ความรู้ผสมผสานกับสัญชาติญาณ.....ความอ่อนไหวผสานกับความเข้าใจ.....ศิลปะผสานกับความคิด.......นี่แหละตัวฉัน
|
||||
วิธีจีบเพศตรงข้ามของบุคคล 9 แบบ ตามหลัก Enneagram (นพลักษณ์)
วิธีจีบเพศตรงข้ามของบุคคล 9 แบบ ตามหลัก Enneagram (นพลักษณ์)
ก่อนหน้านี้ ได้เคยนำเสนอบทความไปแล้ว ในเรื่อง คน 9 ประเภทตามหลัก Enneagram (นพลักษณ์) ว่ามีประเภทใดบ้าง ส่วนบทความนี้ มารู้กันว่า คนแต่ละประเภทตามหลักนพลักษณ์นั้น เค้ามีสไตล์ การจีบหรือเอาชนะใจเพศตรงข้ามกันอย่างไรบ้าง...อันนี้ผู้เขียนก็ไปเซฟจากอินเตอร์เน็ตมานะคะ Type 1 Perfectionist (หรือพวกนิยมความสมบูรณ์แบบ) คุณเจอคนประเภทชอบแต่งตัวเนี๊ยบ หวีผมเรียบแปล้ ใช้คำพูดหรือกิริยาแบบไพเราะดูดีเกินเหตุ เวลาจะนัดเดทไปไหนที ต้องตระเตรียมการ ทั้งสถานที่และการแต่งการ ให้ลงตัวแบบเป๊ะ ๆ เรื่องเวลาก็จะไปสายหรือไปก่อนไม่ได้เลย เรียกว่าทุกอย่างมีมาตรฐานหมด นั่นคือคุณกำลังเจอพวก Type1 นี้เข้าให้แล้วค่ะ Type 2 Giver (หรือผู้ที่มีแต่การให้) หากจู่ ๆ มีใครคนนึงเข้ามาถามไถ่สารทุกข์สุขดิบจากคุณ ถามปัญหาในชีวิตคุณ เพื่อที่เขาหรือเธอจะได้หาทางช่วยได้บ้างแล้วล่ะก็ นี่ล่ะค่ะ คน Type2 จอมช่วยเหลือ ถ้าคุณเป็นคนชอบถูกเอาใจล่ะก็ โอเคเลย แต่ขอบอกไว้ก่อน ว่าคนประเภทนี้ ก็ย่อมหวังอะไรบางอย่างเป็นการตอบแทนด้วยนะคะ Type 3 Performer (เกิดมาเพื่อความสำเร็จ) หากมีใคร เดินเข้ามา แล้วแนะนำตัวกับคุณว่าเขาหรือเธอ ทำงานอย่างงั้นอย่างงี้ เป็นศิลปิน เป็นนายแบบ นางแบบ เป็นเจ้าของกิจการหรือเป็นนักธุรกิจร้อยล้าน แล้วล่ะก็ ชัดเจนเลยว่าคนจำพวกนี้เป็น Type 3 แน่นอน พวกนี้จะชอบโชว์ภาพลักษณ์ ซึ่งเป็นหน้าที่ของคุณเองที่ต้องแยกให้ออกว่ากำมะลอหรือเปล่า ถ้าเป็นของจริงก็ไม่เสียหายอะไร สานสัมพันธ์ต่อไปได้เลยค่ะ Type 4 Romantic (พวกอารมณ์ศิลปิน) พวกนี้พอเริ่มจีบหรือเริ่มทำความรู้จักกันไม่ทันไร ก็เริ่มจะเกาะติดคุณแจ รวมถึงบอกความรู้สึก เอ่ยคำว่ารักขึ้นมาง่าย ๆ ซะแล้ว คนประเภท Type4 นี้ มีอารมณ์ศิลปิน หมกมุ่นในอารมณ์ และชอบจินตนาการอะไรไปเอง ซึ่งบางครั้งก็ไม่อยู่บนความเป็นจริงเท่าไร แต่หากใครชอบคนโรแมนติก ก็ลองเปิดใจให้คบหาดู Type 5 Observer(พวกนักคิดทั้งหลาย) หากคุณเจอประเภทสงบปากสงบคำ เหมือนจะจีบแต่ไม่จีบ หลบ ๆ ซ่อน ๆ ถามคำตอบคำ ก็เป็นประเภทนี้แหละค่ะ Type5 ผู้ซึ่งจะไม่ยอมเป็นฝ่ายรุกหรือเป็นฝ่ายเปิดเผยอารมณ์ให้ใครรู้ก่อน ถ้าคุณชอบเป็นฝ่ายรุกเองล่ะก็ เหมาะกับคนประเภทนี้มากค่ะ Type 6 Skeptics (พวกหวาดระแวง) คนประเภทนี้จะใช้เวลาืำทำความรู้จักคุ้นเคยกับคุณนานพอสมควร และจะพยายามสืบค้นทุกอย่างที่เกี่ยวกับคุณ เพื่อให้แน่ใจได้ว่าคุณจะเข้ากับเขาได้มั้ย คุณเป็นคนยังไง เจ้าชู้หรือเปล่า เรียกว่าต้องรู้ทุกอย่างเกี่ยวกับคุณให้ได้ก่อนฝากตัวฝากใจ เพื่อไม่ให้ต้องมาเจ็บใจในภายหลังค่ะ Type 7 Epicure (พวกรักสนุก) คนไทยเราอยู่ในประเภทนี้เยอะค่ะ คือ พวกรักสนุก มนุษย์สัมพันธ์ดี เวลาจีบใครก็จะทำทีเล่นทีจริง แต่ก็มีชั้นเชิง คือไม่กระโตกกระตาก ส่วนมากจะเป็นพวกป๊อบปูล่าในหมู่เพื่อนฝูง หากคุณเป็นคนรักสนุกแล้วล่ะก็ ทอดสะพานให้คนประเภทนี้ไปเลยค่ะ Type 8 Protector (ฮีโร่ผู้พิทักษ์) คน Type 8 เป็นประเภท Hardcore เวลาจะจีบหรือเข้าหาใคร ก็จะไม่ยอมแสดงด้านที่อ่อนไหวออกมา ตรงกันข้าม จะออกแนวพิสดารนิด ๆ คือแบบโหด ๆ ตรงไปตรงมา ถ้าชอบก็จะทำให้รู้เลยว่าชอบ ถ้าคุณไม่เล่นด้วยตั้งแต่เนิ่น ๆ เขาหรือเธอก็จะตัดใจได้ทันที ไม่เซ้าซี้วุ่นวาย Type 9 Mediator (นักเชื่อมสัมพันธ์) คนType9 เป็นพวกเรียบง่าย เวลาจีบใครเป้าหมายมักจะไม่รู้ตัวเลย คือเข้ามาแบบแนบเนียนเสมือนเพื่อนธรรมดา หากแต่เป็นแนว เพื่อนสนิท ยังไงยังงั้น พอรู้ตัวอีกที เขาหรือเธอก็อาจขอคุณแต่งงานเอาดื้อ ๆ ซึ่งถึงตอนนั้นก็ตั้งสติให้ดีก็แล้วกันค่ะ รู้จัก 9 ลักษณ์ หลักบริหารคน
เมื่อตอนเป็นเด็กผู้เขียนมีไทป์ 5 ที่ยังไม่เด่นชัดอย่างนี้ เมื่อมองย้อนกลับไปตอนเป็นเด็กก็เหมือนผู้เขียนมีทั้ง 4 และ 5 พอ ๆ กันค่ะ พอเป็นช่วงวัยรุ่นก็มีไทป์ 4 มากกว่าไทป์ 5 แต่ปัจจุบันผู้เขียนมีความเป็นไทป์ 5 เด่นชัด รุนแรง และเข้มข้นสุด ๆ จึงทำให้เป็นคนเข้าใจอะไรยากซักหน่อยค่ะ ถือว่าโชคดีนะคะที่ไม่ได้เป็นขนาดนี้ตั้งแต่เด็ก...ไม่งั้นชีวิตวัยเด็กคงเป็นเด็กเรียนอย่างเดียว โดยไม่ได้เล่น ไม่ได้ทำกิจกรรมอะไร เพราะมัวแต่ค้นคว้าหาความรู้อย่างเดียว (ปัจจุบันเป็นอย่างนี้)
ดังนั้นในช่วงชีวิตปัจจุบันที่ต้องเรียนรู้อะไรใหม่ ๆ ผู้เขียนจึงต้องใช้ข้อมูลเยอะมากกว่าชาวบ้านเค้ายังไงไม่รู้ค่ะ ถ้าข้อมูลน้อยมันไม่พอให้เกิดความเข้าใจค่ะ ต้องรู้ให้เยอะ ต้องมีข้อมูลมาก ๆ ต้องเข้าใจภาพย่อยไว้ต่อจิกซอว์ภาพใหญ่ ถ้าให้วิเคราะห์ตัวเอง ก็อยากบอกว่าน่าจะเป็นเพราะทุกการเรียนรู้ในปัจจุบันนี้ไม่มีอารมณ์และความรู้สึกมาเกี่ยวข้องเลย เหมือนมันขาดไปมิติหนึ่งมันจึงขาดความสมบูรณ์ มันทำให้ผู้เขียนเข้าใจอะไรยากจริง ๆ ค่ะ...แต่เวลาที่ผู้เขียนรู้ข้อเท็จจริงเยอะ มีข้อมูลเต็มมือ ถ้าจะตัดสินใจอะไรก็เรียกว่ามีความแม่นยำสูง ก็เพราะไม่ได้ใช้อารมณ์มาเกี่ยวข้องนี่แหล่ะค่ะ ก็ไม่ใช่ว่าจะแต่มีข้อด้อยซะทีเดียว 555 นึกถึงตอนทำบล็อกซี่รี่ยเกาหลีเรื่อง You Are Beautiful ที่พระเอกมองไม่เห็นดวงดาวในเวลากลางคืน ที่ผู้เขียนติดค้างไม่เข้าใจว่ามันมีความหมายที่สื่อถึงอะไร...ตอนนี้ผู้เขียนคิดว่าคิดออกแล้วค่ะ...ดวงดาวน่าจะหมายถึงอารมณ์และความรู้สึกค่ะ แล้วปัญหาใหญ่อีกอันคือ มีปัญหามากเรื่องการศึกษาตามระบบค่ะ ลงคอร์สอะไรไว้พร้อมคนอื่น แต่จบไม่พร้อมกันค่ะ ต้องลงซ้ำหรือต้องศึกษาเพิ่มเติมในสไตล์ตัวเอง สรุปคือใช้เวลามากกว่าคนอื่นค่ะ...หลาย ๆ ครั้งก็เบื่อตัวเองเหมือนกัน 5555 เหมือนเรื่อง Enneagram ก็เช่นกันเมื่อผู้เขียนชอบและสนใจ จึงหมั่นหาข้อมูลสะสมไว้ศึกษาเยอะค่ะ หัวข้อนี้ก็ไปอ่านเจอในเน็ตแล้วชอบจึงเซฟไว้ วันนี้เลยเอามาแบ่งกันอ่านค่ะ.....อย่าเพิ่งเบื่อกันนะคะ......สำหรับเรื่องเล่ายังไม่ว่างทำเลยค่ะ ยังติดดูซี่รี่ย์อยู่เลยยยยย เดี๋ยวทำเรื่อง Enneagram อีก 2 เรื่องคือเรื่องนี้แล้วก็เรื่อง วิธีจีบเพศตรงข้ามของบุคคล 9 แบบ ตามหลัก Enneagram (นพลักษณ์) แล้วกะว่าจะมาทำเรื่องเล่าซะทีค่ะ จากใจผู้เขียนค่ะ ลามูเต้ รู้จัก 9 ลักษณ์ หลักบริหารคน แน่นอนหากบุคลากรของทุกองค์กรเป็นบุคลากรที่เปี่ยมไปด้วยประสิทธิภาพ ก็ย่อมเป็นประโยชน์ต่อองค์กรนั้น ๆ และตัวบุคลากรเองก็ยังเป็นที่น่าเชื่อถือและเป็นแบบอย่างที่ดีให้คนรุ่นใหม่ต่อไปได้ปฏิบัติเป็นแบบอย่างที่ดี แต่การที่ทำให้ทุกคนมีประสิทธิภาพเหมือนกันได้หมดคงไม่ใช่เรื่องง่าย ซึ่งต้องอาศัยเวลาพอสมควร แต่ทว่านั้นก็ไม่ใช่สิ่งที่ยากเกินความสามารถไปนัก หากรู้จักเรียนรู้และพัฒนาตนเองสม่ำเสมอ เมื่อรู้จักตนเองดีพอแล้วต้องไม่ลืมที่จะให้ความร่วมมือกันในทีม ผู้เขียนมีโอกาสไปฟังสัมมนา หัวข้อ Enneagram : รู้ลักษณ์ บริหารคน จัดโดยนิตยสาร MBA และเห็นว่าเป็นประโยชน์ไม่น้อยจึงนำเสนอให้ผู้อ่านได้รับทราบกันพอสังเขป เอ็นเนียแกรม คืออะไร เอ็นเนียแกรม เป็นศาสตร์โบราณเกี่ยวกับการวิเคราะห์ลักษณะคน ศึกษาและรวบรวมโดยนักบวชลัทธิซูฟีของศาสนาอิสลาม ซึ่งนับเป็นอีกหนึ่งแนวคิดที่ได้รับความนิยมอย่างกว้างขวางในต่างประเทศ สำหรับประเทศไทยเอ็นเนียแกรมได้เข้ามาเมื่อ 8 ปีที่แล้วและแพร่หลายในกลุ่มเล็ก ๆ โดยท่านสันติกโรภิกขุ พระภิกษุชาวอเมริกัน ซึ่งศาสตร์นี้เป็นภาษาไทยว่า นพลักษณ์ อันหมายถึงลักษณะ 9 แบบ และที่สำคัญนพลักษณ์ไม่ใช่เรื่องเกี่ยวกับไสยศาสตร์ โหราศาสตร์ โหงวเฮ้ง ไม่เกี่ยวกับหลักธรรมของศาสนาใด ๆ แต่ทว่าเป็นศาสตร์ที่ช่วยอธิบายพฤติกรรมทางด้านจิตวิญญาณและจิตวิทยาของตนเองและผู้อื่น ที่เรามองไม่เห็นหรือไม่เข้าใจนั่นเอง ปัจจุบันมีหลายองค์กรได้นำทักษะความรู้ในเรื่องนพลักษณ์ไปประยุกต์ใช้ในการพัฒนาบริหาร และกระตุ้นประสิทธิภาพการทำงานมีประโยชน์หลากหลาย เช่น พัฒนาตนเองให้ดีขึ้น มอบหมายคนให้ตรงกับงาน ลดความขัดแย้ง ลดความแตกต่าง พัฒนาการเพื่อการสื่อสารระหว่างบุคคล ทั้งนี้ยังช่วยส่งเสริมการทำงานเป็นทีมให้มีประสิทธิภาพมากขึ้นด้วย อย่างไรก็ดี ศาสตร์นพลักษณ์นั้นเสมือนหนึ่งเป็นเครื่องมือสำรวจตัวเองเพื่อให้มีประสิทธิภาพ ดังนั้น คุณจะต้องเข้าใจก่อนว่าไม่ได้เกิดจากสิ่งภายนอกแต่เกิดจากภายในตัวบุคคล และหากอยากจะรู้ว่าคุณเป็นคนลักษณ์ใดนั้นก็ต้องหมั่นสังเกตตนเอง ให้เวลากับตัวเอง อยู่กับความคุ้นเคยบ่อย ๆ รวมถึงเรียนรู้เพื่อนร่วมงาน หัวหน้า ลูกน้องว่าเป็นคนลักษณ์ใด ซึ่งแต่ละลักษณ์ก็มีทั้งข้อดีข้อเสียทั้งต่างและคล้ายกันอยู่บ้าง และมีแนวทางการปรับปรุงต่างกันไป เรียกว่าเมื่อเรียนรู้กันและกันแล้ว คราวนี้ก็เข้าสู่การเข้าใจตนเองและยอมรับผู้อื่นในสิ่งที่เขาเป็น ก็จะช่วยให้สื่อสารกันอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น 9 ลักษณ์ ประกอบด้วย 1. คนสมบูรณ์แบบ (The Perfectionist) เป็นคนลักษณะที่เรียกว่าต้องการปรับปรุงตนเองและมีชีวิตในแบบที่ถูกต้อง เป็นฯคนชอบวิพากษ์วิจารณ์ตนเองและผู้อื่น ในด้านเด่นคนนี้ลักษณ์เป็นคนทำงานหนัก อุทิศตนให้งาน มีวินัยในตนเองสูง ทำอะไรเป็นแบบแผน ซื่อสัตย์ มีอุดมคติและจริยธรรม ต้องการรางวัลในการทำงานแต่ไม่ยอมร้องขอ เมื่อโกรธจะไม่ค่อยแสดงออก ในด้านด้อยอาจมีแนวโน้มชอบตัดสินคนอื่น ช่างวิตกกังวล ชอบโต้เถียง เหน็บแนม ดื้อรั้น และมักเอาจริงเอาจังเกินไป รวมไปถึงนิสัยที่ชอบควบคุมคนอื่น สื่อสารกับคนลักษณ์ 1 พยายามเติมอารมณ์ขันเล็ก ๆ น้อย ๆ ไปในวงสนทนา แสดงให้เห็นว่าไม่ได้หัวเราะสิ่งที่เขาพูด เพิ่มน้ำหนักให้กับประเด็นที่เขาค้านหัวชนฝาหากเป็นวิธีเดียวที่ทำให้งานเดิน พยายามต้อนรับคำวิพากษ์วิจารณ์คนลักษณ์นี้เถอะ หากยังอยู่ในบริบทที่เป็นบวกหรือเหมาะสม สร้างแรงจูงใจโดย กำหนดบทบาทการทำงานให้เขาเพราะคนลักษณ์นี้กลัวความผิดพลาด หรือไม่ก็ประสานความสมบูรณ์แบบเข้ากับความเป็นจริง สร้างมาตรฐานของงานกับเขาโดยใช้วิสัยทัศน์เชิงบวก และที่สำคัญคุณต้องซื่อสัตย์และยุติธรรมกับเขาพอ 2. ผู้ให้ (The Giver) เป็นคนที่ต้องการมีคุณค่า เป็นที่รักของคนอื่น มีจิตวิทยาในการสื่อสารกับคนอื่นมาก เข้ากับคนอื่นได้ดี และมีพลังเหลือเฟือมาจากความภาคภูมิใจที่มาพร้อมกับภาพลักษณ์ในฐานะผู้ให้ความช่วยเหลือ ชอบทำตัวเป็นมือขวาในการทำงาน เหมือนพวกเลขาฯ รู้ความลับเจ้านาย ประมาณว่ากุมอำนาจอยู่เบื้องหลัง ชอบเป็นศูนย์กลางข้อมูลของทุก ๆ อย่าง ชอบให้ความช่วยเหลือและคำแนะนำ ไม่ว่าคนอื่นต้องการหรือไม่ก็ตาม มีหลายบุคลิก ปรับเปลี่ยนตนเองไปตามสถานการณ์และความต้องการของคนอื่น ด้านไม่ดีอาจควบคุมคนอื่นด้วยการประจบ เยินยอ คนลักษณ์นี้จัดเป็นนักสื่อสารตัวยง สื่อสารกับคนลักษณ์ 2 ควรใช้กิริยาและน้ำเสียงที่อบอุ่น แสดงความสนใจเป็นการส่วนตัวและชื่นชมในตัวเขาไม่ควรให้ความคาดหวังเพราะเขาอาจหวังว่าจะต้องได้รับในเรื่องการวิพากษ์ต้อง ชี้ชัดตรงประเด็น สร้างแรงจูงใจโดย สัมพันธภาพที่ดีเป็นสิ่งสำคัญที่เขาต้องการ ในการทำงานมักลำดับว่าเป็นงานของใคร ซึ่งก็จะให้ความสำคัญกับผู้มีอำนาจมากกว่าก่อน ซึ่งจริง ๆ ต้องโฟกัสไปที่งาน ไม่ใช่ที่คน 3. นักแสดง ( The Performer ) เป็นผู้ใฝ่ความสำเร็จ แรงจูงใจคือการเป็นที่ยอมรับนับถือ ประสบความสำเร็จในงานทุกด้าน ภายนอกดูเป็นคนมีความสุขและมองคนในแง่ดี การรักษาภาพลักษณ์เป็นสิ่งที่เขาใส่ใจทุ่มเททำงานหนัก บ้างานจนทิ้งครอบครัว ไม่ดูแลตัวเองหวังว่าคนอื่นจะทำงานหนักด้วย เลี่ยงความล้มเหลวทุกประการ เลือกทางที่จะได้รับการตอบรับที่ดีเท่านั้น ถ้าเกิดความล้มเหลวจะโยนใส่คนอื่น ชอบแข่งขัน มุ่งเอาชนะ ต้องการชิงตำแหน่งผู้นำ ทนการวิพากษ์วิจารณ์ไม่ได้ สื่อสารกับคนลักษณ์ 3 ใช้วิธีการสื่อสารแบบเซลล์แมน เขาสามารถปรับตัวให้เข้ากับทุกโอกาส ด้วยความที่เป็นคนห่วงภาพลักษณ์อย่างมาก ดังนั้น วิธีการสื่อสารคือแสดงให้เห็นว่า นับถือความสามารถเขาจริงๆ แต่ไม่เห็นด้วยกับประเด็นนี้ สร้างแรงจูงใจโดย ควรฉายภาพเส้นทางสู่ความสำเร็จในองค์กรอย่างชัดเจน เพราะพวกเขาจะปีนป่ายไปสู่จุดนั้น ระบบการตรวจสอบและให้รางวัลจะทำให้เขามีความสุข บางทีใช้เวลาทำงานมากเกินไปอาจต้องสนับสนุนให้พักผ่อนหรือลาพักร้อนเพื่อความสมดุล 4. คนโศกซึ้ง ( The Tragic Romantic ) เป็นคนที่ต้องการที่จะเข้าใจความรู้สึกตัวเอง แสวงหาความหมายของชีวิต หลีกเลี่ยงความสามัญธรรมดา ต้องการงานที่แตกต่าง งานที่ใช้ความคิดสร้างสรรค์ ประสิทธิภาพของงานขึ้นอยู่กับสภาพอารมณ์ มีบุคลิกศิลปิน ช่างจินตนาการ ต้องการแสดงความรู้สึกออกมา อยากให้คนอื่นมองว่าเป็นคนพิเศษ ข้อด้อยไม่สามารถแยกเรื่องรักใคร่ส่วนตัวออกจากกิจธุระ ก้าวร้าว หรือพยายามขับคู่แข่งขันออกไปจากพื้นที่การทำงาน แต่ชอบคนเก่งที่อยู่นอกทีม จะว้าวุ่นรู้สึกเหี่ยวเฉา ถ้าอยู่ในสภาพแวดล้อมที่มีแต่คนเก่งกว่า หรือได้รับความสำคัญกว่า สื่อสารกับคนลักษณ์ 4 ต้องการความสนับสนุนทางจิตใจ ความรู้สึกเป็นสิ่งสำคัญ อย่าหนีหน้าเวลาเขาแสดงอารมณ์ แม้อารมณ์จะขึ้น ๆ ลง ๆ แต่ประสิทธิภาพการทำงานจะกลับคืนมาด้วยเมื่อสติเขากลับคืนมา สร้างแรงจูงใจโดย จะถูกขับเคลื่อนด้วยความสนใจอย่างพิเศษ ตารางทำงานอาจไม่มีแบบแผนไม่เหมือนใคร ควรบอกให้ตระหนักเรื่องเวลา หากคุณเป็นหัวหน้าเตรียมรับมือกับงานล่าช้า หรือการขาดงานของลูกน้องกลุ่มนี้ไว้บ้าง 5. นักสังเกตการณ์ ( The observer ) เป็นคนที่ต้องการรู้และเข้าใจในสิ่งต่าง ๆ ด้วยตนเอง หลีกเลี่ยงความรู้สึกของการถูกครอบงำหรือบุกรุก ชอบสะสม ชอบอยู่คนเดียว ใช้ความคิดหรือในสิ่งที่ตนสนใจ ต้องการอะไรที่คาดการณ์ได้ ตัดสินใจโดยปราศจากความรู้สึกส่วนตัว จะถือว่าการแสดงอารมณ์เป็นการเสียการควบคุมตนเอง หลีกเลี่ยงความขัดแย้งจนถึงที่สุด จะมีประสิทธิภาพมากถ้าไม่ต้องยุ่งเกี่ยวหรือสังสรรค์กับใคร ทำงานหนักได้ถ้าได้รับความเป็นอิสระและความเป็นส่วนตัว สื่อสารกับคนลักษณ์ 5 เป็นคนที่คนอื่นอาจรู้จักเขาน้อยหรือไม่ค่อยเข้าใจ เพราะไม่ชอบเล่าเรื่องส่วนตัวให้ใครฟัง ยิ่งเข้าใกล้ยิ่งถอยห่าง ดังนั้น พึงเคารพในพื้นที่ของเขา ปล่อยให้คิดเห็นอย่างเป็นอิสระ ไม่ควรคะยั้นคะยอถามว่ารู้สึกอย่างไร สร้างแรงจูงใจโดย ให้เวลาในการเสนอแนวคิด วิสัยทัศน์ เขาชอบอยู่ในฐานะเป็นผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านเปิดโอกาสให้ได้ประเมินสิ่งต่าง ๆ แต่อาจจะยากหากให้เขาเป็นคนแรกในการแยกประเด็น 6. นักปุจฉา ( The Questioner ) เป็นคนต้องการความมั่นคงปลอดภัย เป็นคนกลัวการขู่คุกคามแล้วจะแสดงความกลัวออกมา ระแวดระวัง ขี้สงสัย ลังเล มองโลกในแง่ร้าย บางครั้งพยายามทำตัวให้ถูกใจคนอื่น ส่วนประเภทกลัวแล้วจะสู้จะดูกล้าหาญ ท้าทายเพื่อปกปิดความกลัว ส่วนใหญ่จะมีลักษณะทั้งสองปนกัน สื่อสารกับคนลักษณ์ 6 พยายามลดช่องว่างของความเสี่ยงให้มากที่สุด แต่คาดหวังผลลัพธ์สูง เป็นคนที่ไม่สามารถพูดในที่สาธารณะ ต้องการการยืนยันแน่นอนก่อนจะเคลื่อนไหว สร้างแรงจูงใจโดย หากทีมงานแสดงให้เขาสามารถวางใจได้ ไม่มีอะไรซ่อนเร้น คนลักษณ์นี้จะซื่อสัตย์ภักดีอย่างมาก ส่วนอีกวิธีหนึ่งควรป้องกันเรื่องสภาพจิตใจ อย่าปล่อยให้เป็นคนคิดมาก เพราะอาจเป็นคนระแวงจนเกินไป ช่วยขจัดความลังเล และพยายามสร้างสภาพแวดล้อมในที่ทำงานให้มั่นคง ไว้ใจได้ 7. นักผจญภัย ( The Adventure ) เป็นคนต้องการที่จะมีความสุข หลีกเลี่ยงความทุกข์ ความเจ็บปวด ปิดบังความกระวนกระวายด้วยการทำตัวให้ยุ่ง และมีแผนการมากมายที่ยังไม่ได้ลงมือทำ มีความรู้สึกข้างในว่าตัวเองเก่งและมีคุณค่า เปิดรับความคิดใหม่ๆ มากกว่าความจำเจ เป็นพวกต่อต้านอำนาจแบบลักษณ์ 8 แต่จะใช้วิธีเล็ดลอดแทนการเผชิญหน้าโดยตรง ละมุนละม่อมในการแก้ปัญหา มักเป็นเพื่อนร่วมงานที่สร้างความสุข สนุกสนานให้เสมอ ด้วยการมีอารมณ์ขัน ความคิดสร้างสรรค์และการให้อภัย ชอบความสัมพันธ์แบบเท่าเทียมกัน แต่ก็มีแนวโน้มเบี่ยงแบนชักจูงคนอื่นเพื่อตนเอง สื่อสารกับคนลักษณ์ 7 ด้วยความเป็นคนมองโลกในแง่ดี ทำให้เป็นคนสบาย ๆ ง่าย ๆ แต่บ่อยครั้งก็หละหลวม จึงยากที่จะควบคุมคนพวกนี้ สิ่งหนึ่งคือควรช่วยประสานแนวคิดให้เป็นไปในทางเดียวกัน พยายามให้เขามองด้านลบไปพร้อมกับด้านบวก สร้างแรงจูงใจ ต้อนรับวิสัยทัศน์แง่บอกอย่างยินดี ร่วมแชร์ความคิดกับเขา เพราะจะสนุกสนานในการพบปะผู้คน ไม่ควรใช้วิธีการสั่งการหรือควบคุม เพราะเขาจะทำตัวลื่นไหลและหนีห่างจากความรับผิดชอบ 8. เจ้านาย ( The Boss ) มีความต้องการพึ่งตนเอง เข้มแข็ง มีอิทธิพลต่อโลกเป็นพวกมีปัญหาเกี่ยวกับความโกรธและหลงลืมตัวเอง ชอบสวมบทบาทผู้คุมกฎ แตกต่างจากลักษณ์ 1 ตรงที่เขาพร้อมจะแสดงความโกรธออกมาได้เสมอ ในสถานการณ์ที่ไม่มีผู้นำก็แสดงบทบาทเอง อาจมองการประนีประนอมว่าเป็นการยินยอม อ่อนแอ มีความกังวลอย่างสูงว่าจะถูกครอบงำ สนใจเรื่องความถูกต้องยุติธรรมและการปกป้องคน ข้อด้อย มักมองว่าตนเองถูกยึดเป็นศูนย์กลางโกรธอย่างตรงไปตรงมา ไม่มีวาระซ่อนเร้น แสดงความโกรธแบบไม่ยั้ง สนับสนุนกฎเกณฑ์ที่เข้ากับตนเอง เบี่ยงเบนกฎที่ไม่ถูกใจ สื่อสารกับคนลักษณ์ 8 ควรสื่อสารแบบตรงไปตรงมา เมื่อเขาโกรธหรือตำหนิติเตียนก็ยอมรับ แต่อย่าเอามาเป็นเรื่องส่วนตัว คนลักษณ์นี้รับมือกับข่าวร้ายได้ดี แต่หากมองข้ามเขาจะทำให้รู้สึกเหมือนถูกทรยศหักหลัง ตรงไปตรงมาดีกว่า สร้างแรงจูงใจโดย เต็มไปด้วยความปรารถนาในชีวิต พลังการแข่งขัน ท้าทาย ควรให้การเคารพนับถือ ความยุติธรรม และการสื่อสารที่ซื่อตรงหากต้องการให้เขาเป็นพันธมิตร 9. นักประสานไมตรี ( The Peacemaker ) เป็นคนหลีกเลี่ยงความขัดแย้งทุกรูปแบบ ดูผ่อนคลายสบาย ๆ มีความต้องการมีสัมพันธ์ที่ดีกับเพื่อนร่วมงานและเจ้านาย ชอบการทำงานชัดเจนหรือทำงานเป็นกระบวนการทำงานได้รวดเร็ว ประสานงานดี วางลำดับความสำคัญงานยาก แต่ก็ไม่ชอบถูกกะเกณฑ์โดยคนอื่น ทำงานแข่งกับเส้นตาย ใช้เวลาจนนาทีสุดท้าย ข้อด้อย มักหลงลืมความต้องการ แต่บางทีก็แสดงความโกรธออกมาอย่างไม่รู้ตัว เพิกเฉยปัญหาแล้วก็โทษระบบ โทษการจัดการว่าไม่ดีซะอย่างนั้น สื่อสารกับคนลักษณ์ 9 หากเขาไม่ตอบรับแสดงว่าเขาปฏิเสธ หากต้องการให้ตกลงควรวางกรอบการสนทนาที่ชัดเจน พยายามควานหาความต้องการของเขาใส่ไปในโครงการด้วย สร้างแรงจูงใจโดย ควรแสดงออกว่าเขามีคุณค่า จุดแข็งคนลักษณ์ 9 มองภาพกว้างจะช่วยในการมองยุทธศาสตร์ได้ดี ทำงานกับลักษณ์นี้ต้องใช้ความประนีประนอม ใจเย็นสักนิด อย่ายืนกรานตลอดเวลา อาจต้องใช้เวลาพอสมควรหากให้ต้องการให้ซึมซับความคิดต่าง ๆ ขอขอบคุณที่มา : หนังสือพิมพ์ โพสต์ทูเดย์ ฉบับวันจันทร์ที่ 3 ตุลาคม 2548 นพลักษณ์ฉบับย่อ 9 แบบ
จากใจผู้เขียน
นพลักษณ์ฉบับย่อ 9 แบบ เป็นส่วนที่ถูกส่งมาจากสมาคมนพลักษณ์ที่ผู้เขียนเคยไปอบรม แม้เนื้อหาจะคล้ายกัน แต่ผู้เขียนคิดว่าเป็นคำอธิบายอีกแง่มุมหนึ่ง ซึ่งก็น่าจะมีประโยชน์เช่นกัน จึงนำมาแบ่งปัน แบ่งกันอ่าน แบ่งกันเข้าใจค่ะ นพลักษณ์ (Enneagram) เป็นศาสตร์ที่ศึกษาเกี่ยวกับบุคลิกภาพของมนุษย์ที่เชื่อมโยงกับมิติด้านในเช่นโลกทัศน์และแรงจูงใจพื้นฐานที่แตกต่างกัน 9 ประเภท นพลักษณ์ถูกถ่ายทอดต่อ ๆ มาโดยมีต้นกำเนิดจากคำสอนโบราณของกลุ่มอิสลามนิกายซูฟี ศาสตร์นพลักษณ์สามารถช่วยให้เราตระหนักถึงและเท่าทันบุคลิกภาพของตนเอง เข้าใจตนเอง และเห็นวิธีการรับมือและก้าวข้ามปัญหาต่าง ๆ ของเราเอง นอกจากนี้ ยังทำให้เราเข้าใจคนรอบข้าง สร้างสัมพันธภาพที่ดีกับผู้อื่น รวมไปถึงทำให้เราได้รู้ถึงศักยภาพเฉพาะที่มีอยู่ในลักษณ์ต่าง ๆ ด้วย ![]() ลักษณ์หนึ่ง(คนสมบูรณ์แบบ) คนหนึ่ง มักวิพากษ์วิจารณ์ทั้งตนเองและคนอื่น ๆ อยู่เสมอ เขามักใส่ใจต่อความถูกผิด กฎระเบียบ และมีบัญชีหางว่างในใจว่าอะไร ควร หรือ ไม่ควร มีความจริงจังต่อความรับผิดชอบ อีกทั้งปรารถนาให้สิ่งที่ตนทำนั้นปราศจากข้อบกพร่องทั้งปวง คนหนึ่งมักกำกับพฤติกรรมของตนเองด้วยมาตรฐานที่สูงยิ่ง จึงไม่ค่อยปล่อยให้ตนเองเพลิดเพลินหรือมีความสุขได้ง่าย ๆ เขามักรู้สึกอยู่ตลอดเวลาว่าต้องทำอะไร ๆ มากกว่านี้ และอยากทำมันให้ครบถ้วน ได้มาตรฐาน และสมบูรณ์แบบ โดยเขาสามารถชี้จุดบกพร่องได้ทันทีและบอกได้ว่าต้องแก้ไขอย่างไรจึงจะถูกต้อง คนหนึ่งมักขุ่นใจถ้าเห็นใครไม่ทำตามกฎที่ควรจะเป็น จุดแข็งของคนหนึ่งโดยทั่วไปคือ ความสัตย์ซื่อถือธรรม การปรับปรุงแก้ไข ความเพียร มาตรฐานสูง การยับยั้งควบคุมตนเอง และการมีความรับผิดชอบสูง โลกทัศน์ของคนหนึ่งคือ การมองในลักษณะที่ว่า โลกควรจะต้องถูกต้องและสมบูรณ์ ฉันจะต้องทำและบากบั่นไปสู่ความสมบูรณ์แบบ ส่งผลให้หลายครั้งเกิดความรู้สึกที่หมกมุ่นกับความโกรธที่ถูกเก็บกดไว้ ซึ่งเกิดจากข้อตำหนิภายในต่อความไม่ถูกต้องหรือการเปรียบเทียบกับกฎเกณฑ์ต่าง ๆ อีกทั้งยังสามารถแปรความโกรธนั้นให้กลายเป็นสิ่งที่มีเหตุผลและชอบธรรมยอมรับได้ เป็นการวิพากษ์วิจารณ์หรืออาการหงุดหงิด ลักษณ์สอง(ผู้ให้) คนสอง มักกระตือรือร้นในแง่ที่ชอบช่วยเหลือ มองโลกแง่ดี มีเมตตา เอาใจใส่ เกื้อหนุน และอุทิศเวลา พลังกาย และทรัพย์สิ่งของให้กับผู้อื่นโดยเฉพาะกับคนที่ตนเองใส่ใจว่าเป็นคนสำคัญ ในทางตรงกันข้าม คนสองมักละเลยความต้องการของตนเองและไม่ยอมร้องขอความช่วยเหลือจากผู้อื่นง่าย ๆ คนสองจะมีความสุขมากหากรู้ว่าตนเองเป็นที่ต้องการของคนอื่น และรู้สึกดีที่เขาสามารถเป็นผู้สนองความต้องการของผู้อื่นได้เป็นอย่างดี จึงชอบสร้างความสัมพันธ์และไวมากต่อความต้องการและความรู้สึกของคนอื่น สามารถสร้างแรงดึงดูดให้คนสนใจเข้าหา เห็นใจและเข้าใจผู้อื่นได้ดี และมักให้ในสิ่งที่อีกฝ่ายต้องการได้จริง ๆ คนสองมักหลีกเลี่ยงอย่างยิ่งในการทำให้คนที่เขาแคร์ต้องผิดหวัง นอกจากนี้ยังไม่ยอมให้ตนเองถูกปฏิเสธ ไม่เป็นที่ชื่นชม หรือต้องไปพึ่งพาคนอื่น จุดแข็งของคนสองโดยทั่วไปคือ การให้ความช่วยเหลืออย่างเต็มที่ น้ำใจ ความไวต่อความรู้สึกของผู้อื่น การให้การชื่นชมยินดี ความโรแมนติก และความร่าเริงแจ่มใส โลกทัศน์ของคนสองคือ การมองในลักษณะที่ว่า โลกและผู้คนควรจะต้องให้ ผู้คนต้องพึ่งพาความช่วยเหลือจากฉัน ฉันเป็นคนที่ใคร ๆ ต้องการ ส่งผลให้หลายครั้งเกิดความรู้สึกที่ว่าตัวเองนั้นสามารถสนองความต้องการของคนอื่นได้ดีกว่าใคร ๆ เพราะตัวเองสามารถจับความรู้สึกของคนอื่นได้ฉมังไม่มีผิดพลาด ในขณะเดียวกัน ก็รู้สึกไปเองว่าตัวเองไม่จำเป็นต้องพึ่งพาใคร อีกทั้งหลายครั้งก็คิดที่จะแสดงความชื่นชมอย่างมากล้นในสิ่งที่คนอื่นชอบเพื่อให้คนนั้นรู้สึกดีเมื่ออยู่ใกล้ ลักษณ์สาม(นักแสดง) คนสาม มักทำงานหนักด้วยพลังเปี่ยมล้น เขาต่อสู้สุดชีวิตเพื่อให้ได้มาซึ่งความสำเร็จ การดูดี มีบุคลิก และการยอมรับจากผู้คน มีนิสัยการแข่งขันสูง มุ่งสู่ความเป็นที่หนึ่ง และรักการท้าทายความสามารถของตนเองด้วยคำขวัญประจำใจว่า ทำได้ ทุกอย่างเป็นไปได้ คนสามมุ่งผลสัมฤทธิ์ในทุกสถานะ สามารถปรับเปลี่ยนโฉมและบทบาทได้ทุกรูปแบบ แม้อาจไม่สัมผัสความรู้สึกแท้ของตนก็ตามด้วยกลัวว่ามันจะขัดขวางความสำเร็จ แต่ถ้าจำเป็นก็สามารถแสดงอารมณ์ได้อย่างเหมาะสมดีเยี่ยม คนสามไม่มีวันถอดใจ จดจ่อมุ่งมั่นสู่เป้าหมายอย่างรวดเร็ว มีประสิทธิภาพ และตลอดรอดฝั่ง ในขณะเดียวกัน คนสามมักหลีกเลี่ยงการอยู่ใต้ร่มเงาคนอื่น การเสียหน้า ความล้มเหลว หรือความเฉื่อยเนือยของจังหวะชีวิต จุดแข็งของคนสามโดย ทั่วไปคือ บุคลิกภาพที่ดี ความเป็นผู้นำ ความกระตือรือล้น ความมีประสิทธิภาพ และการสร้างแรงบันดาลใจ โลกทัศน์ของคนสามคือ การมองในลักษณะที่ว่า โลกควรให้คุณค่าแก่ผู้ชนะเลิศและสำเร็จ ฉันต้องหลีกเลี่ยงความล้มเหลว ส่งผลให้หลายครั้งเกิดความรู้สึกที่ว่าต้องหลงไปถือเอาบทบาทต่าง ๆ ที่คนอื่นเล่นมาเป็นของตัวเองด้วยความอยากให้ได้รับการยอมรับ เพื่อเป็นแรงผลักดันสู่ความสำเร็จ สามารถเปลี่ยนแปลงภาพลักษณ์ของตนเองไปได้เพื่อให้เข้ากับแต่ละสถานการณ์ อีกทั้งหลายครั้งก็เกิดความคิดโอ่กับตัวเองขึ้นว่า ต้องอย่างฉันเท่านั้นที่เก่งพอและทำมันได้ ลักษณ์สี่(คนโศกซึ้ง) คนสี่ มักมีอารมณ์แบบศิลปิน พึงใจสิ่งที่ให้ความสุนทรีย์หรือความหมายที่ลึกซึ้ง เปี่ยมล้นไปด้วยอารมณ์ความรู้สึก มักรู้สึกว่าบางสิ่งที่จำเป็นในชีวิตขาดหายไป และตนเองจะสมบูรณ์พร้อมถ้าได้พบคู่ที่แท้จริง คนสี่มักโหยหาสิ่งที่เป็นอุดมคติและแก่นแท้อันเป็นความหมายของชีวิตที่ดูสูงส่งห่างไกล ในขณะเดียวกันก็นึกตำหนิสิ่งที่ตนมีอยู่ว่าเป็นของธรรมดาและไม่ดีพอ เขามักถูกดูดดึงเข้าสู่วังวนของอารมณ์ที่สุดขั้วทั้งด้านสูงสุดยอดและจมดิ่งสู่ก้นบึ้ง คนสี่โปรดปรานความมีเอกลักษณ์พิเศษที่ไม่เหมือนใครและไม่มีใครเหมือน ใส่ใจความรู้สึกอันเข้มข้นของความโศกเศร้าและความโหยหา ทำให้คนสี่สามารถเข้าใจและเกื้อหนุนผู้อื่นที่มีอารมณ์ทุกข์ระทมได้เป็นอย่างดี คนสี่มักหลีกเลี่ยงความดาษดื่น ความธรรมดาสามัญ ความตื้นเขินทางอารมณ์ รวมถึงการถูกทอดทิ้งหรือไม่เป็นที่รับรู้ จุดแข็งของคนสี่โดยทั่วไปคือ ความสร้างสรรค์ ความไวและความลึกซึ้งด้านอารมณ์ความรู้สึก ความเข้าใจในความทุกข์ยาก อุดมคติ และความไม่เสแสร้ง โลกทัศน์ของคนสี่คือ การมองในลักษณะที่ว่า โลกและชีวิตไม่ควรต้องขาดพร่องอะไรบางอย่างไป ฉันควรมีในสิ่งที่คนอื่นเขามีกันและไม่ควรถูกทอดทิ้ง ส่งผลให้หลายครั้งเกิดความรู้สึกที่ว่าตนเองนั้นต่ำต้อยด้อยค่า ขาดอะไรบางอย่างอยู่เสมอ และกระหายจะเติมความว่างนั้นให้เต็ม ในขณะที่เมื่อมองไปรอบ ๆ ตัวจะรู้สึกตัดพ้อว่าคนอื่นเขาช่างมีความสัมพันธ์ที่เต็มพร้อมที่ตัวเองไม่เคยมี อีกทั้งยังเกิดความคิดในการปรุงอารมณ์โศกเพื่อให้รสชาติแก่ชีวิตและยังเป็นพลังกระตุ้นในการสรรค์สร้างบางอย่าง ลักษณ์ห้า(นักสังเกตการณ์) คนห้า มักหลบเลี่ยงภาวะที่ต้องเกี่ยวข้องกับอารมณ์ทุกชนิด โดยเฉพาะความกลัวว่าผู้คนหรือสภาพการณ์ต่างๆ จะเข้ามารุกล้ำหรือเรียกร้องจากตน ดังนั้น จึงมักดำเนินชีวิตโดยวางตัวอยู่ห่าง ๆ เฝ้าจับตาสังเกตการณ์มากกว่านำตนเข้าไปยุ่งเกี่ยวด้วย โดยทั่วไปจะชอบความเป็นส่วนตัวมาก คนห้าจะรู้สึกหมดกำลังและกระสับกระส่ายหากไม่มีเวลาพอสำหรับทบทวนข้อมูลหรือเหตุการณ์ที่เพิ่งผ่านมา คนห้าสามารถสัมผัสกับอารมณ์เหล่านั้นอย่างสบายและปลอดภัยได้เมื่ออยู่คนเดียว โดยเขามักไม่สามารถรู้สึกเช่นนั้นได้เมื่อถูกห้อมล้อมจากคนรอบข้าง การคิดเป็นสิ่งสำคัญ เขาโปรดปรานการหาข้อมูล ข้อเท็จจริง เรื่องประเทืองปัญญา โดยมากมักเป็นเรื่องเชี่ยวชาญเฉพาะ ในการทำงานใด ๆ เขาต้องการมีข้อมูลที่เกินพอและมีเวลาตระเตรียมการคิดล่วงหน้า จุดแข็งของคนห้าโดยทั่วไปคือ ความเป็นผู้รู้ เป็นนักวิชาการ สงบ สุภาพ ให้เกียรติผู้อื่น รักษาความลับได้ดี และนิยมความเรียบง่าย โลกทัศน์ของคนห้าคือ การมองในลักษณะที่ว่า โลกไม่ควรรุกล้ำกันจนเกินไป ฉันต้องจำกัดความต้องการของตนเอง และต้องการความเป็นส่วนตัวเพื่อจะคิดและเติมพลังใหม่ ส่งผลให้หลายครั้งเกิดความรู้สึกที่ว่า มันอยากได้ทุกสิ่งทุกอย่างที่จะทำให้ตนเองรู้สึกมั่นคงและมีอิสระ ไม่ว่าจะเป็นข้อมูล เวลา และพื้นที่ส่วนตัว อีกทั้งเกิดความคิดแบบคนงกที่ว่า อะไร ๆ ก็เป็นการโดนเรียกร้องบังคับไปเสียหมด ทำให้มีความไวต่อการถูกร้องขอ ลักษณ์หก(นักปุจฉา) คนหก มักมองว่าโลกรอบตัวช่างคุกคามเราเสียนี่กระไร เขาจึงพยายามค้นหาต้นตอแห่งการคุกคามนั้นและจินตนาการถึงผลร้ายที่สุดไว้ก่อนเพื่อจะป้องกันได้ทันท่วงที ด้วยเหตุนี้ คนหกจึงมักใส่ใจกับภยันตรายหรือหลุมพราง นัยแอบแฝงหรือความหมายซ่อนเร้นของเรื่องราวต่าง ๆ พยายามตรวจสอบเพื่อหาความแจ่มแจ้ง มักชอบตั้งคำถามขัดแย้ง มีเสียงโต้เถียงหรือเสียงค้าน และด้วยความคิดที่เต็มแน่นไปด้วยความสงสัยจึงทำให้คนหกลังเลหรือไม่แน่ใจในเจตนาของผู้อื่น โดยเฉพาะของผู้ที่มีอำนาจ คนหกมักจะชอบเข้าข้างฝ่ายที่เสียเปรียบหรือดูด้อยกว่า ขณะเดียวกันก็ไม่ชอบให้ตัวเองแสดงอำนาจหรือมีความสำเร็จอย่างต่อเนื่อง การรับมือกับสิ่งคุกคามนั้นคนหกบางคนอาจเก็บตัวหรือปกป้องตัวเอง ในขณะที่คนหกอีกพวกอาจพุ่งออกไปเผชิญหน้าซึ่งดูเหมือนก้าวร้าว แต่เมื่อคนหกสามารถไว้วางใจได้ เขาจะกลายเป็นมิตรที่ซื่อสัตย์และผูกพันกับกลุ่มอย่างร่วมเป็นร่วมตายทีเดียว คนหกมักพยายามหลีกเลี่ยงภาวะที่ตนเองจนแต้มหรือไม่อาจควบคุมได้เมื่อเผชิญหน้ากับภยันตราย จุดแข็งของคนหกโดยทั่วไปคือ ความเชื่อถือไว้วางใจได้ การเป็นนักตรวจสอบและตั้งคำถาม ไหวพริบปฎิภาณ และความจงรักภักดี โลกทัศน์ของคนหกคือ การมองในลักษณะที่ว่า โลกไม่ควรเป็นสถานที่น่าหวาดหวั่นและเต็มไปด้วยภยันตรายเช่นนี้ ฉันต้องเตรียมตัวให้พร้อมและตั้งข้อสงสัยในอำนาจไว้ก่อน ส่งผลให้เกิดความรู้สึกอยู่เสมอ ๆ ว่าสิ่งที่น่าหวาดหวั่นบางอย่างกำลังคืบคลานเข้ามา เป็นอารมณ์ของการตื่นตัวเฝ้าระวังภัย อีกทั้งหลายครั้งก็เกิดความคิดจินตนาการที่จะขยาดต่อการเผชิญหน้ากับบางอย่างที่ดูน่ากลัวนั้น ลักษณ์เจ็ด(นักผจญภัย) คนเจ็ด มักเป็นคนมองโลกในแง่ดี กระฉับกระเฉง มีสีสัน ร่าเริง หลบหลีกเก่ง และรักการผจญภัย คนเจ็ดไม่ชอบการถูกผูกมัดหรือบังคับ เขาจึงสำรองทางเลือกไว้ให้มากที่สุดเท่าที่จะคิดได้ อีกทั้งเพื่อความสนุกสนานของเขาด้วย คนเจ็ดสามารถหลบหลีกความทุกข์หรือความไม่สบายใจ ไปอยู่กับความฝันหรือจินตนาการ มักมีแผนต่าง ๆ ในใจที่รวบรวมทุกอย่างที่เขาอยากจะทำและมักจะปรับเปลี่ยนแผนได้เมื่อมีทางเลือกใหม่ ๆ ผ่านเข้ามา คนเจ็ดเป็นนักเสพประสบการณ์ใหม่ ๆ เพื่อนใหม่ ๆ ความคิดใหม่ ๆ เป็นนักสร้างเครือข่ายและนักทฤษฎีที่สร้างสรรค์บรรเจิด สามารถนำความรู้และข้อมูลต่าง ๆ มาเชื่อมโยงสัมพันธ์กันได้อย่างน่าสนใจ ในทางตรงข้าม คนเจ็ดจะหลีกเลี่ยงความคับข้องต่าง ๆ ข้อจำกัด ความน่าเบื่อ รวมถึงความทุกข์และความเจ็บปวด จุดแข็งของคนเจ็ดโดยทั่วไปคือ ความสนุกสนานร่าเริง ความช่างประดิษฐ์คิดค้น การมองโลกในแง่ดี มีวิสัยทัศน์ และพลังแห่งจินตนาการ โลกทัศน์ของคนเจ็ดคือ การมองในลักษณะที่ว่า โลกควรจะเต็มไปด้วยโอกาสและทางเลือกที่ไม่จำกัด ฉันต้องการอิสรภาพและมองไปยังอนาคต ส่งผลให้เกิดความรู้สึกอยากลิ้มลองอย่างละเล็กอย่างละน้อยจากสิ่งที่ดีที่สุดทั้งหมดที่มีให้เลือกในขณะนั้น เปลี่ยนจากประสบการณ์หนึ่งไปสู่อีกประสบการณ์หนึ่งไปเรื่อย ๆ อย่างไร้ข้อจำกัด อีกทั้งยังหมกมุ่นกับการคิดวางแผนเพราะมันเป็นหนทางที่จะเปิดไปสู่ทุก ๆ โอกาสที่จะเป็นไปได้หรือเพื่อหลีกเลี่ยงความเจ็บปวดซึ่งอาจไม่ได้นำไปสู่การลงมือทำจริงเพราะมันไม่สนุกเท่า ลักษณ์แปด(เจ้านาย) คนแปด มักเป็นคนกล้าแสดงสิทธิกล้าเผชิญหน้ากับความขัดแย้งจนบางครั้งอาจดูเหมือนก้าวร้าว ดำเนินชีวิตแบบต้องได้ทั้งหมดหรือมิฉะนั้นก็ไม่เอาเลยและต้องลงมือทำทันที คนแปดมักเป็นผู้นำหรือไม่ก็เป็นตัวของตัวเองอย่างกล้าแข็ง มักไม่ปล่อยให้ตนเองถูกควบคุม แต่ตรงข้ามมักควบคุมดูแลคนอื่น สามารถปกป้องเพื่อนฝูงหรือลูกน้องได้อย่างเข้มแข็ง รักความยุติธรรม ตรงไปตรงมาและมุ่งมั่นต่อสู้เพื่อผดุงสิ่งนี้ไว้ คนแปดสามารถสำราญกับกลุ่มได้อย่างสุดเหวี่ยงและไม่รู้จัดเหน็ดเหนื่อย ไม่ว่าจะเป็นการเที่ยวเล่นหรือการถกเถียงกันทางความคิด คนแปดมักหลีกเลี่ยงที่จะเป็นคนอ่อนแอ เปราะบาง หรือการงอมืองอเท้า จุดแข็งของคนแปดโดยทั่วไปคือ ความกล้าหาญ ความเด็ดขาด ยุติธรรม การปกป้อง ยืนยันสิทธิ และความมีใจคอกว้างขวาง สามารถกระตุ้นให้พลังแก่ผู้อื่น โลกทัศน์ของคนแปดคือ การมองในลักษณะที่ว่า โลกควรจะมีความยุติธรรม ฉันต้องลงมือจัดการและปกป้องผู้บริสุทธิ์ ส่งผลให้หลายครั้งเกิดความรู้สึกอันเร่งเร้าที่จะพยายามเติมความมีชีวิตชีวาลงไปในการกินการอยู่อย่างสุด ๆ จนเกิดพอดี อีกทั้งมักเกิดความคิดที่จะเข้าไปกระทำการบางอย่างเพื่อจัดการให้ความยุติธรรมกลับคืนมาและลงโทษคนผิดอย่างสาสม ลักษณ์เก้า(ผู้ประสานไมตรี) คนเก้า มักเป็นคนที่ใฝ่หาสันติ สามารถเข้าอกเข้าใจมุมมองของคนทั้งหลายได้เป็นอย่างดี ในขณะที่ความคิดและความต้องการของตนเองนั้นมักไม่ค่อยชัดเจน คนเก้าชอบชีวิตที่ราบรื่นกลมกลืน สะดวกสบาย คุ้นเคยคาดการณ์ได้ จึงมักเห็นคล้อยไปกับทุกคนและยอมตามคำขอร้องของคนอื่นเพื่อไม่ให้มีความขัดแย้งหรือการเผชิญหน้าเกิดขึ้น อย่างไรก็ตาม ในภาวะที่กดดันก็อาจจะดื้อดึงหรือดันทุรังได้ คนเก้าหลายคนจะผัดผ่อนสิ่งที่จำเป็นต้องทำไปไว้นาทีสุดท้าย แต่หันไปใส่ใจกับกิจกรรมที่ไม่ได้มีความสำคัญนักแต่ให้ความสบายกว่า หรือไม่ก็ทำตัวให้ง่วงเหงา เบลอ ๆ หรืออ่านหนังสือเล่น ดูทีวี ฯลฯ จุดแข็งของคนเก้าโดยทั่วไปคือ การทุ่มเทใส่ใจคนอื่น ความเห็นอกเห็นใจ การยอมรับเปิดใจรับฟัง การเป็นนักต่อรองเจรจาที่ดี สามารถไกล่เกลี่ยและทำให้การทำงานเป็นทีมมีจุดร่วม โลกทัศน์ของคนเก้าคือ การมองในลักษณะที่ว่า โลกไม่ควรจะมีความขัดแย้งกัน ฉันควรจะอยู่ให้สบาย ๆ ดีกว่า รักษาความสงบสุขเข้าไว้ และประนีประนอมคุณค่าและความต้องการของตนเอง ส่งผลให้หลายครั้งเกิดความรู้สึกเฉื่อย ๆ แบบอารมณ์ที่หลงลืมตนเองหรือไร้ความมุ่งหมายในชีวิต แต่กลับถูกแทนที่ด้วยความต้องการหรือภาพสะท้อนของคนอื่น อีกทั้งยังเกิดความคิดที่ว่าไม่สามารถผลักดันตนเองให้เลือกหรือทำตามที่ได้ตั้งใจไว้เสียที เพราะคิดไม่ตกหรือตัดสินใจไม่ได้ว่าอะไรสำคัญสำหรับตนเอง ลักษณ์ทั้ง 9 โดยย่อ
บทเกริ่นนำของผู้เขียน
ผู้เขียนเริ่มรู้จัก Enneagram จากในพันทิปที่มีคนโพสไว้ในห้องหว้ากอ เรื่องคนไทป์ต่าง ๆ จากจุดนั้นก็เริ่มหาความรู้จากในอินเตอร์เน็ต ก็อ่านไปเรื่อย ๆ ทำแบบทดสอบหาตัวเองไปเรื่อย ๆ ว่าตัวเองไทป์อะไร 5555 แต่ขอโทษเถอะค่ะ....ผู้เขียนทำแบบทดสอบเท่าไรก็ไม่รู้เรื่อง คือไม่ค่อยเข้าใจคำถาม คำตอบที่ได้ก็ไม่ค่อยแน่ใจถึงความถูกต้องแม่นยำ จากนั้นจึงคิดไปอบรมเพื่อหาความรู้ที่ถูกต้อง จึงมีการนัดสัมภาษณ์หาลักษณ์คร่าว ๆ ก่อนอบรมจริง (คือในการสัมภาษณ์นั้น เพื่อให้เหลือลักษณ์ที่น่าจะเป็นไปได้ประมาณ 2-3 ลักษณ์) ในการสัมภาษณ์หาลักษณ์ จะมีพูดคุยถึงพฤติกรรมต่าง ๆ ตั้งแต่วัยเด็กจนถึงอายุ 25-30 ปี (ยิ่งอายุไม่ถึง 20 ปีก็ยิ่งดี เพราะคนเราเมื่ออายุยิ่งมากขึ้น กำแพงปกป้องตัวตนก็ยิ่งเยอะขึ้นหนาขึ้น เข้าถึงตัวตนภายในจริง ๆ ได้ยากขึ้น) ว่าเราทำอะไรเพราะอะไร...เรียกว่าหาแรงขับแรงจูงใจของพฤติกรรมค่ะ แต่ผู้เขียนก็ตอบไม่ได้อยู่ดีว่า สิ่งที่ทำไป ทำไปเพราะอะไร หลาย ๆ คำถามที่ตอบไม่ได้ตั้งแต่ตอนสัมภาษณ์ จนกระทั่งอบรมเสร็จแล้วเป็นเวลาหลายเดือนผ่านไป ถึงจะเพิ่งมาเข้าใจว่าบางสิ่งที่เราทำอย่างนั้น....เพราะอะไร 5555 นานมากกว่าจะหาเจอ เรียกว่าต้องสังเกตตัวเองอย่างจริงจังและจริงใจค่ะ ถึงจะเข้าถึงตัวตนภายในตามหลัก Enneagram ซึ่งมันมีอะไรที่มหัศจรรย์หลายอย่าง สำหรับคนไทป์ 5 เจ้าปัญหาแบบผู้เขียน....ซึ่งเข้าใจอะไรได้ยากเย็นมาก (ไทป์ 5 คนอื่นอาจจะไม่เป็น) ถือว่า Enneagram อธิบายความสับสนที่มีมาเนิ่นนานภายในตัวผู้เขียนได้เป็นอย่างดี ที่ศาสตร์อันอื่นไม่สามารถทำให้ผู้เขียนเข้าใจตัวเองได้ขนาดนี้ สุดท้ายเมื่ออบรมเสร็จผู้เขียนก็รู้ตัวว่าตัวเองเป็นไทป์ 4 ค่ะ แต่ปัจจุบันผู้เขียนเพิ่งค้นพบว่าตัวเองก็มีไทป์ 5 ด้วย ซึ่งแน่นอนว่ามันต้องมีไทป์หลัก 1 ไทป์และไทป์ที่เหลือต้องเป็นไทป์ปีก แต่ผู้เขียนยังไม่ได้ไปอบรมนพลักษณ์ขั้นกลางและขั้นสูง เพื่อหาความรู้ต่อไป จึงยังไม่สามารถระบุอย่างชัดเจน จึงขอใช้เรียกตัวเองว่าไทป์ 4+5 ไปก่อนค่ะ 5555 คือผู้เขียนพยายามจะบอกว่านี่คือการหาลักษณ์ในเบื้องต้น ถ้าเจาะลึกลงไปมันจะมีลักษณ์ย่อยอีก 3 อย่างซึ่งก็มีผลกับพฤติกรรมมาก ๆ เหมือนกันค่ะ เรียกว่ามีผลพอ ๆ กับลักษณ์หลักเลยค่ะ แล้วยังมีลักษณ์ปีกที่อยู่ข้าง ๆ หลักหลักอีก 2 ข้าง ซึ่งบางคนอาจมีลักษณ์ปีกข้างเดียวก็ได้ ค่ะ ถึงได้บอกว่าเมื่อเราหาลักษณ์ได้คร่าว ๆ แล้วควรไปอบรมจริงอีกครั้ง เพื่อความรู้ที่ถูกต้อง เพื่อการพัฒนาไปอย่างถูกทิศทาง ขอสรุปอีกครั้งค่ะ.... ที่จะอ่านต่อไปนี้ ควรมองย้อนกลับไปเมื่อเราเป็นเด็กนะคะ อายุไม่เกิน 30 ปี หรือถ้าอายุปัจจุบันตอนนี้ไม่เกิน 20-25 ปีก็ยิ่งดีค่ะ และความรู้ส่วนนี้คัดลอกมาจากบางส่วนของหนังสือ (ให้เครดิตหนังสือ) จากหนังสือรักผลิบาน งานผลิผล เล่ม 2 ผู้เขียน เฮเลน พาล์มเมอร์ ผู้แปล ร.จันเสน ถ้าท่านใดสนใจก็หาซื้อหนังสือมาหาความรู้เพื่มเติมก็ยิ่งดีค่ะ ลักษณ์ทั้ง 9 โดยย่อ ![]() ลักษณ์หนึ่ง นักสมบูรณ์แบบนิยม เชื่อว่าความรักได้มาด้วยการทำตัวให้สมบูรณ์แบบ กังวลเรื่องความถูกต้อง พยายามทำตามมาตรฐานสูงสุด ค้นหาฐานทางจริยธรรมเพื่อเป็นหลักในการสร้างชีวิต ความคิดรวมศูนย์อยู่ที่เรื่อง น่าจะ ต้อง ควร เห็นว่าความสัมพันธ์ต้องไม่มีข้อบกพร่อง การงานต้องไร้ที่ติ ในแง่บวก การยึดมั่นในความดี ทำให้ลักษณ์หนึ่งเหมาะจะเป็นผู้นำมวลมนุษย์ในการปรับปรุงตัวให้ขึ้น แต่ในแง่ปกป้องตนเอง คนลักษณ์นี้มักจะรู้สึกว่าตนมีศีลธรรมสูงกว่าใคร ๆ ด้วยการจ้องจับผิดผู้อื่น จุดเน้นความใส่ใจ -แสวงหาความสมบูรณ์แบบ หลีกเลี่ยงข้อผิดพลาดและความชั่วร้าย -มีมโนธรรม ศีลธรรมสูง -คิดดี ในหัวมีแต่เรื่อง น่าจะ ควร ต้อง -ทำดีเน้นคุณธรรมในทางปฏิบัติ เช่น มุ่งเน้นทำงาน ประหยัด ซื่อสัตย์ จริงใจ และพากเพียรบากบั่น -เป็นคนดี วิจารณ์ตนเองอยู่ในใจอย่างเข้มงวด มีเสียงภายในใจคอยตัดสินตัวเองอยู่เสมอ -การบังคับตัวเองให้ทำงานหนักสามารถกันความรู้สึกที่ไม่พึงปรารถนาออกไปได้ -โกรธเมื่อไม่ได้ตามความต้องการ การปฏิเสธตนเองก่อให้เกิดความขัดเคือง ไม่ตระหนักรู้ถึงความโกรธของตนเอง ( วันนี้ฉันก็แค่มุ่งมั่นไฟแรงไปหน่อย) -กังวลกับการตัดสินใจ กลัวว่าจะผิดพลาด -จุดเน้นความใส่ใจแบบนี้เป็นหลักประกันว่าชีวิตที่มีศีลธรรมจรรยาดี แต่ก็อาจนำมาซึ่งผลดังนี้ด้วยคือ *** วิธีคิดแบบมีคำตอบเดียว ไม่ถูกก็ผิด ไม่ขาวก็ดำ ไม่มีสีเทา *** ช่างติช่างวิจารณ์อย่างแรง มีสัญชาติญาณในเรื่องความสมบูรณ์แบบ ลักษณ์สอง ผู้ให้ สร้างหลักประกันแก่ความรักด้วยการทำตัวเป็นผู้ช่วยเหลือ ดูแลจัดการชีวิตคนอื่น สนับสนุนและคอยเอาใจคู่ครอง เป็นพลังเบื้องหลังบัลลังก์ ปรับเปลี่ยนตัวตนไปหลายแง่มุมเพื่อตอบสนองความต้องการของผู้อื่นอาจเป็นตัวตนเพื่อทีม ตัวตนเพื่อนาย และอีกหลายตัวตนในชีวิตส่วนตัว ในแง่บวก นิสัยผู้ให้เช่นนี้ทำให้เป็นคนเสียสละและเอื้อเฟื้อ แต่ในแง่ปกป้องตนเอง การให้นั้นแฝงไว้ด้วยจุดมุ่งหมายที่จะได้รับการตอบแทน จุดเน้นความใส่ใจ -อยากได้การยอมรับ ปรับตัวเพื่อเอาใจคนอื่น หลีกเลี่ยงความต้องการของตัวเอง -ทะนงตนว่าเป็นที่ต้องการของคนอื่น เป็นศูนย์กลางในชีวิตของผู้คน เป็นคนที่ใคร ๆ จะขาดไม่ได้ -มีสัญชาติญาณในการปรับเปลี่ยนตัวตนไปได้หลายอย่างเพื่อตอบสนองความต้องการของผู้อื่น -สับสนระหว่างตัวตนต่าง ๆ อันไหนคือตัวจริงของฉันกันแน่ -ไม่ค่อยรู้ความต้องการของตัวเอง ได้ช่วยคนอื่นก็รู้สึกเหมือนได้สนองความต้องการของตนแล้ว -อยากได้อิสรภาพ รู้สึกเหมือนถูกกักขังอยู่กับการคอยสนับสนุนผู้อื่น -ปรับเปลี่ยนการนำเสนอตัวเองเพื่อตอบสนองความต้องการของคนอื่น การใส่ใจในลักษณะนี้สามารถนำไปสู่ ***การเข้าถึงอารมณ์ของผู้อื่นด้วยความเห็นอกเห็นใจ ***หรือไม่ก็ การปรับตัวตามความปรารถนาของผู้อื่นเพื่อหวังได้ความรักตอบแทน หรือเพื่อให้เขายังคงรักตนไม่เปลี่ยนแปลง ลักษณ์สาม นักแสดง เชื่อว่าความรักได้มาด้วยการเป็นคนมีภาพลักษณ์ดีและประสบความสำเร็จ ชอบทำกิจกรรมร่วมกับครอบครัว มีพลังสูงและโดดเด่นในการงาน อ่อนไหวกับสถานะ ต้องการเป็นหนึ่ง เป็นผู้นำ เป็นคนที่ใคร ๆ ต้องมอง สร้างภาพให้คนประทับใจ หมกมุ่นกับงาน ระงับความรู้สึกไว้ขณะผลักดันงานให้ก้าวไป ในแง่บวก ความเป็นนักแสดงและนักปฏิบัติก่อให้เกิดภาวะผู้นำที่มีประสิทธิภาพ แต่ถ้าใช้ปกป้องตนเอง เขาจะปรับแต่งภาพลักษณ์เพื่อส่งเสริมความสำเร็จส่วนตัว จุดเน้นความใส่ใจ -ความสำเร็จ ผลิตภาพ และผลงาน เป้าหมาย ภารกิจ และผลลัพธ์ -การแข่งขันและประสิทธิภาพ หลีกเลี่ยงความล้มเหลว -ไม่ค่อยเข้าถึงชีวิตทางอารมณ์ ใจไปอยู่กับงาน -คิดแบบหลากหลายเพื่อหนึ่งเดียว คิดได้หลาย ๆ ทาง แต่รวมศูนย์เพื่อผลผลิตหรือเป้าหมายเดียว - ฉันคือสิ่งที่ฉันทำ แยกไม่ออกระหว่างตัวตนแท้กับงานหรือบทบาทที่เล่นอยู่ -เรียนรู้การ ปั้นความรู้สึก ปั้นภาพลักษณ์และเรียนรู้วิธีพูดเยี่ยงละคร -เปลี่ยนบทบาทและภาพลักษณ์ได้เหมือนกิ้งก่าเปลี่ยนสี -ความใส่ใจเช่นนี้สามารถสร้างความสำเร็จได้อย่างสูง แต่ก็นำมาซึ่งผลดังนี้ด้วยคือ ***การหลอกตัวเอง เริ่มเชื่อว่าตัวเองเป็นไปตามภาพที่ปรากฏแก่คนทั่วไป ลักษณ์สี่ คนโรแมนติก โหยหาความรักที่อยู่ไกล รู้สึกผิดหวังเมื่อความรักเข้ามาอยู่ใกล้ แต่ก่อนเราเคยสื่อถึงกันได้ เดี๋ยวนี้กลับรู้สึกว่าไม่ใช่ เราเคยมีสิ่งนั้น มันหายไปไหน แสวงหาความเชื่อมโยงทางใจไปตลอดชีวิต มีทั้งการดึงดูด ความชิงชัง ความเจ็บปวด รู้สึกต่อชีวิตเหมือนละครมาก ใช้ชิวิตอย่างมีรสนิยม นำเสนอตัวเองอย่างมีเอกลักษณ์ การงานอาชีพมีลักษณ์พิเศษ มีหัวสร้างสรรค์ทางธุรกิจ ในแง่บวก การทุ่มเทใจแสวงหานำไปสู่ความรู้สึกอันลึกซึ้ง แต่ในแง่ท่าทีต่อชีวิต อารมณ์เยี่ยงละครทำให้คนลักษณ์สี่รู้สึกเหมือนตนมีค่าเกินกว่าจะมาใช้ชีวิตธรรมดาสามัญ จุดเน้นความใส่ใจ -ต้องการสิ่งที่ยังไม่ได้ สิ่งที่อยู่ไกลและยากจะได้มา หลีกเลี่ยงความธรรมดาสามัญ -อารมณ์ กิริยามารยาท ความหรูหราและรสนิยมที่ดี เหล่านี้คือสิ่งที่ช่วยป้องกันการไม่นับถือตัวเอง -หลงใหลอารมณ์โศก รสชาติของความโหยหา -ไม่ชอบชีวิตธรรมดาสามัญ ความรู้สึกธรรมดานั้นช่างจืดชืด -เพิ่มดีกรีให้แก่ชีวิตธรรมดาด้วยการสูญเสีย เรื่องฟุ้งฝัน คบหาศิลปิน และทำอะไร ๆ อย่างมีสีสันเหมือนละคร เล่นบทราชาและราชินี -มีความสัมพันธ์แบบผลักๆ ดึง ๆ อยากได้สิ่งที่กำลังขาดและคิดถึงมาให้มากที่สุด แต่เมื่อได้มาแล้วก็ผลักออกไปอีก ลักษณะกลับไปกลับมาเช่นนี้จะยิ่งไปเสริม ***ความรู้สึกว่าถูกทอดทิ้งและสูญเสีย ***แต่ก็ช่วยให้เกิดความคมไว และลึกในทางอารมณ์ สามารถช่วยคนที่กำลังรวดร้าวและอยู่ในห้วงวิกฤต ลักษณ์ห้า นักสังเกตการณ์ แยกจิตเว้นระยะห่างจากความรักและอารมณ์อันพวยพุ่ง ต้องอยู่ตามลำพังจึงจะค้นพบว่าตนรู้สึกอย่างไร ปลีกตัวจากผู้คน เมื่ออยู่กับตัวเองจะรู้สึกเข้าถึงอารมณ์ได้มากกว่า คนลักษณ์ห้าชอบสภาพแวดล้อมทางการงานที่มีการป้องกัน ไม่มีใครมาแทรกแซง จำกัดการติดต่อ และมีการประกาศวาระงานให้รู้ล่วงหน้า ในแง่บวก ท่าทีเว้นห่างจากอารมณ์ทำให้เป็นคนที่เชื่อถือได้วิเคราะห์อะไรได้ชัดเจน แต่ในแง่ยุทธศาสตร์ทางจิตวิทยา การเว้นห่างจากอารมณ์เป็นการลดการติดต่อพัวพัน จุดเน้นความใส่ใจ -หมกมุ่นกับความเป็นส่วนตัวและการไม่พัวพันกับใคร -สั่งสมความรู้และสิ่งที่เป็นสาระสำหรับกาอยู่รอด หลีกเลี่ยงความว่างเปล่า -มัธยัสถ์เพื่อรักษาความเป็นอิสระ (ไม่ต้องพึ่งพาใคร) อยู่ให้ได้ ทำให้ได้ด้วยปัจจัยที่น้อยที่สุด -ให้คุณค่าแก่การควบคุมอารมณ์ ชอบเรื่องที่มีความชัดเจน มีระเบียบวาระและเงื่อนเวลาที่แน่นอน -แบ่งภาคชีวิตออกเป็นส่วน ๆ แยกจากกัน จัดสรรเวลาเตรียมตัวล่วงหน้าเพื่อตั้งรับเหตุการณ์ที่อาจมาทำให้อารมณ์พวยพุ่ง -พลังอำนาจของการรู้ ระบบวิเคราะห์และข้อมูลพิเศษ อยากได้กุญแจไขไปสู่คำอธิบายกลไกของจักรวาล ไม่รู้สึกตรง ๆ แต่คิดเพื่อจะเข้าใจความรู้สึก -สับสนเข้าใจว่าการแยกจิตเว้นห่างจากความเจ็บปวดทางอารมณ์ คือการปล่อยวางด้วยอุเบกขา -มองชีวิตด้วยมุมมองของนักสังเกตการณ์ผู้อยู่วงนอก การใส่ใจแบบนี้สามารถนำไปสู่ ***ความรู้สึกโดดเดี่ยวต่อเหตุการณ์ต่าง ๆ ในชีวิตของตนเอง ***หรือไม่ก็ สามารถที่จะมองโลกแบบไม่ยึดติด ไม่หวั่นไหวไปกับความอยากหรือความกลัว ลักษณ์หก พลรบ สงสัยในความรักและอนาคตอันหอมหวาน ไม่กล้าเชื่อ กลัวถูกทรยศ เธอยังต้องการฉันอยู่หรือเปล่า งานของฉันจะก้าวหน้าไหม เรื่องนี้แน่นอนมั้ย ฉันน่าจะสงสัยนะ แต่เมื่อรักก็รักอย่างภักดี และจะเฝ้าขอคำมั่นจากคนรักไม่หยุดหย่อน ไม่ไว้ใจผู้มีอำนาจและมักจะตั้งคำถามเจ็บ ๆ ในเรื่องงาน เมื่อใช้ในทางที่ดี จิตใจช่างสงสัยช่วยให้เห็นเป้าหมายชัดเจน แต่ในแง่ท่าทีต่อชีวิต ความสงสัยในใจจะขัดขวางความก้าวหน้า จุดเน้นความใส่ใจ -ผัดวันประกันพรุ่ง การคิดเข้าแทนที่การกระทำ หลีกเลี่ยงการลงมือกระทำ -ตั้งเป้าไว้สูง แต่มักจะไปไม่ถึงดวงดาว -ยิ่งใกล้ความสำเร็จก็ยิ่งกระวนกระวาย ความสำเร็จหมายถึงการออกไปเผชิญความเป็นศัตรู -ลืมความสำเร็จและความรื่นรมย์ -มีปัญหาเกี่ยวกับผู้มีอำนาจ ถ้าไม่ศิโรราบก็ขบถไปเลย -ตั้งแง่สงสัยแรงจูงใจของผู้อื่น โดยเฉพาะผู้มีอำนาจ -เข้าพวกกับฝ่ายที่เสียเปรียบหรือเป็นรอง เป็นผู้นำฝ่ายค้าน -กลัวที่จะยอมรับความโกรธของตนเอง กลัวความโกรธของผู้อื่น -สงสัยจัด ตรงกับ จิตสงสัยหรือวิจิกิจฉา ในพุทธศาสนา -มีจิตใจประเภท ใช่ แต่... หรือ นี่อาจใช้ไม่ได้ -สำรวจกราดไปในสภาพแวดล้อมเพื่อมองหาเงื่อนงำที่จะอธิบายความหวาดหวั่นภายในใจตัวเอง -การใส่ใจแบบนี้จะยิ่งย้ำยืนยันว่า ***โลกคือสถานที่ที่มีภัยคุกคาม ***แต่ก็ช่วยให้จับได้ถึงแรงจูงใจและจุดประสงค์ซ่อนเร้นที่ครอบงำความสัมพันธ์ ลักษณ์เจ็ด นักเสพประสบการณ์ รู้สึกว่าตนสมควรได้รับความรักและความนิยม คาดหวังให้โครงการต่าง ๆ ออกมาดี ความรักและการงานควรเป็นการผจญภัย ต้องการใช้ชีวิตให้มีรสชาติ ส่วนดีที่สุดของความรักคือตอนเริ่มต้องตาต้องใจกัน ส่วนดีที่สุดของการงานคือตอนเกิดไอเดียอันบรรเจิด เป็นนักระดมความคิด วางแผน เปิดกว้างรับทางเลือกต่าง ๆ มองอนาคตในแง่ดี มองการงานเป็นเรื่องตื่นเต้นท้าทาย ในแง่บวก ท่าทีนักผจญภัยช่วยให้คนรอบข้างกระตือรือร้นไปด้วย แต่ในแง่อุบายรับใช้ตัวเอง การหลงใหลความรื่นรมย์เป็นหนทางหนึ่งในการหนีความเจ็บปวด จุดเน้นความใส่ใจ -การกระตุ้นเร้า หาสิ่งใหม่ ๆ ที่น่าสนใจมาทำ ต้องการโลดลอยไปไม่มีตก หลีกเลี่ยงความเจ็บปวด -เปิดทางเลือกหลายทางไว้เสมอ ไม่ยอมผูกมัดกับแนวทางเดียว กลัวการถูกจำกัด -หาทางเลือกอันน่าพึงใจมาแทนที่ความรู้สึกร้าวลึกหรือเจ็บปวด หนีไปสู่ความรื่นรมย์ทางความคิด ชอบพูดคุยวางแผนลับสมองลองปัญญา -ใช้เสน่ห์เป็นด้านหน้าในการป้องกันตัว กลัวคนประเภทที่เดินหน้าเข้าตีสนิทกับใครต่อใคร หลีกเลี่ยงความ ขัดแย้งด้วยการหาช่องลื่นไหลอาศัยคารมกู้สถานการณ์ -ใส่ใจกับการเชื่อมโยงข้อมูลเป็นระบบ เพื่อจะได้เห็นช่องโหว่และทางเลือกภายในข้อผูกมัด แนวการใส่ใจแบบนี้สามารถนำไปสู่ ***นิสัยหนีปัญหาหรือข้อผูกมัดโดยหาข้ออ้างที่มีเหตุผล ***หรือไม่ก็ ความสามารถในการหาความเชื่อมโยง แนวเปรียบเทียบและวิธีแก้ปัญหาที่แหวกแนว มีทักษะในการสังเคราะห์ข้อมูลด้วยการคิดแบบไม่เป็นเส้นตรง ลักษณ์แปด เจ้านาย แสดงความรักผ่านการคุ้มครองและอำนาจ ชอบความจริงที่ปรากฏออกมาจากการต่อสู้หรือทุ่มเถียง เป็นฝ่ายรุกในการติดต่อ อยู่กับอารมณ์โกรธได้สบาย ลุกขึ้นปกป้องคนของตนเอง รักษาแนวรบในการงานอย่างเหนียวแน่น ชอบอยู่ในตำแหน่งที่มีอำนาจและสามารถควบคุม จึงมักเป็นฝ่ายออกกฎในชีวิตรักและชีวิตการงาน ในแง่บวก นิสัยชอบออกหน้ารับผิดชอบจะพัฒนาสู่ความเป็นผู้นำที่ใช้อำนาจอย่างเฉลียวฉลาด ในแง่ท่าทีต่ออำนาจ เขาถือว่าการรุกคือการป้องกันตัวที่ดีที่สุด จุดเน้นความใส่ใจ -ควบคุมสิ่งที่ตนครอบครองและพื้นที่ส่วนตัว -ผูกใจอยู่กับเรื่องความยุติธรรมและอำนาจ หลีกเลี่ยงความอ่อนแอ -นำเสนอตัวเองแบบเกิน ๆ เช่น มากไป ดังไป ล้นไป -ชอบควบคุมเร่งรัด ต้องการกำหนดขอบเขต -ไม่ค่อยตระหนักถึงความต้องการพึ่งพาและอารมณ์นุ่มนวล -ขอบเขตและอาณาเขตเป็นประเด็นสำคัญ เรียนรู้ข้อแตกต่างระหว่างการป้องกันตัวกับการรุก -ปฏิเสธมุมมองของคนอื่นโดยถือว่าตนเชิดชู สัจธรรม สับสนเข้าใจว่าความเห็นอัตนัยซึ่งรับใช้จุดประสงค์ส่วนตัวนั้นคือความจริงปรนัย -มีลีลาการใส่ใจแบบ ถ้าไม่ได้หมดก็ไม่เอา ซึ่งมักจะเห็นอะไร ๆ อย่างสุดขั้ว มองคนอื่นว่าถ้าไม่ใช่คนยุติธรรมก็ต้องเป็นคนอยุติธรรม ไม่ใช่นักสู้ก็ต้องเป็นคนอ่อนปวกเปียก ไม่มีกลาง ๆ ลีลาการใส่ใจแบบนี้สามารถนำไปสู่ ***การปฏิเสธความอ่อนแอของตนเองอย่างไม่รู้ตัว ***หรือไม่ก็ การใช้พลังอย่างเหมาะสมเพื่อประโยชน์สุขของผู้อื่น ลักษณ์เก้า นักไกล่เกลี่ย ทำตัวกลืนไปกับคนรัก สูญเสียเส้นแบ่งของความเป็นตัวเอง รับเอามุมมองของคนรักมาเป็นของตน ไม่โกรธแต่กลับกลายเป็นดื้อเงียบ แทงกั๊ก ไม่กล้าฟันธง ฉันไม่ได้บอกว่าไม่ เพียงแต่ไม่แน่ใจว่าเห็นด้วยกับเธอ คนลักษณ์เก้าสามารถเข้าใจและเห็นใจทุกแง่มุมของข้อถกเถียงหนึ่ง ๆ เลยทำให้เป้าหมายของตัวเองตกแถวไป ใช่ สำหรับเขาหมายถึง ใช่ ฉันกำลังใคร่ครวญความเห็นของเธอ และถ้าเขาพูดว่า อาจจะ ก็เป็นไปได้ว่าน่าจะหมายถึง ไม่" ในแง่บวก นิสัยทำตัวกลืนไปกับคนอื่นทำให้เขาเป็นผู้หนุนช่วยที่ดี แต่ถ้าใช้เป็นมาตรการปกป้องตนเอง การรับเอามุมมองหลาย ๆ แบบเข้ามาก็เป็นเหมือนกันชน ทำให้ไม่ต้องผูกมัดกับแบบใดแบบหนึ่ง จุดเน้นความใส่ใจ-ละเลยเรื่องสำคัญที่จำเป็น หันไปจับเรื่องไม่สำคัญแทน -ปรนเปรอตัวเองด้วยความสุขจากเรื่องที่ไม่สำคัญ หลีกเลี่ยงความขัดแย้ง -คลุมเครือกับการตัดสินใจในเรื่องที่โยงถึงตัวเอง ฉันเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วยกันแน่? มองเห็นทุกแง่มุมของปัญหา การตัดสินใจจะง่ายถ้าไม่พัวพันถึงตัวเอง เช่น การลงมือในเหตุฉุกเฉินหรือการให้ความเห็นทางการเมือง -เลื่อนการเปลี่ยนแปลงออกไปโดยใช้วิธีแก้ปัญหาแบบเดิมๆ ที่คุ้นเคยอยู่แล้ว กระทำการตามความเคยชิน เดินตามแบบแผนอันเป็นกิจวัตร ทำเหมือนมีเวลาเหลือเฟือ ยังรอได้ถึงพรุ่งนี้ -ยากจะริเริ่มการเปลี่ยนแปลง ไม่ค่อยรู้ความต้องการของตนเอง แต่ถ้าถามว่าไม่ต้องการอะไรจะรู้ได้ง่ายกว่า -ปฏิเสธไม่เป็น แยกจากคนอื่นไม่ค่อยได้ ยากที่จะเป็นฝ่ายตีจาก -ผ่อนเพลาความโกรธและพลังทางกาย เบนพลังไปใช้กับเรื่องจุกจิกปลีกย่อย หน่วงปฏิกิริยาความโกรธไว้ ก้าวร้าวเงียบ ความโกรธมีความหมายเท่ากับการแยกจาก เมื่อคนไทป์ 4+5 ได้มาดูซี่รี่ย์เกาหลี You are beautiful. (ภาค สรุป)
ภาคสรุป
ขอขึ้นหัวข้อไว้ก่อนนะคะ...ว่ามีภาคสรุป ใจจริงก็รู้ว่าซี่รี่ย์เรื่องนี้จบมาได้สักระยะแล้ว แต่ตัวผู้เขียนเองเหมือนจะยังไม่อยากสรุปเลยค่ะ เพราะมันสรุปไม่ลงค่ะ...จบไม่ได้สักที ไอ้ที่เขียนไว้ก็แก้อยู่นั่นแหละค่ะ ไอ้ที่เพิ่มเติมก็ยังมีมาเรื่อยๆ ด้วยค่ะ ดังนั้นถ้าซี่รี่ย์เรื่องนี้มีภาค 2 ก็คงดีมากทั้งคนดูและ ตัวผู้เขียนเองที่จะได้ดื่มด่ำกับบุคลิกภาพคน 4 + 5 ของพระเอกอีกครั้งค่ะ (ถ้าผู้แต่งบทประพันธ์ไม่เปลี่ยนบุคลิกพระเอกเป็นไทป์อื่นด้วยนะคะ) ขอเปิดหัวไว้เท่านี้ก่อนนะคะ.........อีก 2-3 วันมาอัพเดทค่ะ 10/12/2553 คือผู้เขียนอยู่ๆ ก็ตกผลึก (ชิ้นเล็กๆ ) เพิ่มเติมได้ความรู้ใหม่ว่า.....อ๋อไอ้อาการที่พระเอกชอบพูดว่า .......... ฉันต้องไปดูโกมีนัมให้ดี ในที่ที่สว่างแล้วคิดดูอีกครั้ง ( ตอนที่ 12 ) แปลว่าคนลักษณ์ 5 จะมองเห็นอะไรให้ชัด ตรงนั้นต้องมีแสงสว่างมากพอสมควรคือจะได้มองเห็นรายละเอียดข้อมูลหรือข้อเท็จจริงเยอะๆ ภาพจะได้ชัดเจนไม่ผิดพลาด......เพราะฉะนั้นแสงสว่างจึงมีความจำเป็นสำหรับคน 5 มาก ดังนั้นการตาบอดในที่มืด จึงเป็นปัญหากับคน 5 มาก เพราะตอนกลางคืนที่มีแค่แสงสว่างจากดวงจันทร์ มันสว่างไม่พอที่จะทำให้คน 5 มองเห็นทัศนีย์ภาพแบบไกลๆ แบบภาพรวม ( เป็นบุคลิกภาพอีกอย่างของคน 5 ที่ชอบเข้าใจภาพรวม) จึงมองเห็นแต่ดวงจันทร์โดยมองไม่เห็นดวงดาว...................... (อธิบายเสริมบทละคร) และนี่ก็เป็นการเดินเรื่องอย่างมีชั้นเชิงของผู้แต่งบทประพันธ์ ที่พระเอกไม่เคยมองเห็นดวงดาวบนฟ้าจริงๆ จึงให้นางเอกของเรื่อง มีบทไปตามหารูปดาวรูปแบบต่างๆ ให้พระเอกได้มองเห็น........ซึ่งมันแทนใจนางเอกที่เข้าใจและเข้าไปยืนในหัวใจพระเอก..........เป็นเรื่องที่พระเอกคน 5 ซึ้งใจมากค่ะ ความจริงปรมัตถ์ = ตอนกลางวัน คน 5 เห็นโลกชัดเจน --> แสงสว่างของพระอาทิตย์ คือความจริงปรมัตถ์ ความจริงสมมุติ = ตอนกลางคืน คน 5 เห็นโลกไม่ชัดเจน เพราะแสงสว่างไม่พอ --> แสงสว่างของดวงจันทร์คือ ........................การรับแสงสะท้อนของดวงอาทิตย์อีกที มันก็คือโลกสมมุติที่ใช้การสะท้อนความจริงปรมัตถ์อีกที ........................ซึ่งมันมีข้อจำกัดในการสะท้อนความหมาย เพราะภาษาสมมุตินั้นไม่อาจสะท้อนความจริงได้ ........................ทุกอย่างค่ะ ผู้เขียนวิเคราะห์และบอกตัวเอง (ถ้าคน 5 ท่านอื่นๆ มาอ่านแล้วคิดว่าตลก ก็อย่าว่ากันนะคะ) ข้อเท็จจริง - ที่ที่มีแสงสว่างคน 5 มองเห็นได้เอง ย่อมชัดเจนดีกว่าในตอนกลางคืนที่ต้องให้คนอื่นนำทาง เปรียบเหมือนต้องมีคนอื่นบอกข้อมูลให้เราอีกที ข้อเท็จจริง - คน 5 ที่มองเห็นโลกตามจริง แต่มีความพิการในการมองเห็นตอนกลางคืน (โรคตาบอดในที่มืด) เปรียบเหมือนคน 5 นั้นมีปัญหาการรับรู้กับโลกสมมุติ ?...... ปัญหามันคือ.......? ข้อสันนิษฐาน ปัญหาคือการรับรู้ของคน 5 อยู่บนฐานความรู้ที่ไม่เหมือนคนอื่นหรือเปล่านะ.....? หรือปัญหาคือวิธีการรับข้อมูลนั้นแตกต่างจากคนอื่น.....? วิเคราะห์ (แบบไม่จริงจัง) จิตคน 5 ไม่อาจจับหรือเกาะสิ่งใดที่เหมือนคนทั่วไป คือจิตคน 5 ชอบไปเกาะตรงที่มีแสงสว่าง....แสงสว่างคือความจริงปรมัตถ์ ถ้าที่ที่ไม่มีแสงสว่าง จิตคน 5 ไม่มีที่เกาะ แต่ต้องอาศัยการสะท้อนความจริงจากการบอกเล่าของผู้อื่น....ข้อมูลตรงนี้น่าจะเกี่ยวข้องกับคำว่า ความหมายเชิงสัญลักษณ์ ที่ทำให้คน 5 ไม่อาจเข้าใจอะไรตรงๆ ต้องใช้ทักษะการสะท้อนความจริงผ่านสัญลักษณ์ หรือการบอกเล่าจากผู้อื่น.......มิน่า.........หลายๆ ครั้งที่ผู้เขียนรู้สึกว่าตัวเองโง่ ได้โล่ห์จริงๆ.............โง่แบบมืดมิด มืดมนสุดๆ ทำมาถึงตรงนี้ผู้เขียนก็เริ่มงง งง.......ไปต่อไม่ได้ค่ะ มันคงต้องเวลามากกว่านี้ แต่ซี่รี่ย์จบแล้ว....ผู้เขียนต้องสรุปเช่นกัน เอาเป็นว่าอ่านกันเล่นๆ ไม่ต้องซีเรียสนะคะ แล้วผู้เขียนคงไปคิดต่ออีกค่ะ คน 5 ลองถ้าสนใจอะไรแล้วหล่ะก็ ไม่ยอมปล่อยมือง่ายๆ อยู่แล้ว เรียกว่าเกาะติดปัญหาได้นานกว่าคนอื่นค่ะ....กี่ปีก็จะรอค่ะ อันนี้เป็นความรู้ใหม่อีกอัน ว่านี่คือวิธีการกดความรู้สึกของคน 5 (ขำตัวเอง 5555555) ผู้เขียนค้นพบความรู้ใหม่อีกอัน จากซี่รี่ย์เรื่องนี้......โอ๊ะ โอว ผู้เขียนก็ไม่เคยรู้ตัวเลยว่าตัวเองก็ใช้วิธีนี้ในการกดความรู้สึกไว้เหมือนกัน นี่ก็คงเป็นอีกวิธีที่คน 5 ใช้แยกจิตออกจากความรู้สึก เพิ่งเก็ทเดี๋ยวนี้ ตรงนี้เลยค่ะ....ขอเอามาไว้ในส่วนสรุปแล้วกันค่ะ ตอนที่ 9 พระเอก ฉันไม่เคยเป็นที่โหล่ในการแข่งขันความนิยมใดๆ พระเอก แต่กลับเป็นที่โหล่โดยโกมีนัมเหรอ พระเอก ช่างเถอะ ไม่สำคัญหรอก ถ้าฉันอารมณ์เสีย ฉันก็แพ้สิ ตอนที่ 12 ฉากที่พระเอกหลังจากจูบนางเอกแล้วก็คิดว่า จะมีผลทำให้นางเอกสับสนไหม พระเอก ถ้าฉันรู้สึกแย่ ฉันก็แพ้สิ ............ ช่างเถอะ มันก็ไม่มีผลกับฉันเหมือนกัน อันนี้เป็นข้อสงสัยของผู้เขียนเอง (ตอนที่ 1) พระเอก ฉันจะอธิบายกฎของที่นี่อย่างเร็ว ตั้งใจฟังให้ดี (ตอนที่ 13) พระเอก ฉันจะพูดครั้งเดียว ตั้งใจฟังให้ดี ........... มันเป็นเรื่องตลกสำหรับฉัน ถ้าต้องพูดอีกครั้ง คน 5 เป็นอะไรเนี่ย....ชอบพูดอะไรสั้นๆ ได้ใจความแบบเร็วๆ เพียงครั้งเดียว ทั้งๆ ที่รู้จริงในเรื่องนั้นๆ แต่ก็จะพูดเพียงครั้งเดียว ผู้เขียนเองก็สงสัยตัวเองเช่นกันค่ะ.....จะว่าเป็นเพราะคน 5 ชอบสงวนพลังงาน มันก็ถูกส่วนหนึ่งค่ะ แต่ก็รู้สึกว่ายังมีข้อเท็จจริงอื่นอีก.....แต่ก็ไม่รู้ว่าทำไม.....งั้นตรงนี้คงต้องติดค้างไว้ก่อน ไม่ช้าไม่นานคงได้คำตอบคะ นับจากวันนี้อีก 5-10 ปี จะมีหนังหรือละครที่สื่อความหมายเชิงสัญลักษณ์ของคนลักษณ์ 5 แบบ You are beautiful อีกไหมคะ ? โดยเฉพาะพล็อตที่เกี่ยวกับลักษณ์ 5 ซึ่งไม่น่าจะหาได้ง่ายๆ ค่ะ เข้าใจเอาบทโรคตาบอดในที่มืดซึ่งมีลักษณะอาการ คล้ายโลกภายในของคน 5 มาทำพล็อตได้อย่างน่าสนใจ แถมพระเอกยังมีอาการแพ้อาหารบางประเภท และแพ้สิ่งแวดล้อมบางอย่างคือ เกสรดอกไม้ จะว่าไปไอ้อาการภูมิแพ้ของพระเอกนั้น น่าจะมีความหมายบางอย่างซ่อนอยู่ (คือพระเอกแพ้กุ้ง แพ้น้ำมันงา แพ้เกสรดอกไม้) ซึ่งผู้ประพันธ์บทละครอาจต้องการสื่อความหมายไปถึงปฏิกิริยาต่างๆ ของบุคลิกคน 4 หรือคน 5 ของพระเอก เมื่อต้องเจอกับสถานการณ์ที่เป็นความเครียดรึเปล่า ซึ่งก็มีความเป็นไปได้ทั้ง 2 ลักษณ์ คือบุคลิกคน 5 ต้องมีระยะห่าง เมื่อต้องไปอยู่ร่วมกับคนเยอะๆ รู้สึกไม่ไว้ใจให้ใครเข้ามาใกล้ในระยะปะชิด เพราะกลัวการถูกจู่โจมกะทันหัน แบบไม่เข้าใจจังหวะของเรา เปรียบเหมือนอาการแพ้อาหารบางประเภทของพระเอก เมื่อต้องไปร่วมรับประทานอาหารกับผู้อื่น ย่อมต้องระแวงและระวังตัวเหมือนคนเรื่องมาก รู้สึกไม่ไว้ใจให้ใครสั่งอาหารให้ เพราะมันเสี่ยงต่อการต้องรับประทานอาหารที่เราแพ้โดยที่คนสั่งไม่รู้ถึงสิ่งที่เราแพ้ คือถ้าไม่ใช่คนที่สนิทกันหรือใส่ใจกันพอสมควร ย่อมยากที่จะรู้ในสิ่งที่พระเอกเป็นภูมิแพ้ค่ะ ดังนั้นถ้าอาการภูมิแพ้ของพระเอกจะหมายถึงไทป์ 5 ก็เป็นไปได้ค่ะ หรือถ้าหมายถึงคน 4 ที่มีปมภายในใจ ในเรื่องการขาดพร่องภายใน......ก็เป็นไปได้เหมือนกันค่ะ ไทป์ 4 มีปัญหา ego ถูกครอบงำด้วย id มีปัญหาเรื่องการเคารพนับถือตัวเอง คือมองไม่เห็นคุณค่าตัวเอง จึงชอบตำหนิตัวเองและลงโทษตัวเอง (คุณลองหาคุณค่าในตัวเองให้พบเมื่อนั้นคุณจะหลุดจากคำสาป) เมื่อมีอะไรมาสื่อหรือโยงกระทบปมของตัวเองแม้เพียงเล็กน้อย บวกกับความอ่อนไหวทางอารมณ์แบบสุดโต่งของคน 4 ก็จะยิ่งมีปฏิกิริยาตอบสนองทันทีเหมือนคนที่เป็นภูมิแพ้ค่ะ ก็ถือว่ามีความเป็นไปได้ทั้งลักษณ์ 4 และ 5 เนื่องด้วยข้อมูลน้อยไปนิดดดด ถ้าเปรียบเหมือนแสงสว่างก็สว่างน้อยไปหน่อย ภาพไม่ชัด ผู้เขียนก็เลยไม่อาจระบุความเกี่ยวข้องในความหมายเชิงซ่อนเร้นแบบชัดๆ ว่าเป็นลักษณ์ 4 หรือลักษณ์ 5 แต่ผู้เขียนมั่นใจว่าต้องมีส่วนเกี่ยวข้องแน่นอน เพราะขึ้นชื่อว่าเป็นนักเขียนเมื่อสร้างบทอะไรย่อมต้องมีความหมายแน่นอน ทุกตัวละครก็ย่อมต้องมีที่มาที่ไป ทุกๆ ส่วนในบทละครย่อมต้องเชื่อมต่อถึงกัน ไม่งั้นมันคงสมบูรณ์แบบได้ยากค่ะ เอาเป็นว่าอ่านกันเล่นๆ แล้วกันนะคะ คือผู้เขียนก็ไม่ทราบว่าเป็นความรู้จริงและเป็นความตั้งใจของผู้แต่งบทประพันธ์หรือเปล่า ที่พระเอกแทคยองเหมือนมีความพิการเป็นโรคตาบอดในที่มืดของคน 5 และมีอาการป่วยโรคภูมิแพ้อาหารบางประเภท และแพ้สิ่งแวดล้อมบางอย่าง เหมือนปฏิกิริยาของคน 4 หรือคน 5 เมื่ออยู่ในภาวะเครียด หรือเป็นความบังเอิญของของผู้เขียนเอง ที่อาการเข้าใจความหมายเชิงสัญลักษณ์ของคน 5 ในตัวผู้เขียนทำงานพอดี และนี่ก็เป็นครั้งแรกจริงๆ ที่ผู้เขียนได้เข้าใจคำๆ นี้ ทั้งที่ก็ได้อ่านเจอคำนี้ในหนังสือหลายครั้งแล้วค่ะ อ๋อ....นี่กระมัง คืออาการตาบอดในที่มืดของผู้เขียน ที่ต้องใช้ความหมายเชิงสัญลักษณ์สะท้อนความจริงอีกที แบบที่พระเอกแทคยองมองเห็นแต่ดวงจันทร์ในตอนกลางคืน โดยมองไม่เห็นดวงดาว เพราะพระเอกบอกว่า ดวงจันทร์แม้ไม่มีแสงสว่างในตัวเอง แต่ก็ใช้แสงสะท้อนจากดวงอาทิตย์ที่เป็นดาวฤกษ์อีกที ในการให้แสงสว่างในยามค่ำคืนของดวงจันทร์ ถือว่าผู้ประพันธ์บทละครเรื่องนี้เข้าใจเอาปมบุคลิกของคนมาเล่น ได้อย่างน่าสนใจจริงๆ ค่ะ จนเหมือนมันเป็นบุคลิกของผู้ประพันธ์ซะเองจริงๆ 5555555 หรือถ้าไม่ได้เป็นบุคลิกภาพของผู้ประพันธ์เอง ก็ถือว่าทำการบ้านมาอย่างดีมากกกกกกกกกทีเดียวค่ะ สำหรับคนทั่วไปอาจเป็นซี่รี่ย์ที่สนุกน่ารัก โรแมนติกและน่าประทับใจ แต่กับผู้เขียนนี้ ซี่รี่ย์นี้มีความหมายมากกว่านั้นค่ะ มันช่างเป็นเวลาที่พอดิบพอดีกับการค้นพบตัวเองที่สำคัญ ผู้เขียนเองก็ไม่เคยรู้ว่าตัวเองก็มีลักษณ์ 5 ในตัวเองด้วย รู้สึกแต่ว่า 10 ปีมานี้ ตัวเองไม่ชอบดูหนังฟังเพลงเหมือนสมัยก่อนเลยค่ะ ไม่ซื้อตั๋วเข้าโรงหนังเป็น 10 ปีแล้วค่ะ เพลงก็ไม่เคยซื้อฟัง.....วิทยุยังไม่เปิดฟังเพลงเลยค่ะ คือมันทั้งรู้สึกว่ามันไม่ใช่สิ่งจำเป็นของชีวิตที่ต้องไปเสียเวลากับมัน และทั้งประหยัดไม่สิ้นเปลืองด้วยค่ะ....บนโลกใบนี้มีคนแบบนี้จริงๆ ค่ะ และคนอะไรเนี่ย.....จะหลุดโลกได้ขนาดนี้ คือมันไม่ชอบจริงๆ ค่ะ สู้เอาเวลาไปหาความรู้เพิ่ม่เติมในสิ่งที่ตัวเองสนใจดีกว่า ทั้งหายข้องใจและหายสงสัยในสิ่งที่เราอยากรู้ แถมยังได้ประโยชน์ด้วยค่ะ แต่จู่ๆ ก็ลองดูซี่รี่ย์เรื่องนี้ เพราะน้องขอร้องแล้วขอร้องอีกให้ดูเรื่องนี้ สุดท้ายกลับกลายเป็นจิตมันพลิกแบบหน้ามือเป็นหลังมือเลยค่ะ จากที่ไม่ฟังเพลงมานานแสนนาน เหมือนมันไม่มีอารมณ์สุนทรีย์เลยค่ะ ก็กลายเป็นชอบเพลงในเรื่องนี้มากกกกกกกกกก........ทุกเพลง ขนาดว่าต้องดูรอบ 2 เพื่อจดเนื้อเพลงทุกเพลงมาร้องตามค่ะ แล้วก็ต้องดูรอบ 3 เพื่อหาความหมายเชิงสัญลักษณ์แบบคนลักษณ์ 5 จนแน่ใจว่าพระเอกเรื่องนี้มีความเป็นลักษณ์ 5 แน่นอน จึงมองเห็นความเป็นลักษณ์ 4 ในตัวพระเอกอีกลักษณ์ค่ะ ถ้าลักษณ์ 5 ไม่ชัดผู้เขียนคงไม่กล้าระบุลักษณ์ 4 แบบลักษณ์เดียวแน่ค่ะ เรียกว่าซี่รี่ย์ You are beautiful นี่เป็นจุดพลิกผันของผู้เขียนเลยค่ะ ที่ได้ค้นพบว่าตัวเองมีลักษณ์ 5 ด้วยนอกจากลักษณ์ 4 แล้ว ตอนนี้ลักษณ์ 4 ในตัวก็เริ่มกลับมามีอารมณ์สุนทรียะแล้วค่ะ (เฉพาะปีนี้ก็ดูซี่รี่ย์เกาหลีไปเกือบ 20 เรื่องค่ะ) แล้วลักษณ์ 5 ในตัวก็เริ่มรู้สึกว่าเรามีข้อมูลมากเพียงพอแล้ว ไม่ต้องงกเวลา หวงเวลา ว่าจะไม่ได้หาค้นคว้าหาความรู้เพิ่มเติม และไทป์ 5 แม้ว่าผู้เขียนมีอยู่เองเป็น 10 ปีแล้วก็ยังไม่เคยรู้ตัวเลยค่ะ. เพิ่งมารู้ตัวก็เมื่อ 3-4 เดือนที่แล้วหลังจากดูซี่รี่ย์แล้ว จึงมีการหาข้อมูลเพิ่มเติมไปด้วย แต่ถึงแม้เมื่อรู้ตัวตอนนี้แล้ว ได้อ่านหนังสือเกี่ยวกับคน 5 แล้ว ก็ไม่มีหนังสือเล่มไหนบอกข้อมูลตรงนี้เลย ว่าโลกภายในของคน 5 เหมือนคนตาบอดในที่มืดแบบซี่รี่ย์เรื่องนี้เลยค่ะ โลกของคน 5 ในใจมีแต่ความจริง มีแต่ข้อเท็จจริง (อันนี้ผู้เขียนรู้ดีค่ะ) อะไรที่เป็นความจริงหรือข้อเท็จจริง คน 5 รับรู้ได้เร็ว ได้ลึกกว่าคนทั่วไปค่ะ เพราะคน 5 เก็บรายละเอียดข้อเท็จจริงได้ดีกว่าคนปกติ มองเห็นบางอย่างที่คนทั่วไปมองไม่เห็น ความจริงหรือข้อเท็จจริงเปรียบเหมือนแสงสว่างจากพระอาทิตย์ในตอนกลางวัน มันกลายเป็นปรากฏการณ์ธรรมชาติของคน 5 อย่างน่าทึ่ง....จริงๆ ค่ะ นี่ถ้าได้ดูรอบ 4-5 รับรองว่าทักษะในการวิเคราะห์จะดีกว่านี้อีกค่ะ เพราะทักษะอย่างหนึ่งของลักษณ์ 5 คือ การง่วนอยู่กับสิ่งที่คุ้นเคยคน 5 จะมองเห็นสิ่งที่คนอื่นมองไม่เห็นค่ะ ผู้เขียนทำบล็อกไปก็ตกผลึกความรู้ใหม่ๆ ไปด้วย..... ก็เป็นเรื่องที่ดีสำหรับผู้เขียนเองและผู้มาศึกษาเพิ่มเติมค่ะ สรุปสุดท้ายจากผู้เขียน.............สำหรับซี่รี่ย์เรื่องนี้ พล็อตนี้.....เจิด..ค่ะ..เจิด เข้าใจเอาปมบุคลิกภาพของคน 4 และคน 5 มาเล่น แบบมีความลึกซึ้งและมีความหมายซ่อนเร้น เลิศ...ค่ะ...เลิศ ไม่ธรรมดาจริงๆ ช่างสมเป็นศิลปินที่ทำงานอาร์ทค่ะ.....ผู้แต่งบทประพันธ์เรื่องนี้ ขอบคุณผู้แต่งซี่รี่ย์เรื่องนี้จริงๆ ค่ะ อยากขอบคุณเป็นภาษาเกาหลีซะจริงๆ (ใครช่วยแปลแล้วส่งไปให้ทางนู้นทีค่ะ 55555) อยากขอบคุณด้วยความซาบซึ้งใจอย่างที่สุด อยากขอบคุณจากจิตวิญญาณผู้เขียนเองที่สุด ขอบคุณ ขอบคุณ ขอบคุณค่ะ.......... จบบริบูรณ์
|
ลามูเต้
![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ไทป์ 5....การง่วนอยู่กับรูปแบบที่คุ้นเคยจนสามารถมองเห็นสิ่งที่คนอื่นไม่เคยเห็นมาก่อนได้ Group Blog All Blog
Link |
|||
Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved. |