-:๏:- iKiD's blog : Individual Knowledge, Interest and Delight -:๏:-
|
|||
ใช้เครื่องมือทางเทคนิค ช่วยในการตัดสินใจซื้อขาย (eFinance)
(แก้ไขและเพิ่มเติมเล็กน้อย 1/8/13 มีบางส่วนของโปรแกรม eFinancial Smart Portal ที่เปลี่ยนแปลงไป เช่นการตั้งค่า MACD Hist แต่ไม่ได้แก้ไขวิธีการปรับแต่งให้ดูนะครับ) ![]() การใช้งานเครื่องมือทางเทคนิคด้วยโปรแกรม eFinance เครื่องมือทางเทคนิคเป็นตัวช่วยตัดสินใจในการซื้อขายในระยะเวลาหนึ่งๆ ซึ่งแต่ละเครื่องมือก็มีความเหมาะสมต่อหุ้นหรือต่อสภาพตลาดที่แตกต่างกัน การใช้เครื่องมือทางเทคนิคควรพิจารณาสมบัติและที่มา(สูตร)ของเครื่องมือนั้นๆเพื่อลดความผิดพลาดและความคลาดเคลื่อนในการตัดสินใจ
**การวิเคราะห์ทางเทคนิคคือการใช้ข้อมูลในอดีตประมวลผลในลักษณะสถิติเพื่อใช้คาดการณ์อนาคตคร่าวๆผลลัพธ์ของแต่ละเครื่องมื่อมีความแม่นยำต่างกันในแต่ละสถานการณ์การใช้เครื่องมือหลายตัวในการคาดการณ์ผลลัพธ์ของความแม่นยำจะอยู่ในรูปแบบ if then else ไม่ใช่ 1+2+3 (หมายถึงว่าถ้าเครื่องมือ A มีความแม่นยำ 50% B แม่นยำ 30% C แม่นยำ 40% ความแม่นยำรวมไม่ใช่ 50+30+40 = 120% แต่มองในลักษณะ if A then B else C เป็นต้น -- เพิ่มเติ่ม 1/8/13)**
สำหรับเครื่องมือที่จะพูดถึงเป็นตัวหลักคือ Fast Stochastic Oscillator เป็นเครื่องมือในการสร้างสัญญาณซื้อขายด้วยการใช้ %K = ส่วนต่างของ ราคาปิดล่าสุด กับ ราคาต่ำสุดของช่วงเวลาที่กำหนด หารด้วยส่วนต่างของราคาสูงสุดและราคาต่ำสุดของช่วงเวลาที่กำหนด ตัดกับ D% เมื่อการสร้างสัญญาณซื้อขาย %D = ค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ แบบ Simple (SMA) บางตำราก็ว่า ให้ใช้ค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่แบบ Exponential (EMA) (อัพเดทเพิ่มเติม 1/8/13) --------------------
เริ่มต้นเปิดโปรแกรม eFinance ผ่านหน้าเว็บไซท์ของโบรกเกอร์
วิธีเพิ่มเครื่องมือทางเทคนิคลงในกราฟ กด [F7] เพื่อเปิดหน้าต่างกราฟ คลิกรูปตัวT มุมขวาบนของกราฟ จะได้แถบเครื่องมือ คลิกรูปกราฟที่แถบเครื่องมือด้านขวาลำดับที่ 2 จากบน
จะได้หน้าต่าง Indicator เลือกจากช่องทางซ้ายมือ Oscillator Indicator >> Fast Stochastic Oscillator (เพื่อเป็นแนวทางเท่านั้น) กำหนดค่า 9 2 3 ตามลำดับ ติ๊ก Simulate คลิก Add
เพิ่มเครื่องมืออื่นที่ต้องใช้ในการคัดกรองสัญญาณ (เพื่อเป็นแนวทางเท่านั้น) เลือกจากช่องทางซ้ายมือ Oscillator Indicator >> MACD Hist คลิก Add เลือกจากช่องทางซ้ายมือ Moving Average Indicator >> Exponential Moving Average ใส่ค่า 14 0ตามลำดับ เลือกสีแดง คลิก Add เลือกจากช่องทางซ้ายมือ Moving Average Indicator >> Exponential Moving Average ใส่ค่า 5 0 ตามลำดับ เลือกสีฟ้า คลิก Add ปิดหน้าต่าง Indicator
คลิกซ้ายที่ .Hist ที่แถบด้านล่าง เลือก Add indicator(Source:.Hist) >> Moving Average Indicator>> Exponential Moving Average จะได้เส้นเพิ่มขึ้นมา 1 เส้น
คลิกรูปกราฟในแถบเมนูด้านขวามือเพื่อเปิดหน้าต่าง Indicator อีกครั้ง คลิกที่ช่องด้านขวาเลือก Exponential Moving Average(Hist,14,0) ใส่ค่า 1 0 ตามลำดับ แล้วปิดหน้าต่าง
คลิกซ้ายที่ .Hist อีกครั้ง Add indicator(Source:.Hist) >> Miscellaneous >> Value line คลิกซ้ายที่ .FSTO %K เลือก Add indicator(Source: .FSTO %K) >> Miscellaneous >> Overbought Level คลิกซ้ายที่ .FSTO %K เลือก Add indicator(Source: .FSTO %K) >> Miscellaneous >> Oversold Level คลิกรูปกราฟในแถบเมนูด้านขวามือเพื่อเปิดหน้าต่างIndicator อีกครั้ง คลิกที่ช่องด้านขวาเลือก Overbought Level ใส่ค่า 80 คลิกที่ช่องด้านขวาเลือก Oversold Level ใส่ค่า 20
จะได้หน้าตากราฟในลักษณะนี้
ตัวอย่างวิธีใช้ (เป็นแนวทางเท่านั้น เพื่อแสดงความสัมพันธ์แบบ if then else) 1.การใช้งานเบื้องต้น ดูสัญญาณ Fast Stochastic เป็นหลัก B สีฟ้าหมายถึงซื้อ S สีชมพูหมายถึงขาย โดยใช้ราคาปิดของวันนั้นๆ 2.โดยมีเงื่อนไขเพิ่มเติม 2.1ถ้า Fast Stochastic อยู่ในระดับ Overbought (เส้นสีแดงฟ้าที่ช่องด้านล่างอยู่เหนือ 80 (เส้นประสีส้ม)) หรือ Oversold (เส้นสีแดงฟ้าอยู่ใต้ 20(เส้นประสีชมพู)) มากกว่า 1 แท่นเทียน ให้ใช้ MACD ในการกรอง (คือถ้า MACD ยังยกตัวขึ้นเรื่อยๆหมายถึงราคายังมีโอกาสปรับตัวขึ้น) 2.2ถ้าเส้น EMA 5 (เส้นสีฟ้าที่อยู่ตรงแท่งเทียน) อยู่ใต้ EMA 14 (เส้นทีแดงที่อยู่ตรงแท่งเทียน) คือ แนวโน้มขาลงใช้เล่นเด้งสั้นๆให้ขายทุกสัญญาณขาย และซื้อเฉพาะเมื่อเส้น Fast Stochastic อยู่ใต้20 (Oversold) เท่านั้น (ซื้อแล้วยังมีโอกาสลงต่อ) 2.3ถ้าเส้น EMA 5 อยู่เหนือ EMA 14 คือ แนวโน้มขาขึ้นซื้อตามแนวโน้มให้ขายเมื่อมีสัญญาณขายและเส้น Fast Stochastic อยู่เหนือ 80และซื้อตามทุกสัญญาณซื้อ 2.4ถ้าเมื่อเราซื้อตามสัญญาณซื้อแล้ว วันถัดมาราคาลง ให้ดูเครื่องมือ Fast Stochastic ถ้า เส้น %K (เส้นสีฟ้า) ลดลงต่ำกว่า เส้น %D (สีแดง)ให้ขายตัดขากทุนไปก่อน หรือ เลือกที่จะถือ ทั้งนี้ให้ดูประกอบกับ MACD (แถบเครื่องมือที่มีแท่งสีขาวและเส้นสีฟ้า) ถ้า MACD ยังยกตัวขึ้นอาจตัดสินใจถือ ถ้า MACD ปรับตัวลงตามควรขาย
ทั้งนี้การใช้งานเครื่องมือทางเทคนิคต้องการเวลาในการสังเกตพฤติกรรมและกำหนดเงื่อนไขด้วยตัวเอง
ข้อควรระวัง 1. เครื่องมือทางเทคนิคทุกประเภทไม่ได้ให้ผลแม่นยำ 100% 2. เครื่องมือแต่ละประเภทอาจให้ความแม่นยำต่างกัน เช่น สมมติว่า Fast Stochastic แม่นยำ 35% MACD แม่นยำ 35% EMA แม่นยำ 30% ไม่ได้หมายความว่าถ้าใช้ทุกเครื่องมือแล้วจะมีความแม่นยำ 100% (35+35+30) 3.เครื่องมือทางเทคนิคแต่ละชนิดมีความเหมาะสมต่อหุ้นแต่ละตัวแตกต่างกันไปวิธีทดสอบว่าเหมาะสมกับหุ้นที่สนใจหรือไม่ ให้ทดสอบโดยการ Simulate Analysis ย้อยหลังดู ในช่อง P/L(%) ควรจะมากกว่า30-50% ขึ้นไป
** การ Simulate เป็นการซื้อขายทุกสัญญาณ และยังไม่รวมค่าคอมมิชชั่น วิธีคำนวนค่าคอมมิชชั่น คือ (เอาเลข Win Trades บวกLoss Trades คูณด้วยค่าคอมมิชชั้นเป็น %) + VAT แล้วคูณด้วย 2) เช่น ตัวอย่างด้านล่างคือหุ้นของ บมจ.ไทยออยล์คำนวณการซื้อขายทั้งหมดตั้งแต่วันที่ 19/11/2010 ถึง 10/2/2012 ถ้าเทรดผ่านอินเตอร์เน็ต((19+17*0.1578)+7%)*2 = 12.16% ผลตอบแทนก็จะเป็น P/L ลบด้วยค่าคอมมิชชั่นจะเหลือประมาณ 28.18%)
ดังนั้น จึงควรลดความถี่ในการ ซื้อขาย/ตัดสินใจให้น้อยที่สุด เพื่อเลี่ยงลดความผิดพลาดในการตัดสินใจและความเสียหาย **
วิธีการ Simulate Analysis คือ คลิกซ้ายที่ FSTO %K เลือก Simulate Analysis จะได้หน้าต่าง
ทั้งนี้เครื่องมือทางเทคนิคใช้เป็นตัวช่วยในการตัดสินใจ ซื้อ-ขาย เท่านั้น(โดยการวิเคราะห์ทางสถิติด้วยตัวเลขราคาที่ผ่านมาแล้ว) โดยไม่ได้มีจุดประสงค์เพื่อซื้อที่ราคาต่ำสุดหรือขายที่ราคาสูงสุดจุดประสงค์ในการใช้เพื่อช่วยตัดสินใจคือ ซื้อเมื่อมันกำลังจะขึ้นและขายเมื่อมันกำลังจะลงและเครื่องมือทางเทคนิคไม่ใช่เครื่องมือในการเลือกบริษัทสำหรับลงทุน ขอให้ประสบความสำเร็จในการ ลงทุน ปีที่ผ่านมาใช้เว็บอะไรเป็นแหล่งข้อมูล?
รวมเว็บข้อมูลหุ้นที่ใช้บ่อยๆ ในปี 2011
---Global--- อัตราแลกเปลี่ยน ดัชนีต่างประเทศ(เอเชีย ยุโรป อเมริกา) (Realtime หรือใกล้เคียง) //www.gloryskygroup.com/index.aspx?lang=en ดัชนีต่างประเทศ (ดีเลย์ประมณ 15 นาที เวลา +12 ชั่วโมง) เอเชีย //finance.yahoo.com/intlindices?e=asia ยุโรป //finance.yahoo.com/intlindices?e=europe อเมริกา //finance.yahoo.com/intlindices?e=americas อัตราแลกเปลี่ยน สินค้าโภคภัณฑ์ (Realtime หรือใกล้เคียง เวลา +12 ชั่วโมง) //www.forexpros.com/ อัตราแลกเปลี่ยน Realtime (ใช้ Demo Account) //www.alpari.co.uk/ น้ำมันดิบ ก๊าซธรรมชาติ ไฟฟ้า(ดีเลย์ประมณ 15 นาที เวลา +12 ชั่วโมง) //www.bloomberg.com/energy/ กราฟ //www.livecharts.co.uk/ ตารางการประกาศตัวเลขทางเศรษฐกิจ และวันหยุดตลาดต่างๆ (เวลา +12 ชั่วโมง) //www.forexpros.com/economic-calendar/ //www.forexfactory.com/calendar.php ---ไทย--- ข้อมูลดัชนี กองทุน ค้นหาหุ้นรายตัว และกราฟ //siamchart.com/ ข้อมูลหุ้นรายตัวอย่างเป็นทางการ //www.set.or.th/ //www.settrade.com/ กราฟ //efinancethai.com/ ความเห็นต่อหุ้นรายตัว (ต้องใช้วิจารณญาณมากหน่อย) //board.thaivi.org/ ![]() ![]() ![]() Divergence ไดเวอรเจนส์ ไดเวอร์เจ๊ง?
Divergence ไดเวอร์เจ๊ง?
หลังจากที่ไม่ได้เขียนข้อสังเกตมาเดือนนึงเต็มๆ (เพราะไม่รู้จะเขียนเรื่องอะไรดี) ผ่านมาเดือนนึงเรื่องที่เห็นชัดเจนมากที่สุดและอยากตั้งข้อสังเกตุที่สุดคือ Divergence คำว่า Divergence ตามพจนานุกรมแปลว่า ความแตกต่าง แล้วมันเกี่ยวอะไรกับหุ้น? ในทางเทคนิค(การส่องกราฟ)แล้ว Divergence คืออาการที่ เครื่องมือทางเทคนิค (หรือตัวชี้วัด หรือ Indicator) ชี้ ไปในทิศทางหรือแนวโน้มต่างกัน เช่น ราคาหุ้นทำจุดสูงสุดใหม่ขึ้นไปเรื่อยๆ แต่เครื่องมื้อกลับไม่ทำจุดสูงสุดตาม (หรือในทางกลับกัน) ![]() ผลของ Divergence คือ ราคา หรือเครื่องมือ ตัวใดนึงซึ่งมีนำหนักน้อยกว่าจะวิ่งหาแนวโน้มของตัวที่มีน้ำหนักมากกว่าด้วย ความเร่ง รูปกราฟตัวอย่างการเกิด Divergence ของราคาและเครื่องมือ (MACD) รูปนี้ค่อนข้างเห็นชัดเจน ราคาวิ่งเข้าหาแนวโน้ม MACD ด้วยความเร่งหลังจากเกิด Divergence ไประยะนึง ![]() ทีนี้ข้อสังเกตุกำลังจะพูดถึงไมได้มาจากเครื่องมือทางเทคนิคซะทีเดียว (ไหนๆ ก็พูดถึงเรื่องของพฤติกรรมเป็นส่วนใหญ่อยู่แล้ว เลยจะพูดถึง ข่าวและความกลัวแทน) ![]() เลยมาลองตั้งข้อสังเกตว่า ถ้าเราเอาแนวคิดการเกิด Divergence มาใช้กับปัจจัยอื่นที่ไม่ใช่เทคนิคได้หรือไม่? เช่น ข่าวบวก ข่าวลบ ความโลภ ความกลัว? สำหรับตลาดบ้านเราคงเป็นเรื่องของยุโรปและน้ำท่วมค่อนข้างเห็นชัดเจน ข่าวยุโรป ข่าวร้ายข่าวดีมารายวัน แต่ที่แปลกก็คือข่าวร้ายมันก็ไม่ได้ทำท่าจะดีขึ้น (คือมันหนักเท่าเดิม หรือมากกว่าเดิมด้วยซ้ำ) แต่ราคากับเริ่มไม่ลงหนักเท่าเดิมแล้ว (ข่าวลบมีผลต่อราคาลดลง) เรื่องน้ำท่วมก็เช่นกัน (ตลอดเดือนตุลาคมสถานการณ์แย่ลงเรื่อยๆ แต่ราคาปรับขึ้นเรื่อยๆ ![]() ถ้ามองในมุมนี้ระหว่างราคาตลาดและเครื่องมือ(ข่าว) เริ่มไปในทิศทางที่ต่างกัน (Divergence) จะมีการเคลื่อนที่ของแนวโน้มที่มีน้ำหนักน้อย วิ่งเข้าหาแนวโน้มที่น้ำหนักมากด้วยความเร่ง ในที่นี้คงต้องบอกว่า ราคาของดัชนีเป็นแนวโน้มที่มีน้ำหนักมากกว่าข่าว (สุดท้ายพอน้ำเริ่มลดข่าวดีๆก็เริ่มกลับมาสะท้อนราคาที่ปรับตัวขึ้น .. แต่ยุโรปยังไม่จบอาจจะต้องรอดูกันต่อไป) ดัชนีอื่นๆ เช่น ดาวโจนส์ ![]() ฮั่งเส็ง ![]() **เส้นแดงแทนด้วยแนวโน้มราคา เส้นฟ้าแทนด้วยแนวโน้มข่าว ดูๆไปแนวคิดนี้ก็น่าสนใจเหมือนกันสำหรับ Divergence น่าจะใช้ปรับประยุกต์ใช้กับอะไรหลายๆอย่างได้ เช่น ความกลัวของรายย่อยในตลาดกับราคา เป็นต้น ส่วนจะใช้ได้ดี มีความแม่นยำแค่ไหนยังไง อาจจะต้องไปลองพัฒนาเป็นแนวทางของตัวเองดู Merry Christmas ฝรั่ง & กองทุน ติดดอย กิ้วๆ!!!
ผมรู้สึกสงสัยทุกครั้งที่ได้ยินคนบอกว่า เฮ่ย ฝรั่งซื้อเยอะ ฝรั่งติดดอย ฝรั่งจะลงดอยยังไง กองทุนติดดอย กองทุนจะลงดอยยังไง? ![]() ซึ่งโดยปกติแล้วรายย่อยในประเทศจะมองว่า ต่างชาติคือรายใหญ่รายนึง งั้นมาลองตั้งขอสังเกตุบนสมมุติฐานนี้ดีกว่า เมื่อหลายปีก่อนตอนประมาณ ม.4 ผมได้รู้จักตลาดหลักทรัพย์เป็นครั้งแรก ![]() ตอนนั้นปี 2003 ดัชนีประมาณ 500-600 จุด จุดเริ่มต้นชีวิตความเป็นเม่าน้อยด้วยกองทุนรวมดัชนี ตอนนั้นผมก็ไม่ได้รู้อะไรเกี่ยวกับตลาดมากมายนักหรอก รู้แต่ว่าเดี๋ยวมันก็ขึ้น เดี๋ยวมันก็ลง แต่ผลตอบแทนย้อนหลังมันช่างน่าจูงใจสุดๆ ... ผมเคยคิดว่าถ้ามีเงินมากพอ ผมซื้อเป็นระยะๆ ขายเป็นระยะๆ ก็กำไรได้ตลอดทางสิ! ![]() ..แต่มันเป็นไปได้รึเปล่า? ตอนนี้เริ่มมองอะไรได้กว้างขึ้น ผมมาลองนั่งๆคิดๆดู ... ถ้าผมซื้อในจำนวนเงินเท่าเดิม ทุกระยะดัชนีที่ห่างกัน 30 จุด (วิธีนี้เรียกว่า DCA-Dollar-Cost Averaging) และขายทุกๆดัชนีที่ขึ้นไป 90 จุด แต่ขายด้วย “จำนวนหน่วย” ที่ซื้อมา แบบ FIFO (First in, first out ซื้อก่อนขายก่อน แต่ในความเป็นจริงอาจจะเลือกขายทุนที่ต่ำที่สุดก่อน เพราะดัชนีมันจะขึ้นๆลงๆ) สมมุติผมเริ่มเข้าตลาดตอน 500 จุด ด้วยเงิน 1 แสนบาท และซื้อ 1 แสนทุกระยะดัชนี 30 จุด จนดัชนีขึ้นถึง 1130 จุด ผมต้องใช้เงินทั้งหมด 2.2ล้านบาท รูปข้างล่างนี้คือการจำลองสถานการณ์ หากผมซื้อขายตามเงื่อนไขที่ว่าข้างบน โดยให้หน่วยลงทุนของกองทุนรวมดัชนี เท่ากับ ดัชนี หาร 100 (และสมมุติให้ดัชนีขึ้นตลอดทาง จะได้ดูง่ายๆหน่อย จริงๆถ้าดัชนีขึ้นๆลงๆก็ให้ผลในทิศทางเดียวกัน) ![]() จากรูปจะเห็นว่าผมซื้อตลอดตั้งแต่ดัชนี 500 ถึง 1130 ใช้เงินทั้งหมด 2.2 ล้านบาท ด้วยการซื้อ 22 ไม้ ไม้ละ 1 แสนบาท ผมขายเมื่อดัชนีขึ้น ทุกๆ 50 จุด ด้วย “จำนวนหน่วย” เท่ากับที่ซื้อมาเรียงตามลำดับ เมื่อดัชนี 1150 (สมมุติว่าเป็น High ของรอบที่ผ่านมา) ผมขายดึงเงินออกมาแล้ว(ตลอดทาง) 1.6 ล้านบาท ทุนที่เหลืออยู่ในหน่วยลงทุนคือ ราวๆ 6 แสนบาท (2.2 ล้าน – 1.6 ล้าน) และจำนวนหน่วยราว 8.9 หมื่นหน่วย ซึ่งมีมูลค่า ประมาณ 1 ล้านบาท (8.9 หมื่น คูณด้วย 11.5) นั่นหมายความว่า ณ ดัชนี 1150 ผมกำไรในหน่วยลงทุนอยู่ 4 แสนบาท (มูลค่าหน่วย 1 ล้าน ลบด้วย ทุน 6 แสน) ![]() เมื่อนำทุนที่เหลืออยู่ หารด้วย จำนวนหน่วยแล้ว ต้นทุนต่อหน่วยของผมคือ 6.59 บาท เทียบดัชนีสมมุติของผมก็คือ 659 จุด หมายความว่า ตั้งแต่ดัชนี High ที่ 1150 จนลงมาถึง 860 (Low ปีนี้ที่ผ่านมา) ผมจะไม่ขาดทุนเลย และไมได้ติดดอยด้วย (ติดดอยคือ ทุนสูง ขณะที่มูลค่าหน่วย หรือมูลค่าหุ้นลดลง ผมชอบเรียกว่า ขาดทุนทางบัญชี) ….. จากตัวอย่างสมมุติข้างบนนี้ ซึ่งมันไม่ซับซ้อนเลย ผมเลยสงสัยว่า ถ้าต่างชาติ(บนสมมุติฐานว่าเป็นกองทุนที่มีเงิน มีกลยุทธ์การซื้อขายที่ซับซ้อน) เค้าซื้อมาตั้งนานแล้วในลักษณะเดียวกัน แม้เค้าซื้อเพิ่มแล้วดัชนีลดลง(แต่เค้าก็จะขายเมื่อดัชนีเด้งขึ้น) . . แล้วตกลงว่าฝรั่งกับกองทุน เค้าจะ “ติดดอย” หรือไม่? … เค้าจะ ”ลงดอย” ได้รึเปล่า? ... หรือทั้งหมดนั้นมันไม่เคยเกิดขึ้นเลย.. หรือทั้งหมดนั้นรายย่อยคิดไปเอง.... ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() วิกฤติหนี้ยุโรป?
คาราคาซัง ยืดเยื้อ น่าเบื่อ ไม่จบไม่สิ้น มานานมาก.. สำหรับวิกฤติหนี้ยุโรป ที่ปัจจุบันมีกรีซเป็นตัวเอกเดนตาย (ตัวเอกไม่ใช่พระเอก ฮ่าๆ) ![]() และเป็นปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่อตลาดหุ้น (ทั่วโลก) มาหลายรอบต่อจากเรื่องของเศรษฐกิจและการว่างงานในอเมริกา (ปั่นไปปั่นมาหลายรอบแล้วด้วย... กังวลหนี้กรีซ จะผิดนัดชำระ.. EU ยื่นมือเข้าช่วยเหลือ... กังวลอีกรอบกลัวหนี้ก้อนต่อไป ... EU มีมติให้ Haircut หนี้ 50% และเพิ่มอำนาจกองทุนฟื้นฟูฯ ... กรีซรอลงประชามติว่าจะรับความช่วยเหลือรอบสองโดยมีเงื่อนไขรัดเข็มขัดหรือไม่ ...) ![]() ไม่รู้จะเล่นกันกี่รอบกับประเด็นนี้ ตอนนี้เริ่มเอาอิตาลี สเปน มายำรวมอีกรอบหลังจากเงียบไปหลายเดือน เอาเป็นว่าไม่ว่ามันจะออกหัวหรือก้อย เราก็(ควร)จะต้องอยู่รอด ข้อสังเกตต่อสถานการณ์ที่น่าจะเป็นไปได้สองทาง (ในใจแอบเชียร์ทางที่สองเพราะมันสะใจกว่า..) 1 ถ้ากรีซรับความช่วยเหลือ -EU ก็เอาเงินมาถมให้ประชาชนชาวกรีซถลุงกันต่อไป และคาดว่าก็คงไม่ได้รับเงินก้อนนี้คืน -ในอนาคตก็คาดว่าจะเกิดปัญหาเกิดขึ้นอีก และน่าจะส่งผลต่อหมู(PIGS) ตัวที่เหลือด้วย 2 กรีซไม่ยอมรับความช่วยเหลือ เพราะไม่ผ่านประชามติเรื่องรัดเข็มขัด ผู้นำกรีซก็คงจะลอยตัว ความผิดทุกอย่างตกที่ประชาชนที่ “ไม่ยอมเค้า” เอง -พันธบัตรกรีซก็คงจะเน่า กองทุนฟื้นฟูยุโรปน่าจะนำมาใช้อุ้มสถาบันการเงินที่ถือพันธบัตรกรีซ -ไม่มีไม่หนีไม่จ่าย อาจจะถูกคว่ำบาตทางการค้า ถูกขับออกจากกลุ่ม EU และน่าจะถูกยึดทุกกิจการที่เป็นสาธารณูปโภคทั้งหมดที่เป็นของรัฐ โดยทางกฎหมาย หรือ ปืน -โดยกิจการเหล่านี้จะดูดเงินจากพลเมืองกรีซเองไปเรื่อยๆในระยะยาวเพื่อ ชำระหนี้ พลเมืองกรีซต้องทำงานเพื่อใช้หนี้ไปอีกหลายชั่วอายุคน (ได้ทั้งสินทรัพย์และผลตอบแทนระยะยาว ..คุ้ม) -หมูที่เหลือคงจะขนหัวลุกไปตามๆกันเพราะมีหมูถูกเชือดโชว์ไปแล้ว และน่าจะทำให้กำเนินนโยบายรัดเข็มขัดง่ายขึ้น (ใช้จ่ายน้อย เร่งผลิตสินค้า) แล้วน่าจะส่งผลต่อตลาดหุ้นยังไง? -รับเงินช่วยเหลือ เบื้องต้นตลาดน่าจะดี้ด้าดีใจ ว้าว ยุโรปรอดแล้ว(?) แต่หลังจากนั้นไม่นาน....? -ไม่รับเงินช่วยเหลือ เบื้องต้นตลาดน่าจะตอบสนองในทางแพนิก ขายๆๆ เจ๊งๆๆๆ แต่หลังจากนั้นเมื่อเนื้อรายถูกตัดไปแล้ว....? แค่แอบคิดว่าต่อให้จบเรื่องนี้ ก็ขุดเรื่องเก่าๆที่ยังไม่จบมาเล่นกันต่อ ถ้ามันยังไม่สาแก่ใจ ยังไม่สมประโยชน์กัน ฮ่าๆ แต่นี่มันก็เป็นเพียงข้อสังเกตและมุมนองนึง.. ส่วนจะเฉลยยังไงต้องรอดูกันต่อไป... แต่อย่าไปกังวลกับมันมาก โลกจะยังคงหมุนต่อไป เพราะมันก็แค่.. FINANCIAL GAME ![]() |
KiD_sr
![]() ![]() ![]() ![]() ![]() กลับมาเขียน Blog อีกครั้ง โดย Blog นี้จะเขียนพล่ามไปบนแนวคิดหลักๆ คือ iKiD (ไอ้คิด) "Individual, Knowledge, Interest and Delight." คำแปลแบบมั่วๆเป็นไทยก็คงประมาณว่า "ความรู้ ความสนใจ และความพอใจส่วนตัว" Enjoy. :) Group Blog All Blog
Friends Blog
|
||
Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved. |