กันตยา 10
 

กันตยารู้สึกร้อนราวกับถูกแผดเผาจากเปลวเพลิง  เนื้อหนังที่ห่อหุ้มร่างกายแทบจะปริแตกออกเป็นเสี่ยง ๆ ร้อนจนทนไม่ได้ เธอพยายามผุดลุกขึ้น แต่ก็ไม่มีเรี่ยวแรงรอ   เธอดิ้นรนเฮือกสุดท้าย พลันร่างของเธอก็ลอยขึ้น ตัวเธอเบาหวิวไร้น้ำหนัก   เธอลุกขึ้นเดินโดยที่เท้าไม่แตะพื้น

             ‘นั่น!..เรานอนอยู่ตรงนั้น’  

 ป้าวีร์กำลังเช็ดตัวให้ เธอรู้สึกสงสารป้าวีร์จับใจที่ทำให้ต้องลำบาก อดหลับอดนอน ดึก ๆ ดื่น ๆ  พลันเธอได้ยินเสียงอะไรบางอย่างตรงหน้าประตู เธอหันไปมองผ่านกระจก

             ‘มิดไนท์นั่นเอง’   มันจ้องมองเธอ หางของมันดุกดิกไปมา มันส่งยิ้มให้  

 กันตยาคิดว่าตัวเองกำลังฝัน และในขณะนี้เธอรู้สึกสบายตัวไม่ร้อนอีกแล้ว เธอนั่งลงข้าง ๆ ป้าวีร์ แต่ป้าวีร์ก็ไม่ได้หันมามองเธอ เหมือนไม่รับรู้ว่ามีเธออยู่ตรงนั้น เธอเฝ้ามองป้าวีร์เอาผ้าขนหนูสีฟ้าผืนเล็กชุบน้ำในชามบิดให้หมาดจากนั้นก็เช็ดตามตัวของเธอ  เธอนั่งดูเพลินจนถึงเวลาที่ป้าวรีย์เอนตัวลงนอน ส่วนเธอกลับไม่รู้สึกง่วง

             ‘ออกไปเล่นกับมิดไนท์ดีกว่า’

 แค่คิดตัวเธอก็ลอยขึ้น  เธอเดินผ่านทะลุประตูออกไป...  ทว่าจังหวะที่เธอก้าวย่างข้ามธรณีประตู เป็นจังหวะเดียวกันกับที่เสียงนาฬิกาดัง ’คลิ๊ก’ ชี้บอกเวลาเที่ยงคืน

             “ค รื น..ค รื น..”

 บังเกิดเสียงดังสั่นสะเทือนไปทั่ว ราวกับแผ่นดินไหว เธอสะดุ้งตกใจ และก็พบว่าตัวเองล้มฟุ๊บคว่ำหน้าอยู่บนพื้นนุ่มนิ่ม เป็นที่ที่เธอไม่เคยรู้จักมาก่อน รอบกายมืดมิด เธอกวาดสายตามองฝ่าความมืดไปรอบ ๆ  

             “มิดไนท์”

 เธอตะโกนร้องเรียกชื่อหมาของเธอ   เงียบ! ไม่มีเสียงตอบรับ.. ไร้ซึ่งวี่แวว

             ‘เราเห็นมันนอนอยู่หน้าประตู’  

‘เรากำลังฝัน’   แล้วเธอก็อมยิ้มอย่างนึกขัน    

            ‘ในฝันไม่มีอะไรเป็นจริง...และเราจะทำอะไรก็ได้ทุกอย่าง’

 กันตยาลุกขึ้น สมองของเธอมืดแปดด้าน นึกอะไรไม่ออก จำอะไรก็ไม่ได้ เธอเหมือนคนหลงทาง  เธอพยายามใช้มือทั้งสองคลำหาประตู

              ‘ก็เราเพิ่งก้าวข้ามมานี่นา..มันน่าจะอยู่ข้างหลังเรา’ 

 แต่มือของเธอกลับสัมผัสความว่างเปล่า  เธอเดินวกไปวนมา พลันเธอก็เห็นลำแสงสีนวลที่ส่องสว่างมาแต่ไกล ๆ

             ‘เราจะเดินตรงไปยังแสงนั่น ..มันอาจจะเป็นทางออก ’

ทันทีที่คิดตัวของเธอเยื้อย่างล่องลอยตามลำแสงนั้นไป เดินได้สักพักหนึ่ง สายตาของเธอก็เริมชาชินกับความมืด ..และเธอต้องแปลกใจเมื่อได้รู้ว่า เธอไม่ได้เดินอยู่คนเดียว ข้างหน้าของเธอมีเงาตระคุ่ม ๆ ของผู้คนเดินกันเป็นแถวยาว และข้างหลังของเธอก็เริ่มมีคนทยอยเดินตามมาเรื่อย ๆ  มีทุกเพศทุกวัยส่วนใหญ่แต่งกายด้วยผ้าคลุมรุ่มร่ามสีเทาและสีดำมืด  ..เงียบ! ไม่มีเสียงพูดคุยแม้แต่คำเดียว

            ‘พวกเขาจะพากันไปไหน’

กันตยาสงสัย แต่ไม่รู้จะถามใครได้ ขณะเดินมันเหมือนมีอะไรบางอย่างที่มองไม่เห็นกั้นสองข้างทางเอาไว้ ทุกคนจึงต้องเดินแถวเรียงหนึ่งมุ่งไปข้างหน้าไปเรื่อย ๆ ตามทิศทางของแสง พอเดินเข้าใกล้เ ลำแสงก็ขยายรัศมีกว้างใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ  จนในที่สุดก็เดินมาถึงที่โล่ง มันเหมือนเดินพ้นออกมาจากถ้ำ แสงสีนวลที่ส่องสว่างทำให้มองเห็นลางเลือน  ที่โล่งตรงหน้าที่แท้ก็เป็นทะเลสาบกว้างใหญ่นั่นเอง ผู้คนที่เดินตามกันมาต่างยืนออกันอยู่บนขอบตลิ่ง

              'พวกเขามาที่นี่ทำไม’

 กันตยาพยายามเขย่งเท้าชะเง้อมอง แต่ก็มองอะไรไม่เห็นมีคนบดบังไว้หมด แถวที่เดินเคลื่อนไปเรื่อย ๆ จนมาถึงฝั่ง และได้เห็นน้ำในทะเลสาบสีดำทมึนน่ากลัว  ยอดเสากระโดงเรือขนาดใหญ่เก่าคร่ำครึอยู่เบื้องหน้า

             ‘ต้องลงเรือหรือ’

             ‘ถ้าเกิดเรือจมล่ะ ..ในฝันเราจะว่ายน้ำเป็นไหมหนอ’

 เธอเห็นชายแก่รูปร่างสูงใหญ่ บนศีรษะมีผ้าดำคลุมเอาไว้ ทำให้มองไม่เห็นใบหน้า

             ‘หน้าอาจเหมือนผีก็ได้’

 ชายแก่คนนั้นถือไม้เท้าขนาดใหญ่คอยต้อนผู้คนให้ลงเรือ  เมื่อเดินใกล้เข้ามา กันตยาได้เห็นเรือที่จอดรอรับผู้โดยสารถนัดตา  มันเป็นเรือเก่าขนาดใหญ่รูปร่างน่ากลัว กาบเรือมีรอยแตกร้าว สายระโยงระยางบนเรือขาดรุ่งริ่ง มันคงผ่านการใช้งานมานานนับร้อยปี  มีชายแก่อีกคนหนึ่งลักษณะการแต่งกายคล้ายกับคนแรก  ยืนอยู่ข้างทางลงเรือที่เป็นเส้นทางขรุขระเต็มไปด้วยก้อนหินทอดไปถึงตลิ่ง  มือทั้งสองจับปากย่ามเปิดอ้าเอาไว้คอยรับเหรียญที่คนลงเรือโยนลงมา พอเหรียญกระทบกันดัง ‘กริ้ง’ ไม้กระดานแผ่นเล็กที่พาดอยู่บนหัวเรือก็จะกระดกลงเพื่อให้ผู้โดยสารไต่เดินขึ้นเรือ

 กันตยาขยับเลื่อนตามแถวไปเรื่อย ๆ กำลังจะเดินผ่านคนถือย่าม พลันตัวเธอก็แข็งทื่อ ขยับเขยื้อนไม่ได้ ชายแก่คนนั้นชี้ที่ย่ามเป็นเชิงบอกให้เธอโยนเหรียญลงไป 

             ‘เราไม่มีตังค์.. ทำไงดี

 กันตยาคิดถึงเหรียญบาท เหรียญห้า และเหรียญสิบที่เธอหยอดกระปุกออมสินหมูน้อยผูกโบว์สีชมพูในห้องนอนของเธอ แต่ตอนนี้เธอไม่ได้ถือติดมือมาด้วย  เหมือนมีแรงแม่เหล็กดึงดูด ที่ดูดเธอให้เดินเข้าไปหาคนที่ถือย่าม แล้วหยุดกึกอยู่ตรงหน้า ชายแก่ละมือข้างหนึ่งจากปากถุง แล้วเอื้อมมาบีบปากของปากเธอให้เปิดอ้า แล้วมันยื่นหน้าเข้ามามองดูใกล้ ๆ  กันตยาจ้องมองไปที่ใบหน้าของมัน ..มีแต่สีดำมืด มองไม่เห็นอะไรเลย  เมื่อไม่พบอะไร ชายแก่ก็ล้วงกระเป๋าเสื้อชุดนอนของเธอแล้วควักออกมา แต่ก็ไม่เจอสิ่งที่มันหา  พลันก็เหมือนมีอะไรผลักเธอให้เดินออกมาแล้วมุ่งหน้าเดินตรงไปยังเรือซึ่งไม้กระดานยังคงกระดกค้างสูงนิ่ง กันตยาพยายามจะหยุดตัวเอง แต่ก็ทำไม่ได้ พอใกล้จะถึงทะเลสาบเธอเห็นน้ำสีดำรอบ ๆ ขอบเรือที่กำลังเดือดปุด ๆ เป็นฟองแตกกระจาย

               ’กริ๋ง’  

 มีใครคนหนึ่งจากข้างหลังของเธอ โยนเหรียญลงไปในย่าม ขาที่กำลังจะก้าวตกขอบทะเลสาบหยุดกึก ไม้กระดานกระดกลงมาวางแทบเท้าของเธอ เธอรีบก้าวขึ้นเรือโดยไม่หันหลังมามองสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นเบื้องหลัง เธอไม่มีโอกาสได้เห็นชายแก่ที่กำลังดิ้นทุรนทุรายอยู่ข้างท้องเรืออ้าปากร้องสุดขีดแต่ไม่มีเสียงเล็ดลอดออกมา แล้วร่างนั้นก็ย่อยสลายละลายไปในพริบตา ต่อหน้าผู้คนที่ยืนต่อแถวซึ่งต่างพากันตัวสั่นงันงกด้วยความหวาดกลัว พวกเขารู้ว่าไม่มีทางเลือก

              ‘ถ้าไม่ลงเรือ... ก็ลงทะสาบมรณะ’

 นอกจากอยู่ในภาวะไร้ซึ่งน้าหนัก กลิ่น เสียง แล้วกันตยายังๆไม่รู้เรื่องเกี่ยวกับเวลาอีกด้วย เธอไม่รู้ว่า เรือใช้เวลาแล่นนานเท่านไร  มารู้สึกก็ตอนที่มันจอดเทียบท่า หน้ามหาวิหารแห่งหนึ่ง แสงสลัว ๆ ทำให้เธอมองลักษณะรูปทรงของมันไม่ถนัดตา คงเห็นเป็นเงาทมึนสูงเสียดฟ้าขนาดมหึมา  ผู้โดยสารถูกถ่ายโอนจากเรือมายืนอออยู่หน้าประตูวิหาร

 สำหรับที่นี่ มันมีความรู้สึกเหมือนอยู่ในเมืองอีกเมืองหนึ่ง เสียงฝีเท้า เสียงอื้ออึง เสียงงึมงำของผู้คนคุยกันที่ฟังไม่ได้ศัพท์ ดังไปทั่ว ... พลันทุกอย่างก็เงียบกริบ  สายตาทุกคู่จ้องจับไปที่ประตูหินทรายแดงบานใหญ่ ตรงหน้าที่กำลังเลื่อนออกช้า ๆ   เผยให้เห็นร่างสีดำทมึนที่ยืนขวางทางประตู มีสียงอื้ออึง เสียงอุทานด้วยความหวาดผวาของผู้คน           

                    “เทพอนุบิส”            

                     “ทูตมรณะ”            

                    “เทพผู้พิทักษ์คนตายและสุสาน”

กันตยาเผลออ้าปากค้าง ถ้ามีใครสังเกตก็คงจะเห็นใบหน้าที่ซีดเผือดของเธอ ..สิ่งที่เห็นอยู่เบื้องหน้ามันช่างดูน่ากลัวเหลือเกิน.. หัวเป็นสุนัขสีดำ ปากของมันแหลมยาว เผยให้เห็นเขี้ยวที่โผล่แลบออกมาสองข้างปากแวววาว ใบหูของมันแหลมใหญ่ชูตั้งดูแข็งแกร่ง นัยน์ตาของมันเหมือนเปลวเพลิงดวงเล็กที่กำลังลุกไหม้ ลำตัวเป็นมนุษย์บึกบึน ถึงแม้จะมีผ้าพันกายแต่ก็มองเห็นเนื้อหนังมีกล้ามเป็นมัด ๆ  ในมือถือคทา  

             ‘หน้าตาของมันไม่เหมือนมิดไนท์’

ทันทีที่มันกลับหลังหันและก้าวเดิน  เหมือนมีแรงดึงดูดให้ทุกคนที่ยืนออบริเวณหน้าประตูเดินตาม จนไปถึงห้องโถงใหญ่ ..ตรงกลางมีคันชั่งแบบตราชูขนาดใหญ่ตั้งอยู่ มีพนักงานประจำคันชั่งหนึ่งคน         

                 “โอ..ที่นี่คือห้องพิพากษาของเทพโอซีริส”

เสียงดังมาจากข้างหลังของเธอ ร่างที่มีหัวเป็นสุนัขที่พวกเขาเรียกว่าเทพอนูบิสยกมือเป็นสัญญาณให้ทุกคนนั่งลงและอยู่ในความสงบ  ความเงียบเกิดขึ้นอีกครั้ง กันตยาชำเลืองมองซ้าย ขวาด้วยหางตา เธอเห็นผู้คนต่างนั่งก้มหน้านิ่ง ส่วนเธอกำลังสนใจสิ่งที่อยู่เบื้องหน้า  มีบุรุษร่างสูงใหญ่แต่งกายด้วยผ้าคลุมสีขาวนวล สวมมงกุฎสีเงิน ในมือถือคทาทองคำ เดินเข้ามาและนั่งลงบนเก้าอี้ตัวใหญ่ที่อยู่ด้านข้างของคันชั่ง  สตรีรูปงามใบหน้าเรียบเฉยแต่ดูอ่อนโยนรูปร่างสูงเพรียวแต่งกายด้วยชุดยาวกรอมเท้าสีขาวปุกปุยเหมือนขนนก รอบศีรษะมีเส้นสีเงินคาดและมีขนนกสีขาวนาดใหญ่หนึ่งอันเสียบติดอยู่  เข้ามานั่งอยู่อีกข้างหนึ่งของคันชั่ง 

           

              “พวกเจ้าทุกคนจะต้องผ่านการทดสอบ”  เสียงของเทพอนูบิสดังสะท้อนก้องไปทั่วห้องโถง          

                 “ต่อหน้าเทพโอซีริส... วิญญาณของพวกเจ้าจะต้องถูกนำขึ้นตราชั่งเพื่อเทียบกับขนนกของเทพีมะอาทซึ่งเป็นสัญญลักษณ์แห่งความยุติธรรม”

เกิดเสียงอื้ออึงขึ้นอีกครั้ง เทพอนูบิส ชูมือขึ้น ความเงียบกลับเข้ามามาแทนที่อีกครั้ง   

         

                  “ขณะพวกเจ้ามีชิวิตอยู่บนโลกมนุษย์  พวกเจ้ากระทำสิ่งใดมากกว่ากันระหว่างกรรมดี กับกรรมชั่ว ”

เกิดเสียงอื้ออึง เสียงร้องหวยหวนด้วยความกลัว ดังทั่วห้องโถง เทพอนูบิสชูคทาขึ้นเป็นสัญญาณให้ทุกคนเงียบ อีกครั้ง จากนั้นก็ทำสัญญาณมือให้แถวหน้ายืนขึ้น และก้าวเดินออกไปทีละคน  ไปหยุดยืนอยู่ต่อหน้าคันชั่งและประกาศความดีของตนขณะมีชีวิตอยู่ต่อหน้าเทพโอซีริส   แต่เธอไม่ได้ยินว่าเขาประกาศว่าอะไรบ้าง  

พอพูดจบเทพอนูบิสก็ใช้คทาชี้มาทีหน้าอกข้างซ้าย  บังเกิดแสงสีเขียวอ่อนดวงเล็ก ๆ ลอยออกมาเกาะติดที่ปลายคทา แล้วร่างนั้นก็ทรุดฮวบลงไปกองอยู่กับพื้น   แสงสีเขียวนั้นถูกนำไปวางยังตราชั่ง ซึ่งอีกข้างหนึ่งเป็นขนนกของเทพีมะอาท เพื่อดูว่าสิ่งใดจะมีน้ำหนักมากกว่ากัน ทุกครั้งที่ชั่งกระดกขึ้นหรือกระดกลง ก็จะมีเสียงฮือฮา อึ้ออึงดังไปทั่ว กันตยาไม่เข้าใจความหมาย เธอมองเห็นคนที่คอยมารอบรับร่างที่ฟื้นขึ้นมาแล้วพาเดินออกไปในเงามืด

ผ่านไปคนแล้วคนเล่าจนถึงคิวของเธอ  เธอเกิดอาการกลัว แต่แล้วก็นึกได้ว่าตัวเองกำลังฝัน ความอยากรู้จึงเข้ามาแทนที่ พอเธอไปหยุดยืน สายตาของเธอกลับพล่ามัว หูอื้อ มองอะไรแทบไม่เห็น และไม่ได้ยินว่าเขาสั่งให้ทำอะไร เธอไม่ได้กล่าวอะไรออกไป ไม่รู้ว่ายืนอยู่น่านแค่ไหน จู่ ๆ เหมือนมีเส้นอะไรขาดผึง  สีดำสนิทเข้ามาคลอบงำแล้วทุกสิ่งทุกอย่างก็ดับวูบลง 

 




Create Date : 03 ตุลาคม 2557
Last Update : 13 ตุลาคม 2557 23:18:12 น.
Counter : 370 Pageviews.

0 comments
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

Maya_II
Location :
มุกดาหาร  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 7 คน [?]



Star sign : Gemini
Hobby : Reading & Writing
Interest : variety