-:๏:- iKiD's blog : Individual Knowledge, Interest and Delight -:๏:-
|
|||
ผลตอบแทนของ นักเก็งกำไร vs. นักลงทุน (สืบเนื่องจากตอนที่แล้ว "ความทุกข์ของคนเล่นหุ้น??") ในเวลาที่ตลาดทรุดตัวลงมากๆ แบบช่วงเวลานี้ (จาก 11xx สู่ 8xx จุด ระยะทางประมาณ 300 จุด) เป็นช่วงเวลาที่ได้มองเห็นอะไรหลายๆอย่างชัดเจนมากขึ้น ได้เห็นความกลัว ความวิตก ความคาดหวัง ความโลภ ความหน่าย ความตื่นเต้น การเดา การคาดการณ์ การพยากรณ์ ฯลฯ และที่ได้เห็นมากในช่วงนี้คือ ดอย คำที่ได้ยินมาตั้งแต่จำความเกี่ยวกับตลาดหุ้นได้ อาการของคนติดหุ้นที่ราคาสูง จะว่าไปแล้วมักจะเกิดกับนักเก็งกำไรที่มากกว่า เพราะต้องการกำไรจากส่วนต่างราคา (Capital gain) และเมื่อติดหุ้นในราคาสูงทำให้ไม่สามารถนำเงินส่วนนั้นมาเก็งกำไรได้ ทำให้รู้สึกขาดทุน(ค่าเสียโอกาส) ติดดอย (หรืออาจจะขาดทุนจริงแบบ Cut loss) ผลตอบแทนของนักเก็งกำไรจึงไปขึ้นกับราคาบนกระดาน (ราคาตลาด) หากราคาสูงกว่าทุน คือ กำไร กลับกัน ราคาต่ำกว่าทุน คือ ขาดทุน ทำให้นักเก็งกำไรมักจะวิตกกับราคาบนกระดาน และค่าธรรมเนียมการซื้อขาย เนื่องจากมันมีผลต่อ ผลตอบแทน อย่างมีนัยยะสำคัญ ด้วยความที่ผลตอบแทนที่นักเก็งกำไรต้องการนั้นอยู่บนพื้นฐานของ ราคา ทำให้นักเก็งกำไรต้องแบกรับความเครียดที่สูง ก็เลยลองคิดเล่นๆ ว่าถ้าในมุมของ นักลงทุน จะรู้สึกอย่างไรกับราคาบนกระดาน? เคยเห็นเวลาเค้าทำการเสนอซื้อหุ้น (Tender offer) ในราคาสูงกว่ากระดานมากๆ รึเปล่า? นักเก็งกำไรคงคิดว่าไอ้คนซื้อนี่มันบ้าชัดๆ ซื้อไปได้ยังไง “แพง” แบบนี้ แต่ในมุมของนักลงทุนการได้หุ้นมาตาม “จำนวน” ที่ต้องการโดยไม่เกี่ยงราคาให้ผลตอบแทนที่ต่างกัน ผลตอบแทนอาจอยู่ในรูปแบบที่พื้นฐานสุดๆ คือ เงินปันผล หรือผลตอบแทนในรูปแบบของ อำนาจการต่อรอง (ผลประโยชน์บางอย่างเมื่อต้องการเสียงในที่ประชุมผู้ถือหุ้น) หรือผลตอบแทนในรูปแบบของ อำนาจการบริหาร (หรือแต่งตั้งผู้บริหาร) ผลตอบแทนเหล่านี้อาจเป็นผลตอบแทนที่นักเก็งกำไร(อาจ)ไม่เคยสนใจมาก่อน (เว้นแต่ติดดอย) ในแง่ของความเครียดแล้ว ความเครียดของนักลงทุน น่าจะเกิดจากพื้นฐานกิจการ คู่แข่งทางธุรกิจ ธรรมาภิบาลของผู้บริหาร มากกว่าจะเกิดจากราคาบนกระดาน แม้ว่าราคาบนกระดานจะปรับตัวลงไปมากเท่าไหร่ ความเป็นเจ้าของในธุรกิจก็ยังคงเดิม (เว้นแต่ว่าราคาลงเนื่องจากการเพิ่มทุน โดยที่ผู้ถือหุ้นเดิมไม่ได้ซื้อหุ้นเพิ่มทุนในอัตราเดียวกับปริมาณหุ้นที่ตนถืออยู่เดิม (คิดเป็นเป็นร้อยละ)) บางที ถ้าเรามองในแง่ของ ผลตอบแทนที่คาดหวังจากการนำเงินไปซื้อหุ้น เราก็อาจจะพอบอกได้ว่า เราเป็น "นักเก็งกำไร" หรือ "นักลงทุน" เพื่อที่เราจะหาวิธีจัดการกับความเครียดในแบบของตัวเอง ตรงนี้แถม ลองคิดผลตอบแทนจากเงินปันผลเล่นๆ สมมติว่าหุ้นบริษัท ก. ราคาที่ซื้อมา 100 บาท (คือราคาต้นทุน ราคาตลาดช่างหัวมัน มันอาจจะ 80 หรือ 120 ก็ตาม) และสมมติว่าเป็นบริษัทที่ทำกำไรได้คงที่ไม่มีการขยายกิจการจึงจ่ายเงินปันผลสม่ำเสมอ ปีละ 5 บาท ... อัตราผลตอบแทนเงินปันผลในแต่ละปี = เงินปันผลปีที่ n ÷ (ทุน - เงินปันผลที่เคยได้รับ) ปีที่ 1 = 5/100 = 5% ปีที่ 2 = 5/(100-5) = 5.26% ปีที่ 3 = 5/(95-5) = 5.56% ปีที่ 4 = 5/(90-5) = 5.88% ปีที่ 5 = 5/(85-5) = 6.25% จะเห็นว่าแม้เราจะได้รับปันผลในจำนวนเงินเท่าเดิมแต่ %Yield จะเพิ่มขึ้นทุกๆปี (จริงๆ แล้วคือผลตอบแทน 25 บาท จากทุน 100 บาท หรือ 25% ใน 5 ปี) โดยไม่ต้องไปคิดราคาบนกระดานให้เครียด ผ่านไป 5 ปี ราคาบนกระดานอาจจะขึ้นไปถึง 300 หรือเหลือ 50 บาท ก็ไม่ใช่ปัญหาอะไร (พฤติกรรมกำหนดราคาหรือจากวัฏจักร) ตราบเท่าที่กิจการยังทำกำไรต่อเนื่องอยู่ |
KiD_sr
Rss Feed Smember ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?] กลับมาเขียน Blog อีกครั้ง โดย Blog นี้จะเขียนพล่ามไปบนแนวคิดหลักๆ คือ iKiD (ไอ้คิด) "Individual, Knowledge, Interest and Delight." คำแปลแบบมั่วๆเป็นไทยก็คงประมาณว่า "ความรู้ ความสนใจ และความพอใจส่วนตัว" Enjoy. :) Group Blog All Blog
Friends Blog
|
||
Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved. |
Vote ให้เลยครับ