว่า ชักจะไม่ค่อยสนุกล่ะ ก็เลยเดินไปหาอาหารกลางวันกินที่ McDonald เจ้าเก่าดีกว่า หลังจากนั้นก็ออกเดินทางไป Florence ทิ้งท้ายด้วยรูปผู้คนในเมือง Siena



    ไอ้เจ้าเสาสูงๆ ที่ตั้งอยู่ในรูป (ที่ฉันถ่ายมาไม่ครบ) ก็คือ Torre del Magnia (Magnia Tower) ซึ่งมีความสูงทั้งสิ้น 102 เมตร ส่วนตัวตึกที่เห็นเป็นสีน้ำตาลนั่นคือ Town Hall หรือศาลาว่าการเมือง Siena ซึ่งสร้างขึ้นในระหว่างปี 1297-1310



    *************************************


    Florence เมืองศิลปะ

    แหะๆ ก่อนอื่นต้องขอสารภาพเลยว่าพวกเราไม่ใช่ศิลปิน แล้วก็ไม่ซาบซึ้งกับการดูศิลปะแบบต่างๆ ในพิพิธภัณฑ์ ดังนั้นในการเที่ยว Florence นั้น เราก็เลยคิดแค่ว่าไปดูตึกสวยๆ วิวริมน้ำ ถ่ายรูปนิดๆ หน่อยๆ ก็พอ ซึ่งถ้าให้เราไปเดินชมศิลปะต่างๆ เราต้องเบื่ออ้วกแตกแน่ๆ เลย เวลาที่วางแผนเอาไว้ในฟลอเรนซ์ก็เลยใช้เวลาเพียงแค่ราวๆ 2-3 ชั่วโมงแค่นั้นเอง

    เมือง Florence เป็นเมืองหลวงของเขต Toscana และถือว่าเป็นเมืองที่มีความเจริญรุ่งเรืองทางด้านศิลปะไม่ว่าจะเป็นด้านการวาดภาพ, การแกะสลักหรือแม้กระทั่งทางด้านสถาปัตยกรรมมาตั้งแต่สมัยโบราณเลยที่เดียว โดยมีศิลปินที่มีชื่อเสียงหลายคนได้เติบโตและใช้ชีวิตอยู่ที่เมือง Florence ไม่ว่าจะเป็น Leonardo da Vinci หรือ Michelangelo Buonarroti

    เริ่มแรกที่พวกเราเข้าสู่เขตเมือง Florence เราก็ได้เห็นรูปปั้นตัวปลอมของ Michelangelo ที่ตั้งตระหง่านอยู่บนเทือกเขา



    พวกเราก็เลยตัดสินใจจอดรถไว้ที่ Piazzale Michelangelo ซึ่งจากจัตุรัสนี้ ก็จะสามารถมองเห็นตัวเมือง Florence ได้เกือบทั้งเมือง หลังจากที่จอดรถเรียบร้อยแล้ว พวกเราก็ลงมาถ่ายรูปเก็บความงามของตัวเมือง Florence ในระยะไกลก่อน







    ตึกสามตึกที่เห็นจากรูปที่เรียกจากซ้ายมาขวานั่นก็คือ PALAZZO VECCHIO, DUOMO และ CUPOLA ซึ่งไอ้เจ้า 3 ตึกนี้แหละ คือจุดหมายปลายทางของพวกเรา

    เมื่อเรารู้จุดหมายปลายทางเป็นที่เรียบร้อยแล้ว หลังจากที่ถ่ายรูปเล่นกันจนจุใจ พวกเราก็เคลื่อนขบวนไปที่รถเพื่อขับไปยังจุดหมายของเรานั่นเอง แต่เนื่องจาก Florence เป็นเมืองใหญ่ เมื่อเราขับรถเข้ามาภายในตัวเมือง ทุกอย่างก็ดูจะวุ่นวายไปหมด ไม่ว่าจะเป็นถนนที่มีรถเยอะแยะมากมาย การจราจรที่ติดขัด รวมถึงพวกเรา ซึ่งไม่มีแผนที่ถนนหนทางในเมือง Florence เลย เราขับรถวนอยู่หลายรอบมาก จากสามโมงครึ่งจนกระทั่งถึงสี่โมงครึ่ง เราก็ยังขับรถวนอยู่แถวๆ นั้นแหละ แวะถามทางใคร เค้าก็ไม่สามารถสื่อสารเป็นภาษาอังกฤษกับเราได้ ที่เราต้องการตอนนี้ก็คือ เรากำลังจะหาที่จอดรถ เพื่อเดินเข้าไปในจุดท่องเที่ยวสำคัญ

    จนกระทั่ง เราตัดสินใจจอดรถไปถามทางผู้ชายใส่สูท ผูกไทด์ แต่งตัวน่าภูมิฐาน เขาคนนั้น เป็นคนแรกที่เราเห็นว่าด้วยลักษณะ ท่าทาง การแต่งตัวอย่างนี้ คนนี้แหละ ที่จะพูดภาษาอังกฤษกับเราและสามารถช่วยเราได้ และก็เป็นไปอย่างที่คิด หลังจากที่สนทนาพาทีกันได้ซัก 10 นาที เค้าก็ตัดสินใจขับรถนำเราไปยังที่จอดรถใต้สถานีรถไฟ ซึ่งเราก็คิดเอาไว้เหมือนกันว่าควรจะไปจอดรถที่นั่น แต่วนไปวนมาก็หาไม่เจอซักที จนในที่สุด เขาคือเทพบุตรของพวกเราเลยทีเดียว ต้องขอบคุณชายผู้นี้มากๆ ที่ทำให้เราได้มีโอกาสไปสัมผัสความงามของ Florence อย่างใกล้ชิด (เว่อร์...ไปมั้ยเนี่ย)

    กว่าจะจัดการเรื่องจอดรถเสร็จเรียบร้อยก็ปาเข้าไป 5 โมงเย็นล่ะ เราก็เลยต้องรีบทำเวลาอีกเช่นเคย สิ่งแลกที่เราเห็นเมื่อเดินออกมาจากสถานีรถไฟก็คือ PALAZZO VECCHIO



    PALAZZO VECCHIO หรือ Old Palace สร้างขึ้นโดย Arnolfo di Cambio ในปี 1299 โดยปัจจุบันนี้ใช้เป็นพิพธภัณฑ์แสดงผลงานทางศิลปะ ก็อย่างที่เล่าตั้งแต่ต้นว่า พวกเราไมค่อยมีความรู้เรื่องศิลปะเท่าไหร่ เราก็เลยแค่ถ่ายรูปแล้วก็เดินจากมา จนกระทั่งมาถึงโบสถ์ หรือ DUOMO ของเมือง Florence ซึ่งตัวโบสถ์ประกอบด้วยส่วนที่เป็นหอระฆังที่เป็นเสาแท่งสูงๆ มีลวดลายสีออกแนวชมพูๆ และส่วนที่เป็นโดมที่เรียกว่า CUPOLA ที่มียอดเป็นรูปครึ่งทรงกลมสีส้มๆ นั่นแหละ







    ถ้าจำไม่ผิด สิ่งก่อสร้างทั้ง 3 รูปด้านบนนั้น สร้างขึ้นมาในช่วงราวศตวรรษที่ 13-14 ทั้งตัวโบสถ์และหอระฆังทำด้วยหินอ่อนสีขาว ซึ่งเมืองวาดลวดลายลงไปแล้ว ทำให้เกิดการตัดกันของสีขาวและสีออกโทนชมพูสวยงามมาก พวกเราก็เลยเสียเวลาอยู่นานพอสมควรกับการถ่ายรูปไอ้เจ้าโบสถ์นี้ ไม่ว่าจะเป็นการถ่ายรูปคู่กับโบสถ์หรือว่าถ่ายแต่โบสถ์

    เมื่อเห็นแก่เวลาอันสมควร พวกเราก็เตรียมตัวเดือนกลับไปที่รถล่ะ แต่ระหว่างทางเจอร้านไอติมอยู่หลายๆ ร้านเลยแหละ เนื่องจากอากาศค่อนข้างร้อนมากๆ ก็เลยตัดสินใจซื้อไอติมกินกัน 3 คน 2 ลูก จริงๆ แล้วที่ซื้อไอติมน่ะ ก็เพราะว่าเกิดอยากเข้าห้องน้ำ แต่พอขอเค้าเข้า เค้ากลับบอกว่าต้องซื้อไอติมของเค้า ก็เลยต้องซื้อกินตามระเบียบ แพงชะมัด 2 ลูก 3 ยูโรกว่าๆ สมกับเป็นเมืองท่องเที่ยวจริงๆ ราคานี้นะ ถ้าซื้อกินที่อาเค่นก็คงจะได้ประมาณ 6 ลูกเลยแหละ แต่ก็ต้องยอมรับว่า ไอติมของเค้าอร่อยๆ จริงๆ สมกับราคาคุยที่ว่า ไอติมที่อร่อยที่สุด ต้องเป็นไอติมอิตาลี

    เอาล่ะ ปาเข้าไป 1 ทุ่มกว่าๆ แล้ว เราต้องรีบขับรถต่อไปยังเมือง Mastre ที่เป็นเมืองที่ติดกับเวนิสแล้วล่ะ เพราะว่าจาก Florence ไปเมืองนี้ก็ใช้เวลาตั้ง 3 ชั่วโมงแน่ะ แล้วยังไงก็เจอกันพรุ่งนี้ที่เวนิสละกัน วันนี้เหนื่อยมากล่ะ ขอตัวไปงีบก่อนนะ




    ...Click here to continue reading...







    Create Date : 10 กันยายน 2548
    Last Update : 4 เมษายน 2551 21:49:12 น.
    Counter : 2340 Pageviews.

    2 comments
      
    ตามมาตั้งแต่ลูเซิร์นค่ะ คุณแก้ว

    คุณแก้วถ่ายรูปสวยมากมายจริงๆค่ะ ...

    มาขอเก็บข้อมูลขับรถในอิตาลีบ้าง...ขอบคุณนะคะ
    โดย: popcycle IP: 58.9.36.168 วันที่: 25 เมษายน 2551 เวลา:19:06:47 น.
      
    Thank !!!!!
    โดย: good IP: 118.172.55.87 วันที่: 8 มิถุนายน 2553 เวลา:17:18:37 น.
    ชื่อ :
    Comment :
     *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
     

    Yai Kaew
    Location :
    Nordrhein-Westfalen  Thailand

    [ดู Profile ทั้งหมด]
     ฝากข้อความหลังไมค์
     Rss Feed
     Smember
     ผู้ติดตามบล็อก : 12 คน [?]



    New Comments
    กันยายน 2548

     
     
     
     
    1
    2
    3
    4
    5
    6
    7
    8
    9
    11
    12
    13
    15
    16
    17
    18
    19
    20
    21
    22
    23
    24
    25
    26
    27
    28
    29
    30